Saturday, December 16, 2006

Gedict auf dem Klo

Ich beherrsche diese Welt,
ich bin wunderbar,
ich bin nämlich bei Scheißen.
Oh! Gott! Das Leben ist schwer.
Oh! Mein Arschloch tut mir weh.

Kiffen Kiffen haha

Friday, December 01, 2006

Simple simple

1-
พระพุทธวจนะ
"ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม"
"ทุกข์" นั้นเป็นของดี ของประเสริฐ คนไม่มีปัญญาจะรังเกียจทุกข์ แต่คนมีปัญญาจะใช้ทุกข์นั้นเป็น "พลังเชื้อเพลิง" ขับเคลื่อนตัวเองไปสู่
ความเป็น "คนเหนือทุกข์"
แต่ต่อให้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทุกข์" ก็ยังอยู่ เพราะ "ทุกข์" เป็นแค่สภาวธรรม ไม่มีตัวตนอะไรฆ่าให้มันตาย เป็นแค่ "สิ่งรู้ของจิต" เท่านั้น
ถึงโลกใบนี้แตกไป ทุกข์มันก็ยังอยู่ "ตามสภาวะ" ของมัน!
จง"รู้จักทุกข์" ว่าหน้าตามันเป็นอย่างนี้ มันมาได้อย่างนี้ มันอยู่ของมันอย่างนี้ และมันก็เป็น-ก็อยู่ของมันอย่างนั้น
เพราะนี่คือ "ธรรมชาติ" อย่างหนึ่ง
เมื่อเรารู้จักมันแล้ว คือวางจิตอยู่เหนือมัน พูดง่ายๆ คือมันมีอยู่ แต่เราไม่ทุกข์กะมัน แค่นั้นเราก็มี "จิตอริยะ" แล้ว
ทุกข์" คือสะพานสู่ "สุข" ข้ามสะพานทุกข์ไปถึงอีกฝั่งแล้ว หันหลังกลับไปมอง "สะพานทุกข์" มันก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้น รอให้คนอื่นๆ ใช้เป็นเส้นทางข้ามไปสู่อีกฝั่ง ต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด
ถ้าไม่มี "ตัวทุกข์" โลกนี้ก็เห็นทีจะไม่มีคำว่า "นิพพาน"!?

2-
วันๆ เราไป "นิพพาน" กันหลายๆ หน!?
โดยพื้นฐานปกตินั้นใจของมนุษย์ทุกคนมันว่างๆ เปล่าๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อะไรทั้งนั้น ตามภาษาธรรมท่านเรียก "จิตเดิมแท้" นี้ว่า
"จิตประภัสสร"
เวลาที่เรารู้สึกเฉยๆ ว่างๆ ไม่รุ่มร้อนด้วยสุข-ด้วยทุกข์ ช่วงขณะที่รู้สึก "ว่าง" อย่างนั้น
นั่นแหละ กำลัง "นิพพาน"!
เรียกว่า "ตทังคนิพพาน" คือ นิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วครั้ง-ชั่วคราว พอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปปะทะกับ รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งสัมผัสทางกาย สิ่งสัมผัสทางอารมณ์
เจ้าตัว "กิเลส ตัณหา อุปาทาน" มันลากใจให้กระเจิงตามมันไปเท่านั้นแหละ
นิพพานหายไป นรกเป็นที่อยู่ของใจทันที!
"วิกขัมภนนิพพาน" คือภาวะจิตสงบเย็นที่ยาวนานต่อเนื่อง แล้วถ้าใครใช้ปัญญาญาณบริหารจิต ฟาดฟัน-ประหาร กิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ถอนรากถอนโคนขาดสะบั้นลงไปได้ จิตก็จะเข้าสู่ภาวะ
"นิพพานัง ปรมัง สุญญัง"
เป็นพระอรหันต์ อยู่เหนือโลก เหนือทุกข์ "สิ้นเหตุ-สิ้นปัจจัย" ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ชนิด "ไม่จบ-ไม่สิ้น" อีกต่อไป!
ที่ว่า "สูญ" นั้น สิ่งที่สูญไป คือ
กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ
ตัณหา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
อุปาทาน คือ การยึดมั่น-ทึกทักใน "ตัวกู-ของกู" ไม่รู้จักความจริงที่ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และทุกอย่าง..ไม่มีตัวตนอะไรให้ยึด
"ตัวยึด" คือ "ตัวอุปาทาน" อันเป็นตัวลมๆ แล้งๆ ด้วยความโง่เขลาเท่านั้นเอง!
ใครก็ตาม ถ้าไม่มี "อุปาทาน" นั่นหมายความว่าบรรลุแล้วซึ่ง "อริยสัจจะ" ความจริงแท้ที่ทำให้มนุษย์อยู่เหนือโลก ๔ ประการ "ความจริงแท้" นั้นคือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค
ใครอยากรู้ว่า ในเมื่อนิพพานไม่ได้สูญ ฉะนั้น ภาวะนิพพานคืออะไร เป็นอย่างไร?
เรื่องนี้ท่านว่า "เล่นไม่ยาก"
แค่ไปให้ถึง "ตามทาง"
จิตเข้าสู่ภาวะอริยะเมื่อไหร่
รู้ได้-สัมผัสได้ "เฉพาะตัว" ผู้นั้น-เมื่อนั้น ทันที!
ท่านใดไปถึงแล้ว ขออาราธนาตรงนี้ โปรดกรุณามา "โปรดสัตว์" ผู้ยาก "คือผม" ด้วยเถิด!

3-
การปฏิบัติธรรม คือการทำงานอย่างคร่ำเครียด-คร่ำเคร่ง ชนิดไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ไม่มีคำว่ากลางคืน ไม่มีคำว่ากลางวัน ไม่มีคำว่าร้อน ไม่มีคำว่าหนาว ไม่มีคำว่าหิว ไม่มีคำว่าอิ่ม ไม่มีคำว่าทุกข์-ทนไม่ได้ ไม่มีคำว่าสุข-จนล้นกระฉอก ไม่มีคำว่าฝนตก และไม่มีคำว่าแดดออก
เรียกว่า ตลอด ๒๕ ชั่ว ไม่มีเว้นแม่แต่วินาทีเดียวที่ "ผู้เคี่ยวกรำกิเลส" จะหยุดจากการทำงานในหน้าที่ของท่าน ทำงานด้วยเพียรพยายามโหมไฟเคี่ยวกรำประหารกิเลสให้มอดไหม้!
นั่ง-คือมหาสติปัฏฐาน พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก จิตตามรู้อารมณ์ไม่คลาดคราแม้เสี้ยวของเสี้ยววินาที
เดิน-คือการเปลี่ยนอิริยาบถนั่งด้วย "จงกรม" จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งในทางที่กำหนดวนรอบ "กลับไป-กลับมา" โดยสติไม่คลาดคราจากอารมณ์อยู่อย่างนั้นตลอดวัน ตลอดคืน
เมื่อจงกรมควรแก่การแล้ว ก็นั่งด้วยอานาปานสติ คือกำหนดลมหายใจเข้า-ออกตามมหาสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในอาการ นั่ง นอน กิน ดื่ม เดิน อานาปานสติ ตามหลักมหาสติปัฏฐาน
ไม่เคยขาดสายจากกันไปเลย!
นั่นคืองานทางจิตอันยิ่งยวดของพระอริยะ ดังที่สมเด็จพระจอมไตรบรมโลกนาถ "พระมหาสมณโคดม" ทรงกระทำต่อเนื่องตลอดวัน-ตลอดเวลา จนค้นพบ "อริยสัจจะ"
และทรงประกาศสอนเป็นสมบัติเพื่อมวลมนุษยชาติสู่ความเป็น "คนประเสริฐ" ตราบทุกวันนี้
นั่นคือ "ความสำเร็จ" อันโชติช่วงชัชวาลที่มาจาก "การทำงาน" โดยไม่ยอม "หยุดวัน-หยุดเวลา" ในการทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นเอง!
เชื่อหรือไม่ "อริยสงฆ์" ร่วมยุค-ร่วมสมัยของเรา อย่างเช่น หลวงปู่มั่น เป็นต้นนั้น ท่านทำงานของท่านชนิดไม่มีอาหารตกถึงท้อง ชนิดไม่เคยเอนกายลงนอน
ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ๆ หรือถึงเดือน!
ถึงแม้บางครา พระคุณเจ้าจะอยู่ในท่านอน นั่นก็อย่าว่าเข้าใจว่า "ท่านพักผ่อนนอนหลับ" ท่านเพียงแต่ให้ "กาย" อันเป็นที่อยู่ของจิตได้พักเท่านั้น
ขณะกายพัก จิตก็หาได้พักด้วยไม่ สติยังคุมจิตทำงานประหารกิเลสต่อเนื่องกันไปไม่หยุดหย่อน เหมือนน้ำตกที่ไหลโดยสายน้ำไม่เคยขาดตอน
ยิ่งตกก็ยิ่งสร้างพลังงาน ตกมากเท่าไหร่ พลังงานจิตก็ยิ่งเข้มข้น และจิตที่เข้มข้นนั้น คือ "ตัวแจ้งแห่งธรรม" ที่สว่างไสวไม่ขาดสายนั่นเอง
ถ้าสมเด็จพระจอมไตร และศิษย์ตถาคตผู้เป็น "พุทธบุตร" ทำงานแบบเช้าชาม-เย็นชาม เสาร์-อาทิตย์ก็หยุด หนาวนัก-ร้อนนัก ฝนตก-แดดออก ก็พักผ่อนนอนหลับ ป่านนี้..โลกจะไม่พบกับ "ธรรม"

4-
โลกนี้ มีแต่ "ทุกข์กับทุกข์" เป็นของแท้ เท่านั้น...!?

adapted from
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=2/Dec/2549&news_id=134245&cat_id=200

Saturday, November 25, 2006

Vomit

Warning!!!
ข้างล่างเป็นเรื่องบ่น รับมาจากหลายที่ ถ้าต้องการแหล่งที่มา จัดให้!!!
1-
จะทำอย่างไรเมื่อทุกอย่างสังเคราะห์ขึ้นมาได้
ไม่ว่าจะชีวิตคน ชีวิตสัตว์ พืช ต้นไม้ แบคทีเรีย
เพียงแค่อยู่บ้านโทรสั่งดีเอ็นเอ หรือโปรตีน สเป็กตามต้องการ
เอาตัวนี้ ฉลาดเท่านี้ สีนี้ หล่อๆหน่อย....
แล้วมาผสมเล่นเองที่บ้าน
ก็ได้มาแล้ว artificial life!!!

นั่นเป็นสิ่งที่นักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังทำอยู่ ชีวะ สาขา Synthetic Biology
ทุกอย่างต้องสังเคราะห์ได้ (ความรัก คุณธรรม อาจไม่ได้ แต่ก็เป็นผลของมัน)
บางคนบอกว่านี่เป็นสาขาใหม่ ที่มีความอันตรายระดับนิวเคลียร์
เป็นผลลัพธ์อันน่ากลัวของควอนตัมฟิสิกส์
ชีวิตเทียมที่กำลังพัฒนากันอยู่นี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร
มันจะฉลาดกว่าคน หรือว่า มันจะโง่กว่าคน
มันจะเป็นผู้รับใช้มนุษย์หรือว่า จะกลับมาเป็นนายของมนุษย์
สมการที่มีอยู่ตอนนี้แม้ว่าจะบ่งบอกว่าชีวิตเทียมเกิดขึ้นได้จริง
แต่ในเรื่องพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในสมการ เพียงแค่คิดคำนวณมันไม่สามารถตอบได้
สถานการณ์มันก็เหมือนกับการเกิดของปรมาณู
ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์คิดค้นระเบิดปรมาณูได้แล้ว แต่ยังไม่กล้าใช้
เพราะไม่รู้ว่าปฏิกิริยาลูกโซ่ของสารกัมมัตภาพรังสีจะต่อเนื่องลูกโซ่ ต่อไปทั้งโลกหรือไม่
สมการที่มันเกิดขึ้นมา ไม่ได้บอกเอาไว้
สุดท้าย สถานการณ์การเมืองสุกงอม
สหรัฐสั่งลุยโดยใช้ญี่ปุ่นเป็นที่ทดลอง ดูว่าปฏิกิริยามันจะหยุดหรือว่าจะต่อเนื่องลูกโซ่ไม่มีวันหยุด
คุณพระช่วย!!!
โชคดี ปฏิกิริยาหยุดลงแค่เมืองๆหนึ่งถูกทำลายป่นปี้ไป
ขณะนี้
Synthetic biology นี้ก็เหมือนกัน
นี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้โลกที่ดีขึ้น สร้างโลกของวันพรุ่งนี้
โลกที่ปัญหาอันร้ายแรงของมนุษย์ทั้งหมดจะถูกกำจัดไปด้วยของที่ร้ายแรงเช่นกัน



2-
มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสยไทยโบราณ (มศส) ก่อตั้งด้วยทุนของ เจียง ลิวลัน มหาเศรษฐีจีนไต้หวัน อายุ เก้าสิบปี
ท่านบริจาคเงินสร้างมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ในหลายประเทศ เพื่อการศีกษาศิลปะ พยากรณ์ศาสตร์ และไสยศาสตร์

อัมรินทร์ อินทร์ฤทธิ์ นิสิตใหม่ของที่นี่ ฝันแปลกๆในตอนหัวรุ่ง

วันแรกนั้น เขาละเมอเดินออกมาหน้าบ้านจัดสรรของเขา ย่านสุทธิสาร
เห็นทางลาดซีเมนต์หน้าบ้านกลายเป็นท้องนาน้ำท่วม
เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นปีศาจเพื่อนรุ่นบิดาของเขามาตีกบบนถนนคอนกรีตซึ่งในอดีตเคยเป็นท้องนา

วันต่อมาเขาฝันเห็นสุนทรภู่มากับบ่าวคนแจวเรือของท่าน

ก่อนที่ท่านสุนทรภู่จะลับกาย ท่านสั่งอัมรินทร์ให้ไปห้องสมุดของ มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสย
เพื่ออ่านนิราศสุนทรภู่และความเป็นมาของนิราศสุนทรภู่

วันที่เขาฝันถึงท่านสุนทรภู่ เขามุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยศิลป์ไสย(มศส)เพื่อจะถามอาจารย์วิชาไสยศาสตร์
ว่าย่านสุทธิสาร บ้านของเขานั้น ในสมัยโบราณมีความมหัศจรรย์อันใดหรือ จึงเป็นที่รวมของวิญญาณต่างๆ
ตามที่เขาฝันถึงตอนหัวรุ่ง

อาจารย์ รักยอด วิชาดาว โหรเก่าวัย แปดสิบปี อาจารย์ในคณะโหราศาสตร์ จูงอัมรินทร์ออกไปดูท้องฟ้า แล้วพูดว่า
"ท้องฟ้าคือโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด....สุสานทุกแห่งอยู่ใต้ท้องฟ้า
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตอยู่ใต้ท้องฟ้า บ้านคุณมีปฏิทินใช่ไหม"
"มีครับ"
"ปฏิทินเป็นตัวเเทนของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เมื่อบ้านคุณมีปฏิทิน ก็หมายความว่ามีวิญญาณของทุกชีวิตรอบบ้านคุณ"


3-
โลกกำลังพัฒนา เทคโนโลยีจะพัฒนาได้ไม่ถึงที่สุด

เวลาจะถูกตีความใหม่

ผู้ที่เห็นทางตัน เป็นเพียงผู้ที่อ่อนแอ
ผู้ที่เห็นโลกข้างหน้า แม้เขาจะไม่ได้อยู่เชยชม แต่จะเป็นหินก้อนหนึ่งที่ก่ออนาคตนั้น
โลกกำลังร้อน โลกกำลังร้องไห้ มนุษยชาติกำลังจะล่มจม
มีนักวิจัยชาวอเมริกา ทำวิจัยว่าทำไม อารยธรรมจึงล่มสลาย
เขาทำการคำนวณ จาก แหล่งอารยธรรมหนึ่งในที่ราบระหว่างเทือกเขาแอนดีส มหาสมุทรแปซิฟิก ณ ที่นั่นมีแม่น้ำที่เคยไหลผ่าน จนเกิดเป็นชุมชน เป็นอู่อารยธรรม
แต่มาวันหนึ่งแม่น้ำนั้นเกิดเปลี่ยนทิศทาง
อารยธรรมนั้นจะลุ่มสลายเพราะขาดแคลนน้ำ แต่ว่าอารยธรรมนั้นมีวิทยาการก้าวหน้าจึงคิดจะเปลี่ยนกระแสน้ำกลับ สุ้กับธรรมชาติ ดึงกระแสน้ำกลับมา
การต่อสู้กับธรรมชาติข้อจำกัด มันทำให้คนแกร่ง
ถ้าผ่านด่านนั้นไปได้
แต่แล้วอารยธรรมนั้นก็สูญหาย พ่ายแพ้ แก่ธรรมชาติ
เป็นเพราะอะไร เพราะเขามีวิทยาการไม่พองั้นหรือ ถ้าใช้เทคโนโลยีสมัยนี้ไปจัดการ
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
เราจึงควรต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไปให้พ้นขีดจำกัดนั้น ไปเป็นคนของอนาคต?
แต่ภาวะในปัจจุบัน เรากำลังเล่นบทบาทเดิมอยู่เช่นเดียวกับอารยธรรมนั้น
หรือว่าเรากำลังไล่ล่าอนาคต
มีคนถามว่า เราอยู่ลำพังในจักรวาลนี้ไหม
มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม
ลองคิดดูว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีไปได้เรื่อยๆ เราจะสามารถไปต่างดาวได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แล้วเราก็สามารถทิ้งโลกนี้ไปได้เลย เป็นขั้นสูงสุดของวิทยาการ
เราก็บินไปหาพวกเขากันเลย
แต่มองกลับกัน ถ้ามีเขาจริงๆ และอาจพัฒนาก่อนเราเหลื่อมล้ำกัน
เขาก็น่าจะมาหาเราแล้วละสิ UFO?
นั่นแปลว่า อารยธรรมจะถึงจุดสิ้นสุดมนุษย์จะสูญหายไปเสมอก่อนที่วิทยาการจะก้าวทันธรรมชาติ
หรือว่า มนุษย์วิวัฒนาการจนเลยไปแล้ว ไปอยู่ที่จักรวาลคู่ขนานที่มองไม่เห็น แต่สั่นสะเทือนถึงกันได้ กลายเป็นแมงกระพรุน หายไปจากมิติของเรา อย่างชาวอินคา อย่างชาวอียีปต์ อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระเยซู?
ผมจะรออยู่ที่วันพรุ่งนี้

Thursday, May 18, 2006

Thaikultur nach meiner Meinung(1)

Die Wurzel der Kultur in Thailand
Mit dem Zug des Globalisierung wird die Welt kleiner, wir bleiben noch näher, aber wir kennen uns nicht so gut. Ich komme aus Thailand, wenn Ihr Lust habt, lernt meine Heimat mal kennen!!! Fangen wir mit der Kultur nach meiner Meinung an.
Die Thaikultur hat einen evolutionären Ursprung von Geografie, Religion und früheren Herrschern des Landes. Außerdem ist sie noch unter andere Einfluesse von nahen Ländern, besonders Indien und China. Ab dem 18. Jahrhundert hat die Westkultur angefangen, eine Rolle in Thailand zu spielen. Das fuhr dann zu Kulturaustausch. Also ist die Thaikultur eine gemischte Kultur. Trotzdem ist sie einzigartig. Um die Thaikultur zu verstehen, muss man wissen, dass es zwischen den verschiedenen Unterschieden ebenfalls schöne Ähnlichkeiten gibt.
Bei der Geografie liegt Thailand im Äquatorgebiet, das in allen Jahreszeiten Sonne und Regen hat. Deshalb hat es üppige Erde für die Pflanzen zum Wachsen, besonders um Reis anzubauen. Thailand ist eine landwirtschaftliche Nation, die vom Wetter abhängt. Diese Ursache bewegt Thailänder an Gott oder einen Geist zu glauben. Deswegen ist es der Stamm von unserer Kultur.
Aber ab etwa 12.-13. Jahrhundert bekam Thailand eine Religion. Sie folgenten Bhram und bzw. dem Buddhismus. Diese Zeit ist eine große Wende in der Geschicte von Thailand. Nach dieser Wende hatten wir zum ersten Mal ein Reich und einen König, die bis heute bestehen. Bhram gab Thailand ein Herrschaftsystem, das viele soziale Elemente hat. Umgekehrt gab der Buddhismus Thailand eine weiche und intelligente Kultur. Beides sind die größten Einflüssen auf die Thaikultur bis heute.
Seit der König in Thailand herrscht, ist es auch din sehr wichtiger Einfluss, weil er eine definitive Kraft über Thailand hatte, als ein Führer. Wenn der König sich für Kultur interessiren würde, könnte sich die Kultur gut entwickeln. Aber wenn er sich für Krieg oder Frauen interessieren würde, wäre die Kultur immer schlecht. Außerdem sind viele große Dichter aus der Aristokratie oder der Dynastie. Der König ist sogar auch ein Künstler oder Dichter. Es gibt viele Könige, die als Künstler tätig sind. Zum Beispiel, König RamaII, König RamaVI, und der heutige König RamaIX.
Diese wichtigen Faktoren beeinflussen einen großen Teil von der Thaikultur, das sich in vielen Künsten und Traditonen ausdrückt. Zum Beispiel, die Bildhauerkunst, die Malerei, die Schauspielkunst(Khön, Lige usw.), die Architektur(die Pagode, die Tempel usw.) Das ist schade, dass viele Kunstwerke im Krieg zerstört wurden, wie es in Deutschland war. Das bekannsteste Kunstwerk ist die Altstadt, Ayutthaya, die jetzt eine Ruine ist.

Friday, May 12, 2006

เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง หมายเลข ๑

ไอน้ำที่ค่อยๆลอยขึ้นบนอากาศ
มันก็เหมือนกัน
ระหว่างน้ำที่เดือดที่ต้มกับไอระเหยจากชายป่า
ความแตกต่างคือรายละเอียด และ ความรุ่มร้อน เย้ายวน เย็น
ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ที่รื่นรมย์
ใครที่เคยลิ้มรสมันคงจะซาบซึ้ง และหวนหา รสชาตละไมนั้น
ฉันเฝ้ารอเวลาพระอาทิตย์ตก เพื่อจะจ้องมองมัน หายไปจากขอบฟ้าช้าๆอีกครั้ง
ฉันเฝ้ารอ

กลับมาสู่โลก ลอยขึ้นไปบนฟ้า มองด้วยสายตาเฉียบคมอย่างพญาเหยี่ยว ที่เปล่าเปลี่ยว
บนหนทางนภากาศ ครวญคิด ถึงเหยื่ออันโอชะ
วิมานในอากาศพังทลาย ไม่เหลือเพื่อนรสดีให้เราได้ออกหาอีกต่อไป

ป่าดำ

Das erte Mal

Alles klar!!!
Fangen wir an!!!
Liebe Leserinnen/Leser,
ich freue mich sehr über mein Blog, und auf naechste Geschichte von mir.

Bis dann,

Padam