Sunday, November 08, 2009

จิตวิทยาการศึกษา-จงเร่งเอสคิวจิตวิญญาณ

http://www.thaipost.net/sunday/081109/13205
จิตที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อนที่สุด - ดังที่คิดเอาเองทั้งได้พูดได้เขียนมาตลอด โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีหลังๆ มานี้ - โดยส่วนหนึ่งได้มาจากหลายๆ ที่มา ซึ่งจะไม่อ้างอิง เพราะมาจากหลายที่เหลือเกินจนอ้างไม่ไหว แต่พอจะสรุปได้ว่าเอามาจาก 3 ที่มาใหญ่ๆ (นอกจากที่คิดเอาเอง) คือเอามาจากมหายานและวัชรญาณพุทธศาสนา ปรัชญาและจิตวิทยา โดยเฉพาะจอห์น เซิร์ล วิลเลียม เจมส์ กับคาร์ล จี. จุง กับฟิสิกส์ใหม่ทั้ง 2 ทฤษฎี โดยเฉพาะควอนตัมเม็คคานิกส์ คือผู้เขียนคิดและเชื่อว่า หนึ่ง จิตไม่ใช่สมอง แต่สมองเป็นตัวแทนหรือตัวแสดงของจิต สอง จิตรู้หรือจิตสำนึก (conscious mind) ที่อยู่ในปัจเจกบุคคลมาจากจิตไร้สำนึกร่วมของสากลของจักรวาล (unconscious continuum) สาม สมองมีหน้าที่บริหารหรือเปลี่ยนจิตไร้สำนึกร่วมที่เข้ามาอยู่ในสมองของแต่ละ คนให้เป็นจิตสำนึกด้วยกลไกควอนตัมเม็คคานิกส์ (quantum-wave collapse) ซึ่งข้อ 3 นี้ จะยกเว้นจิตหนึ่งซึ่งเป็นแก่นแกนของจิตไร้สำนึกอันกระจ่างใส ซึ่งอยู่ภายในสุดของจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล (ที่เราเรียกเช่นนั้นเฉพาะขามาของวิวัฒนาการของจักรวาลจากหนึ่งสู่ความหลาก หลายเท่านั้น ส่วนวิวัฒนาการขากลับจากความหลากหลายกลับไปหาหนึ่งนั้นเราจะเรียกว่านิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับจิตหนึ่ง) - นั่นตรงกับภาษาอังกฤษ uni + verse การหวนกลับไปหาหนึ่ง - นักศาสนปรัชญาส่วนใหญ่เชื่อว่าจิตสำนึกต้องหาแก่นแกนของจิตไร้สำนึกให้พบ หรือรวมกับแก่นแกนของจิต ด้วยวิวัฒนาการขากลับตามวิวัฒนาการโดยธรรมชาติของจิตผ่านจิตวิญญาณอันเป็น จิตเหนือสำนึก (super-conscious) ไปเรื่อยๆ จนถึงนิพพาน เพราะฉะนั้นท่านผู้อ่านจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อเลยก็ได้ หรือว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็สุดแล้วแต่ ทั้งนี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอ่านของท่านผู้อ่านที่อ่านบทความนี้แต่อย่างใด

บทความวันนี้ - ตามหัวข้อที่ตั้งไว้ข้างบน - มีความหมายที่จะชี้บ่งถึงการปลูกฝังหรือการเร่งเร้าให้มนุษย์เกิดหรือมี วิวัฒนาการของจิตเหนือสำนึกเร็วขึ้นและมากขึ้น เพราะภัยธรรมชาตินานัปการซึ่งเราสร้างขึ้นมาด้วยมือของเราเองจากความไม่รู้ และความอวดดีหลงตัวเอง (อวิชชา และ anthropocentric) นั่นคือ เอสคิว (SQ ซึ่งคนทั่วไป และดาเนียล โกลแมน จะเรียกว่า social quotient ซึ่งสัมพันธ์กับเวลาและสถานที่ของสังคมในขณะนั้นๆ ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ฉะนั้นในที่นี้ SQ จะมีความหมายที่จิตวิญญาณ หรือหมายถึง spiritual quotient) ซึ่งนักจิตวิทยาเด็กมักจะพูดรวมๆ กันไปกับสติปัญญาความฉลาดที่วัดได้ (IQ) ที่ฟรานซิส แกลตัน นักจิตวิทยาอังกฤษคิดขึ้นและแพร่มาถึง

บ้านเราตอนที่ผู้เขียนยังเล็กๆ และบ้านเราก็รับทันที เพราะฟรานซิส แกลตัน เชื่อหนักเชื่อหนาว่าสืบทอดในตระกูลได้โดยเป็นกรรมพันธุ์ หรืออย่างน้อยก็เป็นลักษณะจำเพาะเป็นพิเศษ (trait) ประจำครอบครัว ที่ผู้เขียนบอกว่าที่บ้านเรารับในทันทีจนกระทั่งปัจจุบันนี้ - ทั้งๆ ที่มีข้อมูลใหม่ๆ ที่บอกว่าการวัดสติปัญญาความฉลาด (psychometric) หรือไอคิวนั้นเชื่อไม่ได้ - ก็เพราะว่าความเชื่อดังกล่าว มันเกิดไปตรงกับภูมิปัญญาชาวบ้านของบ้านเราที่บอกว่า "เสือย่อมไม่ทิ้งลาย" หรือ "เชื้อย่อมไม่ทั้งแถว" อะไรพวกนี้ นั่นคือ ถ้าพ่อเป็นโจรก็ให้ระวังลูกที่อาจเป็นโจรตามพ่อก็เป็นได้ จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่าภูมิปัญญาชาวบ้านน่าจะถูกอย่างน้อยก็น่าจะเป็นลักษณะ จำเพาะ (trait) ที่ว่า

ส่วนอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่าความรู้สึกแยกออกจากอารมณ์ (EQ) ไม่ได้ ความชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ จึงแยกจากเวทนาไม่ได้ เพราะอารมณ์นั้นเป็นผลพวงของความรู้สึกทางกายภาพ (sensual) ที่เป็นไปในทันทีทันใด คือห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่ระงับ (suppress) ได้โดยจิตที่อยู่เหนือสำนึกที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติบางส่วน โดยซ่อนตัวอยู่ลึกล้ำที่ภายใน ซึ่งจะโผล่ปรากฏออกมาเมื่อชีวิตหนึ่งชีวิตใดกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือกำลัง จะตายไปในทันทีถ้าหากช่วยไม่ทัน จิตเหนือสำนึก (spirituality หรือในที่นี้ก็คือ SQ) - ซึ่งพ้นผ่านหรือก้าวล่วง - จิตสำนึก เราเรียกว่าจิตวิญญาณ หรือธรรมจิต ซึ่งก็คือจิตบริสุทธิ์ที่งามพร้อมที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของในทุกศาสนา ในศาสนาพุทธคือเส้นทางไปสู่นิพพาน ส่วนในศาสนาที่มีพระเจ้าคือการที่จิตอันบริสุทธิ์แต่ละดวงได้รวมกับพระจิต ของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว 3 ความฉลาดที่วัดได้ (quotients) ที่ว่า ทั้งไอคิว อีคิว และเอสคิว นั้นมีส่วนที่มนุษย์เองสามารถสร้าง (co-creator) บางส่วน หรือเร่งเร้าให้เกิดขึ้นมาก็ได้ ซึ่งนักจิตวิทยาที่เชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างจักรวาล รวมทั้งสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะมนุษย์-เชื่อ มนุษยชาติได้ผ่านหรือพบกับไอคิวและอีคิวมาแล้ว แต่เรายังขาดเอสคิวที่โดยปกติแทบไม่มีเลย ที่มีอยู่บ้างก็ถูกซ่อนตัวเอาไว้อย่างล้ำลึก นั่นคือเนื้อหาสาระของบทความวันนี้

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายถึงการสร้างสรรค์ของมนุษย์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความฉลา

ดที่วัดได้ (นักจิตวิทยาการศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเชื่อโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ ว่าวัดไม่ได้) เราจะต้องรู้ความหมายของทั้ง 3 ความฉลาดเสียก่อน (ไอคิว อีคิวและเอสคิว) ก่อนอื่นควรจะอธิบายนิยามของสติปัญญาความฉลาด (intelligence) รู้และเข้าใจอารมณ์ที่แยกออกจากความรู้สึกยากมาก (emotion) และจิตวิญญาณ (spirituality) พอสังเขปตามที่ผู้เขียนเข้าใจและนำมาใช้ในบทความนี้

ในความเห็นของผู้เขียน ทั้ง 3 หรือไอคิว อีคิวและเอสคิวนั้น เราเอามาเรียงกันอย่างผิดๆ ซึ่งหากเราเรียงตามการเจริญเติบโตวิวัฒนาการ ไม่ใช่สนใจหรือว่าพบอันไหนและวัดอันไหนก่อน ความฉลาดทางอารมณ์ต้องมาก่อนเพื่อนนานนักหนา เพราะเป็นเรื่องของการ "รู้รอด" ซึ่งสัมพันธ์กับสัญชาตญาณ จริงอยู่ทั้ง 3 เป็นวิวัฒนาการของจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในปัจเจกบุคคล เพื่อ "การรู้" (cognition) แต่อีคิวเป็นวิวัฒนาการที่หยาบ ซึ่งมาก่อนในสัตว์ที่มีระบบลิมบิกวิวัฒนาการแล้วเท่านั้น เราต้องรู้ว่าจักรวาลมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือวิวัฒนาการเท่านั้น และวิวัฒนาการนั้นจะต้องดำเนินไปสู่ "การรู้" ที่สูงขึ้นกว่า ซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่า และลึกล้ำมากขึ้นกว่าตลอดเวลา ทั้งในทางกายภาพและทั้งจิตภาพ แต่กายภาพจะมีวิวัฒนาการก่อนและจิตภาพมาทีหลัง โดยมีวิวัฒนาการช้ามากกว่า กระทั่งส่วนใหญ่มากๆ หรือแทบทุกคนก็ว่าได้ ซึ่งพุทธศาสนาบอกว่าจะต้องมีการสะสมบารมีข้ามภพข้ามชาติมาตลอดเวลา และผู้เขียนก็เชื่อเช่นนั้น ทั้งจะเป็นวิวัฒนาการสุดท้ายของจักรวาลเมื่อมนุษย์ทุกคน สัตว์โลกทั้งหมดทุกๆ ตัวสามารถจะ "รู้แจ้ง"

เค็น วิลเบอร์ จะบอกว่า วิวัฒนาการทางจิตในมนุษย์ - ผ่านสเปกตรัมต่างๆ ที่เรียกว่า "เส้นทาง" (line) - จะเป็นการต่อยอดของเส้นทางที่เดิมมีเพียงเส้นทางเดียวก็ได้ หรือจะเป็นวิวัฒนาการที่เริ่มต้นจะมีหลายๆ เส้นทางก็ได้ ฉะนั้น เส้นทางหรือ line จึงไม่มีความสำคัญเมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของจิตรู้ที่สัมพันธ์กับรูปร่างทาง กายภาพ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหากพิจารณาจากลักษณะของความเป็นองค์รวมของวิวัฒนาการ แล้ว องค์กรใหม่จะเป็นการวิวัฒนากรขององค์เก่า บวกกับส่วนที่ได้มาใหม่เสมอ (transcend and include) ซึ่งเค็น วิลเบอร์ ก็ได้พูดมาเองและผู้เขียนก็เชื่อเช่นนั้น เพราะฉะนั้น กระบวนการวิวัฒนาการก็น่าจะเป็นเช่นนั้น มนุษย์หรือสัตว์โลกทั้งหลายจะต้องเรียนรู้หรือวิวัฒนาการมาตามลำดับ รู้รอดต้องผ่านสัญชาตญาณก่อน และรู้เพื่อรู้ต้องตามหลังรู้รอด ฉะนั้นสติปัญญาความฉลาด (intelligence) จึงต้องตามหลังการต่อสู้และหนีภัย และความฉลาดเหนือสติปัญญา (wisdom) ต้องผ่านความฉลาดธรรมดาๆ ก่อน เอสคิว หรือการรู้ของจิตวิญญาณ (spirituality) - อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งแทงตลอดและวิมุตติ - จึงเหนือกว่าสติปัญญาความฉลาดธรรมดามากนัก

จากที่พูดมาทั้งหมด เราสามารถสรุปและสามารถยืนยันได้ว่า ทั้งศาสนาและปรัชญากับทั้งวิทยาศาสตร์ - ที่ต่างก็พยายามอธิบายความจริงแท้ของธรรมชาติ แต่อธิบายบนหลักการและวิธีการคนละอย่างแตกต่างกัน - บอกเหมือนๆ กันว่าความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งศาสนากับปรัชญาบอกว่าเป็นจิตเป็นปฐม ส่วนวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นรูปกายวัตถุที่ตั้งอยู่ข้างนอก แล้วก็อธิบายจักรวาล ซึ่งเป็นตัวเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างไปตามนั้น และทั้ง 2 ก็บอกว่าจักรวาลมีเป้าหมายอย่างเดียวจริงๆ คือวิวัฒนาการ และวิวัฒนาการไปทำไม? ทั้งศาสนากับวิทยาศาสตร์บอกว่าวิวัฒนาการเพื่อให้มีชีวิตและมนุษย์ดำรงอยู่ ได้ นั่นคือที่มาของความรู้ เห็นกับไม่เห็นที่พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือรูปกายวัตถุไม่ได้ เพราะจิตไม่ใช่กาย วิทยาศาสตร์จึงปลดความรู้ออกจากศาสนา เหลือไว้แค่ความเชื่อความศรัทธาอันไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง ส่วนศาสนาก็เถียงว่าวิทยาศาสตร์ไม่ยุติธรรม เพราะเล่นใช้แต่วิธีการทางรูปกายวัตถุอย่างเดียวในการพิสูจน์ แต่ไม่ใช้วิธีการทางจิตเลย เช่น การทำสมาธิที่มีในทุกๆ ศาสนาอย่างไม่มีการยกเว้น หลังจากนั้นเมื่อเถียงกันไม่รู้จักจบหรือจบไม่ได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้ง 2 ก็แยกไปเด็ดขาดโดยเดินกันคนละทาง จนกระทั่งมีฟิสิกส์ใหม่ที่คล้ายๆ กับศาสนา โดยเฉพาะศาสนาที่อุบัติขึ้นทางตะวันออก ฟิสิกส์ใหม่ซึ่งให้ความจริงแท้ของธรรมชาติ (ทั้ง 2 ระดับคือทั้งกายและจิต) ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์กายวัตถุเป็นไหนๆ

เอสคิวที่ผู้เขียนหมายถึงในที่นี้ คือการวัดความฉลาดทางวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ และความฉลาดนั่นก็ไม่ใช่สติปัญญา (intelligence) หากแต่เป็นปรีชาญาณการหยั่งรู้หรือภาวนามยปัญญา (intuition or wisdom) ซึ่งเป็นไปเพื่อวิวัฒนาการของเหตุผลที่ไม่มีเหตุผล คือเป็นอารมณ์ด้านบวก อารมณ์ทุกๆ อารมณ์จะไม่มีเหตุผลทั้งนั้น จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ อารมณ์กับเหตุผลเชื่อกันว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้ามีเหตุผลก็ต้องไม่มีอารมณ์ หรือถ้าหากคนกำลังมีอารมณ์อยู่ก็อย่าหวังว่าจะใช้เหตุผลช่วยได้ เพราะเราอยู่ในยุคที่มีเหตุผลเป็นใหญ่ - ที่ผิดความจริงทางควอนตัมอย่างชัดๆ - ดังนั้นเรื่องของอารมณ์โดยเฉพาะด้านลบจึงเป็นของต้องห้าม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด แต่ผลของการวิจัยใหม่ๆ ชี้บ่งอย่างเป็นตรงกันข้าม ทั้ง 2 กลับเสริมเติมซึ่งกันและกันเพื่อวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ รักเมตตาและให้อภัยด้วยใจจริง อารมณ์ช่วยให้เหตุผลเกิด และเหตุผลจะช่วยกำจัดอารมณ์ในคราวต่อๆ ไปให้มีน้อยลงๆ และค่อยๆ หมดไป (Antonio Damasio : Descartes' Error, 1999) โลกในอนาคตอันใกล้นี้ การอยู่รอดของมนุษยชาติจะไม่ขึ้นอยู่กับเหตุผล (rational) และสติปัญญาความฉลาด (intelligence) อีกต่อไปแล้ว หากแต่จะขึ้นอยู่กับภาวนามยปัญญา (wisdom) ซึ่งจะมีได้เป็นปกติธรรมชาติต่อเมื่อมนุษยชาติมีวิวัฒนาการทางจิตไปสู่ระดับ จิตวิญญาณหรือธรรมจิต (spirituality) เส้นทางไปสู่นิพพานแล้วเท่านั้น.

Sunday, October 04, 2009

รายงานสภาพภูมิอากาศของโลกโดยสังเขป

ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ดี มีภัยธรรมชาติมากเหลือเกิน คนก็ตายรับทุกข์แสนสาหัส โดยเฉพาะในแถบเอเชียและแปซิฟิก
1. ออสเตรเลีย พายุทะเลทราย
2. พายุกฤษณา ที่ฟิลิปปินส์
3. ซึนามิ ที่ซามัว แปซิฟิกใต้
4. แผ่นดินไหวที่สุมาตรา อินโดนีเซีย
5. พายุป้าหม่าลูกใหม่ที่ฟิลิปปินส์
6. ....เชิญเลือกภัยธรรมชาิติตามใจต้องการ เพราะมันจะมีตามมาอีกแน่นอน

แม้ว่าเราจะประสบภัยกันเช่นนี้ แต่อีกฟากโลกที่ไม่มีภัยธรรมชาิิติก็พยายามสร้างภัยคุึกคามกันเองไม่หยุดหย่อน อย่างที่ อิรัก อิหร่าน อัฟกานิสถาน หรือล่าสุด จีนก็โชว์อาวุธนิวเคลียร์มหาศาลในวันชาติแบบพร้อมรบเสมอ เยอรมันเองที่ผมอยู่ตอนนี้ แม้ไม่ได้มีกองทัพอะไรพิเศษแต่คนเยอรมันก็เลือกพรรคที่ทำลายธรรมชาติที่สุดขึ้นมาเป็นรัฐบาลเพราะกลัวว่าตังค์ในกระเป๋าตัวเองจะหายไป (เขาว่าเป็นตลกร้าย ท่ามกลางบรรยากาศการล่มสลายของทุนนิยม คนเยอรมันกลับเลือกพรรคที่ทุนนิยมสุดโต่งมาเป็นรัฐบาลแบบไม่สนใจอะไร)

อนึ่งว่า โลกเราได้กลายเป็นนรกอเวจีไปกลายๆเสียแล้ว

คุณพร้อมแล้วหรือยัง:-)

Sunday, September 20, 2009

2012-13: กระบวนทัศน์ใหม่มาถึงแล้ว

from
http://www.thaipost.net/sunday/200909/10999

ทุกวันนี้ผู้เขียนมีความยินดีเอามากๆ ที่ได้เห็นชาวโลกโดยเฉพาะชาวไทย (ส่วนเล็กๆ) มีการตื่นตัวที่ภายใน (interiority) กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนที่ได้เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับจิตหรือภายในมานานถึง 20 ปี-แบบผู้อ่านทั่วไปมักจะพูดว่าเขียนเรื่องอะไร โดยที่คนอ่านไม่รู้เรื่อง-ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของความรู้ ไม่ว่า จะเป็นเรื่องของจักรวาล (ภายใน) ศาสนา วัฒนธรรม และฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ หรือควอนตัมเมกานิกส์ในส่วนที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับจิต-ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ แห่งยุคใหม่และนักศาสนาหลายๆ คน รวมทั้งผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นอะไร-เชื่อเช่นนั้นว่ามีส่วนสัมพันธ์กับภายใน คือเป็นคลื่นพลังงานสั่นสะเทือน (vibration) และคล้ายๆ กันมากเป็นพิเศษ ซึ่งจริงๆ แล้วความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ที่ว่านั้นคือ ความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันและกันที่ภายในอย่างที่ไม่มีทางแยกออกจากกันเป็น บูรณาการได้ตลอดกาล หรือจะพูดได้ว่าไม่มีการสิ้นสุดเลยก็ว่าได้

อยากจะขออนุญาตผู้อ่านว่า อย่าเพิ่งเบื่อ-เซ็งที่เห็นว่าผู้เขียนพายเรืออยู่ในอ่าง หรือคิดว่าจะได้ยินแผ่นเสียงตกร่องอีกเมื่อเห็นปี 2012 ในหัวเรื่องของบทความของวันนี้ โดยหลายคนอาจคิดว่า ไม่ว่าผู้เขียนจะเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนที่จะเกิดกับ ชาวโลกและคนไทยอย่างไร? ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ผู้อ่านส่วนมาก? อาจคิดต่อไปว่าถึงจะรู้แล้วหรือเชื่อแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ทว่าจริงๆ แล้วที่เขียนบ่อยเพราะมันสามารถช่วย บางคน ได้ และช่วยได้ทันด้วย เพราะเรามีเวลาตั้งกว่าสามปีถึงจะถึงวันที่ 21 หรือ 22 เดือนธันวาคม ปี 2012 หากเราบางคนที่ว่านั้นปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิ-ไม่ว่าเชื่อตามศาสนาต่างๆ นั้นๆ หรือไม่? มันก็เป็นเรื่องที่ดีงามกับตัวเองทั้งนั้น-ปฏิบัติกันตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งผู้เขียนขอรับรองว่าจะช่วยได้จริง

สาธารณชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทย-ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ไม่กี่คน-แทบว่าจะทุกคน กระมัง? คงจะไม่รู้ว่าเร็วๆ นี้มันได้มีการเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยะที่สำคัญยิ่งอยู่สองเรื่อง เรื่องที่หนึ่ง สนามแม่เหล็กโลก (magnetosphere) ที่ป้องกันรังสีอันตรายจากลมสุริยะที่อยู่ๆ ก็มีรอยโหว่มหึมาขึ้นมาเฉยๆ ดังที่ผู้เขียนได้เขียนลงไทยโพสต์ไปเมื่อเดือนสองเดือนก่อน ประเด็นก็คือ องค์การนาซาได้บอกว่าลมสุริยะ (solar wind) จะมีขนาดและจำนวนที่ใหญ่และมากขึ้นๆ สามารถที่จะรบกวนไม่เพียงแต่ระบบการสื่อสารหรือทั้งดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังอาจจะรบกวนพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ภายใน 3-4 ปีนี้ ซึ่งไปตรงกับปี 2012-13 พอดี กับเรื่องที่สองก็ได้เขียนลงที่นี่ประมาณสิบปีเห็นจะได้ ว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา-ซึ่งเป็นกาแล็กซีขนาดกลาง จึงหมุนรอบๆ ศูนย์กลางทุกๆ 250 ล้านปี ทำให้ระบบสุริยะหมุนตามไปด้วย-ฉะนั้นในรอบหนึ่งของการหมุน ดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์ รวมทั้งดวงจันท์จะไปเรียงเป็นแถวเดียวกันกับศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้าง เผือกพอดี (grand planetary alignment) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ชาวโลกเราในขณะนี้กำลังได้รับรังสีจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากศูนย์กลางทางช้าง เผือก ซึ่งก็เป็นที่รู้ดีกันทั่วไปแล้วว่ารังสีจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบางไวเบรชัน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับจิต (ไร้สำนึก) ของมนุษย์ (Robert Becker: The Electromagnetic Fields, What They Can Do For Us, 1990) นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนเขียนเรื่องปี 2012-13 ไม่จบสักที

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาชิกของชมรมจิตวิวัฒน์คนหนึ่งได้ถามผู้เขียนที่ชอบพูดเรื่องของปี 2012 อันเป็นปีที่โลกพัง (บางส่วน)-ที่หมายถึงประสบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน-และจิตใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ ที่ผู้ติดตามงานของผู้เขียนทุกๆ คนเลย มักรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ผู้เขียนจัดเป็นเสมือนเป้าหมายหลักของงานเขียนของ ผู้เขียน คือสมาชิกผู้นั้นถามคล้ายๆ กับว่า ตอนนี้ผู้เขียนยังคงคิดถึงปี 2012 เช่นเดิมหรือไม่? ผู้เขียนได้ตอบไปว่าก็คงเป็นเหมือนเดิม แล้วผู้เขียนก็ได้บรรยายถึงเรื่องของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ชื่อ ริชาร์ด มูลเลอร์ ที่เบิร์กเลย์พูดกับหลุยส์ อัลวาเรซ นักฟิสิกส์ที่พบหลุมอุกกาบาตที่ตกลงมาชนโลกที่อ่าวยูตาคาน ทำให้เผ่าพันธุ์ของไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปทันทีทั้งหมดเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งอยู่ในยุคเครตาเซียส-ทำให้หลุยส์ อัลวาเรซ ได้รับรางวัลโนเบลจากการที่เขาพบหลุมที่เกิดจากอุกกาบาตตกลงมาชนโลกนั้น-จน อัลวาเรซเชื่อว่าหากมีดาวใหญ่เข้ามาใกล้ๆ ระบบสุริยะ (เช่นมีดวงอาทิตย์สองดวง) เกิดไปเกี่ยวให้ดาวหาง-อุกกาบาตหลุดจากที่อยู่ของมันในขณะเดียวกัน ดาวใหญ่หรือดวงอาทิตย์อีกดวงนั้นโคจรเข้ามาใกล้ๆ กับระบบสุริยะ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าดาวหาง-อุกกาบาตอาจจะวิ่งมาชนโลกเราก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่ระบบสุริยะเป็น "ระบบดาวคู่แฝด" หรือมีดวงอาทิตย์สองดวง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งอย่างที่ทั้งริชาร์ด มูลเลอร์ และหลุยส์ อัลวาเรซ คิดและเชื่อ อย่างไรก็ดี เรื่องของระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์สองดวงนี้ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่มากๆ ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้เขียนคิดว่าความเป็นไปได้ก็ยังมีอยู่ และผู้เขียนเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปี 2012 ซึ่งทุกๆ ศาสนาและทุกๆ ลัทธิความเชื่อ-เท่าที่ผู้เขียนรู้-ต่างพูดว่าเป็นปีที่ต้องระวัง แถมนักพยากรณ์บางคน เช่น นอสตราดามุส และพวกนิวเอจเยอร์ส (newagers) ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นปีที่โลกพัง (บางส่วน) แต่คงไม่หมดสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์ กับจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างใหญ่หลวงที่สุดในประวัติของมนุษยชาติที่ เรามีมาทั้งหมด และ ผู้ที่รอดพ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างลึกล้ำ

อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สมาชิกของจิตวิวัฒน์เช่นกัน ได้บอกไว้ว่าปี 2013 เป็นต้นไป มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาน (spirituality) ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตรงกับที่ เตยา เดอ ชาดัง, ศรีอรพินโธ และนักคิดเขียนไว้ นั่นคือสัญชาตญาณของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ หากเข้าที่คับขันที่เสี่ยงกับภยันตรายต่อเผ่าพันธุ์ประเทศชาติและศาสนา ความคับขันอันตรายนั้นจะเร่งเร้า หรือกระตุ้นให้เราปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างถอนรากถอนโคน นั่นคือสาเหตุอีกอย่างหนึ่งของผู้เขียน

มีอยู่สามเรื่องที่ต้องย้ำกันเป็นพิเศษ คือ

1.เรื่องโลกพัง (บางส่วน) กับปี 2012 นี้ แม้จะมีเหตุผลที่ยกมาข้างบน แต่รู้สึกว่าเขียนบ่อยจริงๆ ที่เขียนนั้นเพราะเชื่อว่า ถ้าหากความรู้ที่เรายอมรับกันว่าเป็นฐานของความจริงที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าความรู้นั้นจะได้จากทางจิต เช่น ศาสนา ลัทธิความเชื่อ หรือโหราศาสตร์ที่มองไม่เห็น ไม่มีตรรกะหรือเหตุผล หรือความรู้นั้นได้มาจากทางกาย เช่นวิทยาศาสตร์ที่มองเห็น (รวมทั้งที่ใช้อุปกรณ์ช่วย) หรือมีตรรกะเหตุผลที่ชมรมวิทยาศาสตร์บางส่วนยอมรับ เมื่อเชื่อว่าเป็นไปได้ที่โลกต้องพัง อย่างกะทันหัน เช่นน้ำท่วมโลกมากๆ และฉับพลัน การย้ายแผนที่โลก (geographic upheaval) อุกกาบาต ฯลฯ-ไม่ว่าในปี 2012 นี้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นไปได้มาก หรือโลกจะต้องพังเป็นบางส่วนในวันข้างหน้าและเร็วๆ นี้ (ถ้าหากไม่พังในวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ในปีนั้น-ทั้งยังอาจช่วยบางคนได้ ไม่ว่าอย่างไรผู้เขียนก็ต้องเขียน

2.โดยธรรมชาติและความรู้ที่มี เรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ระบบนิเวศน์โลกเท่าที่มีอยู่เดี๋ยวนี้จะเป็นสมดุล ซิเมตรี หรือพอเพียงพอดีกับประชากรโลก 7,000 ล้านคนที่โลกมีอยู่ในขณะนี้ เพราะเรารู้ว่าถ้าหากประชาชนทั้งโลกมีกินมีใช้อย่างเท่าเทียมกันสม่ำเสมอกัน จริงๆ-ไม่ใช่ในปัจจุบันที่ประชากรเพียง 2% ของโลก ส่วนใหญ่มากๆ อยู่ในสหรัฐอเมริกาบริโภคทรัพยากรธรรมชาติถึง 80%-ที่ไม่ใช้โดยฟุ่มเฟือยด้วย ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่โลกสามารถที่จะรองรับประชากรโลกได้เพียง 2,500 ล้านคนเท่านั้น ประชากรของโลกส่วนใหญ่จำต้องหายไป และการหายไปจะต้องเกิดอย่างกะทันหัน เช่น ดาวหาง-อุกกาบาตวิ่งมาชน หรือการย้ายขั้วโลก ย้ายแผนที่โลก หรือน้ำท่วมโลกที่เกิดในทันทีทันใด เหมือนสึนามิแต่ใหญ่กว่ามากๆ ฉะนั้นจงอย่าประมาทเป็นอันขาด

3.เรารู้ว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกเพียงเเผ่าพันธุ์เดียว จะต้องมีวิวัฒนาการหรือการเรียนรู้ตลอดเวลา ดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอดเวลาว่ามนุษย์ต้องเรียนรู้ทั้งสามรู้คือ รู้รอด รู้เพื่อรู้ และรู้แจ้ง ที่สัตว์โลกทุกตัวกับมนุษย์ทุกคนไล่ขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งข้อแรกเป็นคุณสมบัติของสัตว์โลกทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ ส่วนรู้เพื่อรู้ (intelligence) เป็นคุณสมบัติของสัตว์ชั้นสูงโดยเฉพาะของมนุษย์ ส่วนรู้แจ้งเป็นคุณสมบัติของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งก็คือวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ต่อไปจนถึงนิพพาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อแรกจะเป็นการวิวัฒนาการของกายล้วนๆ ข้อที่สองเป็นวิวัฒนาการของกายและจิต โดยทั้งสองจะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และวิวัฒนาการของจิตจะเป็นวิวัฒนาการของจิตสำนึกเท่านั้น ส่วนข้อที่สามหรือรู้ที่สามเป็นของมนุษย์แต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว และเป็นวิวัฒนาการของจิตเพียงอย่างเดียว ตอนแรกจิตของปัจเจกบุคคลหรือจิตสำนึกและใต้สำนึกก่อน ตอนหลังจึงเป็นจิตไร้สำนึก (unconsciousness) ของปัจเจกบุคคล หรือจิตสากลโดยรวมของจักรวาล

จากทั้งสามข้อที่เล่ามานั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรทั้ง 3 ประการจะต้องเกิดกับเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และน่าจะเป็นในเร็วๆ นี้ เช่น 1) โลกจะต้องพังไปบางส่วนอาจจะเป็นปลายปี 2012 หรือล่าช้าไปกว่านั้น แต่เร็วๆ นี้อย่างแน่นอน 2) ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่จะหายไปในกะทันหันแต่ไม่หมด โดยจะเหลือพอที่จะรักษาความสมดุลพอเพยงพอดีเป็นธรรมชาติอย่างยั่งยืน 3) มนุษย์ที่เหลือจะเปลี่ยนแปลง (transform) ตัวเองเป็นปัจเจกก่อน แล้วจะไปเป็นโดยรวมหรือกระบวนทัศน์แห่งสังคมใหม่ในตอนหลัง

เป้าหมายของจักรวาลที่มีขึ้นมาก็เพื่อวิวัฒนาการอย่างเดียวเท่านั้น และการวิวัฒนาการจะเป็นไปได้อย่างเด่นชัด จะต้องมี "สิ่ง" และมีขั้นมีตอนซึ่ง "สิ่ง" ที่เห็นจะมีอยู่เพียงหนึ่งหรือองค์รวมที่แยกออกไปเป็นสอง รูปกับนามหรือกายกับจิต โดยทั้งสองจะมีพลังงานเป็นเครื่องมือ ทั้งหมดวิวัฒนาการไปเป็นวัฏจักร จากหยาบสู่ละเอียด จากความง่ายสู่ความยากและซับซ้อน รูปหรือกายได้แก่สสารวัตถุกับรูปชีวิตและมนุษย์ นามได้แก่จิต ทั้งหมดจะต้องผ่านสามขั้นตอนของวิวัฒนาการ จากสสารวัตถุไม่มีชีวิตไปสู่ชีวิต และจากชีวิตไปสู่มนุษย์ (นั่นคือ matter life and man) จากวิวัฒนาการของรูปหรือกายจึงถึงวิวัฒนาการของนามหรือจิต (man ในแบบหนึ่งคือ mind) ที่มีการเดินทางหรือเรียนรู้ (ซึ่งก็คือพลังงานเป็นเครื่องมือ) ซึ่งวิวัฒนาการจะแล้วเสร็จก็เมื่อจิตของมนุษย์ส่วนใหญ่บรรลุธรรมในระดับจิต วิญญาณ (spirituality) ขึ้นไปจนถึงนิพพาน สรุปก็คือ จักรวาลต้องมีวิวัฒนาการของโลกกับมนุษย์ ตามที่นักฟิสิกส์ใหม่บางคนคิดโดยหลักการมนุษยจักรวาลวิทยา (cosmological Anthropic principle) และมีวิวัฒนาการของกายกับของจิต ซึ่งทั้งหมดมีความจริงแท้อยู่เพียงแค่นั้น (matter life mind หรือ ดิน มนุษย์ (ชีวิต) และฟ้า) ขณะนี้เรากำลังเดินทางไปสู่จุดเป้าหมายสุดท้ายหรือฟ้าที่ยังยาวไกลไม่น้อย นั้น.

Saturday, September 12, 2009

วิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจจะเป็นจริง

ในทุกๆการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะชีววิทยาจะมีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นตลอด นั่นคือ เมื่อเราต้องการศึกษาปรากฏการณ์ในหลอดทดลองที่ไร้การปนเปื้อนจากสิ่งใดๆ เราต้องพยายามลดตัวแปร ตัวก่อกวนการทดลองออกไปให้มากที่สุด แต่ปัญหาก็คือ ในชีวิตจริง มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในธรรมชาติที่แท้จริง ไม่เคยไม่มีการปนเปื้อน และก็จะมีตัวรบกวนระบบเสมอๆ แต่ ก็นั่นแหละ การเข้าใจสภาพแท้จริงของสิ่งที่ศึกษานั้น สิ่งรบกวน สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตได้วิวัฒนาการมาเพื่ออยู่กับสิ่งนี้

ตัวอย่าง เช่น เราแยกเอนไซม์ออกจากสภาพแวดล้อมในเซลล์เพื่อศึกษาปฏิกิริยาของมันในสารละลาย ในอุดมคติที่สะอาด ไร้การปนเปื้อน ในสภาวะเช่นนี้ มันก็ยังทำงานได้ อย่าง โปรตีเอส ก็จะตัดสายเปปไตด์ แต่คำถามคือในสิ่งมีชีวิตจริงๆแล้ว เอนไซม์นี้มันทำหน้าที่อย่างนี้หรือเปล่า เพราะสภาพแวดล้อมในเซลล์จริงๆแล้วจะไม่ใช่แบบสารละลายแต่จะเป็นเหมือนเยลลี่ มีความยืดหยุ่น มีโปรตีนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งข้อนี้ หลายปีก่อน ก็มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียได้ทำการทดลองไว้แล้ว ว่า ใน ภาวะที่เหมือนเยลลี่ (แบบง่าย) โปรตีเอส บางตัวแทนที่จะตัดสายเปปไตด์ แต่กลับต่อสายเปปไตด์เข้ากันเป็นโปรตีนใหม่ขึ้นมา (J. Biol. Chem.

277, S. 43253)

หรืออย่าง อีโคไล เพื่อนรักของเรา ในห้องทดลองที่มันได้เติบโตในสภาวะที่เหมือนสวรรค์ ไม่มีศัตรู ไม่มีการแข่งขัน มีอาหารอุดมสมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบทีหลังว่า มันได้สูญเสียคุณลักษณะที่ใช้ในการอยู่รอดไปอย่างเช่น มันจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์อีกต่อไป หรือ แม้แต่สูญเสียคุณสมบัติในการสร้าง ไบโอฟิล์ม ที่ก่อโรคได้ ซึ่งทำให้อีโคไลนี้ต่างจากอีโคไลดั้งเดิมออกไป (J.

Bacteriol. 188, S. 3572).

ซึ่ง ผลการทดลองนี้ก็ได้รับการยืนยันภายหลังจากความรู้ทางชีววิทยาที่มากขึ้น อย่างความรู้เรื่องความคงตัวของจีโนมของแบคทีเรียที่น่าทึง หลังจากนั้นก็มีรีวิวออกมามากมายยืนยันว่า อีโคไลสายพันธุ์ที่เลี้ยงไว้ในห้องทดลองหลายๆปีจะสูญเสียความสามารถสำคัญๆไป และจะไม่สามารถเป็นตัวแทนอีโคไลที่อยู่ในธรรมชาติได้ (Trends

Microbiol. 13, S. 58) นอกจากนี้ มันก็มีตัวอย่างด้านตรงข้ามออกไปเลย อย่าง หนอน C. elegans แมลงหวี่ Drosophila หรือกระทั่งสัตว์ชั้นสูงอย่าง หนู และลิง นักวิจัยพบว่า ถ้ามันกินน้อยลง ได้รับ แคลอรี่น้อยลง มันจะอายุยืนขึ้น (Science 325, S. 201 คนค้นพบได้โนเบลไปแล้ว) แต่นั่นเป็นจริงกับชีวิตนอกห้องทดลองงั้นหรือ เราต้องระวังไว้ให้ดีเพราะที่นักวิจัยศึกษานั้นเพียงแค่ดูอิทธิพลของการลดอาหารต่อการเกิดโรคแก่ชราเท่านั้น ตัวสัตว์ทดลองก็ยังอยู่ในดินแดนเหมือนสวรรค์อยู่นั่นเอง

ในหัวข้อนี้ก็มีงานวิจัยล่าสุดออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันต้องการพลังงานส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการต่อต้านเชื้อโรค แต่ว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เมื่อติดโรคแล้วจะลดการกินอาหารลงไป เขาเลยทดลองกับแมลงหวี่เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหารกับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรียสามชนิด ผลลัพธ์คือ แมลงหวี่ที่อดอหารสามารถทนต่อการติดเชื้อชนิดแรกได้ดีเท่าๆกับแมลงหวี่ในธรรมชาติ ส่วนเชื้อชนิดที่สองกลับตายเร็วขึ้น ส่วนเชื้อชนิดที่สามตายช้ากว่า (PLoS Biol. 7: e1000150)

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผลลัพธ์จากห้องทดลอง in vitro หรือ แม้แต่ in vivo ก็ไม่สามารถจะนำมาใช้กับโลกจริงๆได้เสมอไป แต่มันก็ทำให้ระลึกได้ว่า โลกจริงๆที่ปนเปื้อนนั้นมันง่ายกว่าที่คิด ต้องการการแก้ปัญหาอย่างง่ายๆที่ยืดหยุ่นเท่านั้นเป็นพอ ปวดขี้ก็ให้ไปขี้ ไม่ใช้ทำยังไงไม่ให้ปวดท้อง ไม่อยากแก่ก็ให้อารมณ์ดี มีความสุขไว้ อย่าคิดมากเด๋วเยี่ยวเหลือง

โลกมันง่ายกว่าที่คิดเว้ย ไอ้นักวิทย์ทั้งหลาย แสดดดด

Ralf Neumann

From http://www.laborjournal.de/rubric/archiv/domfac/bellbio/schoen_09_09.pdf

เติมน้ำใส่ไข่ โดย นายทิม

Monday, August 17, 2009

วัน พัก ใจ

เคยมีบ้างไหมที่จู่ๆ โลกเราชื่นชอบได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งใดเคยรักเคยหวง กลับกลายเป็นสิ่งเชยชาน่าเบื่อ การงานที่คุ้นเคยกลับกลายเหมือนโซ่ตรวนที่หน่วงหนัก คนเคยร่วมสังสรรค์เฮฮากลายเป็นคนแปลกหน้าที่เหมือนไม่เคยจะรู้จัก กระทั่งห้องหอที่เคยคุ้มหัวก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนเป็นเรือนจำ

จากนั้นความเงียบเหงา อึมครึมก็โอบล้อมเข้ามาราวเมฆหมอกปีศาจ รู้สึกหมดพลังไปเสียทุึกอย่าง ไร้ซึ่งพลังจินตนาการสร้างสรรค์ใดๆสิ้น จบดิ่งสู่หุบเหวลึกล้ำหาที่สุด

สภาพเ่ช่นนี้ บางทีอาจนับได้ว่าเป็นความป่วยไข้ชนิดหนึ่ง ไ่ม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บในความหมายสามัญ หากเป็นโรคร้ายที่ทุกคนต้องเผชิญ เป็นทางสองแพร่งของชีวิตกับความตาย ด้านหนึ่งมองเห็นความไร้แก่นสารของสรรพสิ่งที่เคยผูกพัน อีกด้านหนึ่งเป็นความกลัวที่จะต้องสูญทุกอย่างไป

มันเหมือนสภาพกึ่งๆ ครึ่งๆ ไม่เต็มเต็ง จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะกลับข้างหลังก็ไม่ดี จะคิดว่าเป็นมายาก็ไม่ใช่เพราะความรู้สึกทรมานนี้มันจริงเหลือเกิน จะคว้าสิ่งใดมายึดเหนี่ยวบรรเทาก็ไม่มี เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเล

บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณเป็นเวลาให้เดินทางค้นหาความกลวงโบ๋ของสิ่งที่อยู่ข้างใน เส้นทาง-สาย-หัวใจ

Saturday, August 08, 2009

ความรู้โลกความจริงโลกไม่ใช่ความแท้

http://www.thaipost.net/sunday/090809/8973

ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2518 ร่วม 35 ปีมาแล้ว เอกอัครราชทูตของประเทศสแกนดิเนเวียประเทศหนึ่ง ส่งเจ้าหน้าที่สถานทูตชาติเดียวกันไปรับผู้เขียนถึงสถานที่หนึ่งที่นัดไว้ ไม่ไกลจากบ้านที่ผู้เขียนหลบไปซ่อนตัว ตอนนั้นวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ได้ประกาศว่า ผู้เขียนได้หนีไปที่ทุ่งไหหินไปแล้ว สองเดือนหลังจากวันนั้น หนังสือพิมพ์และแมกกาซีนที่พิมพ์เมืองนอกได้บอกว่า นักการเมืองที่เป็น "ลิเบอรัล" คนหนึ่งได้หลบหนีภัยการเมืองไปอยู่ในสถานทูตของประเทศยุโรปตะวันตก ซึ่งในตอนนั้นผู้เขียนคิดว่าผู้เขียนเป็นนักการเมือง "ลิเบอรัล" จริงๆ เพราะไม่รู้ "ความรู้" รอบตัวอะไรเท่าใดนัก คิดแต่ว่าในทางการเมืองของประเทศไทยนั้น ถ้าไม่เป็นเผด็จการทหารหรือเผด็จการทุกรูปแบบ รวมทั้งคอมมิวนิสต์สุดโต่ง เป็นรอยัลลิสต์หรืออนุรักษนิยมแล้ว คำว่า สังคมนิยม รัฐสวัสดิการ ก็ไม่ได้แตกต่างจาก "ลิเบอรัล" เท่าใดนัก ทั้งที่ว่าไปแล้วผู้เขียนเกลียดหรืออย่างน้อยก็ไม่ชอบระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และกายวัตถุนิยมกับเทคโนโลยีที่ทำลายและทำร้ายธรรมชาติอย่างที่สุด นั่นเป็นตอนนั้นเมื่อ 35 ปีมาแล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า "ลิเบอรัล" นั้นหมายเฉพาะเสรีภาพของ "มนุษย์" เท่านั้น

ทำให้พลอยไม่ชอบ "ความรู้" ในทางกายภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยตัวแทนแบบสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่เป็นธรรมที่แท้จริง เพราะมีฐานที่มีมนุษย์เป็นใหญ่ (anthropomorphic) กว่าชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ที่แม้มนุษย์ด้วยกันเองก็ขึ้นกับความฉลาดแกมโกง อำนาจ เงินที่เจือจางด้วยกิเลสตัณหา รวมทั้งสิ่งอะไรๆ ที่มนุษย์คิดขึ้น-ที่ล้วนแล้วแต่ทำร้ายหรือผิดธรรมชาติแทบจะทั้งสิ้น-ไปด้วย

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร? ผู้เขียนก็คิดว่าโลกและจักรวาลของเราอันนี้หรือแห่งนี้ มีชีวิตอย่างแน่นอน การมีชีวิตคือการมีจิตที่เข้าไปอยู่ ดังที่ผู้เขียนได้เขียนเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว คืออยู่ "ภายใน" จักรวาลและ "ภายใน" หัวสมองของสัตว์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เรา และจิตจักรวาลส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ภายในหัวสมองของมนุษย์ ได้ถูกบริหารโดยสมองให้เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึก-ทั้งของปัจเจกบุคลและจิตร่วม โดยรวม สำหรับหมู่คนชุมชนหรือสังคม-นั่นทั้งไม่ผิดไปจากศาสนาที่มีพระเจ้าและไม่มี พระเจ้า สำหรับกลุ่มแรกเพียงแต่พระเจ้าอยู่ในจักรวาลนี้ (ไม่ใช่อยู่นอกจักรวาลนี้) และเป็นผู้สร้างสรรค์จักรวาลอันนี้ขึ้นมาจาก "ซิงกูลาริตีที่เป็นซูเปอร์ซิมเมตรี" ซึ่งเป็นส่วนของจิตพระเจ้า (mind of God) สำหรับกลุ่มหลังเช่น ศาสนาพุทธที่บอกว่า "เป็นไปของมันเอง" ซึ่งสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง (non-linear dynamicity science) ซึ่งทำงานด้วยระบบของการจัดองค์กรให้กับตนเอง โดยมีทฤษฎีไร้ระเบียบเป็นเครื่องมือ (self-organizing system and chaos theory) ทั้งสองกลุ่มจึงผิดกันที่ลำดับก่อนหลัง โดยกลุ่มแรกเกิดก่อนและกลุ่มหลังอธิบายหนักไปทางกลไก แบบนี้ทั้งสองกลุ่มยังไปสอดคล้องกันกับความพ้องจองกัน (coincidence) ที่มีนับร้อยนับพัน ประหนึ่งทำให้จักรวาลเป็นเหมือนกับผลพวงของฤทธิ์เดชของปาฏิหาริย์มายากล ดังที่นักฟิสิกส์ระดับนำของโลกหลายๆ คนเชื่อในทุกวันนี้ นั่นคือพื้นฐานของจักรวาลวิทยาใหม่และฟิสิกส์ดาราศาสตร์

ผู้อ่านทุกคนเลยคิดว่าตนรู้ดีว่าความรู้ (knowledge) คืออะไร? แต่ที่เราเข้าใจว่าเรารู้ดีนั้น อาจจะเป็นความรู้กายวัตถุที่เป็นประหนึ่งสิ่งของที่ถูกแช่แข็งอยู่ตลอด เวลา แน่นิ่งอยู่กับที่ดุจจะพูดได้ว่าเป็นก้อนหินที่ไม่มีชีวิตชีวา เราเข้าโรงเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อายุยังไม่ถึงสามขวบ เพื่อเรียนและรู้ซึ่งความรู้ที่ไม่มีชีวิตชีวานั้นๆ โดยเข้าใจว่าความรู้คือความจริงหรือนำไปสู่ความจริง และโดยทั่วไปของเด็กเล็กๆ เหล่านั้นในเมืองใหญ่ของปัจจุบัน เด็กเล็กๆ ในวัยแค่นั้นยังไม่รู้จักโลกรอบตัว หรือรู้จักตัวเองได้มากพอที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ของตัวตนต่อสิ่งแวดล้อม เหล่านั้น นั่นคือความสัมพันธ์และความสำคัญของตัวเองกับสังคมและจิตวิญญาณ หรือวัฒนธรรมที่แสดงออกของสังคมนั้น เพราะฉะนั้นไปๆ มาๆ เราก็จะรู้หรือเรียนแต่เฉพาะความสำคัญของตัวเองกับความสัมพันธ์ของตัวเองกับ สิ่งแวดล้อมกายวัตถุ ในที่นี้และในเมืองใหญ่คือสังคม ตกลงสิ่งที่เราเรียน เรารู้ และสิ่งที่เราใช้กำกับชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตาย คือการเรียนเพื่อที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน หรือความเกี่ยวเนื่องระหว่างสังคมกับตัวตนของตัวเองที่สำคัญที่สุด เราเรียนเพื่อรู้แค่นั้น-สำหรับคนส่วนใหญ่-จริงๆ แต่จริงๆ แล้ว ความรู้ไม่ใช่ทั้งสองอย่างสองประการที่กล่าวมานั้น คือทั้งไม่ได้ถูกแช่แข็งตายซากอยู่เฉยๆ และที่สำคัญกว่านั้นความรู้ไม่ใช่ความจริงแท้ แต่ตรงกันข้าม ความรู้คือกระบวนการหรือเป็นกรรมวิธีของธรรมชาติ (natural process) จึงไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาโดยเชื่อมโยงกันทั้งหมด และความรู้ไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงเพราะว่าอธิบายเฉพาะแต่รูปธรรมวัตถุภาย นอก ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยที่เป็นเรื่องของภายใน ความรู้ในโลกของรูปธรรมวัตถุนิยมจึงไม่สมบูรณ์เลย เพราะธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องของภายนอกกับภายในเป็นบูรณาการ จริงๆ แล้วแม้ว่าภายนอกจะสำคัญ แต่ว่าภายในสำคัญยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดอย่างใดไปไม่ได้ในเรื่องของธรรมชาติแห่งองค์ รวม นั่น-ก็เป็นการอธิบายอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนบอกว่าความรู้ไม่ใช่ความ จริง เนื่องจากธรรมชาติของความจริงจะต้องเป็นองค์รวมซ้อนองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวม...ฯลฯ ภายนอกกับภายในเป็นบูรณาการ... แอดอินฟินิตัม

ผู้เขียนใช้คำว่าจิตวิญญาณ (spirituality) ของสังคมหรือวัฒนธรรมในที่นี้ จริงๆ แล้วเพียงเพื่อต้องการที่จะเน้นความสำคัญของคำว่าวัฒนธรรมเท่าที่ผู้เขียน เข้าใจ ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากที่คนทั่วไปเข้าใจและใช้ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้มากนัก ในความเห็นของผู้เขียนนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าวัฒนธรรมคือจิตรวมทั้งจิตวิญญาณร่วมของสังคมด้วย ในขณะที่สังคมคือรูปกายวัตถุโดยรวม พูดง่ายๆ สังคมมีบริบททางรูปธรรมหรือมีบริบทไปในทางพฤติกรรม ขณะที่วัฒนธรรมเป็นเรื่องของจิตรู้กับจิตไร้สำนึก คำว่าจิตนั้นกว้างมากที่สุดเลย ที่ทำให้นักคิดนักปราชญ์เข้าใจไม่ตรงกัน ผู้เขียนอาจเป็นคนที่ชอบคิด จึงอาจจัดว่าเป็นนักคิดทั่วไปก็ได้ แต่เป็นถึงนักปราชญ์นั้นคงจะยาก อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้อ่านและได้คิดเรื่องจิตนี้อย่างจริงจังและยาวนาน ที่ทำให้ผู้เขียนสามารถจะเข้าใจมันได้บ้าง ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน หากว่าเรายอมรับกันว่าจักรวาลนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงประการเดียวคือ วิวัฒนาการ-จากหนึ่งสู่ความหลากหลายที่ซับซ้อนมากขึ้นๆ เป็นวัฏจักรเช่นล้อของเกวียน เพื่อที่กลับมาหาหนึ่งใหม่ไปเช่นนั้นเรื่อยไปอย่างไม่รู้จบ-ของจิต ฉะนั้น จิตจะรวมทั้งหมดตั้งแต่จิตปฐมภูมิ (primordial mind) ของจักรวาลที่เป็นจิตไร้สำนึก (cosmic unconsciousness) ที่มีอยู่ทุกหนแห่ง

และต่อมาส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในสมองของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ และจะถูกบริหารโดยสมองไปเป็นจิตที่เรียกรวมๆ ว่าจิตใจ และมีวิวัฒนาการและถูกบริหารต่อไปเป็นจิตสำนึก (consciousness or conscious mind) ที่รวมความรู้สึก อารมณ์ ความจำ หรือจิต (ตื่นรู้ (cognition) ไล่ต่อๆ ไปตามสเปกตรัมของจิต ไล่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจิตวิญญาณและนิพพาน ปัจเจกบุคคลก็เช่นนั้น โดยรวมหรือสังคมก็เช่นนั้น นิพพานที่ผู้เขียนเข้าใจจึงเป็นทั้งลักษณะของปัจเจกพุทธและโพธิสัตว์ วัฒนธรรมจึงหมายความคล้ายๆ กับจิตที่รวมจิตใจ จิตสำนึก รวมทั้งจิตวิญญาณไล่ไปถึงนิพพาน-ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นทั้งสภาวะและไม่ใช่ สภาวะ-ฉะนั้น วัฒนธรรมที่สาธารณชนคนทั่วไปนำมาใช้ๆ กันนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงคำที่มักจะหมายถึงจิตใจของสังคม จารีตประเพณีที่ดีงามและยั่งยืน รวมถึงวิญญาณของเทพเทวดา เจ้าพ่อเจ้าแม่ ผีหรือวิญญาณที่เราใช้กันจนเปรอะไปหมด ซึ่งอย่างไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวมาหรือวัฒนธรรม ก็คือเรื่องของจิตที่กำกับควบคุมพฤติกรรมของสังคมอีกที

การรับรู้ของเราที่ทำให้เรา "รู้" ซึ่งความรู้ (หนึ่งๆ ใดๆ) แล้วจำเอาไว้เป็นประสบการณ์เพื่อระลึกเอามาใช้เมื่อเราต้องการนั้น เราจึงจำเป็นที่ต้องระลึกถึงความเป็นทั้งหมดของความรู้นั้นๆ ซึ่งได้แก่ ความสนใจหรือความจงใจ-หนึ่ง พฤติกรรม (การอ่านหรือการฟัง)-หนึ่ง บริบทของสังคมในขณะนั้น-หนึ่ง และวัฒนธรรมของสถานที่-เวลาในขณะนั้นๆ อีกหนึ่ง ความรู้ทุกๆ อย่างจะต้องประกอบด้วยความเป็นทั้งหมดทั้งสี่อย่างนั้นเสมอไป เป็นบูรณาการโดยขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ และต้องเข้าใจตลอดเวลาว่าดังที่ได้พูดมาแล้ว ความรู้ที่เรารับและเรียนรู้นั้น มันไม่เคยอยู่กับที่ หากแต่มันเป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสัมพันธ์กับทั้งหมด เหมือนกับความจริงทางโลกหรือทางสังคมที่ไม่ใช่ความจริงแท้ ที่คล้ายๆ กันกับสายน้ำด้วย จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่า การเรียนรู้ ทั้งสามรู้ คือ รู้รอด รู้เพราะมีความรู้ และรู้แจ้ง ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือของวิวัฒนาการของมนุษย์และจักรวาล จากหนึ่งสู่ทั้งหมด เพื่อหวนกลับสู่หนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ นั่นคือขามาและขากลับของวิวัฒนาการ อันเป็นเป้าหมายของจักรวาลที่ยาวมากๆ และมนุษย์ที่สั้นมากๆ ดังที่ผู้เขียนมองเห็น เชื่อ และเอามาเขียนเล่าตลอดมา

นั่นคือขั้นตอนของวิวัฒนาการของจักรวาล วิวัฒนาการทางกายภาพจะต้องผ่านขั้นตอนของชีววิวัฒนาการของพืชและสัตว์ต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่ต่ำไปหาสูง ทวีความซับซ้อนขึ้นไปตามลำดับก่อน ต้องผ่านการ "รู้รอด" ของพืช สัตว์และมนุษย์ก่อน ถึงจะเป็นการรู้หรือการแสวงหาความรู้ของสัตว์ชั้นสูง ไล่มาตั้งแต่แมมมอล ไพรเมต เอปส์ เช่น ชิมแปนซี และมาถึงมนุษย์ตามลำดับ ไล่มาอีกทางกายภาพตั้งแต่ปัจเจกและโดยรวมหรือสังคมตามลำดับ ก่อนที่จะมาถึงวิวัฒนาการของจิตและวัฒนธรรม ซึ่งก็คือจิตแห่งสังคมตามลำดับเช่นเดียวกัน ความรู้ทางโลกหรือทางสังคม-อันไม่ใช่ความจริงแท้ดั่งที่ได้ว่าไปแล้ว-จะ ประกอบด้วยความตั้งใจ-หนึ่ง พฤติกรรม-หนึ่ง สังคมในเวลานั้น-หนึ่ง และวัฒนธรรมในเวลาและสถานที่อีกหนึ่ง แล้วจึงจะมาถึงการค้นพบความจริงที่แท้จริงหรือ "รู้แจ้ง" ไล่ไปตั้งแต่จิตวิญญาณ (spirituality) ถึงนิพพานการรู้ (knowing or cognition) และความรู้ (knowledge) จึงเป็นกลไก หรือเครื่องมือของวิวัฒนาการของจักรวาลที่มีมนุษย์เป็นตัวแสดง การรู้และความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิวัฒนาการของมนุษย์ ที่ต้องเรียนรู้ทั้งสามรู้ที่กล่าวมานั้นจนรู้แจ้งหรือรู้ว่าความจริงแท้ นั้นคืออะไร? และการรู้ความจริงที่แท้จริง-อันเป็นเป้าหมายของจักรวาลนั้นจำเป็นที่จะต้อง รู้จักรู้การเอาตัวให้อยู่รอดหรือรู้รอดก่อน และการรู้เพื่อแสวงหาความรู้ก่อน-หรือรู้แจ้งนั้น.

Saturday, July 25, 2009

อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ผู้ขมังเวท ๕ แผ่นดิน

http://www.thaipost.net/tabloid/260709/8277
http://www.thaipost.net/tabloid/020809/8623

อาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ เป็นคนพื้นเพ ณ ทุ่งหันตรา พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นบุตรของนายตำรวจผู้ตรวจการเรือนจำ ท่านเกิดในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แล้วสิ้นในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ข้อมูลบางที่บอกว่าท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเมื่อดูจากปี พ.ศ.แล้วเป็นการสันนิษฐานผิด เพราะแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยุติลงที่ พ.ศ.๒๔๑๑

ฐานะ ครอบครัวทางบ้านของอาจารย์เฮง นับได้ว่าเป็นตระกูลที่มีทรัพย์สินมากระดับขั้นเศรษฐีมีที่ดินที่นามากใน ทุ่งหันตรา คุณพ่อของอาจารย์เฮง เป็นคนที่มองการณ์ไกลได้ให้อาจารย์เฮงไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ คือ ปีนัง ประเทศสิงคโปร์

คน ในไทยยุคนั้นหากสามารถส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศได้ถือว่าไม่ธรรมดาทางด้าน ฐานะ อาจารย์เฮงตกลงได้เดินทางไปสิงคโปร์ตามคำของคุณพ่อทุกประการ การไปศึกษาถึงต่างประเทศทำให้อาจารย์เฮงได้พบเพื่อนใหม่ๆ มากมาย และเหล่าพ้องเพื่อนนั้นต่อมาได้รับราชการกันเกือบหมด ได้เป็นพระยา ได้เป็นคุณหลวงหลายคน อาทิ พระยาเพชรปรีชา

แต่ ขณะที่ศึกษาอยู่นั้นภายใต้จิตของอาจารย์เฮง จิตใจยังระลึกวันที่บวชเป็นพระอยู่แล้วเพิ่งจะลาสิกขาบทมาหมาดๆ ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อ อาจารย์เฮงบวชครั้งแรกที่วัดสุวรรณคาราราม เหตุ ที่ทำให้ในใจของอาจารย์เฮงเป็นเยี่ยงนี้เพราะว่า หลวงตาชื้นในวัดสุวรรณคาราราม เล่นแร่แปรธาตุอะไรบางอย่างให้ดูด้วยคาถาอาคม จึงรู้สึกชอบและอยากจะให้ได้อย่างนั้นบ้าง ครั้นจะบวชอยู่ต่อก็ไม่ไหว เพราะพ่อเร่งรัดว่าต้องไปศึกษาต่อ จึงจำใจต้องลาสิกขาบทก่อน เพื่อเป็นการมิขัดใจต่อพ่อ

ใคร จะไปคิดได้ถึงว่าที่สุดอาจารย์เฮง ก็ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนที่ปีนังด้วยตัวเอง เพราะการเรียนอยู่ที่นั้นรู้สึกฝืนจิตใจชอบกล อาจารย์เฮงจึงได้หารือกับเพื่อนสนิทซึ่งต่อมาได้เป็นพระยาเพชรปรีชา ว่าจะลาออกกลับเมืองไทยเพื่อศึกษาไสยเวทเพราะชอบทางนั้น

ท่านพระยา เพชรปรีชาก็มิได้ทักท้วง แต่ได้แนะนำว่าของดีของขลังทางภาคใต้บ้านเราก็มีอยู่มากโดยเฉพาะที่เขาอ้อ พัทลุง ที่สุดแล้วได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยเข้ามาอาศัยอยู่ทางภาคใต้ก่อน หลังจากที่ได้ยินคำเพื่อนแนะนำ จึงบ่ายหน้าไปที่ เขาอ้อ พัทลุง ที่มีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์มากมาย อาทิ อาบน้ำว่าน, สักยันต์นะ ๙ เฮชาตรี ศึกษาพืชสมุนไพร

การ หาสมุนไพรไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปในป่าเขาลึกแล้ว เมื่อพบสมุนไพรบางตัว ตามสูตรต้องเก็บตามฤกษ์ยาม เพราะสมุนไพรบางตัวต้องเก็บยามเช้า บางตัวต้องเก็บกลางคืน เพราะสมุนไพรบางตัวจะคลายตัวยาออกมาที่ใบตอนกลางคืน พอเราไปเก็บตอนกลางวันก็คงไม่มีประโยชน์ หรือบางตัวเราต้องเก็บยามเช้าแต่พอไปเก็บยามบ่ายก็ไม่ส่งผลแต่ประการใด นับเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านโดยแท้

สมุนไพร ที่เก็บยากมากที่สุดเห็นจะเป็นจำพวกที่ต้องไปเก็บตอนเดือนหงาย เวลาเก็บต้องกลั้นหายใจ เพราะในป่าเงียบมากพอไปถึงต้นแล้วหายใจดังจะทำให้ว่านตกใจหุบดอกหุบใบจนสิ้น ก็จะไม่สามารถเก็บได้ เพราะถึงเก็บมาตัวยาของว่านก็วิ่งกลับเข้าลำต้นแล้ว ก่อนเด็ดก็ต้องว่าคาถาบัดพลีต่อเจ้าป่าเจ้าเขาในใจก่อน ไม่ใช่เจอแล้วจู่ๆ เด็ดเลย เรื่องต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก

ท่าน ชอบเรื่องของการสักยันต์เป็นอย่างมาก จึงพยายามศึกษาในขั้นพื้นฐานจากที่สำนักเขาอ้อ ที่สำนักเขาอ้อนี้แม้แต่นายหัวมหาเศรษฐีอย่าง ดร.ไมตรี บุญสูง ก็ได้มาศึกษาถวายตัวเป็นศิษย์และได้อาบน้ำว่านด้วย การอาบน้ำว่านนี้ทำให้ผิวหนังดี คือ หนังเหนียวฟันแทงยิงไม่เข้า อดีตนายตำรวจปราบปรามเสือร้ายอย่าง พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ ก็เป็นศิษย์สายเขาอ้อนี้เช่นกัน

อาจารย์ เฮงอยู่เขาอ้อได้ประมาณสามเดือนก็เดินทางกลับเข้าพระนคร (กรุงเทพฯ) จากนั้นก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่ทุ่งหันตรา ไม่นานพ่อของท่านซึ่งป่วยอยู่ก็ได้จากไป ท่านจึงมุ่งหน้าศึกษาเรื่องไสยเวทอีกครั้งอย่างจริงจัง โดยคราวนี้ท่านได้เดินไปที่วัดประดู่โรงธรรม ซึ่งเป็นวัดที่เก็บเอกสารวิชาตำรับตำราโบราณตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร มหาราช มีบัญชาให้สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระเกจิเชื้อสายรามัญ เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมขึ้น โดยเฉพาะวิชาเดินทัพพิชัยสงคราม

หลักการของตำราพิชัยสงคราม สามารถแตกออกได้หลายแขนง อาทิ วิชาสมุนไพรรักษาโรคนานาชนิด, วิชาการสักยันต์และอักขระอันศักดิ์สิทธิ์, วิชาการตั้งพิธีกรรม, วิชาการตั้งค่ายกล, วิชาการตั้งทัพ, วิชาการเลือกชัยภูมิสร้างเมือง (ฮวงจุ้ย), วิชาตั้งปั้นเครื่องราง เป็นต้น

อาจารย์ เฮง ได้ศึกษาคัมภีร์รัตนมาลา หรือ คาถามหาพุทธาธิคุณ ซึ่งว่าด้วยบทอิติปิโสครบสูตร ในนั้นมียันต์มหาจักรพรรดิตราธิราช การศึกษาสมัยนั้นเมื่อท่องได้แล้วก็ต้องเขียนได้ เมื่อเขียนได้ก็ต้องเรียนพิธีกรรมเสริม เพราะแต่ละบทต่างก็ต้องใช้พิธีกรรมควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่ทำไปเรื่อยอย่างคนรุ่นหลังๆ อย่างการลบกระดานเพื่อเอาผงพุทธคุณ มือก็เขียนกระดานชนวนไปใจก็ตรึกนึกบริกรรมคาถา เขียนไปจนครบจบขบวน เวลาลบก็กลั้นใจให้คาถาอีกบทลบเอาผงเพื่อใส่ในบาตรพระ นั่นแลกว่าจะได้สักหนึ่งย่อมยากเย็นประณีตนัก

เครื่อง รางของขลังในยุคสมัยก่อนจึงมากไปด้วยความขลังศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพจริงๆ ไม่ใช่เปิดโรงงานนั่งปั๊มกันตึงๆ ทั้งวันทั้งคืน ของคนโบราณเขาดีทั้งในทั้งนอก เนื้อหามวลสารดีแล้ว แต่กว่าจะเป็นมวลสารได้ก็ต้องว่าคาถาทุกขั้นตอน จึงไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมพระเครื่องรางของขลังเก่าๆ จึงขลัง ผู้ใดใครมีจึงห่วงแหนนัก เพราะเป็นของที่ดีจริงๆ เลิศจริงๆ เพราะเขาไม่ได้ทำกันเล่นๆ ในการเสกเครื่องรางก็ต้องตั้งราชวัตรฉัตรธง เป็นสถานที่สำหรับเสก ต้องมีการบวงสรวงพิธีกรรมต่างๆ นานาชนิด ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คิด คนที่ขาดความละเอียดและไม่ได้ศึกษามาโดยตรงหากไปจับไปต้องคงจะทำไม่ได้ตาม สูตรแน่แท้

เมื่อ อาจารย์เฮงศึกษาจนแตกฉานแล้ว จากนั้นท่านคิดที่จะศึกษาเรื่องของยันต์นะครบสูตรอีกสูตรหนึ่ง ซึ่งตอนท่านอยู่ทางใต้ยังไม่ทันได้ศึกษา เพราะมีเหตุต้องกลับมาที่บ้านก่อนด้วยเรื่องของพ่อท่าน สูตรยันต์ที่ว่านี้คือ ยันต์นะ ๙ เฮชาตรี เป็นที่สุดยอดอีกหนึ่ง ผู้ที่มีความรู้เรื่องยันต์นี้เหลือน้อยเต็มที แต่บังเอิญ หลวงพ่อกลั่น ธรรมโชติ วัดพระญาติการาม พระนครศรีอยุธยา ท่านมีความรู้เจนจบในเรื่องนี้

อาจารย์ เฮงจึงได้มอบกายถวายชีวิตอุทิศตนเป็นลูกศิษย์ โดยขอบวชกับท่านนับเป็นการบวชครั้งที่สอง โดยมีหลวงพ่อกลั่น เป็นพระอุปัชฌาย์ วิชาของหลวงพ่อกลั่นไม่มีการจดบันทึกรวบรวมเอาไว้เป็นคัมภีร์ ใครจะศึกษาต้องถ่ายทอดกันปากต่อปาก คือ อยู่กันคนละฝาห้องอาจารย์จะเป็นผู้บอกตัวคาถาและอักขระให้ท่องจำเอาเองให้ ได้ เหตุที่ไม่มีการจดบันทึกเกรงว่าคาถานั้นจะร่วงหล่นไปตามพื้นเมื่อกระดาษนั้น หล่นหายหรือทิ้งทำลาย

วิชาที่อาจารย์เฮงศึกษาจากหลวงพ่อกลั่นนั้นมีอยู่หลายแขนง อาทิ ชักยันต์นะ ๙ เฮชาตรี, การฝังเข็มทอง, การ สักยันต์ณาณาณา เป็นกงจักรนารายณ์ ซึ่งมาจากอิติปิโสแปลงรูป (นารายณ์แปลงรูป) การฝั่งเข็มทอง คือ เอาทองคำแท้มาทำเป็นเข็มเล็กๆ ฝังเข้าไปในลำตัว การฝังโดยมากจะใช้ถึง ๙ เล่ม ฝังพร้อมกัน โดยว่าคาถาแล้วให้พลังจิตดันเข็มเข้าไป เมื่อฝังแล้วเวลาที่เข็มวิ่งหรือว่ามีเหตุอันใดเกิดขึ้นนั้นเข็มทองจะวิ่ง เข้าเนื้อทิ่มแทงเนื้อเตือนตน ให้เรารีบออกจากสถานที่นั่นเสีย เป็นสุดยอดอีกหนึ่งวิชาของหลวงพ่อกลั่น เมื่อการเรียนรู้อยู่กับหลวงพ่อกลั่นนั้นจบสิ้นตามปรารถนาแล้ว อาจารย์เฮงอยู่รับใช้หลวงพ่อกลั่นอีกระยะหนึ่งแล้วจึงลาสิกขาบท

มี เรื่องเล่ากันว่าเพราะท่านเรียนมามากจึงเกิดอาการร่ำร้อนวิชาขึ้นมาทุกขณะ ที่สุดก็ลาสิกขาบท เพื่อนๆ ของท่านที่เป็นพระยาทราบว่าสึกจากพระแล้ว ได้วิชาดีมากมาย จึงมาขอของดีด้วยการน้อมตัวเป็นศิษย์ พระยาเพชรปรีชา เป็นผู้นำมา การสักยันต์ในคราวแรกต้องทำกันที่วัดสะแก โดยอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ได้นิมนต์ หลวงปู่สี พินทสุวณฺณ เป็นฝ่ายสงฆ์ในการสวดทำพิธี การจะสักยันต์ของอาจารย์เฮงนั้นต้องตั้งราชวัตรฉัตรธง ทำแท่นบูชาพระอรหันต์ ๑๐๘ รูป พระสงฆ์สวดพระคาถา ส่วนอาจารย์เฮงท่านก็สักและว่าคาถากำกับไปด้วย (อ่านต่อสัปดาห์หน้า).

อาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ ท่านสร้างเครื่องรางเอาไว้มากมาย เครื่องรางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ เหรียญสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เป็นเหรียญพรหมสี่หน้า ด้านหลังหลวงปู่สี วัดสะแก เป็นผู้จาร อาจารย์เฮงลงคาถาอาคมกำกับก่อน จากนั้นหลวงปู่สีท่านจารเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกสำทับหนึ่ง

ประสบการณ์ ของผู้ที่ได้บูชาเหรียญพรหมของอาจารย์เฮงนั้นมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการอธิษฐานขอ การขอนั้นโดยมากจะสำเร็จไปในเรื่องของการค้า และความเมตตาในด้านต่างๆ

มี แขกแถวๆ พาหุรัดคนหนึ่งได้เหรียญของอาจารย์เฮงเอาไว้บูชา แรกๆ ก็ขายผ้าโดยเช่าห้องเล็กๆ ขายอยู่ แต่ทว่าการค้าไม่ค่อยดี ทั้งที่ร้านของคนอื่นขายดี ทุกวันๆ เมื่อได้เหรียญพรหมมาเลยทำพิธีคงคาอารตี ซึ่งเป็นพิธีบูชาเทพแบบฮินดู

เมื่อ ทำไปแล้วอธิษฐานขอให้ขายค้าผ้าดีๆ หลังจากนั้นไม่ถึงเจ็ดวัน การค้าที่ซบเซามานานก็เริ่มมีคนมาซื้อของมากขึ้น เริ่มมีลูกค้ามาสั่งผ้าชุดยกชุดขนาดใหญ่ๆ มากขึ้น จนผ่านไปสองปีถึงกับตั้งตัวเป็นเถ้าแก่ได้อย่างภาคภูมิ

เครื่อง รางของอาจารย์เฮงจึงได้โด่งดังมีผู้นิยมมากด้วยเหตุนี้ เหรียญพรหมสี่หน้าของท่านมีทั้งแบบเนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ เนื้อทองแดงก็มีปรากฏเช่นกัน ราคาอยู่ที่ระดับหลักหมื่นกลางๆ ถึงแสน แล้วแต่สภาพและความสวยงามของเหรียญเป็นหลัก อย่างไรก็ตามต้องระวังของเก๊ที่มีระบาดเพียบครับ.

ราช รามัญ

Sunday, July 12, 2009

ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง

นับวันอาจารย์ ประสาน ต่างใจ จะเขียนย้ำเตือนมากขึ้นเรื่อยๆถึงภัยพิบัติที่ำกำลังจะมาถึง 2012 มีหลักฐานมากมายที่ถูกอ้างถึง คราวนี้เป็นเรื่องดวงดาว และคำทำนายของนอสตราดามุสที่ตรงกันอย่างยิ่ง
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมก็อยากให้คุณรอดชีวิต และเป็นคนดีครับ

เชิญอ่าน
http://www.thaipost.net/sunday/120709/7634

ที่ยกเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้ ขอให้ผู้อ่านคิดให้ถ้วนถี่ว่าเหตุผลที่เรามีเราใช้ ในการกำหนดและกำกับวิถีชีวิตของเราอยู่ทุกวันนั้น คืออะไร? และคิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวของโลกหรือไม่? คิดให้ดีแล้วถึงค่อยอ่านต่อให้จบ เพราะบทความวันนี้น่ากลัวแถมยังเป็นไปได้ และต้องรู้ว่าที่ยกมานั้นไม่ใช่คำพูดของผู้เขียน หากแต่เป็นของศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด จิตแพทย์จอห์น อี. แม็ก ที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 60 ปีต้นๆ ในคำนำหนังสือของเขา (John E. Mack: Abduction, 1995)-ซึ่งผู้เขียนได้นำเนื้อหามาเขียนลงในไทยโพสต์ในปีนั้น และปีต่อๆ มาสองหรือสามบทความ โดยเฉพาะข้อสงสัยของผู้เขียนที่เขียนลงในบทความชื่อว่า ทำไม? การลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวถึงเกิดกับฝรั่ง-เพิ่งมารู้คำตอบในเว็บไซต์ www.abovetopsecret.com ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2008 นี่เองที่บอกว่า มนุษย์ต่างดาวมักจะลักพาตัวหรือเลือกคนที่มีเลือดเป็นชนิด Rh-negative โดยเฉพาะมาจากครอบครัวฝ่ายแม่ทั้งตระกูล ซึ่งคนฝรั่งมีหมู่เลือดเช่นนี้มากถึง 15% แต่คนเอเชียมีน้อยมาก คือมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า-ดังที่ได้เขียนมาตลอด-คนมองโกลอยด์รวมทั้งไทยเรามา จาก โฮโมอีเรกตัส ที่อพยพไปและวิวัฒนาการไปด้วยกัน-เป็นโฮโมซาเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบัน-ที่เอเชียหรือทางตะวันออก แทนที่จะรอให้มีวิวัฒนาการที่แอฟริกาก่อนถึงจะอพยพในทีหลัง เช่น คอร์เคเซียนและนิโกร ซึ่งทำให้สามารถอธิบายกำเนิดการของมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง (Java man and Peking man) ซึ่งเป็นโฮโมอีเรกตัสได้ทั้งหมด

กลับมาที่จอห์น อี. แม็ก อีกครั้ง ตอนนั้นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่บ้านเราได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในเรื่อง หนังสือ (เรื่องที่ว่า) ของเขาหลังจากหนังสือวางตลาด เพราะอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการได้ไปฟ้องอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใน ตอนนั้นว่า หนังสือของเขาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง อธิการบดีจึงตั้งคณะกรรมการ ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์มาสอบสวน คณะกรรมการได้ทำการตรวจงานวิจัยอันเป็นที่มาของหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าคณะกรรมการต่างเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่างานวิจัยและหนังสือของเขาเป็น "วิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ทำให้อธิการบดีและคณะกรรมการต้องออกหนังสือเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางไปพบจอห์น อี. แม็ก ถึงบ้านเพื่อขอโทษ และได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์บ้านเราต้องเอามาลง

ที่เอาเรื่องทั้งหมดมาลงที่นี่ ก็เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์หัวเก่าไม่ว่าที่ไหนรวมทั้งบ้านเรา ที่จอห์น อี. แม็ก เรียกว่า คนที่อยู่ในยุควัตถุนิยมจ๋า (material paradigm) ที่กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนมาสนับสนุนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่-ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ กลับเป็นตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่าเดิม ซึ่งให้ความจริงน้อยกว่ามากนัก-โดยที่วิทยาศาสตร์ใหม่จะให้ความจริงที่ เหมือนกับความจริงทางศาสนาที่เกิดขึ้นมาจากทางตะวันออก ซึ่งไม่มีเหตุผลดังที่นักฟิสิกส์ใหม่หลายๆ คนบอกเรื่องที่ปราศจากตรรกะและไร้เหตุผลอย่างนี้ ก็เหมือนกับคำทำนายของศาสนาและลัทธิความเชื่อในวัฒนธรรมต่างๆ เช่นเรื่องของความล่มสลายระดับโลกในปี 2012 ตามปฏิทินของชาวมายาที่อเมริกากลางบอกไว้ (the crash of 2012!) ซึ่งตรงกับปีมะโรง พ.ศ.2555 อันเป็นปีที่พระเถระอาวุโสมากหลายในพุทธศาสนาและของศาสนาใหญ่ต่างๆ แทบจะทุกศาสนาเตือนให้ชาวโลกระวังไว้เหมือนๆ กัน ทั้งยังตรงกับผู้เขียนอายุครบ 84 ปี ซึ่งที่ผู้เขียนได้บอกกับเพื่อนๆ หลายคนว่าผู้เขียนน่าจะตายในปีมะโรงนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะไม่มีตรรกะและเหตุผล มองไม่เห็น อันเป็นที่มาของเหตุผล ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์นั่น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งในพุทธศาสนา และทั้งในทางฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเมคานิกส์ ซึ่งทั้งสองวินัยที่บอกไว้เหมือนๆ กันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นศักยภาพของความ "น่าจะเป็นไปได้" หรือทางเลือกของผู้สังเกต (choice) หรือจิตของเรา (Henry Stapp: Mind, Matter and Quantum Mechanics, 2004; Arthur Zajonc editor: New Physics, Cosmology and Buddhism (dialogue with Dalai Lama), 2004) เนื่องจากภาวะล่มสลายของสภาพความเป็นคลื่น (wave-function collapse)

เพราะฉะนั้น ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากคำทำนาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ทำนายอย่างผิดๆ หรือคาดการณ์เอาเอง แต่โดยที่ทางเลือกของความ "น่าจะเป็นไปได้" มีหลายๆ อย่างทำให้เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากการเลือกหรือความล่มสลายของคลื่นไปเป็นอย่างอื่น อย่าลืมว่าควอนตัมเมคานิกส์นั้นไม่มีทั้งตรรกะและเหตุผลเช่นในคลาสิคัล ฟิสิกส์ของนิวตัน ที่เป็นความจริงทางโลกแห่งกายวัตถุโลกที่เรามองเห็นหรือรับรู้ อันเป็นที่มาของตรรกะและเหตุผล (ซึ่งเป็นไปเพื่อใช้กับมนุษย์ด้วยกันเอง) การเกิดของเหตุที่ก่อผลซึ่งทำนายได้ (cause and effect; and determinism) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ในโลกแห่งกายวัตถุที่มีเหตุผล และกฎแห่งคลาสิคัลฟิสิกส์กำหนด ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับควอนตัมเมมานิกส์ ดังที่ เดวิด ฟิงเกลสไตน์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากเอ็มไอที (MIT) ที่กล่าวว่า "เราจะหาตรรกะเหตุผลในควอนตัมเมคานิกส์ไม่ได้หรอก ต้องหาตรรกะทางควอนตัมถึงจะได้" (cited by Nick Roberts: Quantum Reality, 1985)

เพราะฉะนั้น คำทำนายในศาสนาใหญ่ๆ ต่างๆ รวมทั้งคำทำนายของนอสตราดามุส เอดการ์ เคซี รวมทั้งปฏิทินชาวมายาในเรื่อง 2012 และเรื่องการย้ายแผนที่โลกหรือย้ายขั้วโลก (geographical reversal & pole shift) ก็คล้ายๆ กับเรื่องของ 5-5-2000 ที่ดาวมาเข้าแถวกันถึง 7 ดวง ซึ่งในวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นในวันและ เวลานั้นๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการทำนายที่ผิด แต่จะเป็นไปตามกฎทางเลือกแห่งควอนตัมที่อธิบายว่าความ "น่าจะเป็นไปได้" ที่กล่าวมาข้างบนนั้น อย่าลืมว่าศาสดาอรหันต์ หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญในศาสนาต่างๆ นั้น ต่างก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายในสมาธิหรือเป็นญาณหยั่งรู้ (intuition) ในขณะที่จิตของผู้สังเกตเผชิญกับทางเลือกหลายๆ อย่างพร้อมกัน แต่ละคนที่เป็นศาสดาอรหันต์หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญนั้นๆ ย่อมเห็นหรือรับรู้เหมือนๆ กัน แต่การสลายคลื่นศักยภาพของความน่าจะเป็นไปได้ (wave-function collapse) ขึ้นกับจิตในขณะนั้น และยังขึ้นกับสิ่งแวดล้อมขณะนั้นด้วย แต่ผู้ทรงศีลหลายคนรวมทั้งผู้ที่มีความสามารถต่างก็เห็นหรือรับรู้เช่นเดียว กัน แม้เวลาจะต่างกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่จะเกิดในปี 2012 หรือปีมะโรง 2555 จึงมีความน่าจะเป็นไปได้สูงมากกว่าปกติ ที่นักวิชาการจะต้องฟังเพื่อเตรียมบอกประชาชนว่า จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด

ริชาร์ด มูลเลอร์ (Richard Muller: Nemesis, 1988) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ คิดว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งของดาวคู่แฝด (binary-star system) ที่มีวงโคจรที่ดวงอาทิตย์ทั้งสองจะปรากฏให้เราเห็นในท้องฟ้า ว่าเรามีดวงอาทิตย์สองดวงในทุกๆ 26-30 ล้านปี ที่พ้องกันกับเหตุการณ์ล่มสลายของโลก (mass extinction) ที่เกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชนโลกเพราะดาวใหญ่จะเกี่ยวมา เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อนพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และในยุคอีโอซีน พร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของแมมมอสยักษ์เมื่อราวๆ 30 ล้านปีก่อน จริงๆ แล้วภายใน 250-260 ล้านปีที่แล้ว โลกเราเกิดสภาวะล่มสลายทั้งหมดสิบครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชน สังเกตได้จากช่วงเวลาที่พบอิริเดียมในชั้นดินแต่ละครั้งล้วนห่างกัน 26-30 ล้านปีทั้งนั้น ยกเว้นสองครั้งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ (periodic extinction) คาดว่าอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งเฉียดเฉี่ยวโลกไป (Raup and Salowski) เรื่องที่ริชาร์ด มูลเลอร์ กับหนังสือของเขา (Nemesis, (ผู้ล้างแค้น) 1988) นี้ ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทความลงในไทยโพสต์ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ที่สำคัญคือ ทฤษฎีของริชาร์ด มูลเลอร์ เรื่องของดวงอาทิตย์คู่แฝดที่มีวงโคจรทำให้สองดวงต้องมาเจอกันในท้องฟ้า ทุกๆ 26-30 ล้านปีที่เล่ามานี้-ซึ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ-ไม่เพียงแต่ ตรงกับสภาพล่มสลายโลกเป็นประจำ (periodic extinction) จากแรงโน้มถ่วงของดาวที่ไปเกี่ยวกับอุกกาบาต-ดาวหางให้มาชนโลกของสองคนดัง กล่าวเท่านั้น แต่ยังไปตรงกับรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ปีเตอร์ วอร์โลว์ (Peter Warlow: Pole Flipping and Earth Magnetism, New Scientist, 1978) ที่คิดว่าการย้ายแผนที่โลก (geographical upheaval) ต่างหากที่เป็นสาเหตุของการสลับขั้วแม่เหล็ก ดวงอาทิตย์กับโลกในทุกๆ 26-30 ล้านปี ไม่น่าใช่ตามที่นักคอมพิวเตอร์ขององค์กรนาซาคิด นอกจากทางวิทยาศาสตร์แล้วยังตรงกับคำทำนายของศาสนาใหญ่ๆ เช่น พุทธ คริสต์ หรืออิสลาม และของนอสตราดามุส กับปฏิทินมายาที่เลิกไปในปี 2012

นอสตราดามุสเขียนในโคลง 2:41 ว่า

"ดาวใหญ่ดวงหนึ่งจะแผดเผาอยู่เจ็ดวัน

เมฆจะทำให้ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสองดวง"

และโคลงที่ 1:84 ที่มีว่า

"ดวงจันทร์จะเกิดความมืดอย่างที่สุด

พี่ชาย (ดวงอาทิตย์) ผ่านสิ่งที่มีสีแดงคล้ำเช่นสีเลือด

ดาวใหญ่ที่ซ่อนตัวมานาน

ทำให้เหล็ก (อาวุธ) ของเขาอุ่นชุ่มในฝนสีเลือด"

คำแปลโคลงของนอสตราดามุสโดย แอลเลน วอห์น (Alan Vaughn: Patterns of Prophecy, 1976) ได้แปลส่วนหนึ่งของคำทำนายในโคลงของนอสตราดามุส (2:41 and 1:84) ว่า "จะมีดาวใหญ่สีเลือดดวงหนี่ง (อีกดวง) ปรากฏให้เห็นซึ่งลุกไหม้อยู่เจ็ดวัน และเมฆจะทำให้เห็นดวงอาทิตย์มีสองดวง" แอลเลน วอห์น บอกว่าดวงอาทิตย์ที่มีสองดวงนั้น "เป็นเรื่องที่เหลวไหล" ทางด้านของดาราศาสตร์ แต่ก็จะอธิบายโคลง 1:84 ได้ (โคลงของนอสตราดามุสทั้งหมดไม่เคยเรียงลำดับก่อน-หลังกันเลย) (John White: Pole Shift, 1994)

ผู้เขียนได้เรื่องที่น่าคิดและน่ากลัวยิ่งนี้ ก็มีความลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่เขียนดี เพราะวันนี้เวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนที่ผู้เขียนยังเรียนรู้น้อย กว่านี้ และผู้เขียนก็อายุมากขึ้นด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือวินัยที่หาความจริง ทั้งเรื่องเช่นนี้ยังสนับสนุนชาวโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงสู่ระดับจิตวิญญาณ ที่สูงกว่านี้ได้ จึงตัดสินใจเขียน อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พูดให้ที่ประชุมจิตวิวัฒน์ฟังว่าปี 2013 มนุษยชาติจะมีระดับจิตสูงกว่าเดี่ยวนี้ แต่ไม่บอกว่าประชากรโลกเหลือเท่าไร? หรือจะเป็นอย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อต้นปีนี้ว่า โลกจะเหลือคนเพียง 18% หรือราวหนึ่งในห้าคนเท่านั้น.

Monday, July 06, 2009

ไทยโพสต์ แทบลอยด์: สิทธิบัตรข้าวหอม GMO ได้หรือเสีย

from Thaipost.net 5.07.2009
http://www.prachatai.com/journal/2009/07/24973

ข่าว สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในอเมริกาสำเร็จ ทำให้คนเข้าใจว่าข้าวหอมมะลิจะเป็นของคนไทยตลอดไป จากนั้นอลงกรณ์ พลบุตร รีบสั่งให้รับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในไทย และรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี....แต่นี่คืออีกด้านหนึ่งของเหรียญ



"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน"

"สวทช.จดอาจไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000 ทุกอย่าง ยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น"


ข่าวสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ท่ามกลางความปลาบปลื้มภาคภูมิของคนไทย ซึ่งเข้าใจว่าการจดสิทธิบัตรจะทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นของคนไทยตลอดไป ไม่มีนักวิจัยฝรั่งต่างชาติที่ไหนมาลักขโมยเหมือนที่เคยพยายามเมื่อหลายปีก่อน

อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ สั่งการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารีบรับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในประเทศไทยพร้อมให้นโยบายรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีอีก
เช่นกัน ทั้งยังมีคำถามว่าเหตุใดกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงไม่รีบจดให้ สวทช.

อย่างไรก็ดี นักวิชาการกลุ่มเล็กๆ ในนามเครือข่ายวิชาการเพื่อคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพไทยได้ออกมาแถลงคัดค้านการจดสิทธิบัตรดังกล่าวในประเทศไทย โดยชี้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเปิดทางให้มีการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ เปิดช่องให้ "โจรสลัดชีวภาพ" เข้ามาปล้นทรัพยากรพันธุกรรมของคนไทย

นอกจากนี้ นักวิชาการกลุ่มนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การจดสิทธิบัตรในต่างประเทศก็ไม่ได้มีแต่ผลดีอย่างเดียว แต่มีผลเสียผลข้างเคียงที่ สวทช.ไม่ได้พูดถึง นี่คือการมองต่างมุมที่ต้องตามติดคิดใคร่ครวญ

ที่แท้ GMO จดแค่กระบวนการ

เรานัดสนทนากับ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี(BioThai) ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และรศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ แห่งคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วิฑูรย์เล่าให้ฟังก่อนว่า จริงๆ แล้ว สวทช.ยื่นขอจดสิทธิบัตรยีน (gene) ควบคุมความหอมของข้าวใน 10 ประเทศ คืออเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย จีน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฝรั่งเศส สหภาพยุโรป และประเทศไทย ในคำขอจดได้ยื่นขอให้มีการผูกขาดในเรื่องยีนควบคุมความหอม เมล็ดพันธุ์ต้นข้าวดัดแปลงพันธุกรรม และกรรมวิธีที่เกี่ยวข้อง

แต่ได้รับอนุมัติเฉพาะที่สหรัฐเท่านั้น โดยได้รับอนุมัติในแง่กรรมวิธีเพียง 4 ข้อถือสิทธิ์ คือ 1)วิธีการเพิ่มสารหอม Os2AP (2- acetyl-1-pyrroline) เพื่อผลิตข้าวจีเอ็มโอ 2) วิธีการทำให้ระดับ mRNA ของยีนควบคุมความหอมทำงานลดลง 3) การทำให้ลดลงคือการแสดงออกของโครงสร้างที่รบกวนการทำงานของ mRNA 4) การรบกวนดังกล่าวทำ ณ ตำแหน่งนิวคลีโอไทด์ที่ 609 -867 ของยีนความหอม

ทั้งนี้ ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 โดย สวทช.เป็นเจ้าของสิทธิบัตร หัวหน้าคณะวิจัยคือ รศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ม.เกษตรศาสตร์ และนักประดิษฐ์อื่นอีก 4 คน เป็นโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับศูนย์พันธุและวิศวกรรมแห่งชาติ

นี่คือข้าว GMO! หรือ
"กระบวนการสร้างข้าว GMO" อ.สุรวิชบอก
"มันชัดเจนอยู่ในชื่อสิทธิบัตรเลย the method วิธีการ transgenic นี่คือข้อถือสิทธิที่เขาส่งไป(เอาเอกสารให้เราดู) ชื่อสิทธิบัตรคือ transgenic rice plant ก็คือสิทธิบัตรข้าว GMO ที่มีความหอมแบบเดียวกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งในงานวิจัยทั้งหมดเขาไม่ได้ใช้ข้าวหอมทำการทดลองเลย เขาไปเอาข้าวอื่นมาแล้วไปหยุดการทำงานของยีนตัวหนึ่ง"

อ.สมชายอธิบายว่าสิทธิบัตรที่ไปจดในอเมริกา เป็นเพียงกระบวนการควบคุมยีนตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับความหอมของข้าวหอมะลิ

"อธิบายง่ายๆ คือ เขาไปพบว่าในข้าว ถ้าเราไปทำอะไรบางอย่างให้ยีนตัวหนึ่งมันไม่เปลี่ยนสภาพไป ปกติข้าวทั่วไปยีนตัวนี้มันแปรสภาพไป มันจะทำให้ไม่หอม นี่คือธรรมชาติของมัน แต่ข้าวหอมมะลิของเรายีนตัวนี้มันกลายพันธุ์ มันไม่แปรสภาพไปตามปกติเหมือนข้าวพันธุ์อื่นๆ มันเลยยังคงความหอมอยู่"

"เขาวิจัยพบว่า อ๋อ กระบวนการอย่างนี้ถ้าเราไปหยุดยั้งไม่ให้มันแปรสภาพไปตามปกติ มันก็จะยังคงความหอมได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยไปจดกระบวนการนี้ว่าเข้าไปลดการเปลี่ยนแปลงของยีนตัวนี้ให้น้อยลง ให้มันยังคงสภาพเดิมอยู่ ความหอมก็ยังคงมีได้"

"วิธีการที่เขาทดสอบคือ เขาเอาข้าวนิปปอนบาร์เลย์ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่หอม เอายีนตัวนี้ใส่เข้าไปแล้วลดกระบวนการลง ไม่ให้มันเปลี่ยนตามปกติ ข้าวก็หอมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเอายีนตัวนี้ไปตัดต่อกับข้าวพันธุ์ไหนก็ได้ ควบคุมอย่าให้มันแปรสภาพ มันก็หอมหมด นี่คือสิ่งที่เขาจดได้ สหรัฐอเมริการับ
จด ณ ขณะนี้"

"ผลที่เกิดขึ้นคือ ต่อไปใครก็ตามถ้าจะทำให้ข้าวหอมโดยใช้วิธีการอย่างเดียวกัน เหมือนที่ สวทช.จดไว้ ทำไม่ได้ นั่นคือการตัดต่อพันธุกรรมโดยใช้ยีนนี้และใช้วิธีไปยับยั้งมันอย่างนั้น-อย่างที่เขาจดไว้แล้ว คุณทำซ้ำเขาไม่ได้แล้ว แต่สิทธิบัตรฉบับนี้เป็นสิทธิบัตรเฉพาะกระบวนการ เพราะฉะนั้นถ้าหากผมไม่ใช้กระบวนการอย่างเดียวกับ สวทช. ผมไปคิดกระบวนการอื่นขึ้นมาได้ ผมก็สามารถจดได้เหมือนกัน วิทยาการก้าวหน้าในอนาคต นักวิจัยอาจจะเจออะไรเพิ่มขึ้นอีกได้"

"ถ้าเป็นวิธีการอย่างนี้ ข้าว 2 พันธุ์ทำให้หอมเหมือนกันด้วยวิธีการที่ต่างกัน ต่างคนต่างจะไม่ละเมิดสิทธิบัตรกันและกัน สุดท้ายมันหอมออกมาเหมือนกันนะ แม้ว่าผมจะเอาข้าวพันธุ์นิปปอนบาร์เลย์แต่ผม
ใช้วิธีการอื่นออกมาหอมเหมือนกัน คุณจะมาว่าผมละเมิดสิทธิบัตรคุณไม่ได้"

"เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้นก็ต้องเริ่มตั้งแต่จดยีนตัวนี้เลย จดให้ได้เลยว่ายีนตัวนี้เราค้นพบ ถ้าคุณคุมยีนตัวนี้ได้คุณจะคุมเรื่องความหอมได้ ถ้าคุณจดเป็นเจ้าของได้ใครจะเอายีนตัวนี้ไปทำก็ละเมิดสิทธิบัตร เห็นไหมว่าขอบเขตความเป็นเจ้าของมันจะเริ่มใหญ่ขึ้น ใครก็ตามไม่สามารถผลิตข้าวที่มียีนตัวนี้เหมือนของ สวทช.เด็ดขาด"

แล้วทำไมอเมริกาไม่รับจด
"ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสหรัฐอเมริกาไม่รับจดตัวนี้ เพราะที่ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรฉบับก่อนหน้า
นี้ สวทช.ขอไปหมด ซึ่งรวมทั้งที่เขายื่นขอในสหภาพยุโรป ก็ขอไปหมด ตั้งแต่ตัวต้นข้าวที่เป็นจีเอ็ม ตัว
ยีนความหอม สิทธิบัตรนี้ชื่อสิทธิบัตรข้าวตัดต่อพันธุกรรมให้มีความหอม เขาขอตัวเมล็ดด้วย และกระ
บวนการด้วย ขอใน 4 เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งคลุมทั้งหมด แต่ออกมาเฉพาะกระบวนการเท่านั้น"


สิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เหยื่อบรรษัท

อย่างไรก็ดี วิทูรย์ชี้ว่าแนวทางของเครือข่ายนักวิชาการคุ้มครองชีวภาพคือ คัดค้านการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เพราะการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เป็นการแปรรูปทรัพยากรชีวภาพให้กลายเป็นทรัพย์สินผูกขาดของเอกชนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ระบบกฎหมายสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต จะกลายเป็นโอกาสให้
บรรษัทและประเทศอุตสาหกรรมเข้ามายึดครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศกำลังพัฒนา ที่ผ่านมา มหาอำนาจพยายามผลักดันให้มีข้อตกลงเรื่องนี้ในองค์กรการค้าโลก แต่ยังไม่สำเร็จ จึงพยายามผลักดันผ่าน FTA เช่น FTA ไทย-สหรัฐ ก็มีข้อตกลงเรื่องนี้ซึ่งได้คัดค้านกันอย่างหนักมาแล้ว

อ.สมชายยกตัวอย่างว่า ถ้า สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิได้จะเกิดอะไรขึ้น

"ถ้าสมมติเขาสามารถจดเป็นเจ้าของยีนตัวนั้นได้ ไปตรวจแล้วพบยีนที่เหมือนกับยีนตัวนี้อยู่ในข้าวต้นไหน นั่นหมายความว่าคุณกำลังใช้ยีนที่เขาเป็นเจ้าของ การที่เขาจดยีน ถ้าดูที่คำขอเขาไม่ได้จดเฉพาะที่มันเหมือนกันเป๊ะๆ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาขอยีนที่ใกล้เคียงกับยีนของเขา 70 เปอร์เซ็นต์ 80 เปอร์เซ็นต์ 90 เปอร์เซ็นต์ เขาขอหมดเลยนะครับ ถ้าหากว่าได้ไปหมายความว่ายีนที่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์โดนแน่นอน ยีนที่เหมือน 90 เปอร์เซ็นต์ก็โดน 80 ก็โดน 70 ก็โดน หรือถ้าเขาวินิจฉัยว่าอย่างนี้เหมือนมาก ก็โดนอีกเหมือนกัน"

"ผลมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาได้สิทธิบัตรกระบวนการแต่ผมได้ข้าวหอมเหมือนกันโดยกระบวนการคนละอย่าง เขาว่าผมไม่ได้ แต่ถ้าได้สิทธิบัตรยีน เป็นยีนเดียวกัน คุณจะใช้วิธีต่างกันอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้ายีนออกมาเหมือนกัน ยีนนี้ผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นคุณละเมิดสิทธิบัตรผม มันต่างกันแล้ว ขอบเขตการคุ้มครองสิทธิของเขาเยอะขึ้น"

"ในประเทศไทยตอนนี้กรมทรัพย์สินฯยังไม่ให้จด สมมติเขาไปจดที่อเมริกาได้ ประเทศไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปประเทศอเมริกา เข้าไปที่กรมศุลที่ท่าเรือแล้วเขาบอกว่าข้าวล็อตนี้มียีนที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตร ผลจะเกิดอะไรขึ้น เท่ากับคุณละเมิดสิทธิบัตรเขา ห้ามนำเข้า อะไรจะเกิดขึ้น และถ้าเขาตามไปจดทั่วโลกล่ะ ประเทศไหนที่อนุญาตให้จดยีนมีสิ่งมีชีวิตเป็นสิทธิบัตรได้ เวลาเราส่งไปขายประเทศนั้นๆ เขาก็ตามไปอ้างว่ายีนแบบนี้ในประเทศนี้ผมเป็นเจ้าของ คุณส่งเข้ามาไม่ได้"

"จะบอกว่าโชคดีก็นับว่าโชคดี ที่คนที่ได้สิทธิบัตรค้นพบเรื่องยีนหอมเป็นคนไทย บังเอิญเป็น สวทช. ขณะนี้ สวทช.ยังจดยีนที่สหรัฐไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาคงพยายามที่จะจด สมมติก็แล้วกันว่าถ้า สวทช.ไม่ใช่คนพบ เป็นฝรั่งพบ ระเนระนาดเลยธุรกิจเรื่องข้าวหอมมะลิ"

วิทูรย์ยกตัวอย่าง "เคยเกิดขึ้นแล้วกรณีถั่วอีโนล่าของเม็กซิโก ซึ่งนักวิจัยสหรัฐตั้งบริษัทคอทเนอร์ และจดสิทธิบัตรอีโนล่าซึ่งเป็นถั่วของเม็กซิโกที่เคยส่งมาขายที่อเมริกา ผลคือส่งเข้าไม่ได้ ถูกกันไว้ที่ท่าเรือ เขาบอกว่าถ้ามาขายเมื่อไหร่เขาจะฟ้อง ส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะเขาอ้างว่าถั่วที่ส่ง
มามียีนซึ่งเขาจดสิทธิบัตรอยู่ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น"

เขาบอกว่าตอนนี้ก็เกรงจะเกิดขึ้นเพราะออสเตรเลียกำลังยื่นขอจดสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิในยุโรป

"ถ้าสมมติเป็นยีนตัวเดียวกันแล้วคนออสเตรเลียไปจดได้ในสหภาพยุโรป เราส่งข้าวหอมมะลิไปในสหภาพยุโรป เขาตรวจแล้วบอกว่ามียีนเดียวกับที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอยู่ ฉะนั้นเราละเมิดสิทธิบัตรห้ามนำเข้าในสภาพยุโรป" อ.สมชายชี้ผลทางกฎหมาย

"นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบนี้ ระบบสิทธิบัตรมีมาตั้งนานแล้ว ทำไมมันไม่มีปัญหาอย่างนี้ เพราะเดิมสิทธิบัตรใช้คุ้มครองการประดิษฐ์อะไรก็ตามที่มันไม่มีชีวิต มันไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือมาก่อน ใครสักคนคิดขึ้นมา อย่างนี้ให้เขา แต่คุณจดสิทธิบัตรยีนตัวหนึ่งที่อยู่ในต้นข้าว ข้าวนี้ออกมาเป็นเม็ด ถามว่าในเมล็ดข้าวมียีนอันนี้หรือเปล่า มี เอาเมล็ดข้าวนี้ไปปลูกมันงอกเป็นต้นข้าวขึ้นมาอีก ถามว่ามียีนอันนี้หรือเปล่า มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าตรวจส่วนไหนก็จะเจอ แต่ถามว่าเขาเป็นคนสร้างยีนในต้นข้าวนี้รุ่นที่ 2 รุ่น ที่ 3 หรือเปล่า คุณแค่ค้นพบยีนตัวนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องโทรศัพท์ คุณมีสิทธิบัตรในโทรศัพท์ซึ่งโทรศัพท์มันออกลูกเองไม่ได้ เจ้าของต้องผลิตออกมาเป็นเครื่องที่ 2 3 4 มันต่างกันเยอะเลย"

ข้าวพันธุ์อื่นมันก็มียีนที่คล้ายๆ กันมานานแล้ว
"ถูกต้อง ซึ่งไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของมาก่อน มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่เราใช้กันมา และกว่าที่จะเป็นข้าวหอมมะลิที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเกษตรกรกี่รุ่นแล้วที่ค่อยๆ เก็บ เริ่มต้นมันอาจจะไม่หอมก็ได้ อาจจะใครสักคน รุ่นต่อรุ่นค่อยๆ สอนกันมา จนกระทั่งมาเป็นพันธุ์นี้ ถามหน่อยอยู่ดีๆ ใครสักคนบังเอิญเก่งทางวิทยาศาสตร์ ผมไปเจอว่ายีนตัวนี้มันมีความหอม แล้วผมก็อ้างสิทธิเป็นเจ้าของหรือ อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมยหรือเปล่า ของที่ทุกคนไม่เคยมีใครสามารถอ้างได้คุณเอามาอ้างว่าเป็นเจ้าของ"

คนไทยอาจจะบอกว่า สวทช.ไปจดก่อนที่จะมีฝรั่งจด ไม่ดีกว่าหรือ
อ.สมชายบอกว่ามีสองมุมเหมือนกัน

"ในกรณี สวทช.ตอนนี้คือคุ้มครองเฉพาะกระบวนการ มันไม่ได้คุ้มครองอะไรเท่าไหร่เลยนะ เพราะคนอื่นสามารถใช้วิธีการอื่นเพื่อให้ได้ของอย่างเดียวกัน ซึ่ง สวทช.ไม่สามารถไปกีดกันเขาได้ แต่ถ้า สวทช.สามารถเป็นเจ้าของยีน ถามว่าได้สิทธิอะไรบ้าง แน่นอนคุ้มครองได้อย่างหนึ่งก็คือตลอดระยะเวลา 20 ปีนี้ใครก็ตามไม่สามารถจะใช้ยีนที่ สวทช.เป็นเจ้าของได้ แต่หลังจากนั้นล่ะ จะตกเป็นสมบัติสาธารณะทันที"

"และเวลาที่คุณยื่นจด คุณจะต้องบอกเขาว่ายีนตัวไหน ใช้วิธีการอย่างไรในการทำให้มันยังคงสถานะอย่างนั้นอยู่ได้ ฉะนั้นคนไม่รู้ก็จะรู้ทันที นักวิทยาศาสตร์ที่เขาเก่งๆ อ๋อ ยีนตัวนี้เอง วิธีการแบบนี้เอง ถ้าเขาสามารถเพิ่มเติมอะไรลงไปได้ เขาทำให้ข้าวหอมมะลิหอมเป็น 3 เท่าเลย ถามว่ามีความใหม่ มีขั้นการผลิตที่สูงขึ้นไหม มี เขาสามารถจดสิทธิบัตรได้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำไป"

วิฑูรย์เสริมว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่มีความสามารถที่จะวิจัยได้มากกว่า สวทช.หลายเท่า

"ความสามารถในการวิจัยของไทยกับของโลกเทียบกันไม่ได้ นี่คือประเด็นสำคัญ นักวิจัยกลุ่มนี้เก่งไหม เก่ง แต่น้อยมากเมื่อเทียบกับบรรษัททั้งหลาย ขนาดรัฐบาลสหรัฐตั้งโครงการ Human Genome Project ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลาหลายปี แต่ปรากฏว่าบริษัทเซเรล่าจีโนมิค ใช้เวลาไม่กี่เดือนเอง แล้วก็ทำ mapping เกือบเสร็จ จนบิล คลินตัน ต้องรีบมาแถลงว่าเขาทำเสร็จแล้วทั้งที่ตอนนั้นทำเสร็จแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะบริษัทบริษัทเซเร่ล่าจีโนมิคจะประกาศผลสำเร็จตัดหน้า นั่นขนาดรัฐบาลอเมริกามีงบประมาณมหาศาล มีทรัพยากร นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ยังไม่สามารถแข่งกับบริษัทเอกชนได้เลย ในกรณีนี้การที่เราเปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตร เราอาจจะจดได้ตัวนี้ตัวหนึ่ง แต่ว่าทรัพยากรทั้งหมดของเราล่ะ"


เปิดช่องต่างชาติ

อ.สมชายบอกว่า การที่ สวทช.จะไปจดเมืองนอกก็เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญคือทำไมจะต้องมาจดเมืองไทย ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรไทย มาตรา 9(1) ไม่อนุญาตให้จดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญายอมให้ สวทช.จดได้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้บริษัทต่างชาติจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน

"ผมอยากพูดอย่างนี้ว่า สวทช.ไปจดที่เมืองนอกก็ดี แน่นอนครับมันกันคนอื่นได้ ประเทศไหนที่เขาเปิดให้จด สวทช.จะไปจด ผมก็ไม่ว่าหรอก แต่ปัญหาที่กำลังจะตามก็คือมีคนเสนอว่าทำไมประเทศไทยไม่รับจดด้วยล่ะ"

"คำถามก็คือ วิธีการคุ้มครองของประเทศไทยทำไมจำเป็นต้องเท่าอเมริกา ถามว่าที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ผิดกติกาโลกอะไรตรงไหนหรือเปล่า ไม่ผิดเพราะเราทำตามข้อตกลง TRIPS ภายใต้ WTO ครบถ้วนแล้วของสหรัฐเขาคุ้มครองสูงกว่า ประเทศไทยควรคุ้มครองสูงเท่าเขาหรือเปล่า เรื่องการคุ้มครองแบบนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุ้มครองแล้วได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ แน่นอนสหรัฐเขาคุ้มครองแล้วเขาได้ประโยชน์ เพราะเขามีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี เขาค้นพบอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมดเลย ยิ่งมีการคุ้มครองเยอะเท่าไหร่เขายิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น แต่ในทางกลับกับสหรัฐอเมริกา ความหลากหลายทางชีวภาพเทียบกับประเทศไทยไม่ได้เลย เรามีเยอะกว่ามาก เพราะฉะนั้นถ้าอเมริกาเปิดให้จดแล้วเราก็ข้ามไปจดบ้านเขา นั่นประเด็นหนึ่ง แต่จะเปิดประเทศไทยให้รับจดได้ แน่นอน สวทช.จดไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000"

นั่นคือพันธุ์พืชทุกอย่าง สมุนไพร
"ทุกอย่าง เพราะถ้าเปิดจดยีน คือยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น มันห้ามได้ไหม"

"จริงๆ แล้วระบบกฎหมายสิทธิบัตรมันเป็นเรื่องที่กฎหมายจะให้สิทธิมากน้อยแค่ไหนก็ได้ การประดิษฐ์อะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ถามว่าห้ามได้ไหม ห้ามได้ไม่ขัดอะไรเลย ในสหรัฐอเมริกาเขาไม่รับจดสิ่งประดิษฐ์เรื่องนิวเคลียร์ มันมีกฎหมายห้ามไว้เลย เพราะเขากลัวเรื่องความมั่นคง และของเรา ผมอยากถาม ความมั่นคงทางอาหารเราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่เราจะตัดสินใจเปิดอะไร เพราะเปิดไปแล้วแก้ไม่ได้ มันจะเป็นปัญหาตามมา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะรั่วไหลไปแค่ไหน"

การต่อสู้ 2 แนวทาง

วิฑูรย์บอกว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพหรือสิ่ง
มีชีวิต

"มันมี 2 ชุดความคิด ตอนนี้มันสับสน แม้กระทั่งเราอ่านข่าวดูข่าวก็ดี ก็คือคนเข้าใจว่าถ้าจดสิทธิบัตรจะเป็นคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศ แต่เรากำลังจะบอกว่าไม่ใช่นะ การจดสิทธิบัตรมันเป็นการจดสิ่งประดิษฐ์มีความใหม่ ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ มีนวัตกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งถ้าใช้เกณฑ์นี้ในการจดเพื่อคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทรัพยากรชีวภาพ มันจะให้สิทธิผูกขาดแก่บริษัทหรือนักวิจัยหรือประเทศที่มีความสามารถที่จะเอาของที่มีอยู่ไปจดเพื่อใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม และในภายหลังมันขยายมาถึงขั้นที่ว่าแค่ค้นพบ function ว่าทำให้ข้าวเกิดความหอมมันก็จดได้"

"แต่มีกติกาของโลกอีกชุดหนึ่ง คืออนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งให้สิทธิอธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งเรายังใช้ประโยชน์น้อยไป เพราะดันไปเข้าใจว่าสิทธิบัตรจะคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ"

อ.สมชายกล่าวว่านี่คือแนวทางที่เราควรจะเลือกใช้มากกว่าการเปิดให้จดสิทธิบัตร

"อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศตัวเดียวที่พูดถึงเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ แต่สหรัฐอเมริกากลัวเสียเปรียบ ก็เลยไม่ยอมเข้าไปเป็นภาคี เพราะเขาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพเยอะ ถ้าเข้าเป็นภาคีเขาต้องทำตามกติกานี้ คือใครก็ตามที่จะไปใช้ทรัพยากรชีวภาพ เอาไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า ต้องบอกเจ้าของเขาก่อน ขออนุญาตเจ้าของเขา ถ้าเจ้าของเขาไม่ยอมก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าเขายอมเขามีสิทธิที่จะขอแบ่งผลประโยชน์ กระบวนการนี้กำลังถูกสร้างขึ้นอยู่บนเวทีโลก ในประเทศไทยมีแม่แบบแล้วคืออยู่ใน พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชปี 2542 แม้กฎหมายลูกยังไม่ทำงานดีนัก แต่เริ่มเห็นทิศทางของมัน"

"ต่อไปสมมติกติกาโลกอันนี้ได้รับการยอมรับ ทุกประเทศเอาไปใช้ในกฎหมายภายใน สหรัฐอเมริกาจะเอายีนข้าวหอมมะลิของเราไปวิจัยเพื่อดูว่ายีนตัวไหนทำให้หอม เขาจะต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งภายใต้ พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชของไทย เขาจะต้องขออนุญาตกรมวิชาการเกษตร และก็ทำข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ด้วย การที่เขาจะเข้ามาใช้ต้องขออนุญาตเรา ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องธรรมดาปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ คือเท่ากับเขายอมรับว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิ เท่ากับเขายอมรับอำนาจอธิปไตยของประเทศที่มีอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ นี่คือข้อกฎหมายที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่เขาไม่อยาก เพราะนั่นเท่ากับยอมรับว่าเราเป็นเจ้าของ เขาอยากได้ใช้ฟรีๆ ซึ่งถามว่ามันใช้ฟรีได้ง่ายไหม ง่ายมากเลย เดินเข้ามาหยิบข้าวไปกำหนึ่ง เด็ดใบไม้ไปใบหนึ่ง เขาก็สามารถวิจัยได้ เดิมเขาก็ทำกันมาอย่างนี้ แต่กติกาโลก ณ ขณะนี้ไม่ใช่แล้ว เพียงแต่ว่าอเมริกายังไม่ยอมเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ นี่เป็นการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แน่นอน สหรัฐอเมริกาพยายามจะผลักดันให้ประเทศไทยขยายสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในเวที WTO เขาก็พยายามผลักดัน แต่ว่ายังไม่สำเร็จเพราะประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศจับมือกัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพราะ ณ ปัจจุบันข้อตกลง TRIPSบอกไว้ว่าจะจดสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่แต่ละประเทศ มันเปิดช่องอยู่ เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ใช้สิทธิอันนี้ เราไม่คุ้มครองสิ่งมีชีวิต ตอนนี้เขากำลังพยายามจะให้คุ้มครองทุกอย่าง"

เราบอกว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ คิดว่าจดสิทธิบัตรน่าจะดีกว่า
"ขณะนี้ถามว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิอยู่หรือเปล่า เป็นอยู่ กติกาในการเข้าถึงพันธุ์พืชในบ้านของเราเองที่อ่อนด้อย จนให้ใครก็ตามสามารถเอาไปใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว แต่จริงๆ แล้วเรื่องของพันธุ์พืชมันแพร่หลายไปทั่ว อย่างอีรี มันกระจายไปทั่ว เพราะฉะนั้นในหลายองค์กรเขาบอกว่าคุณเอาไปใช้ได้ คุณเอาไปวิจัยแต่คุณห้ามหวงกันห้ามเป็นเจ้าของแต่เพียงคนเดียว แต่พอเอาระบบสิทธิบัตรมาใช้ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของมันจะหวงกันคนอื่นได้ตลอดเลย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก"

"ประเทศไทยได้ร่วมกับหลายประเทศ บราซิล อินเดีย เข้าไปในเวที WTO ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงTRIPS ว่าต่อไปนี้ใครก็ตามที่ยื่นขอสิทธิบัตรซึ่งเกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพ จะต้องบอกด้วยว่าคุณเอาทรัพยากรชีวภาพนั้นมาจากที่ไหน และแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของประเทศหรือเปล่า ประเทศไทยยื่นเสนอเข้าไปแล้วนะครับ แต่ยังอยู่ในระหว่างเจรจา สหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่อยากเปิดเผย เพราะจริงๆ แล้วสิ่งประดิษฐ์ที่เริ่มจากทรัพยากรธรรมชาติมันอาจจะแปรรูปได้หลายอย่าง จากยีนเขาไม่เพียงเอาไปตัดต่อเพื่อให้ข้าวพันธุ์อื่นหอม แต่เขาอาจจะเอายีนนั้นไปสร้างสารเคมีบางอย่างออกมาเป็นยา เป็นน้ำหอม มันคนละเรื่องแล้วนะครับ จากข้าวกลายมาเป็นน้ำหอมขวดหนึ่ง เวลาจดบอกว่าน้ำหอมผลิตจากจุลินทรีย์หรือยีนตัวนี้ เฮ้ยยีนนี้คุณเอามาจากไหน ตอนคุณหยิบมาคุณขโมยมาจากประเทศเขาหรือเปล่า หรือขออนุญาตเขาหรือเปล่า คุณแบ่งให้เขาหรือเปล่า นี่คือกติกาอีกชุดหนึ่งที่จะใช้ในการคุ้มครองตัวทรัพยากรชีวภาพ"

เมื่อมองจากกติกาใหม่แล้ว การที่ สวทช.ไปจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ แม้ถือว่าคุ้มครองแต่ก็คุ้มครองได้ระดับหนึ่งเท่านั้น

"การที่จะคุ้มครองไม่ให้สิ่งมีชีวิตถูกจดสิทธิบัตรเพื่อให้ใครสักคนเป็นเจ้าของ มันทำได้ 2 วิธี วิธีแรกก็คือเราจดตัดหน้าก่อน เพราะถ้าเราจดแล้วคนอื่นจดไม่ได้ อีกวิธีหนึ่งก็คือว่าคิดได้แล้วแบเลย ทำให้ความรู้นี้ไม่ใหม่อีกต่อไป เพราะฉะนั้นใครก็จดไม่ได้แล้ว ณ เวลานี้ประเทศไทย สวทช.ไปจดในต่างประเทศ คำถามคือคุ้มครองได้ไหม คุ้มครองได้ในระดับหนึ่ง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิธีการคุ้มครอง แต่หลังจาก 20 ปีมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะตกเป็นสมบัติสาธารณะ"

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการจดในประเทศไทย
"ประเด็นที่เรากำลังซีเรียสคือกำลังจะบอกว่าแม้แต่ประเทศไทยก็จดได้ด้วย นี่คนละเรื่องแล้วนะ คำถามคือจดในประเทศไทยดีไหม ถ้าจด ก็เท่ากับเราต้องแก้กติกาให้ประเทศไทยเปิดรับจด แน่นอน สวทช.จดในประเทศไทยได้ คนอื่นก็จะใช้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือถ้าเราเปิดกติกานี้แล้วมันต้องใช้กับทุกอย่าง นั่นหมายความว่าทรัพยากรชีวภาพไม่ใช่แค่ข้าว ทุกอย่างจะสามารถจดได้ภายใต้กติกาที่เราเปิดเอง"

"ถ้าเราจด เท่ากับเรายอมรับกติกาที่ต่างชาติเขียนให้เดิน ถามว่าเกมแบบนี้เราแข่งชนะเขาได้ไหม ไม่มีทางชนะ"

นี่คือทิศทางที่ประเทศไทยจะต้องเลือกว่าจะเดินตามเกมเปิดสิทธิบัตร หรือเลือกใช้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ อ.สมชายบอกว่ามี 2 ชุดความคิด

"ชุดความคิดแรกคือ ถ้าเราจดเองเท่ากับเรายอมรับในกติกาว่าเดินอย่างนี้และเราก็ลงไปเล่นในเกมของเขา แต่อีกชุดความคิดหนึ่งบอกว่าเนื่องจากโลกมันไปทางนี้ ถ้าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของเราในระดับหนึ่ง ก็ออกไปจดซะ ประเทศไหนเปิดให้จดออกไปจดหมดเลย ทีนี้ย้อนกลับมาว่าแล้วในประเทศไทยเอาอย่างไร นี่อีกประเด็นหนึ่ง"

แล้วถ้าไม่ให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมในประเทศไทย คนอื่นจะมาจดได้ไหม วิทูรย์บอกว่าไม่ได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาตอยู่แล้ว

"ใครก็มาจดไม่ได้ คนไทยก็จดไม่ได้"

วิทูรย์ชี้ว่าปัจจุบันกติกาโลกชุดใหม่คืออนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเร่งพัฒนาขึ้น ประเทศไทยจึงต้องเลือกว่าจะเล่นในกติกาไหน "ตอนนี้มันมีกติกาที่เราเล่นได้แต่เราไม่เล่น เราไปเล่นในเกมเขา"

เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า ตอนนี้มีการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตหลายอย่างแล้วในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยยังไม่ยอมให้จด

"มันจดเกลี้ยงเลยนะเช่นสิทธิบัตรมะละกอ GMO ไวรัสต้านทานโรคมะละกอ เป็นไวรัสของไทย เอาไปวิจัยแล้วมันจดทั้งตัวยีนไวรัส ทั้งตัวมะละกอ กรรมวิธีทั้งหมด เมล็ดมะละกอ การจดยีนเป็นการผูกขาดเป็นเจ้าของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งสายพันธุ์ แล้วเอายีนนี้ไปไว้ในพันธุ์พืชไหน เช่นพืชตระกูลอื่นเพื่อให้ต้านทานโรค ก็คุ้มครองหมดเกลี้ยงเลย เพราะตรวจส่วนไหนของพันธุ์พืชต้นนั้นก็เจอยีนนั้นเสมอ"

การจดสิทธิบัตรมะละกอส่งผลกับเราไหม
"เขาไม่ได้จดในประเทศไทย และเรายังไม่ได้ส่งออกมะละกอจีเอ็มโอ ตลาดจำนวนมากก็ปฏิเสธมะละกอจีเอ็มโอ"

ผู้อำนวยการไบโอไทยย้อนให้ฟังว่า การคุ้มครองข้าวหอมมะลิ ที่จริงประเทศไทยก็ได้ต่อสู้มาตลอด

"การคุ้มครองข้าวหอมมะลิมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ครั้งแรกสุดคือปี 2540 เราพบว่าบริษัทไรซ์เทคที่เท็กซัสไปจดเครื่องหมายการค้าและอ้างว่าเป็นข้าวหอมมะลิ ตอนนั้นก็เป็นกระแสใหญ่พอสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ตอนกรรมการของ IRRI(สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ) มาเข้าเฝ้า พระองค์ท่านถามเลยว่ากรณีนี้ที่ IRRI เกี่ยวข้องกับการวิจัยเรื่องข้าวจะจัดการอย่างไร อีรีก็ตอบว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่มีการไปอ้างแบบนั้น IRRI จะสนับสนุนรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ นั่นเป็นครั้งแรก เป็นสัญญาณ"

"พอครั้งที่ 2 มีนักวิจัยอเมริกา คริส เดีย เรน สถาบันวิจัยข้าวแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่รัฐอาร์คันซอซึ่งเป็นรัฐปลูกข้าวใหญ่ที่สุดทำโครงการวิจัยข้าวหอมมะลิเพื่อปลูกในอเมริกา ครั้งนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจดสิทธิบัตรที่สุด เขาเอาข้าวหอมมะลิไป โดยที่ไม่ได้ลงนามในข้อตกลง เขาอ้างว่าได้มาจากอีรี เราก็เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทักษิณว่าเรื่องนี้คุณต้องคุยกับอเมริกา ในที่สุดอเมริกาก็รับว่าจะไม่จดสิทธิบัตร"

"ระหว่างนั้น กฎหมายไทยพยายามออกมาคุ้มครองข้าวหอมมะลิ เราเสนอว่าต้องคุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิด้วย เพราะชื่อข้าวหอมมะลิอิงกับแหล่งทางภูมิศาสตร์ เวลาพูดถึงข้าวหอมมะลิทุกคนก็นึกถึงประเทศไทย นึกถึงทุ่งกุลาฯ เหมือนอินเดียเขาก็คุ้มครองข้าวจัสมาติ ในที่สุดรัฐสภาเห็นด้วยกับเราก็มีบทบัญญัติเปิดทางให้คุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิ แต่ในทางปฏิบัติยังต้องดำเนินการต่อ"

"ที่ผ่านมา เราก็เคลื่อนไหวมาโดยตลอดในเรื่องเอฟทีเอ ว่าคุณไม่มีสิทธิผลักดันให้เราแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เราผลักดันกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้มีภาคที่ว่าด้วยการเปิดเผยที่มาของทรัพยากรชีวภาพ ใครก็ตามจะจดสิทธิบัตรถ้าคุณไม่แสดงที่มาก็ไม่ชอบ"

เขาย้ำว่านี่คือสิ่งที่ประเทศไทยได้ต่อสู้มาตลอด เพื่อคัดค้านการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต

"กรณีข้ามหอมมะลิของคริส เดียเรน ปี 2545 อเมริกาไม่เป็นภาคีในอนุสัญญานะ ในทางกฎหมายเขาไม่ยอมรับว่าประเทศไทยมีสิทธิเหนือข้าวหอมมะลิ แต่เมื่อมีการพัฒนาโครงการวิจัยนั้นและจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร เราค้าน เราบอกว่าข้าวหอมมะลิเป็นทรัพยากร เป็นมรดกของประเทศ คุณจะจดสิทธิบัตรไม่ได้ ในทางการเมืองเขาเลยไม่ทำ ยุโรปส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกในอนุสัญญาเกือบหมดแล้ว ดังนั้นการที่เราส่งสัญญาณว่าเราเห็นด้วยกับการจดสิทธิบัตร มันเท่ากับเรายอมรับกติกาของสหรัฐ คือเรายอมไปเล่นในเกมเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันมีกติกาที่เจรจาต่อรองกันอยู่ แต่เหมือนกับเราไปส่งสัญญาณว่าเราจะเลือกใช้เครื่องมือสิทธิบัตรในระหว่างประเทศเพื่อจะคุ้มครองข้าวหอมมะลิของเรา"


สวทช.ไม่ใช่ประเทศไทย

อ.สุรวิชกล่าวว่าการให้ข่าวขณะนี้สร้างความสับสน

"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน ทั้งๆ ที่โดยกฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบันสิ่งที่เขาไปขอจดที่อเมริกามาขอจดที่เมืองไทยได้ เพราะกฎหมายสิทธิบัตรของเรายอมให้จดคุ้มครองกระบวนการทางชีววิทยา ของเขาเป็นกระบวนการทางชีววิทยา จดได้อยู่แล้ว รัฐมนตรีไม่ต้องไปเรียกกรมมาสั่งหรอก เพราะกฎหมายทุกอย่างเอื้ออยู่แล้ว แต่เขาไม่ประสงค์ ที่เขาออกข่าวมาเพราะเขาไม่ประสงค์จะทำอย่างเดียวกับที่เขาได้ที่อเมริกา เขาต้องการมากกว่านั้น ถ้าให้ผมวิเคราะห์ ผมวิเคราะห์ว่าเขาน่าจะมีความคิดแอบแฝง hidden agenda ที่จะพยายามเอาเรื่องนี้นำไปสู่การอนุญาตให้ทดลองจีเอ็มโอในไร่นา คือเขาจะเล่นเรื่องจีเอ็มโอ แต่เขาไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะมติครม.ครั้งแรกก็ห้ามทดลองในไร่นา ครั้งที่สองให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เขายิ่งตายหนักยิ่งไปกว่านี้ หน่วยงานที่ไปยื่นขอรับสิทธิบัตรเขาทำเรื่องจีเอ็มโออยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะดิ้นมาก เขาจะใช้ตรงนี้เป็นหอกที่จะทะลวงทางออกไป"

ในฐานะนักวิชาการเกษตร อ.สุรวิชบอกว่า สวทช.ทำเรื่อง GMO มานาน

"เขาให้นักวิจัยทำเรื่องนี้ มีทั้งข้าว มะละกอ พริก ฝ้าย มะเขือเทศ แต่รัฐบาลไทยห้ามทดลองในไร่นา ทำได้เฉพาะในโรงเรือน เพราะฉะนั้นตอนนี้เขามีข้อจำกัดอยู่ ซึ่งเขาอยากแก้ไขข้อจำกัดตรงนี้ เขาพยายามที่จะให้ข่าวคลาดเคลื่อน ให้ข่าวว่าเขาไปจดยีน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ เขาออกข่าวว่าเขาต้องการได้รับการปฏิบัติเหมือนได้รับที่อเมริกา แต่ที่จริงแล้วเขาต้องการมากกว่าที่อเมริกาให้เขา นี่คือประเด็นคือวาระซ่อนเร้นของเขา"

ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญาให้จดยีน จะเกิดผลอย่างไร
"เขาต้องการเป็นเจ้าของ คำถามของผมก็คือ ปกติแล้วการขอรับสิทธิบัตรหรือขอรับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเขาจะขอในประเทศซึ่งเป็นตลาด หรือประเทศที่คิดว่าจะมีการละเมิด แต่เขาพยายามมาจดประเทศไทยก็แปลว่าเขามีความคิดอยู่ในสมองลึกๆ ใช่ไหมว่าเขาจะฟ้องคนไทย หรือคนที่อยู่ในประเทศไทย เพราะถ้าไม่คิดฟ้องเขาจะจดทำไม มันต้องพูดถึงหลักการก่อนนะครับ เขาไปจดอเมริกาไปจดจีนเพราะรู้ว่าจะมีคนเอาเข้าจีน เอาเข้าอเมริกา ไปดักที่ตรงโน้น ไม่จ่ายก็จับ แต่นี่คิดจะมาจดประเทศไทย"

"ผมถึงเรียกร้องให้เขาออกมาพูดให้ชัดว่าสิทธิบัตรอันนี้เขาให้กับคนไทยทั้งประเทศ เขายังไม่ได้พูดเลยนะ เขาไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงด้วยซ้ำ เขาถวายเหรียญเขาไม่ได้ถวายสิทธิบัตรนี้ให้ในหลวง เขายังไม่ได้ให้เป็นของประเทศไทย และเขาก็ไม่เคยพูดว่าเขาให้กับประชาชนไทย แต่เขาบอกว่าเป็นของหน่วยงานไทย"

"สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐแต่ไม่ใช่ราชการนะครับ เหมือนรัฐวิสาหกิจสามารถที่จะตัดมิเตอร์ หน่วยงานราชการที่ไม่จ่ายค่าไฟภายใน 7 วันได้ เขามีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ตามกฎหมาย และเขาก็ยังไม่เคยออกมาบอกกับประชาชนเป็น public commitment เป็นสัญญาประชาคม ว่าผมจะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนชาติไทยนะ ไม่เคย เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนต้องไปบอกให้เขาพูดอย่างนี้ ถ้าเขาบอกว่าเขาทำให้คนไทยจริงพูดออกมาให้ชัดเจนเลย"

สิทธิบัตรนี้เป็นของ สวทช.หรือนักวิจัย
วิทูรย์บอกว่าเป็นของ สวทช. แต่จะมีสัญญาให้นักวิจัยได้ประโยชน์

"สิทธิเป็นของสวทช. นักวิจัยก็แล้วแต่ สวทช.จะกำหนดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง กรณีคอร์เนล ที่กอนซาเลซ เป็นนักวิจัยไวรัสมะละกอ มันเขียนไว้ชัดว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จะต้องแบ่งให้ทีมวิจัย และ 20 เปอร์เซ็นให้หน่วยงาน อย่างนี้เป็นต้น"

อ.สุรวิชบอกว่าในเมืองไทยส่วนใหญ่จะให้ 50:50 เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักวิจัยทำงาน

วิทูรย์บอกว่าการที่ สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นคำถามอีกเหมือนกันว่า สวทช.จะใช้สิทธิบัตรอย่างไรในอนาคต

"คนจะเข้าใจว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่ไม่ใช่ สวทช.ไม่ใช่หน่วยงานราชการ เป็นหน่วยงานของรัฐนอกระบบ ที่ผมกังวลอันหนึ่งคือบทบาทของ สวทช.ที่ผ่านมา กรณีแรกคือการที่ สวทช.ไปทำสัญญางานวิจัยร่วมกับบริษัทโนวาติส ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตร โดยตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย ตั้งแต่ปี 2548 โดยมี 2 เฟส เฟสละ 3 ปี ตอนนี้หมดเฟสแรกไปแล้ว การวิจัยนั้นเป็นการวิจัยเรื่องเชื้อราและทรัพยากรชีวภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในทางยา แต่รายละเอียดของตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย"

"สวทช.เหมือนกับได้สถาปนามาเป็นหน่วยงานทำหน้าที่ในการจัดการเรื่องของการใช้ประโยชน์ในรัพยากร ผมตั้งคำถามต่อว่าในกรณีของสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิที่เขาจดอยู่ปัจจุบันนี้ ต่อไปเขาจะมีสัญญาแบบนี้ไหม กับบริษัทอื่น เช่น มอนซานโต หรือบริษัทอื่นก็แล้วแต่ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากตัวสิทธิบัตรนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นถามว่าเขามีสิทธิจะทำได้ไหม เขาทำได้ ในระยะยาวใครจะทำให้เกิดหลักประกันว่าสิทธิบัตรเหล่านั้นจะไม่เป็นประโยชน์ หรือไปสร้างผลกระทบต่อชาวนาที่ปลูกข้าวหอมะลิในประเทศไทย"

"กรณีที่สอง มันมีงานวิจัยบางชิ้น เช่น การพัฒนาข้าวหอมนิล ซึ่งได้ทุนจากรัฐบาล เมื่อพัฒนาเป็นข้าวมาได้เขาก็ขายสิทธินี้ให้กับบริษัทเอกชน ทั้งการผลิต จำหน่าย ข้าวหอมนิลนั้น โดยที่ไม่ได้เผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน แล้วก็มีการเอาข้าวหอมนิลมาผสมกับข้าวหอมมะลิ ได้ข้าวสีนิลซึ่งมีธาตุเหล็กสูง แล้วนักวิจัยกลุ่มนี้-กลุ่มเดียวกับที่วิจัยข้าวหอมมะลินี่แหละ ตั้งบริษัท สีนิล ไรซ์ ร่วมกับบริษัทไชโยเอเอ ที่ขายพันธุ์ยูคาลิปตัส โดยนักวิจัยเป็นผู้ก่อตั้ง"

"ในอนาคตถ้ามีการเอาสิทธิแบบนี้ไปทำสัญญากับบริษัท ค้าขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิทธิบัตรนี้ ถ้าไปทำข้ามประเทศ อย่างบริษัทโนวาติส ไปผลิตข้าวที่มีความหอมอย่างข้าวหอมมะลิ ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร ตรงนี้ยังไม่มีใครพูด ตอนนี้สังคมไทยไม่เข้าใจ คิดว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่เราไม่รู้ว่า สวทช.จะทำอะไรได้บ้าง และที่ผ่านมาเขาทำอะไรไปบ้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เป็นคนกำกับ แต่แค่กำกับนะ หน่วยงานนี้เขามีระบบของเขา เหมือนกับเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างหนึ่ง สังคมไทยจะต้องจับตา ต้องตรวจสอบอย่างไรบ้างในกรณีนี้ เพราะกระบวนการจดสิทธิบัตรมันการเป็นการแปรรูปความหอมของข้าวหอมมะลิไปเป็นสิทธิของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แล้วแต่มติของคณะกรรมการ"

กรณีสีนิลไรซ์ผูกขาดข้าวพันธุ์นี้ไปเลยไหม
"เขาไม่ได้ไปจดคุ้มครอง แต่กระบวนการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมา เขาเก็บรักษาพันธุ์เอาไว้ เขาให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเผยแพร่ต่อ เพราะจะรักษาเชื้อพันธุ์ที่ดีเอาไว้ แล้วนักวิจัยก็ไปตั้งบริษัทร่วมกับเอกชน ทั้งที่ได้รับทุนจากรัฐบาล"

อ.สุรวิชกล่าวว่า ถ้าเกิดเรื่องในทำนองเดียวกัน ก็อาจเป็นได้ว่าวันหนึ่ง สวทช.หรือนักวิจัย จะบอกว่าอยากได้ทุน ก็อนุญาตให้บริษัทอเมริกาเอาสิทธิบัตรนี้ไปใช้

"ข้าวที่ผลิตมาจากกระบวนการนี้ไปปลูกที่ไหนก็หอม ไม่จำเป็นต้องปลูกที่ทุ่งกุลา ด้วยวิธีการนี้มันปลูกอเมริกาก็หอม คนได้ประโยชน์คือ สวทช.แบ่งกับอเมริกา แต่ถามว่าเกษตรกรไทยที่ขายข้าวไม่ได้ล่ะครับ ตรงนั้นคิดไหม เทียบเคียงกับข้าวหอมนิลก็คือเอาสมบัติของสาธารณะมาเป็นสมบัติของหน่วยงานของประเทศไทย ฟังดูดี แต่เฮ้ย เอาประโยชน์ของประชากรส่วนใหญ่มาให้หน่วยงานนี้ ถามว่าหน่วยงานนี้ทำไมต้องได้รับสิทธินั้น"

สมมติอเมริกาขอซื้อสิทธิปลูกเป็นล้านๆไร่
"เขาอยากขอใช้แน่นอน เพราะการทดลองนี้ทดลองกับข้าวเม็ดสั้น ซึ่งอเมริกาปลูกข้าวเม็ดสั้นเยอะแยะ เขาเปลี่ยนข้าวที่ปลูกในอเมริกาจากไม่หอมเป็นหอม เขาไม่ต้องทำข้าวเม็ดยาวอย่างของเรา คนอเมริกาก็อาจจะไม่ซื้อข้าวจากไทย ตลาดข้าวเราหด สวทช.ได้ประโยชน์ ฟังดูว่าประเทศไทยได้ประโยชน์ หน่วยงานประเทศไทยได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรไทยได้ประโยชน์หรือเปล่า น่าคิดนะ"

"คุณไปจดนี่คุณกะจะทำอะไร ต้องให้เขาแถลงให้ชัดเจน หนึ่ง เป็นของคนไทยใช่ไหม ให้สิทธิกับประเทศไทยทั้งหมดไหม สอง จดเพื่อการหวงกันถูกไหม แปลว่าจะไม่อนุญาตให้ใครในโลกนี้ใช้สิทธิในสิทธิบัตรนี้ถูกต้องไหม เอาแค่นั้นเลย เพราะถ้าคุณอนุญาตให้คนอื่นใช้สิทธิซึ่งไม่ใช่คนไทย คุณไม่ประสงค์จะหาเงินกับคนไทย แต่ให้ต่างประเทศใช้สิทธิ แล้วผลิตภัณฑ์ออกมาตีตลาดข้าวไทย คุณรับผิดชอบอะไร เกษตรกรไทยเดือดร้อน จดเพื่อหวงกันจริงหรือเปล่า จดหวงกันต้องไม่ให้คนอื่นใช้สิทธิ 20 ปีคนอื่นใช้ทำข้าวจีเอ็มด้วยวิธีนี้เพื่อให้เป็นข้าวหอม ไม่ได้ คุณพูดอย่างนั้นสิ ถ้าคุณจะทำเพื่อประเทศไทยต้องพูดอย่างนั้น แต่ผมว่าเขาไม่พูดหรอก"

สิทธิบัตร 20 ปีหมายความว่าเราจบเลยใช่ไหม อีก 20 ปีทุกคนก็ผลิตได้
"อีก 20 ปีเทคโนโลยีมันอาจจะเปลี่ยน ถ้าเขาพัฒนางานนี้ ทำให้มีสิทธิบัตรเกิดขึ้นใหม่ ก็ต่อได้อีก 20 ปีไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาไม่คิดว่าทำเพื่อประเทศ สมมติครั้งนี้เราไปบีบคอเขาห้ามอนุญาตให้ใครใช้สิทธิ เขาบอกฉันลงทุนเป็นสิบล้าน ไม่ให้ฉันหาเงินเลย เพราะฉะนั้นฉันไม่ทำแล้วงานวิจัยอย่างนี้ 20 ปีเราก็หมด"

วิทูรย์บอกว่าที่ อ.สุรวิชพูดเคยเกิดขึ้นแล้ว

"การวิจัยเรื่องกวาวเครือ ที่จุฬาฯ นักวิจัยที่เก่งเรื่องนี้วิจัยไปถึงจุดหนึ่ง อาจจะไม่มีงบมหาวิทยาลัย support เขาก็เอาสิทธิบัตรไปขายให้เกาหลีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มาจากกวาวเครือ แต่กระบวนการวิจัยเป็นการลงทุนโดยงบประมาณของรัฐ งานวิจัยและการจดสิทธิบัตรตอนแรกเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติของมหาวิทยาลัยของนักวิจัย แล้วก็ถูกแปรมาเป็นทางการค้า"

อ.สุรวิชกล่าวว่าเรื่องนี้ประเด็นสำคัญคือจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช ซึ่งบอกว่า ผู้ใดจัดหารวบรวมพันธุ์พืชป่าหรือพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษาทดลองวิจัย เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า จะต้องมาขออนุญาต และทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ก่อน แต่ปัญหาคือกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ออก

"ถ้าผู้บริหารประเทศบอกว่าจะปกป้องทรัพยากรของไทย ต้องผลักดันให้กฏกระทรวงตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช 2542 ออกมาโดยเร็ว ตั้งแต่ 2542 นี่ 10 ปีแล้วกฎหมายลูกยังไม่ออกเลย"

ถ้าทำตามมาตรา 52 จะเป็นอย่างไร
"สวทช.ได้เงินมาเท่าไหร่ต้องแบ่งเข้ากองทุนฟื้นฟูทรัพยากรชีวภาพ ในกฎหมายระบุว่า เงินที่ได้ต้องเข้ากองทุนและกลับไปสู่ชุมชน"

"เขาอาจจะคิดว่าเข้ามาตรา 53 คือไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า ตอนที่วิจัยไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า แต่ทันทีที่คุณจดสิทธิบัตรมันพูดถึงประโยชน์ทางการค้า เพราะถ้าไม่หวังประโยชน์ทางการค้าคุณจะไปจดสิทธิบัตรทำไม"

อ.สุรวิชกล่าวว่าการจดสิทธิบัตรข้าว GMO ก็จะมีผลข้างเคียงอีกแง่หนึ่ง

"รัฐไทยประกาศมาตลอดว่าเมืองไทยไม่มีการทดลองทำจีเอ็มโอข้าว ประกาศให้ทั่วโลกรู้เลย ประเทศคู่ค้าจะได้ไม่สุ่มตรวจข้าวเราว่าเป็นจีเอ็มโอติดมาหรือเปล่า ว่างๆ เอกสารฉบับนี้ก็โผล่ออกมาว่าสิทธิบัตรนี้ทำโดยการทำจีเอ็มโอข้าว ถ้าคุณเป็นคู่แข่งทางการค้า เช่นเวียดนาม ก็ต้องยกประเด็นนี้ไปบอกคู่ค้า สมมติไปบอกยุโรป เห็นไหมประเทศไทยเชื่อถือไม่ได้ บอกว่าข้าวไม่มีจีเอ็ม เอาเอกสารนี้ไปให้ดู รัฐไทยเชื่อได้อีกไหม ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากประเทศไทยไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว มันไม่ใช่กระทบแต่ข้าวนะ ผักผลไม้ทุกอย่างที่ส่งไป"

เราบอกว่าตอนแถลงข่าวไม่เห็นบอกว่า GMO
"เขาบอกว่าเขาจดยีน ไม่ใช่จดกระบวนการ อันนี้จะบอกว่าเขาพูดผิดไม่ได้หรอก โดยเจตนาบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดว่าเขาจดกระบวนการสร้างข้าวจีเอ็มให้หอม งานวิจัยจีเอ็มโอเขาได้ทุนมาเยอะและทำมานาน เขาต้องพยายามหาทางว่าทำอย่างไรให้งานวิจัยเขาไปแสดงผลให้ได้ ตีล้อมมาจากข้างๆ"

อย่างไรก็ดี อ.สุรวิชเห็นว่าการจดในต่างประเทศก็มีส่วนที่ดี
"เพราะถ้าเขาไม่จด เกิดจีนศึกษาโครงการจีโนมข้าว สมมติจีนค้นพบแล้วเอาไปจดก่อน จีนก็ทำข้าวหอมมะลิจีเอ็มโอได้"

แต่ไม่ควรที่จะต้องมาจดในประเทศไทย
"จะจดด้วยเหตุผลใด หาเหตุผลไม่เจอ ถามว่าประเทศไทยใครจะละเมิดได้ มาทำจีเอ็มในประเทศไทย ทำแล้วจะมาปลูกด้วย สมมติซีพีมาติดต่อ สวทช.ขออนุญาตใช้กระบวนการนี้ ปกติการอนุญาตให้ไปมักจะเป็นกินเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็ให้ล่วงหน้ามาสักส่วนหนึ่ง สมมติ 1 ล้าน จากนั้นเอาไปสักตันละ 1,000 บาทเป็นค่าใช้สิทธิ ถ้าสวทช.อนุญาตก็คงไม่มีสมอง เพราะซีพีจะไปปลูกที่ไหน ประเทศไทยปลูกข้าวจีเอ็มไม่ได้ ถ้าไปปลูกที่ลาว เขาไม่ต้องมาขออนุญาตใช้สิทธิที่เรา เพราะประเทศลาวไม่ได้รับสิทธิบัตรอันนี้ ก็ไปทำที่ลาวเลยสิ ไปตั้งแล็ปที่ลาวทำจีเอ็มเลย ผมจึงคิดไม่ออกว่าจะจดในประเทศไทยไปทำไม"

"อย่างที่ผมบอกเขาไม่ได้ประสงค์จะจดกระบวนการ ทุกครั้งที่เขาให้ข่าวคือเขาประสงค์จะจดยีน เขาประสงค์ที่จะนำไปสู่การแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร และยาวออกไปคือเรื่องของการปลูกจีเอ็มในประเทศไทย ผมเป็นนักวิชาการสายนี้ รู้ว่าเขาคิดอะไร ทำให้ผมกังวลในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิของคนไทย ถ้าจริงใจก็ประกาศออกมาสิ สวทช.ต้องการอย่างนี้ จะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนไทย เป็นสมบัติของชาติ ณ วันนี้มันเป็นสมบัติของสวทช. หน่วยงานของรัฐ แต่สวทช.จะให้กับประชาชนทั้งประเทศ ประกาศออกมา ปีหน้าก็ได้วันข้าวไทย 6 มิ.ย. ปีนี้ผ่านไปแล้วจะประกาศย้อนหลังก็ได้ ทุกคนก็แฮปปี้ แต่ทุกวันนี้คุณพยายามสร้างความสับสน"

วิทูรย์บอกว่าที่อลงกรณ์กำลังผลักดัน ก็คือสิ่งที่อเมริกาเคยเรียกร้องในเอฟทีเอ

"เขาบอกว่าเป็นนโยบายที่จะให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาจดสิทธิบัตรในพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เพราะถ้าประเทศอื่นจดได้ กฎหมายไทยจะต้องอนุญาต"


"แต่มันขัดกับกฎหมายไทย กฎหมายของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากไม่อนุญาตจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต นี่คือจุดยืนของกฎหมายไทยที่มีมาในอดีตถึงปัจจุบัน แม้แต่รัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่มีใครแก้เรื่องนี้ แม้แต่สมัยทักษิณก็บอกว่าเรื่องนี้สำคัญเขาจะไม่แก้ แต่สิ่งที่อลงกรณ์พูดตอนนี้เหมือนกับคุณต้องจัดการกับกฎหมายภายใน เปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต ซึ่งข้อเสนอนี้อยู่ในข้อเสนอที่อเมริกา ยุโรป ผลักดันรัฐบาลไทยผ่านข้อตกลงเอฟทีเอ ตีความได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะรองรับการเจรจาเอฟทีเอ เพราะถ้าคุณเจรจาเรื่องเอฟทีเอ คนอาจจะค้านเพราะเป็นผลประโยชน์ต่างชาติ แต่ตอนนี้บอกว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ของข้าวไทย แบบนี้ทักษิณเคยทำมาก่อนก็คือแก้กฎหมายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า พอเอฟทีเอมาเข้าสภาไม่ต้องแก้กฎหมาย ตอนที่ทักษิณจะเปิดเอฟทีเอเรื่องจีเอ็มโอ ทักษิณก็บอกว่าการเปิดเสรีเรื่องจีเอ็มโอไม่เกี่ยวกับเอฟทีเอ เป็นเพราะ สวทช.ต้องการเปิดให้วิจัย ตอนนี้อลงกรณ์มาคล้ายๆ กัน อลงกรณ์มาบอกว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องเปิดให้ใช้มาตรการทางกฎหมายแบบเดียวกับอเมริกา ให้มีการจดสิทธิบัตร เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยไทย"

มีข้อสงสัยอีกอย่างว่า สวทช.จดสิทธิบัตรได้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ทำไมเพิ่งประกาศ
"เขายื่นจดปี 2006 ได้ 2008 เขายื่นไปหลายฉบับนะ บางฉบับอเมริกาก็ไม่อนุมัติ"

อ.สุรวิช "สถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้นมันตีปี๊บไม่ได้หรอก เขาก็รอให้ไม่มีสถานการณ์การเมือง เรื่องนี้อยู่ที่ สวทช.เป็นคนดัน มีแผนเป็น step อยู่แล้ว ว่าจะดันในช่วงไหน หลังจากประกาศแล้วเขาจะดึงหมากต่อไปอย่างไรๆ"

วิทูรย์ "ตอนนี้กรมทรัพย์สินฯ ก็ถูกมองเป็นผู้ร้าย กรณีนี้เรายืนอยู่ข้างกรมทรัพย์สิน ในการที่ไม่ยอมให้จดสิทธิบัตร ที่ผ่านมาเราไม่เห็นด้วยกับกรมทรัพยืสินหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาถูกต้อง"




บทเรียนจากอดีต

ถามวิฑูรย์ว่ามีอะไรบ้างที่เกรงว่าต่างชาติจะเข้ามาเป็นโจรสลัดทางชีวภาพ ถ้ายอมให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอม แล้วเป็นช่องให้ต่างชาติจดได้เช่นกัน

"ตอนนี้ญี่ปุ่นเขาเชี่ยวชาญเรื่องเชื้อรา เขามีทีมเยอะ ใช้ในยารักษาโรค อุตสาหกรรมอาหาร เขาเข้ามาศึกษาเชื้อราของไทยเยอะเลย ในญี่ปุ่นเขาประเมินว่าอุตสาหกรรมอะไรใหญ่ที่สุด ไม่ใช่รถยนต์นะแต่เป็นจุลินทรีย์ ที่เราเซ็น J-TEPPA ข้อเสนอเรื่องจุลินทรีย์เป็นเรื่องใหญ่ เราไม่รู้เรื่องเลยเราก็ยอมเขา สมัยสุรยุทธ์ จนต้องมาทำจดหมายแนบท้ายตอนหลัง"

"ผมเคยเจอศาสตราจารย์ญี่ปุ่น เขาบอกเขามีโครงการเต็มไปหมดกับมหาวิทยาลัยในเมืองไทย โดยเฉพาะราชภัฏ ราชมงคล เพราะเป็นมหาวิทยาลัยชุมชน เข้าถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นง่าย เพราะงานวิจัยด้านทรัพยากรชีวภาพ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือภูมิปัญญาคนท้องถิ่น เหมือนเปล้าน้อย เขาก็มาหานักวิชาการ ก็พาไปหาถึงที่เลยว่าที่ไหนได้สารเปลาโนทอลมากที่สุด ก็ไปเจอที่คลองวาฬ ประจวบฯ คนที่ไปด้วยก็เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้นี่แหละ คือเราไม่ทันเกมเขา ใสซื่อ คนไทยอัธยาศัยดี รับแขก"

"เขามาเปิดไร่ที่คลองวาฬแล้วสกัดสารส่งไป มันเริ่มจากโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับญี่ปุ่น แล้วงานวิจัย report ว่าตัวเปล้าน้อยมีสารที่สามารถรักษาโรคได้หลายอาการ โดยเฉพาะโรคกษัย ญี่ปุ่นไปทำวิจัยต่อในห้องแล็บ ก็พบสารเปลาโนทอลที่รักษาโรคกระเพาะได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาแหล่งเปล้าน้อยที่ไหนที่ออกฤทธิ์มากที่สุด เขาก็มาประสานกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้คนหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของนักวิชาการไทย อาจจะความไม่รู้เท่าว่าจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร ต่อมาญี่ปุ่นจดสิทธิบัตร จดในเมืองไทยด้วยนะ จดกรรมวิธีการผลิต เขาก็มาตั้งโรงงานที่คลองวาฬ จ้างชาวบ้าน บริษัทได้ยอดขายเป็นพันล้าน ขายเม็ดละ 30 กว่าบาท จะครบสิทธิบัตร 20 ปีในปีสองปีนี้แหละ"

"กวาวเครือนี่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นส่งนักศึกษาปริญญาเอกมาทำวิจัยกับนักวิจัยจุฬาฯ แล้วญี่ปุ่นก็จดสิทธิบัตร อีกอันนักวิชาการไทยจดสิทธิบัตร แต่ขายต่อให้เกาหลี ถามว่าผลการวิจัยเหล่านั้นมันได้กลับมาสู่ประเทศหรือเปล่า"

"เราผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยก็เพราะเหตุนี้ มันมีพวกที่มาฉวยไปโดยที่ไม่มีอะไรแบ่งเลย ภูมิปัญญาชาวบ้านกว่าจะได้เป็นองค์ความรู้ขึ้นมา ชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมาน อาจจะเสียชีวิตเพราะทดลองกันมาในบรรพบุรุษ ขณะที่เราไปให้เครดิตคนที่ทดลองในห้องทดลองเล็กๆ มันไม่เป็นธรรม ซึ่งกติกานี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ”

Saturday, June 27, 2009

จิตในพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์

ปกติตามอ่านมานานไม่เก็บ แต่คราวนี้รู้สึกเสียดายเพราะเป็นเรื่องที่กำลังตามอ่านอยู่
เลยอยากเก็บไว้จากลิงก์
http://www.thaipost.net/sunday/280609/6925
ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ จะได้เข้าใจ

ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตมานาน โดยเฉพาะจิตในพุทธศาสนา และจิตในจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ (spiritual psychology)-ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณที่จะไล่ต่อๆ ไปจนถึง นิพพาน-บนพื้นฐานของปรัชญาของพุทธศาสนาตามที่ผู้เขียนเข้าใจ พร้อมๆ กันนั้นก็ได้ศึกษาและเขียนเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยมีคนเชื่อตาม หลังคุณอนุช อาภาภิรมย์ มาตั้งแต่ร่วมยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เคยเขียนบทความที่เปรียบเทียบกันของทั้งสองวินัย ที่ใช้วิธีการเข้าถึงความรู้ที่ทางพุทธศาสนาแน่ใจว่าเป็นความจริงที่แท้ จริง ที่ได้จากการปฏิบัติสมาธิมาอย่างลึกซึ้ง กับความจริงทางควอนตัมที่ได้มาจากการสังเกตด้วยการทดลองและคณิตศาสตร์ของนัก ฟิสิกส์ ซึ่งทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เชื่อกันแทบเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า-ในความเห็นของผู้เขียนเช่นกัน-ทั้งสองวินัย พุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์ต่างนำไปสู่ความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล คือทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงความสอดคล้องแนบขนานกันตามที่ ฟริตจอฟ แคปรา เป็นคนแรกที่สังเกตไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี 1975 ซึ่งต่อมานักฟิลิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนกล่าวไว้เหมือนๆ กันเท่านั้น แต่ผู้เขียนไปไกลกว่านั้นคือ เชื่อว่าทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งทางด้านของทฤษฎีและทางด้านปฏิบัติ (experiments) จริงๆ แล้วเนื่องจากควอนตัมฟิสิกส์ก็เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) ที่รับรู้โดยบุคคลที่สามเหมือนกับวิทยาศาสตร์กายภาพทั่วๆ ไป แต่ควอนตัมเมคานิกส์ใช้ชี้วัด (measurement) สสารที่เล็กละเอียดที่สุดระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น สสารที่เรามองไม่เห็นและไม่มีทางที่เราจะมองเห็น-ไม่ว่าจะเมื่อใด-ด้วยความ รู้ของนักวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะฉะนั้นการชี้วัดที่ว่าจึงเป็นการชี้วัดทางอ้อม ด้วยการทำปฏิกิริยาระหว่างกันของสสารที่เล็กและละเอียดที่สุดเหล่านั้น (interface) หรือไปยังข้อสันนิษฐานที่นักฟิสิกส์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ รวมทั้งแพทย์หลายต่อหลายคนคิดว่าจิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียดยิ่ง-ละเอียดยิ่ง กว่าคลื่นอนุภาคในฟิสิกส์ใดๆ และทำงานด้วยกลไกคล้ายหรือเหมือนกับควอนตัม/ซูเปอร์ควอนตัมที่อยู่ในสภาพของ คลื่นตลอดเวลา เพราะจิตของผู้นั้นจะไปพังพาบสภาพคลื่นนั้น (wave function collapse)-เพราะในศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า (ที่อยู่ภายนอกจักรวาลทั้งหมด) ขึ้นมาอธิบายกลไกต่างๆ ใดๆ อันเป็นความลี้ลับตรงนี้ได้ ซึ่งหากไม่ต้องสร้างพระเจ้าเพื่ออธิบายความลึกลับเหล่านี้ แต่อธิบายว่าเป็นจิต (ไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่เข้าอยู่ในกายในสมองของบุคคลนั้นๆ) แล้วถูกบริหารโดยสมองของผู้นั้น สมองก็จะเป็นประหนึ่งกลไกคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผู้บริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล (quantum computer)-ที่นักคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์กายภาพบางคนคิด-ให้เป็นจิตสำนึก หรือจิตรู้นั้นๆ

แต่ขอพูดที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลยว่า ความเป็นเรื่องเดียวกันของพุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์-ศาสนากับวิทยา ศาสตร์ตามที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่นั้น-เป็นคนละเรื่องกับที่เราเข้าใจกัน หรือพูดว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ (เก่า) ซึ่งท่านผู้อ่านก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือในที่นี้กับวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ นั้น เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากัน คือมีหลักการและเหตุผลที่เข้ากันไม่ได้เลยมานับตั้งแต่เรามีวิทยาศาสตร์มา นับหลายๆ ร้อยปีมานี้ เพราะฉะนั้นที่มีคนพูดๆ กันว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ซึ่งคงหมายถึงวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม หรือวิทยาศาสตร์กายภาพเก่า) (materialistic or physical sciences) อย่างที่คนเขาพูดๆ กันนั้น ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? แม้แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เอง ที่มีคนอินเดียทำการวิจัยไว้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับพุทธศาสนา ก็แทบว่าจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเดียวกันเลย ยกเว้นความจริงที่พุทธศาสนาบอกว่า สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารับรู้ว่าดำรงอยู่ข้างนอก นั้น ไม่เคยเลยที่ดำรงอยู่จริงตามที่เรารับรู้นั่น ทั้งหมดที่เรารับรู้ว่ามีอยู่เป็นเพียงความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งไปตรงกับทฤษฎีความสัมพัทธ์พิเศษของไอน์สไตน์ เพราะฉะนั้นและในความเห็นของผู้เขียน จึงใคร่ขอร้องไม่ให้คนไทยเอาพุทธศาสนาไปเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) อย่างเด็ดขาด เพราะพุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งต่างออกไปและเป็นอกาลิโก ส่วนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพนั้น ให้ความจริงแต่เฉพาะทางโลกที่ไม่จริงแท้แก่เรา แถมบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ วิทยาศาสตร์เก่าที่ว่านั้นให้ความจริงได้แค่ 99.0% หรือไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของจักรวาล หรือเมื่อเราพูดกันถึงอะตอมหรืออนุภาคที่เล็กละเอียดยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ซึ่งเปรียบเทียบกับฟิสิกส์ใหม่ที่ให้ความจริงถึง 99.999%

การเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่เป็นนักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่มีชื่อเสียง-แทบว่าจะทุกคนกระมัง-พูด ลองคิดดูว่าพวกอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาร่วม 3,000 คนจะคิดอย่างไร? เมื่อเบิร์กเลย์ได้จัดประชุมใหญ่ในเรื่องศาสนากับวิทยาศาสตร์เมื่อเดือน พฤษภาคมในปี 1996 นักฟิสิกส์ควอนตัมจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี ผู้อภิปรายคนหนึ่งได้พูดว่า ในฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของปัจจุบัน ความจริงทางศาสนากับความจริงควอนตัมนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ (in complete agreement)

ในการประชุมในโครงการจิตกับชีวิตครั้งที่ 7 ที่เปรียบเทียบพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา (การประชุมมี 5 วันที่จัดให้มีขึ้นในทุกๆ 2 ปี) ระหว่างองค์ทะไล ลามะ ฝ่ายหนึ่ง กับนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ นักปรัชญาและศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วโลก (ซึ่งบางทีมีพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายต่างๆ แต่ส่วนมากมาจากนิกายวัชรญาณ พุทธศาสนาของทิเบต ซึ่งมักจะจัดขึ้นที่ธรรมศาลา อินเดีย (Arthur Zajonc, editor: The New Physics and Cosmology, dialogue with Dalai Lama, 2004)

ซึ่งมีแอนตอน ไซลิงเจอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำ (Anton Zeilingtr) ไซลิงเจอร์นั้นเป็นนักฟิสิกส์มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผู้หนึ่ง ในด้านพื้นฐานของการทดลองทางควอนตัมฟิสิกส์ ตอนนั้นยังอยู่ที่อินสบรูกในออสเตรีย (ในปี 2006 ไซลิงเจอร์ได้รับเลือกเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยเวียนนาที่ เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ เคยครอง) แอนตอน ไซลิงเจอร์ ตอนที่ยังอยู่ที่อินสบรูก เป็นผู้ที่แสดงในห้องทดลองได้ว่าเราสามารถส่งอะตอม-ตัวเดียวกันหรือเหมือน กันทุกประการ-จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป (quantum telecommunication) การทดลองที่จะนำไปสู่การย้ายคนจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งเหมือนในภาพยนตร์สตา ร์เทรก หรือด้วยเวทมนตร์ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ ได้ ซึ่งเป็นผลของความจริงทางควอนตัมอย่างหนึ่ง (quantum non-locality) ที่เป็นความลึกลับที่ปัจจุบันสามารถรู้ได้ด้วยทฤษฎีของจอห์น สจวต เบลล์ (Bells' Theorem) ซึ่งเกิดจากการพัวพันกันอย่างอีนุงตุงนังของคลื่นอนุภาคและอะตอมตามที่ ชโรดิงเกอร์เรียก (entanglement)

การประชุมที่มีถึง 5 วันในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้กับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัมและนักฟิสิกส์ดารา ศาสตร์ และนักวิชาการจำนวนมากที่ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ดังๆ ของโลก การสนทนากับความเข้าใจย่อมทำให้นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการทั่วไปที่ไม่ เชื่อหันมามองใหม่ ควอนตัม เมคานิกส์ เป็นการเฉพาะ กับจักรวาลวิทยาในสายตาที่ผิดจากเมื่อก่อน ซึ่งนักวิชาการทั่วไปมักจะคิดว่าควอนตัมฟิสิกส์ อย่างดีที่สุดเป็นเพียงทฤษฎี หรือคณิตศาสตร์ที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตประจำวัน ของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการที่อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นต่างก็พิศวงใจ ว่า องค์ทะไล ลามะ ที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์หรือจักรวาลวิทยา และนักฟิสิกส์นักวิชาการตะวันตกที่มาร่วมประชุมกันในครั้งนี้แทบทั้งหมดก็ ว่าได้ ต่างก็ไม่รู้เรื่องของพุทธศาสนาเลยสักนิดเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน เหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายได้พูดเรื่องเดียวกัน ซึ่งไม่เพียงแต่หลักการเท่านั้น แม้แต่รายละเอียดก็แทบว่าไปด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างในทางวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกย่างที่เห็นและคิดว่าจริง (objective)

เป็นวัตถุ-พลังงานที่เปลี่ยนกันไปมาได้พอดีเปี๊ยบ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยควอนตาเป็นเม็ดๆ เป็นอิสระต่อกันและกัน ปล่อยออกมาเป็นชุดๆ ที่ติดต่อกัน ที่เล็กละเอียดแยกจากกันไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดาๆ เมื่อเป็นเม็ดจะเรียกว่าอะตอม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กำลังลบ 8 ซม. ซึ่งเฉพาะในควอนตัมฟิสิกส์ (ในขณะที่ฟิสิกส์เก่าจะไม่เกี่ยวกับจิตเลย) เท่านั้นที่บอกว่าการชี้วัด (measurement) ต้องใช้จิตของผู้ที่กำลังชี้วัดอยู่นั้น ในทางพุทธศาสนาบอกไว้อย่างเดียวกันเปี๊ยบ แต่จะบอกว่าปรมาณูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ยกกำลังลบ 9 ซม.(เปรียบเทียบ) และบอกด้วยว่าจะเห็นได้ก็ด้วยจิตของผู้นั้นๆ สังเกตเสมอไป (Leo Pruder (แปลจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลจากวสุพันธ์อีกที):Ahidharmkosabhavasyam,1991) พุทธจักรวาลวิทยาบอกว่าจักรวาลมีบิ๊กแบงและมีบิ๊กครันช์ (วิวัตตา-สังวิวัตตา) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเหมือนกับรูปแบบหนึ่งในสองรูปแบบที่เชื่อกันในฟิสิกส์ใหม่โดยเกิดมาจาก ที่ว่าง (ultimate space) ที่ให้ลม (motility) ไฟ (heat) น้ำ (fluidity) ดิน (solidity) โดยโผล่ปรากฏออกมา (emerge) เองจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้านั้น

โดยควอนตัมฟิสิกส์ นักฟิสิกส์เคยคิดว่าเวลาก็เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง (โฟตอน) แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นักฟิสิกส์บางคนยังคิดว่าแรงโน้มถ่วงก็เป็นเม็ดๆ ได้ (แกรวิตรอน)-เรียกว่า โครนอน (chronon) โดยมีความยาวของเวลาราวๆ 10 ยกกำลังลบ 24 ถึงลบ 36 วินาที (David Fingelstein: Emptiness and Relativity, 2003) ซึ่งพุทธศาสนาทุกๆ นิกายย่อยของมหายานและวัชรญาณต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน (กษณะ) แต่ความเร็วของเวลากล่าวไว้ไม่เหมือนกันในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายคัมภีร์เหล่า นั้น ส่วนมากเป็นการเกิดและเปลี่ยนความคิด เช่น คิดว่าความคิดที่เปลี่ยนไปในคนนั้น จะมีความเร็วประมาณ 10 กำลังลบ 3 วินาทีเท่านั้น แต่บางตำราก็บอกว่าความคิดเปลี่ยนไปเร็วมาก คือเท่ากับ 16 หรือ 17 เท่าของความเร็วที่สุดในโลกกายโลกียกาม ซึ่งก็คือความเร็วของแสง แต่บางตำรายิ่งเร็วกว่านั้นไปอีก คือเร็วมากกว่าสายฟ้าแลบถึงพันล้านๆ เท่าทีเดียว

เช่นเดียวกับในควอนตัมเมคานิกส์ พุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นวัตถุหรือสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็น สิ่งที่ไม่จริง หรือเป็นมายาซึ่งเกิดจากศักยภาพความน่าเป็นไปได้ (Potentiality) ที่เป็นการเลือก (choices) ของจิตมนุษย์หรือมนุษยชาติ ส่วนความจริงที่แท้จริงเบื้องหลังคือแสงที่สว่างไสว (แสงในสภาพคลื่น) เช่นเดียวกับเวลา และการเลือก (choices) โดยจิตของผู้สังเกตที่ทำให้สภาพคามเป็นคลื่นพังพาบ (wave function collapse) กลายเป็นอนุภาคข้อมูล (Information) ที่เป็นพลังงานเป็นคลื่นก็ถูกจิตของมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุภาค (bits) ซึ่งพุทธศาสนาเรียกกว่า "อักษาระ" (อักษร) ที่เราเอามาใช้กันผิดๆ.