Sunday, May 31, 2009

เรื่องรักของสามัญชน ปรีดี พูนศุข

จากคุณ cele ในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
http://www.sameskybooks.org/board/index.php?s=ce3db72dacb539f829521f0595bcd996&showtopic=31333

ต้องขอเล่าที่มาที่ไปก่อนนะครับ เพราะจะไปพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่ยังมีชิวตอยู่ซึ่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ผมมีโอกาส ได้รู้จักกับ

ครู ตุ๊เล็ก( ท่าน เบญจางค์ มหานีรานนท์ )น้องสาวครูฉลบ (ภรรยาคุณ จำกัด พลางกูร ) ที่ท่านเปิด รร.ดรุโณทยาน ซึ่งปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วได้ซัก

3 ปี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ม.ธุรกิจบัณฑิต โดย อ.ฉลบ จะให้คุณดุษฎี ซึ่งเป็นลูกสาวของท่านปรีดี มาสอนดนตรีที่ รร. นี้ ทุกสัปดาห์ และได้

รู้จัก กับ คุณ ดุษฎีโดยผ่านทางครูตุ๊เล็ก และหลังจากได้รู้จักเธอ ( เคยแอบชอบเธอ ) จนกระทั่งช่วงปี 2531ที่ท่านผู้หญิงมากลับมาเมืองไทย จึง ได้

มี โอกาส รู้จัก ท่านผู้หญิงพูนศุข อีกที ซึ่งตัวของข้าฯ เป็นแฟนพันธ์แท้ท่านปรีดี อยู่ก่อนแล้ว ท่านฯพูนศุข ก็ประหลาดใจที่ว่าทำไมรู้เรื่องของท่านปรีดี

มากจัง ข้าฯ จึงหาเรื่องสนทนากับท่านฯ โดยส่วนมากจะเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา และท่านชอบที่จะพูดคุยและให้ข้อคิดในการดำรงชิวิตดีๆ ให้กับ

ข้าฯ ท่านเคยบอกว่าชีวิตคนเรารู้แต่วันเกิด ไม่รู้วันหมดอายุ สู้ปลากระป๋องก็ไม่ได้รู้ทั้งวันผลิตและวันหมดอายุเราต้องใช้ชิวิต ด้วยความไม่ประมาท



ท่านเป็นคนอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ สอนให้ทำตัวเหมือนต้นข้าวรวงสุก เพราะมันจะโค้ง และลู่ลม ไม่ทำตัวเหมือนกับต้นข้าว

เริ่มโต เพราะมันแข็งกระด้าง และต้านลม



ผมเคยถามท่านว่า ท่านไม่กลัวติดคุกหรือครับ ท่านตอบไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ท่านเคยว่าทหารที่จะมาจับ

ตัวท่านปรีดีว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนนายกทำไมไม่ไปสภา จะมาเปลี่ยนอะไรที่นี่ (หมายถึงบ้านนายกปรีดี)

ท่านเป็นคนดีมากๆ ส่วนรายละเอียดในเช้าวันนั้น ผมก็เคยได้ถามท่านนะ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังใน

รายละเอียดเท่าที่เล่าได้นะครับ


ผมจำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก น่าจะเป็นวันที่คุณแม่ ( ท่านฯ พูนศุข ซึ่งผมจะใช้เป็นสรรพนามในการเรียกท่านหลังจากที่เริ่มสนิท

กับท่าน) กลับมาจากงานวันเสรีไท ที่รพ. จุฬา ผมถามท่านว่า สมัยหนุ่มๆ ท่านปรีดีหล่อไหม โรแมนติกไหม เอาใจเก่งไหม ทำไมท่าน

genius จังเพราะพรสวรรค์ หรือความขยัน ท่านฯ ยิ้ม และตอบว่า นายปรีดี( สรรพนามที่ท่านฯ จะใช้เรียกถึงปรีดี ) ไม่หล่อดูเป็นชาวไทย

แท้ แต่ดูอบอุ่น เป็นคนไม่โรแมนติก ปากไม่หวานแต่จะแสดงออกด้วยการกระทำ โดยจะเขียนาร์ดมาให้ทุกปีเมื่อครบรอบวันแต่งงาน

ซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งแม่บอกว่า ได้การ์ดตั้งห้าใบ ผมถามว่าทำไมได้ตั้ง 5 ใบ ท่านตอบว่า

ก็เพราะไม่ได้เจอกัน 5 ปีเต็มๆ ขอย้ำว่าไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อด้วยเพราะกลัวโดนจับได้หลังท่านปรีดีหนีไปอยู่เมืองนอก ( ถ้าเป็นผมคง อก

แตกตายไปแล้ว และ ทำให้ผมมองเห็นถึงคำว่ารักแท้มันเป็นอย่างไร) นายปรีดีไม่เคยบอกรักพร่ำเพื่อ เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิงมาก ไม่เคย

ทะเลาะ กันแม้แต่ครั้งเดียว นายปรีดีเป็นคนมีความรู้ ความประพฤติดี และ ขยันมาก ผมเคยแหย่ท่านว่า ท่านเป็น ท่านผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนท่านผู้หญิง

อื่นๆ ( จะบอกว่าดู so plane) แต่ไม่กล้าพูด ซึ่ง

ท่าน ตอบว่า “แม่ไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยาน ไม่ตื่นเต้นกับเกียรติยศชื่อเสียง ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเราดำเนินชีวิตตามทาง

สายกลาง จะมีหรือไม่มี เราก็ไม่หวั่นไหว” ท่านกล่าว

ในใจผมอยากจะถามเรื่องเมื่อเช้าวันนั้นเป็นอย่างมาก คันปากทุกครั้งที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน แต่ก็ไม่กล้า กลัวท่านจะว่าเอา


ท่านเล่าต่อว่าเมื่อช่วงปี 2495-6 หลังจากพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฎ เพราะหลักฐานไม่มี ท่านได้เดินทางไปไม่แน่ใจว่าปักกิ่ง

หรือเปล่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คิดถึงนายปรีดีมากที่สุดเพราะตัวเองต้องติดคุกร่วม 3 เดือนแถมลูกชายก็ติดคุกด้วย สิ่งแรกทันทีที่ได้

พบหน้านายปรีดีที่เมืองจีน หลังจากที่พลัดพลากมานาน ตอนนั้นท่านบอกว่าดีใจมากที่สุด และท่านขอสัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะไม่จากนายปรีดี

ไปแม้แต่วินาทีเดียว ( สาบานว่าท่านพูดอย่างนั้นจริงๆ และสุดท้ายท่านก็ทำได้จริงๆ โดยท่านได้อยู่ข้างกายท่านปรีดีจนวินาทีสุดท้าย)

ท่านบอกว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็นน้ำตานายปรีดี ตลอดเวลาที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมานักต่อนักท่านบอกว่าไม่เคยเห็นน้ำตาแม้ซัก หยดของ

นายปรีดี และวันนี้เองก็เป็นวันที่ท่านฯ ร้องไห้มากที่สุดในชีวิต เช่นกัน....


สว้สดีคะคุณยาย เสียงเล็กๆ ดังออกมาขณะที่คุณแม่กำลังไหว้พระ อยู่ที่วัด ท่านรับไหว้และถามเด็กน้อยคนนั้นกลับว่า หนูชื่ออะไร

เรียน อยู่ที่ไหน เด็กน้อยตอบว่าหนูไม่มีชื่อเล่น หนูเรียนอยู่ รร.เซนโยเซฟคอนแวนต์ มันเป็นคำตอบที่ทำให้ท่านยิ้ม และท่านก็เล่าให้ผมฟัง

ต่อ ว่า สมัยเด้กๆ ท่านก็เรียนอยู่ที่นี่ เช่นกัน ได้เรียนถึง ม.ปลาย จึงได้ออกมาแต่งงานกับนายปรีดี ท่านเล่าย้อนให้ฟังว่า ท่านเรียนมา

น้อย เคยมีคนตราหน้าท่านว่า เป็นเมียนายก แต่เรียนแค่ ม.ปลาย ท่านเคยไม่โกรธ และเล่าว่าถึงแม้แม่จะเรียนมาน้อย แต่ก็ได้ความรู้ต่างๆก็ได้

มาจาก นายปรีดี นายปรีดีมักจะชอบหาความรู้ต่างๆ ให้เสมอ จนบางที่ท่านจะแซวนายปรีดีว่า พอได้แล้วท่านอาจารย์ ท่านเล่าต่อว่าสมัยนายปรีดี

เด็กๆจะซนมากชอบอยู่ในทุ่งนาทั้งวัน เล่นจับปลาโดยจะมีเบ็ดตกปลา และจะไปขุดหาไส้เดือน นายปรีดีเคยเล่าว่า


ที่บ้านพ่อ และน้าชายป็นพ่อค้าขายข้าว ที่ อ.วังน้อย จ. อยุธยา ซึ่งนายปรีดีมักจะถูกใช้ให้เก็บยุ้งฉาง และจูงควายมาเก็บที่บ้านเป็นประจำ ซึ่ง

มัน เป็นงานที่ไม่ชอบเอาเสียเลย ร้อนก็ร้อน คันก็คัน มีครั้งโดนพ่อตีเพราะ นายปรีดีขี้เกียจไปเก็บควาย จนนายปรีดีกลับมาบ่นกับน้องสาวว่า จะไม่

ยอมเป็นกรรมกรเด็ดขาด จะต้องเรียนให้สูงๆ จะได้สบาย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี จนอายุ 12 ปี เกิดกบฎ รศ130 (ซึ่งมันคงเป็นแรง

บันดาลใจที่ภายหลังนายปรีดีจึงได้เรียนกฏหมาย) ต่อมานายปรีดีได้ย้ายมาเรียนกรุงเทพที่ รร. สวนกุหลาบ และต่อมาได้ทุนไปเรียนเมืองนอก



ผมชอบช่วงที่ท่านฯ เล่าถึงความรักของปรีดีที่มีต่อและกันกัน ผมว่ามัน classic มากๆ

คุณพุนศุข พนมยงค์ เชิญพบแพทย์ ค่ะ เสียงของพยาบาลเรียกว่าถึงคิวตรวจแล้ว ผมเหลือบไปเห็นท่านกำลังมองดูนาฬิกา

ข้อมืออยู่นานสองนาน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่เพราะนั้นไม่ใช่ครั้ง

แรกที่ผมสังเกตุเห็น ผมจึงบอกท่านว่าถึงคิวตรวจแล้ว ( ท่านเป็น Hypertension และ Ischemic heart ) ท่านบอกขอเวลาเดี๋ยว

และถามผมกลับว่า นาฬิกานอกจาก จะบอก วัน เวลาแล้ว มันยังสามารถบอกอะไรเราได้อีก........



จะบอกเวลาแล้วยังสามารถบอกอะไรได้อีก ท่านให้ผมไปคิดวันหลังจะมาเฉลย เวลาผ่านไปอยู่หลายวันท่านจึงมาทวงคำตอบ

ผมก็ตอบว่าคิดไม่ออกครับท่านจึงอธิบายต่อไปว่า นาฬิกานอกจากจะบอกวันและเวลาแล้ว มันยังใช้บอกความคิดถึงแทนใครบางคนได้

ด้วยท่านขยายความต่อไปว่า วันสุดท้ายที่นายปรีดีได้อยู่เมืองไทย( น่าจะเป็นช่วงหลังกบฏวังหลวง และก็เป็นวันสุดท้ายในชิวิต ) แม่

ได้ไปส่งนายปรีดีในที่แห่งหนึ่งโดยตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม


ตอนนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น โดยนายปรีดีบอกว่า ไม่รู้ว่าจะได้เราเจอกันอีกไหม ขอให้เธอ( ท่านฯ พูนศุข ) จำไว้ว่าเธอจะไม่อยู่เดียวดาย

ถ้าเธอต้องการกำลังใจ ยามเธอไม่มีใครให้นึกถีงฉัน ( ท่านปรีดี ) โดยให้มองที่นาฬิกาเวลานี้ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็น และให้

คิดถึงฉัน และฉันก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกันที่คิดถึเธอ และช่วยสัญญาต่ออีกนะว่า.....


ก่อนแยกจากกันนายปรีดีได้ขอสัญญาแม่ 3 ข้อ

1. เวลาทานข้าวขอให้เธอกินข้าวให้หมดจาน

2. เวลานอนให้รีบนอนให้หลับทุกคืน

3. ทุกครั้งเวลานึกถึงฉัน อย่าร้องไห้ ทำหน้าที่เป็นพ่อให้ลูกๆ แทนฉันด้วย

แม่รับปาก และถามนายปรีดี กลับไปว่าถ้าวันนั้น( ก่อนอภิวัฒน์ 24 มิ.ย ) เธอเคยโกหกฉันว่าเธอ

จะไปบวชที่ อยุธยา ซัก 4 เดือน ถ้าวันนั้นเธอทำอย่างนี้จริงๆ เราคงจะไม่พลัดพลากกันแบบนี้ ใช่ไหม

นายปรีดี ตอบว่า อย่าคิดเช่นนั้นเลย ที่ฉันทำไปก็เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ คนเราเกิดมาหนเดียว ควรทำ

อะไรเพื่อประเทศชาติ ไม่ควรทำตัวเป็นคนหนักโลก ฉันไม่เสียใจเลยที่ได้ทำลงไป

หลังจากส่งนายปรีดีเสร็จ แม่ก็ได้เดินทางกลับเพียงลำพัง จำไม่ได้ว่าวันนั้นแม่เสียน้ำตาไปกี่ลิตร .....

นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่แม่เห็นนายปรีดีอยู่ในเมืองไทย เพราะหลังจากนั้นนายปรีดีก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย....


ไปจับตัวมาเข้าคุก ไปเอาลูกมันมาด้วย คุณจะรู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วต้องติดคุก

แม่โดนกล่าวหาว่าเป็นกบฏภายใน ภายนอกอะไรก็ไม่รู้ในราชอาณาจักร แม่บอกว่าขนาดเข้าประชุมยังไม่เคยเลย

เห็นยังไม่เคยเห็นด้วย แล้วจะไปเป็นกบฏได้อย่างไรแม่โดนจับไปขังในคุกระหว่างพวกเขาหาหลักฐานส่งฟ้อง ผมถามว่าทำไมไม่วิ่ง

เต้นละครับ เส้นสายก็น่าจะมี ท่านตอบว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะเป็นการยอมรับว่าเราทำผิด อยากจะจับก็จับไป

ชีวิตในคุกท่านเล่าต่อว่า เขาจับไปอยู่ในคุกในห้องมีโต๊ะเล็กๆ ขนาด 4*4 และเสื่ออีกหนึ่งผืน ชิวิตในตอนนั้นแม่คิดถึงนายปรีดี

เป็นอย่างมาก แต่แม่ไม่เคยร้องไห้เพราะแม่ได้เคยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ แม่อยากได้กำลังใจจากนายปรีดี อยากบอกว่าเป็น

ห่วงมากแต่ก็ก็ไม่สามารถทำได้ ผมถามต่อว่าทำไมละครับ แม่ตอบกลับมาว่า เพราะในห้องขังไม่มีนาฬิกา ทำให้ไม่รู้เวลาว่ากี่โมง

กี่ยามแล้ว ( เวลาที่ท่านคงอยากจะทราบมากที่สุดผมเดาว่าคงน่าจะเป็นช่วง 5 โมงเย็น นั่นเอง)


" เมื่อเพลงที่ไพเราะที่สุดยังไม่ถูกแต่ง

เมื่ออาหารที่อร่อยที่สุดยังไม่ถูกปรุง

เมื่อภาพวาดที่สวยงามที่สุดยังไม่ถูกวาด

ฉะนั้นชิวิตเราจึงมีโอกาสพบสิ่งเจอใหม่ที่ดีกว่าสิ่งเก่าเสมอ "


ข้อคิดดีๆ ที่ท่านเคยกล่าวไว้ ยามที่ท่านต้องการกำลังใจ

มีอยู่วันหนึ่งท่านถามผมว่าพรุ่งนี้ว่างไหมจะชวนไปทำบุญ ผมถามว่าเนื่องในโอกาสอะไรครับ

ท่านตอบว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ 9 มิ.ย ผมไม่กล้าถามต่อไปว่าเพราะอะไร แต่ได้ถามกลับไปว่า ตอนเด็กๆ องค์ 8

เป็นเด็กน่ารักไหม ท่านตอบว่า ท่าน (ร.8) เป็นเด็กที่น่าตาน่ารักมากๆ ตาโต ปากสีชมพู ผิวพรรณดีมากๆ

มีอยู่ครั้งขณะที่ร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกันกับนายปรีดี และแม่ด้วย องค์ 8 ซึ่งตอนน้นยังเป็นเด็กอยู่ เคยถาม

นายปรีดีขณะร่วมโต๊ะเสวยว่า ทำไม่ไม่กินแตงกวา ตัวโตซะเปล่า สู้ฉันก็ไม่ได้ นายปรีดียิ้ม และตอบท่านกลับไปว่า

ข้าฯ ไม่ได้เลือกกินผัก แต่หมอสั่งห้ามไม่ให้ข้าฯ กินแตงกวา เพราะหมอสงสัยว่าข้า ฯ เป็นโรคเก๊าท์ และท่านก็ถามกลับ

มาว่า โรคเก๊าท์ มันเป็นอย่างไร นายปรีดีรักพระองค์ท่าน (ร.8) เป็นอย่างมาก ไม่มีเหตุผลเลยที่ท่านจะไปคิดทำเช่นนั้น...


"ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริงท่านคงทราบดีวาใครเป็นนทำ" นั่นคือคำตอบที่ได้รับหลัง ที่ผมได้

ถามท่านว่าท่านปรีดีทราบใช่ไหมว่าความจริงมันเป็นเช่นไร และผมถามต่ออีกว่าทำไมไม่ทำความจริงให้ปรากฎ มันไม่ยุติธรรม

สำหรับคนที่ตายทั้ง 4 คนท่านตอบว่านายปรีดีอยู่ในสภาพที่ทำอะไรมากไม่ได้ ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า นายปรีดีเกือบเรียนไม่จบ

เพราะถูกเรียกตัวกลับไทย สมัยที่ได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศส หลังจากที่ไปทะเลาะกับฑูตที่นั่น แต่ด้วย ร.7 ให้โอกาสและให้เรียน

ต่อนายปรีดีจึงมีโอกาสเรียนจนจบ และกลับมารับราชการต่อภายหลัง นายปรีดีเทิดทูนสถาบันเป็นอย่างมาก ถึงเคยเปรยให้แม่

ฟังว่า คนไทยจะรักสถาบันมากขึ้นถ้าสถาบันหลุดพ้นจากการเมือง ท่านไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันเลย

แต่เหตุการณ์นี้ ท่านไม่มั่นใจว่าถ้าความจริงปรากฎจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสถาบัน ท่านจึงอยากให้สถาบันคงอยู่โดยการที่จะสรุป

ว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งจะเป็นทางที่ดีที่สุดกับ...... แน่นอนการสรุปเช่นนี้ย่อมทำให้บางคนในรัฐบาลไม่เห็นด้วยโดยต้องการให้

ทำคดีตามความป็นจริงโดยเสนอทางออกเกี่ยวกกับมือปืนตัวจริงดังต่อไปนี้ คือ......


"ทำแล้วอย่ากลัวจะชั่วหรือดี" คติพจน์ประจำตัวของนายปรีดี เพราะนี่คือคำขวัญของกบฎ รศ.130 ถึงแม้คราวนั้นผู้ก่อจะพ่ายแพ้ แต่มันก็ได้จุดประกายความหวัง และความฝัน ให้แก่นายปรีดีในการเปลี่ยนแปลงในอีก 20 ปีต่อมา

แม่เล่าให้ฟังต่อ ว่า นายปรีดี โชคดีที่มีโอกาสได้รู้จักกับ ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ อดีตผู้ก่อตั้ง และเลขาของคณะกบฏ รศ 130 ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการ อภิวัฒณ์ แม่ได้สังเกตเห็นว่า นายปรีดี มักจะชวนพี่เนตร มาพูดคุยทานข้าวที่บ้านเป็นประจำ นายปรีดีจะเรียก ร.ต.เนตรฯ ว่าพี่เนตร

นาย ปรีดีมักจะถามพี่เนตร ว่าชีวิตที่อยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากไหม ได้เจอลูกเมียบ้างไหม ต้องตีตรวนไหม ผมคิดเองว่าสงสัยท่านคงอยากจะถามเพื่อตัวเอง (ร.ต.เนตรฯ ถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ในข้อหากบฎ รศ.130) พี่เนตรเล่าให้ฟังว่าชีวิตในคุกลำบากมาก เพราะเป็นข้อหากบฎร้ายแรงที่จะลอบปลงพระชนม์ ร.6 ถูกนักโทษด้วยกันทำร้ายบ่อยครั้ง และที่จริงแล้วเกือบจะต้องถูกประหารชีวิตหลายครั้ง แต่ก้รอดพ้นมาได้ เพราะ ร.6 ทรงเมตตาแก่พวกกบฎ เพราะท่านคิดว่ามันคือแนว

ทางที่ต่างกันทาง การเมืองเท่านั้น แต่ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (น้าของ ร.6) ต้องการที่จะประหารชีวิตลูกเดียว และนายปรีดีเคยถามว่าความผิดพลาดของคณะ รศ.130 คืออะไร พี่เนตรตอบว่า เป็นการทรยศหักหลังของคนในคณะเอง ได้ปากโป้งเอาความลับไปแจ้งแก่ทางราชสำนัก พี่เนตรบอกว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ทรยศดังกล่าว มั่นใจว่าคณะ รศ.130 จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ต่อมาได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยที่นาย ปรีดี ได้ดำรงตำแหน่ง และได้เป็น สส. ประเภท 2 (วุฒิสมาชิก)


และ สิ่งนี้มันคงทำให้นายปรีดีต้องใช้บทเรียน จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะนายปรีดีเคยบอกแม่ว่า ถ้าวันนั้นพ่ายแพ้ คงไม่โชคดีเหมือนพี่เนตร คงต้องถูกประหราชิวิตตัดหัวเสียบประจานที่กลางท้องสนามหลวงเป็นแน่



อะไรกัน พี่เนื่องเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ นายปรีดีอุทานเสียงดังหลังจากทราบว่า พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุลย์ หรือ ท้าวอินทรสุริยา ( ที่เป็นเพื่อนสมเด็จย่า เรียนพยาบาลมาด้วยกัน เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกสมเด็จย่า ทั้ง 3 คน ) หลังจากไปดูที่เหตุ หลังจากเกิดเรื่องได้ราวเกือบ 2 ชั่วโมง ปรีดีได้ไปคุยกับพี่เลี้ยงเนื่องว่า พี่เป็นพยาบาล ต้องทราบอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรใน การตายโดยผิดธรรมชาติ แต่

นี่ เล่นไปทำลายพยานเสียหมด และนายปรีดียิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมารู้ว่ามี นางจรูญ ตะละภัฏ( น้องสาวสมเด็จย่า) ก็ได้ร่วมทำลาย หลักฐานด้วย (ผมขอขยายความเรื่องการทำลายหลักฐานหน่อย )

พระพี่เลี้ยงเนื่อง และ น.ส.จรูญ เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคตมาแต่ต้น เช่นนำพระเขนยก็นำเอาไปฝัง ปลอกพระเขนยที่รองรับพระวรกายไปซัก ทั้งยังตบแต่งบาดแผลที่พระนลาต ก่อนมีการชันสูตรพระศพโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เย็น วันนั้นตอนที่นายปรีดีกลับมาถึงบ้านก็เล่าให้แม่(ท่านพูนศุข) ว่าแก (พี่เลี้ยงเนื่อง และ นางจรูญ)ทำไปได้อย่างไร จะบ้าหรือเปล่าเอาหมอนไปซัก ไปหมอนไปฝังดิน เด็กมันยังคิดได้ แม่ว่าสิ่งที่นายปรีดีกังวล ไม่ใช่การจับฆาตกร แต่กลัวการที่จะจับฆาตกร ต่างหาก

เหตุการณ์ ทำให้นายปรีดีเครียดมาก ถึงกับกินไม่ได้ไปหลายวัน จำได้ว่าช่วงนั้นไม่สบายบ่อยมาก สุภาพไม่ดีเอา ทนอยู่ได้ประมาณราว 2 เดือนก็ต้องลาออก เพราะมันเครียดมากๆ ซึ่งตอนนั้นแม่เกือบจะพูดออกไปแล้ว ว่าก็บอกเธอตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าไปเป็น อย่าไปเป็น

หลังจากนายปรีดีลาออก ก็มีการตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่โดย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีครั้งหนึ่งนายปรีดีชวน นายดิเรก ชัยนาม(เป็นคนที่ปรีดี นับถือมากๆ เมื่อตอนกบฏวังหลวงถ้าทำสำเร็จก็กะจะให้ะเป็นนายก) มากินข้าวที่บ้านซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านบอกว่าท่านจะเสนอใน ครม.ให้จับพระพี่เลี้ยงเนื่องและ น.ส.จรูญ ฐานที่เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคต

ที่สำคัญถ้าจับพระพี่เลี้ยงเนื่อง ก็ควรต้องจับคนทีสั่งพระพี่เลี้ยงเนื่องต่อไปอีกทอดหนึ่งด้วยในอันดับต่อไป

(แต่เสียดายที่ท่านไม่มีโอกาสได้ทำเพราะมีการรัฐประหารเสีย มิเช่นเราคงได้เห็นฆาตกรตัวจริง)


วันนั้น (9 มิย.2489) คนที่นายปรีดีสงสัยมากที่สุดคือพี่เลี้ยงเนื่อง นายปรีดีเป็นนักกฎหมายมาก่อน มี sense ดูออกว่าอะไรเป็นอะไร ท่านฯ มาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า วันนั้นระหว่างที่นายปรีดีสนทนากับพี่เลี้ยงเนื่องเพื่อสอบถามเหตุการณ์ พี่เนื่องเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมสบตา จิบน้ำ และเดินเข้าห้องน้ำบ่อยมาก และท่านจะพยายามเรียกพี่เนื่องตลอดไม่ยอมให้พูดมากนัก

นาย ปรีดีเป็นคนช่างสังเกตุ และมาทราบทีหลังว่า วัสดุที่ใช้เย็บแผลเป็นลักษณะคล้าย chromic catgut มันไม่ใช่สิ่งที่น่าจะนำมาใช้เย็บศพ ซึ่งมันจะทำให้ tissue โดยรอบแผลเสียหาย และเข็ม suture ใช้เข็มก็ใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็น มันจะทำให้การตรวจสอบศพภายหลังทำได้ยากยิ่งขึ้น

และที่สำคัญสิ่งที่ ใช้ทำความสะอาดแผลใช้ hibiscrub+hibitane มันจะทำให้ไปกัด tissue ซึ่งมันจะมีผลต่อการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจคลาบเขม่าดินปืนในภายหลัง

ทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ มันมีนัยยะทุกอย่างที่ได้ทำลงไปเกี่ยวกับการจัดการศพ ท่านยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้นที่ได้ถามพี่เลี้ยงเนื่องว่าใครสั่งให้ทำ พี่เลี้ยงเนืองลำดับเหตุการณืให้ฟังว่า

ท่านมีรับสั่งให้ตาม พ.ต.นายแพทย์หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ แพทย์ประจำพระองค์มาตรวจพระอาการของในหลวง และท่านเองก็มีรับสั่งให้ทำความสะอาดและตกแต่งพระบรมศพ