Saturday, July 25, 2009

อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ผู้ขมังเวท ๕ แผ่นดิน

http://www.thaipost.net/tabloid/260709/8277
http://www.thaipost.net/tabloid/020809/8623

อาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ เป็นคนพื้นเพ ณ ทุ่งหันตรา พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นบุตรของนายตำรวจผู้ตรวจการเรือนจำ ท่านเกิดในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แล้วสิ้นในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ข้อมูลบางที่บอกว่าท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเมื่อดูจากปี พ.ศ.แล้วเป็นการสันนิษฐานผิด เพราะแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยุติลงที่ พ.ศ.๒๔๑๑

ฐานะ ครอบครัวทางบ้านของอาจารย์เฮง นับได้ว่าเป็นตระกูลที่มีทรัพย์สินมากระดับขั้นเศรษฐีมีที่ดินที่นามากใน ทุ่งหันตรา คุณพ่อของอาจารย์เฮง เป็นคนที่มองการณ์ไกลได้ให้อาจารย์เฮงไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ คือ ปีนัง ประเทศสิงคโปร์

คน ในไทยยุคนั้นหากสามารถส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศได้ถือว่าไม่ธรรมดาทางด้าน ฐานะ อาจารย์เฮงตกลงได้เดินทางไปสิงคโปร์ตามคำของคุณพ่อทุกประการ การไปศึกษาถึงต่างประเทศทำให้อาจารย์เฮงได้พบเพื่อนใหม่ๆ มากมาย และเหล่าพ้องเพื่อนนั้นต่อมาได้รับราชการกันเกือบหมด ได้เป็นพระยา ได้เป็นคุณหลวงหลายคน อาทิ พระยาเพชรปรีชา

แต่ ขณะที่ศึกษาอยู่นั้นภายใต้จิตของอาจารย์เฮง จิตใจยังระลึกวันที่บวชเป็นพระอยู่แล้วเพิ่งจะลาสิกขาบทมาหมาดๆ ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อ อาจารย์เฮงบวชครั้งแรกที่วัดสุวรรณคาราราม เหตุ ที่ทำให้ในใจของอาจารย์เฮงเป็นเยี่ยงนี้เพราะว่า หลวงตาชื้นในวัดสุวรรณคาราราม เล่นแร่แปรธาตุอะไรบางอย่างให้ดูด้วยคาถาอาคม จึงรู้สึกชอบและอยากจะให้ได้อย่างนั้นบ้าง ครั้นจะบวชอยู่ต่อก็ไม่ไหว เพราะพ่อเร่งรัดว่าต้องไปศึกษาต่อ จึงจำใจต้องลาสิกขาบทก่อน เพื่อเป็นการมิขัดใจต่อพ่อ

ใคร จะไปคิดได้ถึงว่าที่สุดอาจารย์เฮง ก็ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนที่ปีนังด้วยตัวเอง เพราะการเรียนอยู่ที่นั้นรู้สึกฝืนจิตใจชอบกล อาจารย์เฮงจึงได้หารือกับเพื่อนสนิทซึ่งต่อมาได้เป็นพระยาเพชรปรีชา ว่าจะลาออกกลับเมืองไทยเพื่อศึกษาไสยเวทเพราะชอบทางนั้น

ท่านพระยา เพชรปรีชาก็มิได้ทักท้วง แต่ได้แนะนำว่าของดีของขลังทางภาคใต้บ้านเราก็มีอยู่มากโดยเฉพาะที่เขาอ้อ พัทลุง ที่สุดแล้วได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยเข้ามาอาศัยอยู่ทางภาคใต้ก่อน หลังจากที่ได้ยินคำเพื่อนแนะนำ จึงบ่ายหน้าไปที่ เขาอ้อ พัทลุง ที่มีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์มากมาย อาทิ อาบน้ำว่าน, สักยันต์นะ ๙ เฮชาตรี ศึกษาพืชสมุนไพร

การ หาสมุนไพรไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปในป่าเขาลึกแล้ว เมื่อพบสมุนไพรบางตัว ตามสูตรต้องเก็บตามฤกษ์ยาม เพราะสมุนไพรบางตัวต้องเก็บยามเช้า บางตัวต้องเก็บกลางคืน เพราะสมุนไพรบางตัวจะคลายตัวยาออกมาที่ใบตอนกลางคืน พอเราไปเก็บตอนกลางวันก็คงไม่มีประโยชน์ หรือบางตัวเราต้องเก็บยามเช้าแต่พอไปเก็บยามบ่ายก็ไม่ส่งผลแต่ประการใด นับเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านโดยแท้

สมุนไพร ที่เก็บยากมากที่สุดเห็นจะเป็นจำพวกที่ต้องไปเก็บตอนเดือนหงาย เวลาเก็บต้องกลั้นหายใจ เพราะในป่าเงียบมากพอไปถึงต้นแล้วหายใจดังจะทำให้ว่านตกใจหุบดอกหุบใบจนสิ้น ก็จะไม่สามารถเก็บได้ เพราะถึงเก็บมาตัวยาของว่านก็วิ่งกลับเข้าลำต้นแล้ว ก่อนเด็ดก็ต้องว่าคาถาบัดพลีต่อเจ้าป่าเจ้าเขาในใจก่อน ไม่ใช่เจอแล้วจู่ๆ เด็ดเลย เรื่องต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก

ท่าน ชอบเรื่องของการสักยันต์เป็นอย่างมาก จึงพยายามศึกษาในขั้นพื้นฐานจากที่สำนักเขาอ้อ ที่สำนักเขาอ้อนี้แม้แต่นายหัวมหาเศรษฐีอย่าง ดร.ไมตรี บุญสูง ก็ได้มาศึกษาถวายตัวเป็นศิษย์และได้อาบน้ำว่านด้วย การอาบน้ำว่านนี้ทำให้ผิวหนังดี คือ หนังเหนียวฟันแทงยิงไม่เข้า อดีตนายตำรวจปราบปรามเสือร้ายอย่าง พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ ก็เป็นศิษย์สายเขาอ้อนี้เช่นกัน

อาจารย์ เฮงอยู่เขาอ้อได้ประมาณสามเดือนก็เดินทางกลับเข้าพระนคร (กรุงเทพฯ) จากนั้นก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่ทุ่งหันตรา ไม่นานพ่อของท่านซึ่งป่วยอยู่ก็ได้จากไป ท่านจึงมุ่งหน้าศึกษาเรื่องไสยเวทอีกครั้งอย่างจริงจัง โดยคราวนี้ท่านได้เดินไปที่วัดประดู่โรงธรรม ซึ่งเป็นวัดที่เก็บเอกสารวิชาตำรับตำราโบราณตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร มหาราช มีบัญชาให้สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระเกจิเชื้อสายรามัญ เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมขึ้น โดยเฉพาะวิชาเดินทัพพิชัยสงคราม

หลักการของตำราพิชัยสงคราม สามารถแตกออกได้หลายแขนง อาทิ วิชาสมุนไพรรักษาโรคนานาชนิด, วิชาการสักยันต์และอักขระอันศักดิ์สิทธิ์, วิชาการตั้งพิธีกรรม, วิชาการตั้งค่ายกล, วิชาการตั้งทัพ, วิชาการเลือกชัยภูมิสร้างเมือง (ฮวงจุ้ย), วิชาตั้งปั้นเครื่องราง เป็นต้น

อาจารย์ เฮง ได้ศึกษาคัมภีร์รัตนมาลา หรือ คาถามหาพุทธาธิคุณ ซึ่งว่าด้วยบทอิติปิโสครบสูตร ในนั้นมียันต์มหาจักรพรรดิตราธิราช การศึกษาสมัยนั้นเมื่อท่องได้แล้วก็ต้องเขียนได้ เมื่อเขียนได้ก็ต้องเรียนพิธีกรรมเสริม เพราะแต่ละบทต่างก็ต้องใช้พิธีกรรมควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่ทำไปเรื่อยอย่างคนรุ่นหลังๆ อย่างการลบกระดานเพื่อเอาผงพุทธคุณ มือก็เขียนกระดานชนวนไปใจก็ตรึกนึกบริกรรมคาถา เขียนไปจนครบจบขบวน เวลาลบก็กลั้นใจให้คาถาอีกบทลบเอาผงเพื่อใส่ในบาตรพระ นั่นแลกว่าจะได้สักหนึ่งย่อมยากเย็นประณีตนัก

เครื่อง รางของขลังในยุคสมัยก่อนจึงมากไปด้วยความขลังศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพจริงๆ ไม่ใช่เปิดโรงงานนั่งปั๊มกันตึงๆ ทั้งวันทั้งคืน ของคนโบราณเขาดีทั้งในทั้งนอก เนื้อหามวลสารดีแล้ว แต่กว่าจะเป็นมวลสารได้ก็ต้องว่าคาถาทุกขั้นตอน จึงไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมพระเครื่องรางของขลังเก่าๆ จึงขลัง ผู้ใดใครมีจึงห่วงแหนนัก เพราะเป็นของที่ดีจริงๆ เลิศจริงๆ เพราะเขาไม่ได้ทำกันเล่นๆ ในการเสกเครื่องรางก็ต้องตั้งราชวัตรฉัตรธง เป็นสถานที่สำหรับเสก ต้องมีการบวงสรวงพิธีกรรมต่างๆ นานาชนิด ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คิด คนที่ขาดความละเอียดและไม่ได้ศึกษามาโดยตรงหากไปจับไปต้องคงจะทำไม่ได้ตาม สูตรแน่แท้

เมื่อ อาจารย์เฮงศึกษาจนแตกฉานแล้ว จากนั้นท่านคิดที่จะศึกษาเรื่องของยันต์นะครบสูตรอีกสูตรหนึ่ง ซึ่งตอนท่านอยู่ทางใต้ยังไม่ทันได้ศึกษา เพราะมีเหตุต้องกลับมาที่บ้านก่อนด้วยเรื่องของพ่อท่าน สูตรยันต์ที่ว่านี้คือ ยันต์นะ ๙ เฮชาตรี เป็นที่สุดยอดอีกหนึ่ง ผู้ที่มีความรู้เรื่องยันต์นี้เหลือน้อยเต็มที แต่บังเอิญ หลวงพ่อกลั่น ธรรมโชติ วัดพระญาติการาม พระนครศรีอยุธยา ท่านมีความรู้เจนจบในเรื่องนี้

อาจารย์ เฮงจึงได้มอบกายถวายชีวิตอุทิศตนเป็นลูกศิษย์ โดยขอบวชกับท่านนับเป็นการบวชครั้งที่สอง โดยมีหลวงพ่อกลั่น เป็นพระอุปัชฌาย์ วิชาของหลวงพ่อกลั่นไม่มีการจดบันทึกรวบรวมเอาไว้เป็นคัมภีร์ ใครจะศึกษาต้องถ่ายทอดกันปากต่อปาก คือ อยู่กันคนละฝาห้องอาจารย์จะเป็นผู้บอกตัวคาถาและอักขระให้ท่องจำเอาเองให้ ได้ เหตุที่ไม่มีการจดบันทึกเกรงว่าคาถานั้นจะร่วงหล่นไปตามพื้นเมื่อกระดาษนั้น หล่นหายหรือทิ้งทำลาย

วิชาที่อาจารย์เฮงศึกษาจากหลวงพ่อกลั่นนั้นมีอยู่หลายแขนง อาทิ ชักยันต์นะ ๙ เฮชาตรี, การฝังเข็มทอง, การ สักยันต์ณาณาณา เป็นกงจักรนารายณ์ ซึ่งมาจากอิติปิโสแปลงรูป (นารายณ์แปลงรูป) การฝั่งเข็มทอง คือ เอาทองคำแท้มาทำเป็นเข็มเล็กๆ ฝังเข้าไปในลำตัว การฝังโดยมากจะใช้ถึง ๙ เล่ม ฝังพร้อมกัน โดยว่าคาถาแล้วให้พลังจิตดันเข็มเข้าไป เมื่อฝังแล้วเวลาที่เข็มวิ่งหรือว่ามีเหตุอันใดเกิดขึ้นนั้นเข็มทองจะวิ่ง เข้าเนื้อทิ่มแทงเนื้อเตือนตน ให้เรารีบออกจากสถานที่นั่นเสีย เป็นสุดยอดอีกหนึ่งวิชาของหลวงพ่อกลั่น เมื่อการเรียนรู้อยู่กับหลวงพ่อกลั่นนั้นจบสิ้นตามปรารถนาแล้ว อาจารย์เฮงอยู่รับใช้หลวงพ่อกลั่นอีกระยะหนึ่งแล้วจึงลาสิกขาบท

มี เรื่องเล่ากันว่าเพราะท่านเรียนมามากจึงเกิดอาการร่ำร้อนวิชาขึ้นมาทุกขณะ ที่สุดก็ลาสิกขาบท เพื่อนๆ ของท่านที่เป็นพระยาทราบว่าสึกจากพระแล้ว ได้วิชาดีมากมาย จึงมาขอของดีด้วยการน้อมตัวเป็นศิษย์ พระยาเพชรปรีชา เป็นผู้นำมา การสักยันต์ในคราวแรกต้องทำกันที่วัดสะแก โดยอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ได้นิมนต์ หลวงปู่สี พินทสุวณฺณ เป็นฝ่ายสงฆ์ในการสวดทำพิธี การจะสักยันต์ของอาจารย์เฮงนั้นต้องตั้งราชวัตรฉัตรธง ทำแท่นบูชาพระอรหันต์ ๑๐๘ รูป พระสงฆ์สวดพระคาถา ส่วนอาจารย์เฮงท่านก็สักและว่าคาถากำกับไปด้วย (อ่านต่อสัปดาห์หน้า).

อาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ ท่านสร้างเครื่องรางเอาไว้มากมาย เครื่องรางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ เหรียญสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เป็นเหรียญพรหมสี่หน้า ด้านหลังหลวงปู่สี วัดสะแก เป็นผู้จาร อาจารย์เฮงลงคาถาอาคมกำกับก่อน จากนั้นหลวงปู่สีท่านจารเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกสำทับหนึ่ง

ประสบการณ์ ของผู้ที่ได้บูชาเหรียญพรหมของอาจารย์เฮงนั้นมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการอธิษฐานขอ การขอนั้นโดยมากจะสำเร็จไปในเรื่องของการค้า และความเมตตาในด้านต่างๆ

มี แขกแถวๆ พาหุรัดคนหนึ่งได้เหรียญของอาจารย์เฮงเอาไว้บูชา แรกๆ ก็ขายผ้าโดยเช่าห้องเล็กๆ ขายอยู่ แต่ทว่าการค้าไม่ค่อยดี ทั้งที่ร้านของคนอื่นขายดี ทุกวันๆ เมื่อได้เหรียญพรหมมาเลยทำพิธีคงคาอารตี ซึ่งเป็นพิธีบูชาเทพแบบฮินดู

เมื่อ ทำไปแล้วอธิษฐานขอให้ขายค้าผ้าดีๆ หลังจากนั้นไม่ถึงเจ็ดวัน การค้าที่ซบเซามานานก็เริ่มมีคนมาซื้อของมากขึ้น เริ่มมีลูกค้ามาสั่งผ้าชุดยกชุดขนาดใหญ่ๆ มากขึ้น จนผ่านไปสองปีถึงกับตั้งตัวเป็นเถ้าแก่ได้อย่างภาคภูมิ

เครื่อง รางของอาจารย์เฮงจึงได้โด่งดังมีผู้นิยมมากด้วยเหตุนี้ เหรียญพรหมสี่หน้าของท่านมีทั้งแบบเนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ เนื้อทองแดงก็มีปรากฏเช่นกัน ราคาอยู่ที่ระดับหลักหมื่นกลางๆ ถึงแสน แล้วแต่สภาพและความสวยงามของเหรียญเป็นหลัก อย่างไรก็ตามต้องระวังของเก๊ที่มีระบาดเพียบครับ.

ราช รามัญ

Sunday, July 12, 2009

ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง

นับวันอาจารย์ ประสาน ต่างใจ จะเขียนย้ำเตือนมากขึ้นเรื่อยๆถึงภัยพิบัติที่ำกำลังจะมาถึง 2012 มีหลักฐานมากมายที่ถูกอ้างถึง คราวนี้เป็นเรื่องดวงดาว และคำทำนายของนอสตราดามุสที่ตรงกันอย่างยิ่ง
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมก็อยากให้คุณรอดชีวิต และเป็นคนดีครับ

เชิญอ่าน
http://www.thaipost.net/sunday/120709/7634

ที่ยกเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้ ขอให้ผู้อ่านคิดให้ถ้วนถี่ว่าเหตุผลที่เรามีเราใช้ ในการกำหนดและกำกับวิถีชีวิตของเราอยู่ทุกวันนั้น คืออะไร? และคิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวของโลกหรือไม่? คิดให้ดีแล้วถึงค่อยอ่านต่อให้จบ เพราะบทความวันนี้น่ากลัวแถมยังเป็นไปได้ และต้องรู้ว่าที่ยกมานั้นไม่ใช่คำพูดของผู้เขียน หากแต่เป็นของศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด จิตแพทย์จอห์น อี. แม็ก ที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 60 ปีต้นๆ ในคำนำหนังสือของเขา (John E. Mack: Abduction, 1995)-ซึ่งผู้เขียนได้นำเนื้อหามาเขียนลงในไทยโพสต์ในปีนั้น และปีต่อๆ มาสองหรือสามบทความ โดยเฉพาะข้อสงสัยของผู้เขียนที่เขียนลงในบทความชื่อว่า ทำไม? การลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวถึงเกิดกับฝรั่ง-เพิ่งมารู้คำตอบในเว็บไซต์ www.abovetopsecret.com ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2008 นี่เองที่บอกว่า มนุษย์ต่างดาวมักจะลักพาตัวหรือเลือกคนที่มีเลือดเป็นชนิด Rh-negative โดยเฉพาะมาจากครอบครัวฝ่ายแม่ทั้งตระกูล ซึ่งคนฝรั่งมีหมู่เลือดเช่นนี้มากถึง 15% แต่คนเอเชียมีน้อยมาก คือมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า-ดังที่ได้เขียนมาตลอด-คนมองโกลอยด์รวมทั้งไทยเรามา จาก โฮโมอีเรกตัส ที่อพยพไปและวิวัฒนาการไปด้วยกัน-เป็นโฮโมซาเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบัน-ที่เอเชียหรือทางตะวันออก แทนที่จะรอให้มีวิวัฒนาการที่แอฟริกาก่อนถึงจะอพยพในทีหลัง เช่น คอร์เคเซียนและนิโกร ซึ่งทำให้สามารถอธิบายกำเนิดการของมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง (Java man and Peking man) ซึ่งเป็นโฮโมอีเรกตัสได้ทั้งหมด

กลับมาที่จอห์น อี. แม็ก อีกครั้ง ตอนนั้นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่บ้านเราได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในเรื่อง หนังสือ (เรื่องที่ว่า) ของเขาหลังจากหนังสือวางตลาด เพราะอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการได้ไปฟ้องอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใน ตอนนั้นว่า หนังสือของเขาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง อธิการบดีจึงตั้งคณะกรรมการ ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์มาสอบสวน คณะกรรมการได้ทำการตรวจงานวิจัยอันเป็นที่มาของหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าคณะกรรมการต่างเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่างานวิจัยและหนังสือของเขาเป็น "วิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ทำให้อธิการบดีและคณะกรรมการต้องออกหนังสือเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางไปพบจอห์น อี. แม็ก ถึงบ้านเพื่อขอโทษ และได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์บ้านเราต้องเอามาลง

ที่เอาเรื่องทั้งหมดมาลงที่นี่ ก็เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์หัวเก่าไม่ว่าที่ไหนรวมทั้งบ้านเรา ที่จอห์น อี. แม็ก เรียกว่า คนที่อยู่ในยุควัตถุนิยมจ๋า (material paradigm) ที่กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนมาสนับสนุนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่-ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ กลับเป็นตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่าเดิม ซึ่งให้ความจริงน้อยกว่ามากนัก-โดยที่วิทยาศาสตร์ใหม่จะให้ความจริงที่ เหมือนกับความจริงทางศาสนาที่เกิดขึ้นมาจากทางตะวันออก ซึ่งไม่มีเหตุผลดังที่นักฟิสิกส์ใหม่หลายๆ คนบอกเรื่องที่ปราศจากตรรกะและไร้เหตุผลอย่างนี้ ก็เหมือนกับคำทำนายของศาสนาและลัทธิความเชื่อในวัฒนธรรมต่างๆ เช่นเรื่องของความล่มสลายระดับโลกในปี 2012 ตามปฏิทินของชาวมายาที่อเมริกากลางบอกไว้ (the crash of 2012!) ซึ่งตรงกับปีมะโรง พ.ศ.2555 อันเป็นปีที่พระเถระอาวุโสมากหลายในพุทธศาสนาและของศาสนาใหญ่ต่างๆ แทบจะทุกศาสนาเตือนให้ชาวโลกระวังไว้เหมือนๆ กัน ทั้งยังตรงกับผู้เขียนอายุครบ 84 ปี ซึ่งที่ผู้เขียนได้บอกกับเพื่อนๆ หลายคนว่าผู้เขียนน่าจะตายในปีมะโรงนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะไม่มีตรรกะและเหตุผล มองไม่เห็น อันเป็นที่มาของเหตุผล ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์นั่น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งในพุทธศาสนา และทั้งในทางฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเมคานิกส์ ซึ่งทั้งสองวินัยที่บอกไว้เหมือนๆ กันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นศักยภาพของความ "น่าจะเป็นไปได้" หรือทางเลือกของผู้สังเกต (choice) หรือจิตของเรา (Henry Stapp: Mind, Matter and Quantum Mechanics, 2004; Arthur Zajonc editor: New Physics, Cosmology and Buddhism (dialogue with Dalai Lama), 2004) เนื่องจากภาวะล่มสลายของสภาพความเป็นคลื่น (wave-function collapse)

เพราะฉะนั้น ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากคำทำนาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ทำนายอย่างผิดๆ หรือคาดการณ์เอาเอง แต่โดยที่ทางเลือกของความ "น่าจะเป็นไปได้" มีหลายๆ อย่างทำให้เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากการเลือกหรือความล่มสลายของคลื่นไปเป็นอย่างอื่น อย่าลืมว่าควอนตัมเมคานิกส์นั้นไม่มีทั้งตรรกะและเหตุผลเช่นในคลาสิคัล ฟิสิกส์ของนิวตัน ที่เป็นความจริงทางโลกแห่งกายวัตถุโลกที่เรามองเห็นหรือรับรู้ อันเป็นที่มาของตรรกะและเหตุผล (ซึ่งเป็นไปเพื่อใช้กับมนุษย์ด้วยกันเอง) การเกิดของเหตุที่ก่อผลซึ่งทำนายได้ (cause and effect; and determinism) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ในโลกแห่งกายวัตถุที่มีเหตุผล และกฎแห่งคลาสิคัลฟิสิกส์กำหนด ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับควอนตัมเมมานิกส์ ดังที่ เดวิด ฟิงเกลสไตน์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากเอ็มไอที (MIT) ที่กล่าวว่า "เราจะหาตรรกะเหตุผลในควอนตัมเมคานิกส์ไม่ได้หรอก ต้องหาตรรกะทางควอนตัมถึงจะได้" (cited by Nick Roberts: Quantum Reality, 1985)

เพราะฉะนั้น คำทำนายในศาสนาใหญ่ๆ ต่างๆ รวมทั้งคำทำนายของนอสตราดามุส เอดการ์ เคซี รวมทั้งปฏิทินชาวมายาในเรื่อง 2012 และเรื่องการย้ายแผนที่โลกหรือย้ายขั้วโลก (geographical reversal & pole shift) ก็คล้ายๆ กับเรื่องของ 5-5-2000 ที่ดาวมาเข้าแถวกันถึง 7 ดวง ซึ่งในวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นในวันและ เวลานั้นๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการทำนายที่ผิด แต่จะเป็นไปตามกฎทางเลือกแห่งควอนตัมที่อธิบายว่าความ "น่าจะเป็นไปได้" ที่กล่าวมาข้างบนนั้น อย่าลืมว่าศาสดาอรหันต์ หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญในศาสนาต่างๆ นั้น ต่างก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายในสมาธิหรือเป็นญาณหยั่งรู้ (intuition) ในขณะที่จิตของผู้สังเกตเผชิญกับทางเลือกหลายๆ อย่างพร้อมกัน แต่ละคนที่เป็นศาสดาอรหันต์หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญนั้นๆ ย่อมเห็นหรือรับรู้เหมือนๆ กัน แต่การสลายคลื่นศักยภาพของความน่าจะเป็นไปได้ (wave-function collapse) ขึ้นกับจิตในขณะนั้น และยังขึ้นกับสิ่งแวดล้อมขณะนั้นด้วย แต่ผู้ทรงศีลหลายคนรวมทั้งผู้ที่มีความสามารถต่างก็เห็นหรือรับรู้เช่นเดียว กัน แม้เวลาจะต่างกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่จะเกิดในปี 2012 หรือปีมะโรง 2555 จึงมีความน่าจะเป็นไปได้สูงมากกว่าปกติ ที่นักวิชาการจะต้องฟังเพื่อเตรียมบอกประชาชนว่า จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด

ริชาร์ด มูลเลอร์ (Richard Muller: Nemesis, 1988) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ คิดว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งของดาวคู่แฝด (binary-star system) ที่มีวงโคจรที่ดวงอาทิตย์ทั้งสองจะปรากฏให้เราเห็นในท้องฟ้า ว่าเรามีดวงอาทิตย์สองดวงในทุกๆ 26-30 ล้านปี ที่พ้องกันกับเหตุการณ์ล่มสลายของโลก (mass extinction) ที่เกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชนโลกเพราะดาวใหญ่จะเกี่ยวมา เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อนพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และในยุคอีโอซีน พร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของแมมมอสยักษ์เมื่อราวๆ 30 ล้านปีก่อน จริงๆ แล้วภายใน 250-260 ล้านปีที่แล้ว โลกเราเกิดสภาวะล่มสลายทั้งหมดสิบครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชน สังเกตได้จากช่วงเวลาที่พบอิริเดียมในชั้นดินแต่ละครั้งล้วนห่างกัน 26-30 ล้านปีทั้งนั้น ยกเว้นสองครั้งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ (periodic extinction) คาดว่าอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งเฉียดเฉี่ยวโลกไป (Raup and Salowski) เรื่องที่ริชาร์ด มูลเลอร์ กับหนังสือของเขา (Nemesis, (ผู้ล้างแค้น) 1988) นี้ ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทความลงในไทยโพสต์ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ที่สำคัญคือ ทฤษฎีของริชาร์ด มูลเลอร์ เรื่องของดวงอาทิตย์คู่แฝดที่มีวงโคจรทำให้สองดวงต้องมาเจอกันในท้องฟ้า ทุกๆ 26-30 ล้านปีที่เล่ามานี้-ซึ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ-ไม่เพียงแต่ ตรงกับสภาพล่มสลายโลกเป็นประจำ (periodic extinction) จากแรงโน้มถ่วงของดาวที่ไปเกี่ยวกับอุกกาบาต-ดาวหางให้มาชนโลกของสองคนดัง กล่าวเท่านั้น แต่ยังไปตรงกับรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ปีเตอร์ วอร์โลว์ (Peter Warlow: Pole Flipping and Earth Magnetism, New Scientist, 1978) ที่คิดว่าการย้ายแผนที่โลก (geographical upheaval) ต่างหากที่เป็นสาเหตุของการสลับขั้วแม่เหล็ก ดวงอาทิตย์กับโลกในทุกๆ 26-30 ล้านปี ไม่น่าใช่ตามที่นักคอมพิวเตอร์ขององค์กรนาซาคิด นอกจากทางวิทยาศาสตร์แล้วยังตรงกับคำทำนายของศาสนาใหญ่ๆ เช่น พุทธ คริสต์ หรืออิสลาม และของนอสตราดามุส กับปฏิทินมายาที่เลิกไปในปี 2012

นอสตราดามุสเขียนในโคลง 2:41 ว่า

"ดาวใหญ่ดวงหนึ่งจะแผดเผาอยู่เจ็ดวัน

เมฆจะทำให้ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสองดวง"

และโคลงที่ 1:84 ที่มีว่า

"ดวงจันทร์จะเกิดความมืดอย่างที่สุด

พี่ชาย (ดวงอาทิตย์) ผ่านสิ่งที่มีสีแดงคล้ำเช่นสีเลือด

ดาวใหญ่ที่ซ่อนตัวมานาน

ทำให้เหล็ก (อาวุธ) ของเขาอุ่นชุ่มในฝนสีเลือด"

คำแปลโคลงของนอสตราดามุสโดย แอลเลน วอห์น (Alan Vaughn: Patterns of Prophecy, 1976) ได้แปลส่วนหนึ่งของคำทำนายในโคลงของนอสตราดามุส (2:41 and 1:84) ว่า "จะมีดาวใหญ่สีเลือดดวงหนี่ง (อีกดวง) ปรากฏให้เห็นซึ่งลุกไหม้อยู่เจ็ดวัน และเมฆจะทำให้เห็นดวงอาทิตย์มีสองดวง" แอลเลน วอห์น บอกว่าดวงอาทิตย์ที่มีสองดวงนั้น "เป็นเรื่องที่เหลวไหล" ทางด้านของดาราศาสตร์ แต่ก็จะอธิบายโคลง 1:84 ได้ (โคลงของนอสตราดามุสทั้งหมดไม่เคยเรียงลำดับก่อน-หลังกันเลย) (John White: Pole Shift, 1994)

ผู้เขียนได้เรื่องที่น่าคิดและน่ากลัวยิ่งนี้ ก็มีความลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่เขียนดี เพราะวันนี้เวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนที่ผู้เขียนยังเรียนรู้น้อย กว่านี้ และผู้เขียนก็อายุมากขึ้นด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือวินัยที่หาความจริง ทั้งเรื่องเช่นนี้ยังสนับสนุนชาวโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงสู่ระดับจิตวิญญาณ ที่สูงกว่านี้ได้ จึงตัดสินใจเขียน อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พูดให้ที่ประชุมจิตวิวัฒน์ฟังว่าปี 2013 มนุษยชาติจะมีระดับจิตสูงกว่าเดี่ยวนี้ แต่ไม่บอกว่าประชากรโลกเหลือเท่าไร? หรือจะเป็นอย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อต้นปีนี้ว่า โลกจะเหลือคนเพียง 18% หรือราวหนึ่งในห้าคนเท่านั้น.

Monday, July 06, 2009

ไทยโพสต์ แทบลอยด์: สิทธิบัตรข้าวหอม GMO ได้หรือเสีย

from Thaipost.net 5.07.2009
http://www.prachatai.com/journal/2009/07/24973

ข่าว สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในอเมริกาสำเร็จ ทำให้คนเข้าใจว่าข้าวหอมมะลิจะเป็นของคนไทยตลอดไป จากนั้นอลงกรณ์ พลบุตร รีบสั่งให้รับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในไทย และรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี....แต่นี่คืออีกด้านหนึ่งของเหรียญ



"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน"

"สวทช.จดอาจไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000 ทุกอย่าง ยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น"


ข่าวสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ท่ามกลางความปลาบปลื้มภาคภูมิของคนไทย ซึ่งเข้าใจว่าการจดสิทธิบัตรจะทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นของคนไทยตลอดไป ไม่มีนักวิจัยฝรั่งต่างชาติที่ไหนมาลักขโมยเหมือนที่เคยพยายามเมื่อหลายปีก่อน

อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ สั่งการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารีบรับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในประเทศไทยพร้อมให้นโยบายรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีอีก
เช่นกัน ทั้งยังมีคำถามว่าเหตุใดกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงไม่รีบจดให้ สวทช.

อย่างไรก็ดี นักวิชาการกลุ่มเล็กๆ ในนามเครือข่ายวิชาการเพื่อคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพไทยได้ออกมาแถลงคัดค้านการจดสิทธิบัตรดังกล่าวในประเทศไทย โดยชี้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเปิดทางให้มีการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ เปิดช่องให้ "โจรสลัดชีวภาพ" เข้ามาปล้นทรัพยากรพันธุกรรมของคนไทย

นอกจากนี้ นักวิชาการกลุ่มนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การจดสิทธิบัตรในต่างประเทศก็ไม่ได้มีแต่ผลดีอย่างเดียว แต่มีผลเสียผลข้างเคียงที่ สวทช.ไม่ได้พูดถึง นี่คือการมองต่างมุมที่ต้องตามติดคิดใคร่ครวญ

ที่แท้ GMO จดแค่กระบวนการ

เรานัดสนทนากับ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี(BioThai) ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และรศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ แห่งคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วิฑูรย์เล่าให้ฟังก่อนว่า จริงๆ แล้ว สวทช.ยื่นขอจดสิทธิบัตรยีน (gene) ควบคุมความหอมของข้าวใน 10 ประเทศ คืออเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย จีน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฝรั่งเศส สหภาพยุโรป และประเทศไทย ในคำขอจดได้ยื่นขอให้มีการผูกขาดในเรื่องยีนควบคุมความหอม เมล็ดพันธุ์ต้นข้าวดัดแปลงพันธุกรรม และกรรมวิธีที่เกี่ยวข้อง

แต่ได้รับอนุมัติเฉพาะที่สหรัฐเท่านั้น โดยได้รับอนุมัติในแง่กรรมวิธีเพียง 4 ข้อถือสิทธิ์ คือ 1)วิธีการเพิ่มสารหอม Os2AP (2- acetyl-1-pyrroline) เพื่อผลิตข้าวจีเอ็มโอ 2) วิธีการทำให้ระดับ mRNA ของยีนควบคุมความหอมทำงานลดลง 3) การทำให้ลดลงคือการแสดงออกของโครงสร้างที่รบกวนการทำงานของ mRNA 4) การรบกวนดังกล่าวทำ ณ ตำแหน่งนิวคลีโอไทด์ที่ 609 -867 ของยีนความหอม

ทั้งนี้ ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 โดย สวทช.เป็นเจ้าของสิทธิบัตร หัวหน้าคณะวิจัยคือ รศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ม.เกษตรศาสตร์ และนักประดิษฐ์อื่นอีก 4 คน เป็นโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับศูนย์พันธุและวิศวกรรมแห่งชาติ

นี่คือข้าว GMO! หรือ
"กระบวนการสร้างข้าว GMO" อ.สุรวิชบอก
"มันชัดเจนอยู่ในชื่อสิทธิบัตรเลย the method วิธีการ transgenic นี่คือข้อถือสิทธิที่เขาส่งไป(เอาเอกสารให้เราดู) ชื่อสิทธิบัตรคือ transgenic rice plant ก็คือสิทธิบัตรข้าว GMO ที่มีความหอมแบบเดียวกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งในงานวิจัยทั้งหมดเขาไม่ได้ใช้ข้าวหอมทำการทดลองเลย เขาไปเอาข้าวอื่นมาแล้วไปหยุดการทำงานของยีนตัวหนึ่ง"

อ.สมชายอธิบายว่าสิทธิบัตรที่ไปจดในอเมริกา เป็นเพียงกระบวนการควบคุมยีนตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับความหอมของข้าวหอมะลิ

"อธิบายง่ายๆ คือ เขาไปพบว่าในข้าว ถ้าเราไปทำอะไรบางอย่างให้ยีนตัวหนึ่งมันไม่เปลี่ยนสภาพไป ปกติข้าวทั่วไปยีนตัวนี้มันแปรสภาพไป มันจะทำให้ไม่หอม นี่คือธรรมชาติของมัน แต่ข้าวหอมมะลิของเรายีนตัวนี้มันกลายพันธุ์ มันไม่แปรสภาพไปตามปกติเหมือนข้าวพันธุ์อื่นๆ มันเลยยังคงความหอมอยู่"

"เขาวิจัยพบว่า อ๋อ กระบวนการอย่างนี้ถ้าเราไปหยุดยั้งไม่ให้มันแปรสภาพไปตามปกติ มันก็จะยังคงความหอมได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยไปจดกระบวนการนี้ว่าเข้าไปลดการเปลี่ยนแปลงของยีนตัวนี้ให้น้อยลง ให้มันยังคงสภาพเดิมอยู่ ความหอมก็ยังคงมีได้"

"วิธีการที่เขาทดสอบคือ เขาเอาข้าวนิปปอนบาร์เลย์ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่หอม เอายีนตัวนี้ใส่เข้าไปแล้วลดกระบวนการลง ไม่ให้มันเปลี่ยนตามปกติ ข้าวก็หอมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเอายีนตัวนี้ไปตัดต่อกับข้าวพันธุ์ไหนก็ได้ ควบคุมอย่าให้มันแปรสภาพ มันก็หอมหมด นี่คือสิ่งที่เขาจดได้ สหรัฐอเมริการับ
จด ณ ขณะนี้"

"ผลที่เกิดขึ้นคือ ต่อไปใครก็ตามถ้าจะทำให้ข้าวหอมโดยใช้วิธีการอย่างเดียวกัน เหมือนที่ สวทช.จดไว้ ทำไม่ได้ นั่นคือการตัดต่อพันธุกรรมโดยใช้ยีนนี้และใช้วิธีไปยับยั้งมันอย่างนั้น-อย่างที่เขาจดไว้แล้ว คุณทำซ้ำเขาไม่ได้แล้ว แต่สิทธิบัตรฉบับนี้เป็นสิทธิบัตรเฉพาะกระบวนการ เพราะฉะนั้นถ้าหากผมไม่ใช้กระบวนการอย่างเดียวกับ สวทช. ผมไปคิดกระบวนการอื่นขึ้นมาได้ ผมก็สามารถจดได้เหมือนกัน วิทยาการก้าวหน้าในอนาคต นักวิจัยอาจจะเจออะไรเพิ่มขึ้นอีกได้"

"ถ้าเป็นวิธีการอย่างนี้ ข้าว 2 พันธุ์ทำให้หอมเหมือนกันด้วยวิธีการที่ต่างกัน ต่างคนต่างจะไม่ละเมิดสิทธิบัตรกันและกัน สุดท้ายมันหอมออกมาเหมือนกันนะ แม้ว่าผมจะเอาข้าวพันธุ์นิปปอนบาร์เลย์แต่ผม
ใช้วิธีการอื่นออกมาหอมเหมือนกัน คุณจะมาว่าผมละเมิดสิทธิบัตรคุณไม่ได้"

"เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้นก็ต้องเริ่มตั้งแต่จดยีนตัวนี้เลย จดให้ได้เลยว่ายีนตัวนี้เราค้นพบ ถ้าคุณคุมยีนตัวนี้ได้คุณจะคุมเรื่องความหอมได้ ถ้าคุณจดเป็นเจ้าของได้ใครจะเอายีนตัวนี้ไปทำก็ละเมิดสิทธิบัตร เห็นไหมว่าขอบเขตความเป็นเจ้าของมันจะเริ่มใหญ่ขึ้น ใครก็ตามไม่สามารถผลิตข้าวที่มียีนตัวนี้เหมือนของ สวทช.เด็ดขาด"

แล้วทำไมอเมริกาไม่รับจด
"ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสหรัฐอเมริกาไม่รับจดตัวนี้ เพราะที่ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรฉบับก่อนหน้า
นี้ สวทช.ขอไปหมด ซึ่งรวมทั้งที่เขายื่นขอในสหภาพยุโรป ก็ขอไปหมด ตั้งแต่ตัวต้นข้าวที่เป็นจีเอ็ม ตัว
ยีนความหอม สิทธิบัตรนี้ชื่อสิทธิบัตรข้าวตัดต่อพันธุกรรมให้มีความหอม เขาขอตัวเมล็ดด้วย และกระ
บวนการด้วย ขอใน 4 เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งคลุมทั้งหมด แต่ออกมาเฉพาะกระบวนการเท่านั้น"


สิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เหยื่อบรรษัท

อย่างไรก็ดี วิทูรย์ชี้ว่าแนวทางของเครือข่ายนักวิชาการคุ้มครองชีวภาพคือ คัดค้านการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เพราะการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เป็นการแปรรูปทรัพยากรชีวภาพให้กลายเป็นทรัพย์สินผูกขาดของเอกชนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ระบบกฎหมายสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต จะกลายเป็นโอกาสให้
บรรษัทและประเทศอุตสาหกรรมเข้ามายึดครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศกำลังพัฒนา ที่ผ่านมา มหาอำนาจพยายามผลักดันให้มีข้อตกลงเรื่องนี้ในองค์กรการค้าโลก แต่ยังไม่สำเร็จ จึงพยายามผลักดันผ่าน FTA เช่น FTA ไทย-สหรัฐ ก็มีข้อตกลงเรื่องนี้ซึ่งได้คัดค้านกันอย่างหนักมาแล้ว

อ.สมชายยกตัวอย่างว่า ถ้า สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิได้จะเกิดอะไรขึ้น

"ถ้าสมมติเขาสามารถจดเป็นเจ้าของยีนตัวนั้นได้ ไปตรวจแล้วพบยีนที่เหมือนกับยีนตัวนี้อยู่ในข้าวต้นไหน นั่นหมายความว่าคุณกำลังใช้ยีนที่เขาเป็นเจ้าของ การที่เขาจดยีน ถ้าดูที่คำขอเขาไม่ได้จดเฉพาะที่มันเหมือนกันเป๊ะๆ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาขอยีนที่ใกล้เคียงกับยีนของเขา 70 เปอร์เซ็นต์ 80 เปอร์เซ็นต์ 90 เปอร์เซ็นต์ เขาขอหมดเลยนะครับ ถ้าหากว่าได้ไปหมายความว่ายีนที่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์โดนแน่นอน ยีนที่เหมือน 90 เปอร์เซ็นต์ก็โดน 80 ก็โดน 70 ก็โดน หรือถ้าเขาวินิจฉัยว่าอย่างนี้เหมือนมาก ก็โดนอีกเหมือนกัน"

"ผลมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาได้สิทธิบัตรกระบวนการแต่ผมได้ข้าวหอมเหมือนกันโดยกระบวนการคนละอย่าง เขาว่าผมไม่ได้ แต่ถ้าได้สิทธิบัตรยีน เป็นยีนเดียวกัน คุณจะใช้วิธีต่างกันอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้ายีนออกมาเหมือนกัน ยีนนี้ผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นคุณละเมิดสิทธิบัตรผม มันต่างกันแล้ว ขอบเขตการคุ้มครองสิทธิของเขาเยอะขึ้น"

"ในประเทศไทยตอนนี้กรมทรัพย์สินฯยังไม่ให้จด สมมติเขาไปจดที่อเมริกาได้ ประเทศไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปประเทศอเมริกา เข้าไปที่กรมศุลที่ท่าเรือแล้วเขาบอกว่าข้าวล็อตนี้มียีนที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตร ผลจะเกิดอะไรขึ้น เท่ากับคุณละเมิดสิทธิบัตรเขา ห้ามนำเข้า อะไรจะเกิดขึ้น และถ้าเขาตามไปจดทั่วโลกล่ะ ประเทศไหนที่อนุญาตให้จดยีนมีสิ่งมีชีวิตเป็นสิทธิบัตรได้ เวลาเราส่งไปขายประเทศนั้นๆ เขาก็ตามไปอ้างว่ายีนแบบนี้ในประเทศนี้ผมเป็นเจ้าของ คุณส่งเข้ามาไม่ได้"

"จะบอกว่าโชคดีก็นับว่าโชคดี ที่คนที่ได้สิทธิบัตรค้นพบเรื่องยีนหอมเป็นคนไทย บังเอิญเป็น สวทช. ขณะนี้ สวทช.ยังจดยีนที่สหรัฐไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาคงพยายามที่จะจด สมมติก็แล้วกันว่าถ้า สวทช.ไม่ใช่คนพบ เป็นฝรั่งพบ ระเนระนาดเลยธุรกิจเรื่องข้าวหอมมะลิ"

วิทูรย์ยกตัวอย่าง "เคยเกิดขึ้นแล้วกรณีถั่วอีโนล่าของเม็กซิโก ซึ่งนักวิจัยสหรัฐตั้งบริษัทคอทเนอร์ และจดสิทธิบัตรอีโนล่าซึ่งเป็นถั่วของเม็กซิโกที่เคยส่งมาขายที่อเมริกา ผลคือส่งเข้าไม่ได้ ถูกกันไว้ที่ท่าเรือ เขาบอกว่าถ้ามาขายเมื่อไหร่เขาจะฟ้อง ส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะเขาอ้างว่าถั่วที่ส่ง
มามียีนซึ่งเขาจดสิทธิบัตรอยู่ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น"

เขาบอกว่าตอนนี้ก็เกรงจะเกิดขึ้นเพราะออสเตรเลียกำลังยื่นขอจดสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิในยุโรป

"ถ้าสมมติเป็นยีนตัวเดียวกันแล้วคนออสเตรเลียไปจดได้ในสหภาพยุโรป เราส่งข้าวหอมมะลิไปในสหภาพยุโรป เขาตรวจแล้วบอกว่ามียีนเดียวกับที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอยู่ ฉะนั้นเราละเมิดสิทธิบัตรห้ามนำเข้าในสภาพยุโรป" อ.สมชายชี้ผลทางกฎหมาย

"นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบนี้ ระบบสิทธิบัตรมีมาตั้งนานแล้ว ทำไมมันไม่มีปัญหาอย่างนี้ เพราะเดิมสิทธิบัตรใช้คุ้มครองการประดิษฐ์อะไรก็ตามที่มันไม่มีชีวิต มันไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือมาก่อน ใครสักคนคิดขึ้นมา อย่างนี้ให้เขา แต่คุณจดสิทธิบัตรยีนตัวหนึ่งที่อยู่ในต้นข้าว ข้าวนี้ออกมาเป็นเม็ด ถามว่าในเมล็ดข้าวมียีนอันนี้หรือเปล่า มี เอาเมล็ดข้าวนี้ไปปลูกมันงอกเป็นต้นข้าวขึ้นมาอีก ถามว่ามียีนอันนี้หรือเปล่า มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าตรวจส่วนไหนก็จะเจอ แต่ถามว่าเขาเป็นคนสร้างยีนในต้นข้าวนี้รุ่นที่ 2 รุ่น ที่ 3 หรือเปล่า คุณแค่ค้นพบยีนตัวนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องโทรศัพท์ คุณมีสิทธิบัตรในโทรศัพท์ซึ่งโทรศัพท์มันออกลูกเองไม่ได้ เจ้าของต้องผลิตออกมาเป็นเครื่องที่ 2 3 4 มันต่างกันเยอะเลย"

ข้าวพันธุ์อื่นมันก็มียีนที่คล้ายๆ กันมานานแล้ว
"ถูกต้อง ซึ่งไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของมาก่อน มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่เราใช้กันมา และกว่าที่จะเป็นข้าวหอมมะลิที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเกษตรกรกี่รุ่นแล้วที่ค่อยๆ เก็บ เริ่มต้นมันอาจจะไม่หอมก็ได้ อาจจะใครสักคน รุ่นต่อรุ่นค่อยๆ สอนกันมา จนกระทั่งมาเป็นพันธุ์นี้ ถามหน่อยอยู่ดีๆ ใครสักคนบังเอิญเก่งทางวิทยาศาสตร์ ผมไปเจอว่ายีนตัวนี้มันมีความหอม แล้วผมก็อ้างสิทธิเป็นเจ้าของหรือ อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมยหรือเปล่า ของที่ทุกคนไม่เคยมีใครสามารถอ้างได้คุณเอามาอ้างว่าเป็นเจ้าของ"

คนไทยอาจจะบอกว่า สวทช.ไปจดก่อนที่จะมีฝรั่งจด ไม่ดีกว่าหรือ
อ.สมชายบอกว่ามีสองมุมเหมือนกัน

"ในกรณี สวทช.ตอนนี้คือคุ้มครองเฉพาะกระบวนการ มันไม่ได้คุ้มครองอะไรเท่าไหร่เลยนะ เพราะคนอื่นสามารถใช้วิธีการอื่นเพื่อให้ได้ของอย่างเดียวกัน ซึ่ง สวทช.ไม่สามารถไปกีดกันเขาได้ แต่ถ้า สวทช.สามารถเป็นเจ้าของยีน ถามว่าได้สิทธิอะไรบ้าง แน่นอนคุ้มครองได้อย่างหนึ่งก็คือตลอดระยะเวลา 20 ปีนี้ใครก็ตามไม่สามารถจะใช้ยีนที่ สวทช.เป็นเจ้าของได้ แต่หลังจากนั้นล่ะ จะตกเป็นสมบัติสาธารณะทันที"

"และเวลาที่คุณยื่นจด คุณจะต้องบอกเขาว่ายีนตัวไหน ใช้วิธีการอย่างไรในการทำให้มันยังคงสถานะอย่างนั้นอยู่ได้ ฉะนั้นคนไม่รู้ก็จะรู้ทันที นักวิทยาศาสตร์ที่เขาเก่งๆ อ๋อ ยีนตัวนี้เอง วิธีการแบบนี้เอง ถ้าเขาสามารถเพิ่มเติมอะไรลงไปได้ เขาทำให้ข้าวหอมมะลิหอมเป็น 3 เท่าเลย ถามว่ามีความใหม่ มีขั้นการผลิตที่สูงขึ้นไหม มี เขาสามารถจดสิทธิบัตรได้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำไป"

วิฑูรย์เสริมว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่มีความสามารถที่จะวิจัยได้มากกว่า สวทช.หลายเท่า

"ความสามารถในการวิจัยของไทยกับของโลกเทียบกันไม่ได้ นี่คือประเด็นสำคัญ นักวิจัยกลุ่มนี้เก่งไหม เก่ง แต่น้อยมากเมื่อเทียบกับบรรษัททั้งหลาย ขนาดรัฐบาลสหรัฐตั้งโครงการ Human Genome Project ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลาหลายปี แต่ปรากฏว่าบริษัทเซเรล่าจีโนมิค ใช้เวลาไม่กี่เดือนเอง แล้วก็ทำ mapping เกือบเสร็จ จนบิล คลินตัน ต้องรีบมาแถลงว่าเขาทำเสร็จแล้วทั้งที่ตอนนั้นทำเสร็จแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะบริษัทบริษัทเซเร่ล่าจีโนมิคจะประกาศผลสำเร็จตัดหน้า นั่นขนาดรัฐบาลอเมริกามีงบประมาณมหาศาล มีทรัพยากร นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ยังไม่สามารถแข่งกับบริษัทเอกชนได้เลย ในกรณีนี้การที่เราเปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตร เราอาจจะจดได้ตัวนี้ตัวหนึ่ง แต่ว่าทรัพยากรทั้งหมดของเราล่ะ"


เปิดช่องต่างชาติ

อ.สมชายบอกว่า การที่ สวทช.จะไปจดเมืองนอกก็เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญคือทำไมจะต้องมาจดเมืองไทย ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรไทย มาตรา 9(1) ไม่อนุญาตให้จดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญายอมให้ สวทช.จดได้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้บริษัทต่างชาติจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน

"ผมอยากพูดอย่างนี้ว่า สวทช.ไปจดที่เมืองนอกก็ดี แน่นอนครับมันกันคนอื่นได้ ประเทศไหนที่เขาเปิดให้จด สวทช.จะไปจด ผมก็ไม่ว่าหรอก แต่ปัญหาที่กำลังจะตามก็คือมีคนเสนอว่าทำไมประเทศไทยไม่รับจดด้วยล่ะ"

"คำถามก็คือ วิธีการคุ้มครองของประเทศไทยทำไมจำเป็นต้องเท่าอเมริกา ถามว่าที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ผิดกติกาโลกอะไรตรงไหนหรือเปล่า ไม่ผิดเพราะเราทำตามข้อตกลง TRIPS ภายใต้ WTO ครบถ้วนแล้วของสหรัฐเขาคุ้มครองสูงกว่า ประเทศไทยควรคุ้มครองสูงเท่าเขาหรือเปล่า เรื่องการคุ้มครองแบบนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุ้มครองแล้วได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ แน่นอนสหรัฐเขาคุ้มครองแล้วเขาได้ประโยชน์ เพราะเขามีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี เขาค้นพบอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมดเลย ยิ่งมีการคุ้มครองเยอะเท่าไหร่เขายิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น แต่ในทางกลับกับสหรัฐอเมริกา ความหลากหลายทางชีวภาพเทียบกับประเทศไทยไม่ได้เลย เรามีเยอะกว่ามาก เพราะฉะนั้นถ้าอเมริกาเปิดให้จดแล้วเราก็ข้ามไปจดบ้านเขา นั่นประเด็นหนึ่ง แต่จะเปิดประเทศไทยให้รับจดได้ แน่นอน สวทช.จดไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000"

นั่นคือพันธุ์พืชทุกอย่าง สมุนไพร
"ทุกอย่าง เพราะถ้าเปิดจดยีน คือยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น มันห้ามได้ไหม"

"จริงๆ แล้วระบบกฎหมายสิทธิบัตรมันเป็นเรื่องที่กฎหมายจะให้สิทธิมากน้อยแค่ไหนก็ได้ การประดิษฐ์อะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ถามว่าห้ามได้ไหม ห้ามได้ไม่ขัดอะไรเลย ในสหรัฐอเมริกาเขาไม่รับจดสิ่งประดิษฐ์เรื่องนิวเคลียร์ มันมีกฎหมายห้ามไว้เลย เพราะเขากลัวเรื่องความมั่นคง และของเรา ผมอยากถาม ความมั่นคงทางอาหารเราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่เราจะตัดสินใจเปิดอะไร เพราะเปิดไปแล้วแก้ไม่ได้ มันจะเป็นปัญหาตามมา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะรั่วไหลไปแค่ไหน"

การต่อสู้ 2 แนวทาง

วิฑูรย์บอกว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพหรือสิ่ง
มีชีวิต

"มันมี 2 ชุดความคิด ตอนนี้มันสับสน แม้กระทั่งเราอ่านข่าวดูข่าวก็ดี ก็คือคนเข้าใจว่าถ้าจดสิทธิบัตรจะเป็นคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศ แต่เรากำลังจะบอกว่าไม่ใช่นะ การจดสิทธิบัตรมันเป็นการจดสิ่งประดิษฐ์มีความใหม่ ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ มีนวัตกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งถ้าใช้เกณฑ์นี้ในการจดเพื่อคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทรัพยากรชีวภาพ มันจะให้สิทธิผูกขาดแก่บริษัทหรือนักวิจัยหรือประเทศที่มีความสามารถที่จะเอาของที่มีอยู่ไปจดเพื่อใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม และในภายหลังมันขยายมาถึงขั้นที่ว่าแค่ค้นพบ function ว่าทำให้ข้าวเกิดความหอมมันก็จดได้"

"แต่มีกติกาของโลกอีกชุดหนึ่ง คืออนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งให้สิทธิอธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งเรายังใช้ประโยชน์น้อยไป เพราะดันไปเข้าใจว่าสิทธิบัตรจะคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ"

อ.สมชายกล่าวว่านี่คือแนวทางที่เราควรจะเลือกใช้มากกว่าการเปิดให้จดสิทธิบัตร

"อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศตัวเดียวที่พูดถึงเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ แต่สหรัฐอเมริกากลัวเสียเปรียบ ก็เลยไม่ยอมเข้าไปเป็นภาคี เพราะเขาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพเยอะ ถ้าเข้าเป็นภาคีเขาต้องทำตามกติกานี้ คือใครก็ตามที่จะไปใช้ทรัพยากรชีวภาพ เอาไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า ต้องบอกเจ้าของเขาก่อน ขออนุญาตเจ้าของเขา ถ้าเจ้าของเขาไม่ยอมก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าเขายอมเขามีสิทธิที่จะขอแบ่งผลประโยชน์ กระบวนการนี้กำลังถูกสร้างขึ้นอยู่บนเวทีโลก ในประเทศไทยมีแม่แบบแล้วคืออยู่ใน พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชปี 2542 แม้กฎหมายลูกยังไม่ทำงานดีนัก แต่เริ่มเห็นทิศทางของมัน"

"ต่อไปสมมติกติกาโลกอันนี้ได้รับการยอมรับ ทุกประเทศเอาไปใช้ในกฎหมายภายใน สหรัฐอเมริกาจะเอายีนข้าวหอมมะลิของเราไปวิจัยเพื่อดูว่ายีนตัวไหนทำให้หอม เขาจะต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งภายใต้ พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชของไทย เขาจะต้องขออนุญาตกรมวิชาการเกษตร และก็ทำข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ด้วย การที่เขาจะเข้ามาใช้ต้องขออนุญาตเรา ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องธรรมดาปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ คือเท่ากับเขายอมรับว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิ เท่ากับเขายอมรับอำนาจอธิปไตยของประเทศที่มีอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ นี่คือข้อกฎหมายที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่เขาไม่อยาก เพราะนั่นเท่ากับยอมรับว่าเราเป็นเจ้าของ เขาอยากได้ใช้ฟรีๆ ซึ่งถามว่ามันใช้ฟรีได้ง่ายไหม ง่ายมากเลย เดินเข้ามาหยิบข้าวไปกำหนึ่ง เด็ดใบไม้ไปใบหนึ่ง เขาก็สามารถวิจัยได้ เดิมเขาก็ทำกันมาอย่างนี้ แต่กติกาโลก ณ ขณะนี้ไม่ใช่แล้ว เพียงแต่ว่าอเมริกายังไม่ยอมเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ นี่เป็นการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แน่นอน สหรัฐอเมริกาพยายามจะผลักดันให้ประเทศไทยขยายสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในเวที WTO เขาก็พยายามผลักดัน แต่ว่ายังไม่สำเร็จเพราะประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศจับมือกัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพราะ ณ ปัจจุบันข้อตกลง TRIPSบอกไว้ว่าจะจดสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่แต่ละประเทศ มันเปิดช่องอยู่ เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ใช้สิทธิอันนี้ เราไม่คุ้มครองสิ่งมีชีวิต ตอนนี้เขากำลังพยายามจะให้คุ้มครองทุกอย่าง"

เราบอกว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ คิดว่าจดสิทธิบัตรน่าจะดีกว่า
"ขณะนี้ถามว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิอยู่หรือเปล่า เป็นอยู่ กติกาในการเข้าถึงพันธุ์พืชในบ้านของเราเองที่อ่อนด้อย จนให้ใครก็ตามสามารถเอาไปใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว แต่จริงๆ แล้วเรื่องของพันธุ์พืชมันแพร่หลายไปทั่ว อย่างอีรี มันกระจายไปทั่ว เพราะฉะนั้นในหลายองค์กรเขาบอกว่าคุณเอาไปใช้ได้ คุณเอาไปวิจัยแต่คุณห้ามหวงกันห้ามเป็นเจ้าของแต่เพียงคนเดียว แต่พอเอาระบบสิทธิบัตรมาใช้ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของมันจะหวงกันคนอื่นได้ตลอดเลย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก"

"ประเทศไทยได้ร่วมกับหลายประเทศ บราซิล อินเดีย เข้าไปในเวที WTO ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงTRIPS ว่าต่อไปนี้ใครก็ตามที่ยื่นขอสิทธิบัตรซึ่งเกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพ จะต้องบอกด้วยว่าคุณเอาทรัพยากรชีวภาพนั้นมาจากที่ไหน และแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของประเทศหรือเปล่า ประเทศไทยยื่นเสนอเข้าไปแล้วนะครับ แต่ยังอยู่ในระหว่างเจรจา สหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่อยากเปิดเผย เพราะจริงๆ แล้วสิ่งประดิษฐ์ที่เริ่มจากทรัพยากรธรรมชาติมันอาจจะแปรรูปได้หลายอย่าง จากยีนเขาไม่เพียงเอาไปตัดต่อเพื่อให้ข้าวพันธุ์อื่นหอม แต่เขาอาจจะเอายีนนั้นไปสร้างสารเคมีบางอย่างออกมาเป็นยา เป็นน้ำหอม มันคนละเรื่องแล้วนะครับ จากข้าวกลายมาเป็นน้ำหอมขวดหนึ่ง เวลาจดบอกว่าน้ำหอมผลิตจากจุลินทรีย์หรือยีนตัวนี้ เฮ้ยยีนนี้คุณเอามาจากไหน ตอนคุณหยิบมาคุณขโมยมาจากประเทศเขาหรือเปล่า หรือขออนุญาตเขาหรือเปล่า คุณแบ่งให้เขาหรือเปล่า นี่คือกติกาอีกชุดหนึ่งที่จะใช้ในการคุ้มครองตัวทรัพยากรชีวภาพ"

เมื่อมองจากกติกาใหม่แล้ว การที่ สวทช.ไปจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ แม้ถือว่าคุ้มครองแต่ก็คุ้มครองได้ระดับหนึ่งเท่านั้น

"การที่จะคุ้มครองไม่ให้สิ่งมีชีวิตถูกจดสิทธิบัตรเพื่อให้ใครสักคนเป็นเจ้าของ มันทำได้ 2 วิธี วิธีแรกก็คือเราจดตัดหน้าก่อน เพราะถ้าเราจดแล้วคนอื่นจดไม่ได้ อีกวิธีหนึ่งก็คือว่าคิดได้แล้วแบเลย ทำให้ความรู้นี้ไม่ใหม่อีกต่อไป เพราะฉะนั้นใครก็จดไม่ได้แล้ว ณ เวลานี้ประเทศไทย สวทช.ไปจดในต่างประเทศ คำถามคือคุ้มครองได้ไหม คุ้มครองได้ในระดับหนึ่ง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิธีการคุ้มครอง แต่หลังจาก 20 ปีมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะตกเป็นสมบัติสาธารณะ"

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการจดในประเทศไทย
"ประเด็นที่เรากำลังซีเรียสคือกำลังจะบอกว่าแม้แต่ประเทศไทยก็จดได้ด้วย นี่คนละเรื่องแล้วนะ คำถามคือจดในประเทศไทยดีไหม ถ้าจด ก็เท่ากับเราต้องแก้กติกาให้ประเทศไทยเปิดรับจด แน่นอน สวทช.จดในประเทศไทยได้ คนอื่นก็จะใช้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือถ้าเราเปิดกติกานี้แล้วมันต้องใช้กับทุกอย่าง นั่นหมายความว่าทรัพยากรชีวภาพไม่ใช่แค่ข้าว ทุกอย่างจะสามารถจดได้ภายใต้กติกาที่เราเปิดเอง"

"ถ้าเราจด เท่ากับเรายอมรับกติกาที่ต่างชาติเขียนให้เดิน ถามว่าเกมแบบนี้เราแข่งชนะเขาได้ไหม ไม่มีทางชนะ"

นี่คือทิศทางที่ประเทศไทยจะต้องเลือกว่าจะเดินตามเกมเปิดสิทธิบัตร หรือเลือกใช้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ อ.สมชายบอกว่ามี 2 ชุดความคิด

"ชุดความคิดแรกคือ ถ้าเราจดเองเท่ากับเรายอมรับในกติกาว่าเดินอย่างนี้และเราก็ลงไปเล่นในเกมของเขา แต่อีกชุดความคิดหนึ่งบอกว่าเนื่องจากโลกมันไปทางนี้ ถ้าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของเราในระดับหนึ่ง ก็ออกไปจดซะ ประเทศไหนเปิดให้จดออกไปจดหมดเลย ทีนี้ย้อนกลับมาว่าแล้วในประเทศไทยเอาอย่างไร นี่อีกประเด็นหนึ่ง"

แล้วถ้าไม่ให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมในประเทศไทย คนอื่นจะมาจดได้ไหม วิทูรย์บอกว่าไม่ได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาตอยู่แล้ว

"ใครก็มาจดไม่ได้ คนไทยก็จดไม่ได้"

วิทูรย์ชี้ว่าปัจจุบันกติกาโลกชุดใหม่คืออนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเร่งพัฒนาขึ้น ประเทศไทยจึงต้องเลือกว่าจะเล่นในกติกาไหน "ตอนนี้มันมีกติกาที่เราเล่นได้แต่เราไม่เล่น เราไปเล่นในเกมเขา"

เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า ตอนนี้มีการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตหลายอย่างแล้วในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยยังไม่ยอมให้จด

"มันจดเกลี้ยงเลยนะเช่นสิทธิบัตรมะละกอ GMO ไวรัสต้านทานโรคมะละกอ เป็นไวรัสของไทย เอาไปวิจัยแล้วมันจดทั้งตัวยีนไวรัส ทั้งตัวมะละกอ กรรมวิธีทั้งหมด เมล็ดมะละกอ การจดยีนเป็นการผูกขาดเป็นเจ้าของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งสายพันธุ์ แล้วเอายีนนี้ไปไว้ในพันธุ์พืชไหน เช่นพืชตระกูลอื่นเพื่อให้ต้านทานโรค ก็คุ้มครองหมดเกลี้ยงเลย เพราะตรวจส่วนไหนของพันธุ์พืชต้นนั้นก็เจอยีนนั้นเสมอ"

การจดสิทธิบัตรมะละกอส่งผลกับเราไหม
"เขาไม่ได้จดในประเทศไทย และเรายังไม่ได้ส่งออกมะละกอจีเอ็มโอ ตลาดจำนวนมากก็ปฏิเสธมะละกอจีเอ็มโอ"

ผู้อำนวยการไบโอไทยย้อนให้ฟังว่า การคุ้มครองข้าวหอมมะลิ ที่จริงประเทศไทยก็ได้ต่อสู้มาตลอด

"การคุ้มครองข้าวหอมมะลิมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ครั้งแรกสุดคือปี 2540 เราพบว่าบริษัทไรซ์เทคที่เท็กซัสไปจดเครื่องหมายการค้าและอ้างว่าเป็นข้าวหอมมะลิ ตอนนั้นก็เป็นกระแสใหญ่พอสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ตอนกรรมการของ IRRI(สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ) มาเข้าเฝ้า พระองค์ท่านถามเลยว่ากรณีนี้ที่ IRRI เกี่ยวข้องกับการวิจัยเรื่องข้าวจะจัดการอย่างไร อีรีก็ตอบว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่มีการไปอ้างแบบนั้น IRRI จะสนับสนุนรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ นั่นเป็นครั้งแรก เป็นสัญญาณ"

"พอครั้งที่ 2 มีนักวิจัยอเมริกา คริส เดีย เรน สถาบันวิจัยข้าวแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่รัฐอาร์คันซอซึ่งเป็นรัฐปลูกข้าวใหญ่ที่สุดทำโครงการวิจัยข้าวหอมมะลิเพื่อปลูกในอเมริกา ครั้งนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจดสิทธิบัตรที่สุด เขาเอาข้าวหอมมะลิไป โดยที่ไม่ได้ลงนามในข้อตกลง เขาอ้างว่าได้มาจากอีรี เราก็เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทักษิณว่าเรื่องนี้คุณต้องคุยกับอเมริกา ในที่สุดอเมริกาก็รับว่าจะไม่จดสิทธิบัตร"

"ระหว่างนั้น กฎหมายไทยพยายามออกมาคุ้มครองข้าวหอมมะลิ เราเสนอว่าต้องคุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิด้วย เพราะชื่อข้าวหอมมะลิอิงกับแหล่งทางภูมิศาสตร์ เวลาพูดถึงข้าวหอมมะลิทุกคนก็นึกถึงประเทศไทย นึกถึงทุ่งกุลาฯ เหมือนอินเดียเขาก็คุ้มครองข้าวจัสมาติ ในที่สุดรัฐสภาเห็นด้วยกับเราก็มีบทบัญญัติเปิดทางให้คุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิ แต่ในทางปฏิบัติยังต้องดำเนินการต่อ"

"ที่ผ่านมา เราก็เคลื่อนไหวมาโดยตลอดในเรื่องเอฟทีเอ ว่าคุณไม่มีสิทธิผลักดันให้เราแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เราผลักดันกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้มีภาคที่ว่าด้วยการเปิดเผยที่มาของทรัพยากรชีวภาพ ใครก็ตามจะจดสิทธิบัตรถ้าคุณไม่แสดงที่มาก็ไม่ชอบ"

เขาย้ำว่านี่คือสิ่งที่ประเทศไทยได้ต่อสู้มาตลอด เพื่อคัดค้านการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต

"กรณีข้ามหอมมะลิของคริส เดียเรน ปี 2545 อเมริกาไม่เป็นภาคีในอนุสัญญานะ ในทางกฎหมายเขาไม่ยอมรับว่าประเทศไทยมีสิทธิเหนือข้าวหอมมะลิ แต่เมื่อมีการพัฒนาโครงการวิจัยนั้นและจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร เราค้าน เราบอกว่าข้าวหอมมะลิเป็นทรัพยากร เป็นมรดกของประเทศ คุณจะจดสิทธิบัตรไม่ได้ ในทางการเมืองเขาเลยไม่ทำ ยุโรปส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกในอนุสัญญาเกือบหมดแล้ว ดังนั้นการที่เราส่งสัญญาณว่าเราเห็นด้วยกับการจดสิทธิบัตร มันเท่ากับเรายอมรับกติกาของสหรัฐ คือเรายอมไปเล่นในเกมเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันมีกติกาที่เจรจาต่อรองกันอยู่ แต่เหมือนกับเราไปส่งสัญญาณว่าเราจะเลือกใช้เครื่องมือสิทธิบัตรในระหว่างประเทศเพื่อจะคุ้มครองข้าวหอมมะลิของเรา"


สวทช.ไม่ใช่ประเทศไทย

อ.สุรวิชกล่าวว่าการให้ข่าวขณะนี้สร้างความสับสน

"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน ทั้งๆ ที่โดยกฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบันสิ่งที่เขาไปขอจดที่อเมริกามาขอจดที่เมืองไทยได้ เพราะกฎหมายสิทธิบัตรของเรายอมให้จดคุ้มครองกระบวนการทางชีววิทยา ของเขาเป็นกระบวนการทางชีววิทยา จดได้อยู่แล้ว รัฐมนตรีไม่ต้องไปเรียกกรมมาสั่งหรอก เพราะกฎหมายทุกอย่างเอื้ออยู่แล้ว แต่เขาไม่ประสงค์ ที่เขาออกข่าวมาเพราะเขาไม่ประสงค์จะทำอย่างเดียวกับที่เขาได้ที่อเมริกา เขาต้องการมากกว่านั้น ถ้าให้ผมวิเคราะห์ ผมวิเคราะห์ว่าเขาน่าจะมีความคิดแอบแฝง hidden agenda ที่จะพยายามเอาเรื่องนี้นำไปสู่การอนุญาตให้ทดลองจีเอ็มโอในไร่นา คือเขาจะเล่นเรื่องจีเอ็มโอ แต่เขาไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะมติครม.ครั้งแรกก็ห้ามทดลองในไร่นา ครั้งที่สองให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เขายิ่งตายหนักยิ่งไปกว่านี้ หน่วยงานที่ไปยื่นขอรับสิทธิบัตรเขาทำเรื่องจีเอ็มโออยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะดิ้นมาก เขาจะใช้ตรงนี้เป็นหอกที่จะทะลวงทางออกไป"

ในฐานะนักวิชาการเกษตร อ.สุรวิชบอกว่า สวทช.ทำเรื่อง GMO มานาน

"เขาให้นักวิจัยทำเรื่องนี้ มีทั้งข้าว มะละกอ พริก ฝ้าย มะเขือเทศ แต่รัฐบาลไทยห้ามทดลองในไร่นา ทำได้เฉพาะในโรงเรือน เพราะฉะนั้นตอนนี้เขามีข้อจำกัดอยู่ ซึ่งเขาอยากแก้ไขข้อจำกัดตรงนี้ เขาพยายามที่จะให้ข่าวคลาดเคลื่อน ให้ข่าวว่าเขาไปจดยีน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ เขาออกข่าวว่าเขาต้องการได้รับการปฏิบัติเหมือนได้รับที่อเมริกา แต่ที่จริงแล้วเขาต้องการมากกว่าที่อเมริกาให้เขา นี่คือประเด็นคือวาระซ่อนเร้นของเขา"

ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญาให้จดยีน จะเกิดผลอย่างไร
"เขาต้องการเป็นเจ้าของ คำถามของผมก็คือ ปกติแล้วการขอรับสิทธิบัตรหรือขอรับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเขาจะขอในประเทศซึ่งเป็นตลาด หรือประเทศที่คิดว่าจะมีการละเมิด แต่เขาพยายามมาจดประเทศไทยก็แปลว่าเขามีความคิดอยู่ในสมองลึกๆ ใช่ไหมว่าเขาจะฟ้องคนไทย หรือคนที่อยู่ในประเทศไทย เพราะถ้าไม่คิดฟ้องเขาจะจดทำไม มันต้องพูดถึงหลักการก่อนนะครับ เขาไปจดอเมริกาไปจดจีนเพราะรู้ว่าจะมีคนเอาเข้าจีน เอาเข้าอเมริกา ไปดักที่ตรงโน้น ไม่จ่ายก็จับ แต่นี่คิดจะมาจดประเทศไทย"

"ผมถึงเรียกร้องให้เขาออกมาพูดให้ชัดว่าสิทธิบัตรอันนี้เขาให้กับคนไทยทั้งประเทศ เขายังไม่ได้พูดเลยนะ เขาไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงด้วยซ้ำ เขาถวายเหรียญเขาไม่ได้ถวายสิทธิบัตรนี้ให้ในหลวง เขายังไม่ได้ให้เป็นของประเทศไทย และเขาก็ไม่เคยพูดว่าเขาให้กับประชาชนไทย แต่เขาบอกว่าเป็นของหน่วยงานไทย"

"สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐแต่ไม่ใช่ราชการนะครับ เหมือนรัฐวิสาหกิจสามารถที่จะตัดมิเตอร์ หน่วยงานราชการที่ไม่จ่ายค่าไฟภายใน 7 วันได้ เขามีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ตามกฎหมาย และเขาก็ยังไม่เคยออกมาบอกกับประชาชนเป็น public commitment เป็นสัญญาประชาคม ว่าผมจะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนชาติไทยนะ ไม่เคย เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนต้องไปบอกให้เขาพูดอย่างนี้ ถ้าเขาบอกว่าเขาทำให้คนไทยจริงพูดออกมาให้ชัดเจนเลย"

สิทธิบัตรนี้เป็นของ สวทช.หรือนักวิจัย
วิทูรย์บอกว่าเป็นของ สวทช. แต่จะมีสัญญาให้นักวิจัยได้ประโยชน์

"สิทธิเป็นของสวทช. นักวิจัยก็แล้วแต่ สวทช.จะกำหนดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง กรณีคอร์เนล ที่กอนซาเลซ เป็นนักวิจัยไวรัสมะละกอ มันเขียนไว้ชัดว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จะต้องแบ่งให้ทีมวิจัย และ 20 เปอร์เซ็นให้หน่วยงาน อย่างนี้เป็นต้น"

อ.สุรวิชบอกว่าในเมืองไทยส่วนใหญ่จะให้ 50:50 เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักวิจัยทำงาน

วิทูรย์บอกว่าการที่ สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นคำถามอีกเหมือนกันว่า สวทช.จะใช้สิทธิบัตรอย่างไรในอนาคต

"คนจะเข้าใจว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่ไม่ใช่ สวทช.ไม่ใช่หน่วยงานราชการ เป็นหน่วยงานของรัฐนอกระบบ ที่ผมกังวลอันหนึ่งคือบทบาทของ สวทช.ที่ผ่านมา กรณีแรกคือการที่ สวทช.ไปทำสัญญางานวิจัยร่วมกับบริษัทโนวาติส ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตร โดยตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย ตั้งแต่ปี 2548 โดยมี 2 เฟส เฟสละ 3 ปี ตอนนี้หมดเฟสแรกไปแล้ว การวิจัยนั้นเป็นการวิจัยเรื่องเชื้อราและทรัพยากรชีวภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในทางยา แต่รายละเอียดของตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย"

"สวทช.เหมือนกับได้สถาปนามาเป็นหน่วยงานทำหน้าที่ในการจัดการเรื่องของการใช้ประโยชน์ในรัพยากร ผมตั้งคำถามต่อว่าในกรณีของสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิที่เขาจดอยู่ปัจจุบันนี้ ต่อไปเขาจะมีสัญญาแบบนี้ไหม กับบริษัทอื่น เช่น มอนซานโต หรือบริษัทอื่นก็แล้วแต่ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากตัวสิทธิบัตรนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นถามว่าเขามีสิทธิจะทำได้ไหม เขาทำได้ ในระยะยาวใครจะทำให้เกิดหลักประกันว่าสิทธิบัตรเหล่านั้นจะไม่เป็นประโยชน์ หรือไปสร้างผลกระทบต่อชาวนาที่ปลูกข้าวหอมะลิในประเทศไทย"

"กรณีที่สอง มันมีงานวิจัยบางชิ้น เช่น การพัฒนาข้าวหอมนิล ซึ่งได้ทุนจากรัฐบาล เมื่อพัฒนาเป็นข้าวมาได้เขาก็ขายสิทธินี้ให้กับบริษัทเอกชน ทั้งการผลิต จำหน่าย ข้าวหอมนิลนั้น โดยที่ไม่ได้เผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน แล้วก็มีการเอาข้าวหอมนิลมาผสมกับข้าวหอมมะลิ ได้ข้าวสีนิลซึ่งมีธาตุเหล็กสูง แล้วนักวิจัยกลุ่มนี้-กลุ่มเดียวกับที่วิจัยข้าวหอมมะลินี่แหละ ตั้งบริษัท สีนิล ไรซ์ ร่วมกับบริษัทไชโยเอเอ ที่ขายพันธุ์ยูคาลิปตัส โดยนักวิจัยเป็นผู้ก่อตั้ง"

"ในอนาคตถ้ามีการเอาสิทธิแบบนี้ไปทำสัญญากับบริษัท ค้าขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิทธิบัตรนี้ ถ้าไปทำข้ามประเทศ อย่างบริษัทโนวาติส ไปผลิตข้าวที่มีความหอมอย่างข้าวหอมมะลิ ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร ตรงนี้ยังไม่มีใครพูด ตอนนี้สังคมไทยไม่เข้าใจ คิดว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่เราไม่รู้ว่า สวทช.จะทำอะไรได้บ้าง และที่ผ่านมาเขาทำอะไรไปบ้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เป็นคนกำกับ แต่แค่กำกับนะ หน่วยงานนี้เขามีระบบของเขา เหมือนกับเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างหนึ่ง สังคมไทยจะต้องจับตา ต้องตรวจสอบอย่างไรบ้างในกรณีนี้ เพราะกระบวนการจดสิทธิบัตรมันการเป็นการแปรรูปความหอมของข้าวหอมมะลิไปเป็นสิทธิของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แล้วแต่มติของคณะกรรมการ"

กรณีสีนิลไรซ์ผูกขาดข้าวพันธุ์นี้ไปเลยไหม
"เขาไม่ได้ไปจดคุ้มครอง แต่กระบวนการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมา เขาเก็บรักษาพันธุ์เอาไว้ เขาให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเผยแพร่ต่อ เพราะจะรักษาเชื้อพันธุ์ที่ดีเอาไว้ แล้วนักวิจัยก็ไปตั้งบริษัทร่วมกับเอกชน ทั้งที่ได้รับทุนจากรัฐบาล"

อ.สุรวิชกล่าวว่า ถ้าเกิดเรื่องในทำนองเดียวกัน ก็อาจเป็นได้ว่าวันหนึ่ง สวทช.หรือนักวิจัย จะบอกว่าอยากได้ทุน ก็อนุญาตให้บริษัทอเมริกาเอาสิทธิบัตรนี้ไปใช้

"ข้าวที่ผลิตมาจากกระบวนการนี้ไปปลูกที่ไหนก็หอม ไม่จำเป็นต้องปลูกที่ทุ่งกุลา ด้วยวิธีการนี้มันปลูกอเมริกาก็หอม คนได้ประโยชน์คือ สวทช.แบ่งกับอเมริกา แต่ถามว่าเกษตรกรไทยที่ขายข้าวไม่ได้ล่ะครับ ตรงนั้นคิดไหม เทียบเคียงกับข้าวหอมนิลก็คือเอาสมบัติของสาธารณะมาเป็นสมบัติของหน่วยงานของประเทศไทย ฟังดูดี แต่เฮ้ย เอาประโยชน์ของประชากรส่วนใหญ่มาให้หน่วยงานนี้ ถามว่าหน่วยงานนี้ทำไมต้องได้รับสิทธินั้น"

สมมติอเมริกาขอซื้อสิทธิปลูกเป็นล้านๆไร่
"เขาอยากขอใช้แน่นอน เพราะการทดลองนี้ทดลองกับข้าวเม็ดสั้น ซึ่งอเมริกาปลูกข้าวเม็ดสั้นเยอะแยะ เขาเปลี่ยนข้าวที่ปลูกในอเมริกาจากไม่หอมเป็นหอม เขาไม่ต้องทำข้าวเม็ดยาวอย่างของเรา คนอเมริกาก็อาจจะไม่ซื้อข้าวจากไทย ตลาดข้าวเราหด สวทช.ได้ประโยชน์ ฟังดูว่าประเทศไทยได้ประโยชน์ หน่วยงานประเทศไทยได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรไทยได้ประโยชน์หรือเปล่า น่าคิดนะ"

"คุณไปจดนี่คุณกะจะทำอะไร ต้องให้เขาแถลงให้ชัดเจน หนึ่ง เป็นของคนไทยใช่ไหม ให้สิทธิกับประเทศไทยทั้งหมดไหม สอง จดเพื่อการหวงกันถูกไหม แปลว่าจะไม่อนุญาตให้ใครในโลกนี้ใช้สิทธิในสิทธิบัตรนี้ถูกต้องไหม เอาแค่นั้นเลย เพราะถ้าคุณอนุญาตให้คนอื่นใช้สิทธิซึ่งไม่ใช่คนไทย คุณไม่ประสงค์จะหาเงินกับคนไทย แต่ให้ต่างประเทศใช้สิทธิ แล้วผลิตภัณฑ์ออกมาตีตลาดข้าวไทย คุณรับผิดชอบอะไร เกษตรกรไทยเดือดร้อน จดเพื่อหวงกันจริงหรือเปล่า จดหวงกันต้องไม่ให้คนอื่นใช้สิทธิ 20 ปีคนอื่นใช้ทำข้าวจีเอ็มด้วยวิธีนี้เพื่อให้เป็นข้าวหอม ไม่ได้ คุณพูดอย่างนั้นสิ ถ้าคุณจะทำเพื่อประเทศไทยต้องพูดอย่างนั้น แต่ผมว่าเขาไม่พูดหรอก"

สิทธิบัตร 20 ปีหมายความว่าเราจบเลยใช่ไหม อีก 20 ปีทุกคนก็ผลิตได้
"อีก 20 ปีเทคโนโลยีมันอาจจะเปลี่ยน ถ้าเขาพัฒนางานนี้ ทำให้มีสิทธิบัตรเกิดขึ้นใหม่ ก็ต่อได้อีก 20 ปีไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาไม่คิดว่าทำเพื่อประเทศ สมมติครั้งนี้เราไปบีบคอเขาห้ามอนุญาตให้ใครใช้สิทธิ เขาบอกฉันลงทุนเป็นสิบล้าน ไม่ให้ฉันหาเงินเลย เพราะฉะนั้นฉันไม่ทำแล้วงานวิจัยอย่างนี้ 20 ปีเราก็หมด"

วิทูรย์บอกว่าที่ อ.สุรวิชพูดเคยเกิดขึ้นแล้ว

"การวิจัยเรื่องกวาวเครือ ที่จุฬาฯ นักวิจัยที่เก่งเรื่องนี้วิจัยไปถึงจุดหนึ่ง อาจจะไม่มีงบมหาวิทยาลัย support เขาก็เอาสิทธิบัตรไปขายให้เกาหลีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มาจากกวาวเครือ แต่กระบวนการวิจัยเป็นการลงทุนโดยงบประมาณของรัฐ งานวิจัยและการจดสิทธิบัตรตอนแรกเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติของมหาวิทยาลัยของนักวิจัย แล้วก็ถูกแปรมาเป็นทางการค้า"

อ.สุรวิชกล่าวว่าเรื่องนี้ประเด็นสำคัญคือจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช ซึ่งบอกว่า ผู้ใดจัดหารวบรวมพันธุ์พืชป่าหรือพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษาทดลองวิจัย เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า จะต้องมาขออนุญาต และทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ก่อน แต่ปัญหาคือกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ออก

"ถ้าผู้บริหารประเทศบอกว่าจะปกป้องทรัพยากรของไทย ต้องผลักดันให้กฏกระทรวงตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช 2542 ออกมาโดยเร็ว ตั้งแต่ 2542 นี่ 10 ปีแล้วกฎหมายลูกยังไม่ออกเลย"

ถ้าทำตามมาตรา 52 จะเป็นอย่างไร
"สวทช.ได้เงินมาเท่าไหร่ต้องแบ่งเข้ากองทุนฟื้นฟูทรัพยากรชีวภาพ ในกฎหมายระบุว่า เงินที่ได้ต้องเข้ากองทุนและกลับไปสู่ชุมชน"

"เขาอาจจะคิดว่าเข้ามาตรา 53 คือไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า ตอนที่วิจัยไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า แต่ทันทีที่คุณจดสิทธิบัตรมันพูดถึงประโยชน์ทางการค้า เพราะถ้าไม่หวังประโยชน์ทางการค้าคุณจะไปจดสิทธิบัตรทำไม"

อ.สุรวิชกล่าวว่าการจดสิทธิบัตรข้าว GMO ก็จะมีผลข้างเคียงอีกแง่หนึ่ง

"รัฐไทยประกาศมาตลอดว่าเมืองไทยไม่มีการทดลองทำจีเอ็มโอข้าว ประกาศให้ทั่วโลกรู้เลย ประเทศคู่ค้าจะได้ไม่สุ่มตรวจข้าวเราว่าเป็นจีเอ็มโอติดมาหรือเปล่า ว่างๆ เอกสารฉบับนี้ก็โผล่ออกมาว่าสิทธิบัตรนี้ทำโดยการทำจีเอ็มโอข้าว ถ้าคุณเป็นคู่แข่งทางการค้า เช่นเวียดนาม ก็ต้องยกประเด็นนี้ไปบอกคู่ค้า สมมติไปบอกยุโรป เห็นไหมประเทศไทยเชื่อถือไม่ได้ บอกว่าข้าวไม่มีจีเอ็ม เอาเอกสารนี้ไปให้ดู รัฐไทยเชื่อได้อีกไหม ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากประเทศไทยไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว มันไม่ใช่กระทบแต่ข้าวนะ ผักผลไม้ทุกอย่างที่ส่งไป"

เราบอกว่าตอนแถลงข่าวไม่เห็นบอกว่า GMO
"เขาบอกว่าเขาจดยีน ไม่ใช่จดกระบวนการ อันนี้จะบอกว่าเขาพูดผิดไม่ได้หรอก โดยเจตนาบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดว่าเขาจดกระบวนการสร้างข้าวจีเอ็มให้หอม งานวิจัยจีเอ็มโอเขาได้ทุนมาเยอะและทำมานาน เขาต้องพยายามหาทางว่าทำอย่างไรให้งานวิจัยเขาไปแสดงผลให้ได้ ตีล้อมมาจากข้างๆ"

อย่างไรก็ดี อ.สุรวิชเห็นว่าการจดในต่างประเทศก็มีส่วนที่ดี
"เพราะถ้าเขาไม่จด เกิดจีนศึกษาโครงการจีโนมข้าว สมมติจีนค้นพบแล้วเอาไปจดก่อน จีนก็ทำข้าวหอมมะลิจีเอ็มโอได้"

แต่ไม่ควรที่จะต้องมาจดในประเทศไทย
"จะจดด้วยเหตุผลใด หาเหตุผลไม่เจอ ถามว่าประเทศไทยใครจะละเมิดได้ มาทำจีเอ็มในประเทศไทย ทำแล้วจะมาปลูกด้วย สมมติซีพีมาติดต่อ สวทช.ขออนุญาตใช้กระบวนการนี้ ปกติการอนุญาตให้ไปมักจะเป็นกินเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็ให้ล่วงหน้ามาสักส่วนหนึ่ง สมมติ 1 ล้าน จากนั้นเอาไปสักตันละ 1,000 บาทเป็นค่าใช้สิทธิ ถ้าสวทช.อนุญาตก็คงไม่มีสมอง เพราะซีพีจะไปปลูกที่ไหน ประเทศไทยปลูกข้าวจีเอ็มไม่ได้ ถ้าไปปลูกที่ลาว เขาไม่ต้องมาขออนุญาตใช้สิทธิที่เรา เพราะประเทศลาวไม่ได้รับสิทธิบัตรอันนี้ ก็ไปทำที่ลาวเลยสิ ไปตั้งแล็ปที่ลาวทำจีเอ็มเลย ผมจึงคิดไม่ออกว่าจะจดในประเทศไทยไปทำไม"

"อย่างที่ผมบอกเขาไม่ได้ประสงค์จะจดกระบวนการ ทุกครั้งที่เขาให้ข่าวคือเขาประสงค์จะจดยีน เขาประสงค์ที่จะนำไปสู่การแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร และยาวออกไปคือเรื่องของการปลูกจีเอ็มในประเทศไทย ผมเป็นนักวิชาการสายนี้ รู้ว่าเขาคิดอะไร ทำให้ผมกังวลในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิของคนไทย ถ้าจริงใจก็ประกาศออกมาสิ สวทช.ต้องการอย่างนี้ จะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนไทย เป็นสมบัติของชาติ ณ วันนี้มันเป็นสมบัติของสวทช. หน่วยงานของรัฐ แต่สวทช.จะให้กับประชาชนทั้งประเทศ ประกาศออกมา ปีหน้าก็ได้วันข้าวไทย 6 มิ.ย. ปีนี้ผ่านไปแล้วจะประกาศย้อนหลังก็ได้ ทุกคนก็แฮปปี้ แต่ทุกวันนี้คุณพยายามสร้างความสับสน"

วิทูรย์บอกว่าที่อลงกรณ์กำลังผลักดัน ก็คือสิ่งที่อเมริกาเคยเรียกร้องในเอฟทีเอ

"เขาบอกว่าเป็นนโยบายที่จะให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาจดสิทธิบัตรในพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เพราะถ้าประเทศอื่นจดได้ กฎหมายไทยจะต้องอนุญาต"


"แต่มันขัดกับกฎหมายไทย กฎหมายของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากไม่อนุญาตจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต นี่คือจุดยืนของกฎหมายไทยที่มีมาในอดีตถึงปัจจุบัน แม้แต่รัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่มีใครแก้เรื่องนี้ แม้แต่สมัยทักษิณก็บอกว่าเรื่องนี้สำคัญเขาจะไม่แก้ แต่สิ่งที่อลงกรณ์พูดตอนนี้เหมือนกับคุณต้องจัดการกับกฎหมายภายใน เปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต ซึ่งข้อเสนอนี้อยู่ในข้อเสนอที่อเมริกา ยุโรป ผลักดันรัฐบาลไทยผ่านข้อตกลงเอฟทีเอ ตีความได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะรองรับการเจรจาเอฟทีเอ เพราะถ้าคุณเจรจาเรื่องเอฟทีเอ คนอาจจะค้านเพราะเป็นผลประโยชน์ต่างชาติ แต่ตอนนี้บอกว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ของข้าวไทย แบบนี้ทักษิณเคยทำมาก่อนก็คือแก้กฎหมายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า พอเอฟทีเอมาเข้าสภาไม่ต้องแก้กฎหมาย ตอนที่ทักษิณจะเปิดเอฟทีเอเรื่องจีเอ็มโอ ทักษิณก็บอกว่าการเปิดเสรีเรื่องจีเอ็มโอไม่เกี่ยวกับเอฟทีเอ เป็นเพราะ สวทช.ต้องการเปิดให้วิจัย ตอนนี้อลงกรณ์มาคล้ายๆ กัน อลงกรณ์มาบอกว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องเปิดให้ใช้มาตรการทางกฎหมายแบบเดียวกับอเมริกา ให้มีการจดสิทธิบัตร เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยไทย"

มีข้อสงสัยอีกอย่างว่า สวทช.จดสิทธิบัตรได้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ทำไมเพิ่งประกาศ
"เขายื่นจดปี 2006 ได้ 2008 เขายื่นไปหลายฉบับนะ บางฉบับอเมริกาก็ไม่อนุมัติ"

อ.สุรวิช "สถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้นมันตีปี๊บไม่ได้หรอก เขาก็รอให้ไม่มีสถานการณ์การเมือง เรื่องนี้อยู่ที่ สวทช.เป็นคนดัน มีแผนเป็น step อยู่แล้ว ว่าจะดันในช่วงไหน หลังจากประกาศแล้วเขาจะดึงหมากต่อไปอย่างไรๆ"

วิทูรย์ "ตอนนี้กรมทรัพย์สินฯ ก็ถูกมองเป็นผู้ร้าย กรณีนี้เรายืนอยู่ข้างกรมทรัพย์สิน ในการที่ไม่ยอมให้จดสิทธิบัตร ที่ผ่านมาเราไม่เห็นด้วยกับกรมทรัพยืสินหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาถูกต้อง"




บทเรียนจากอดีต

ถามวิฑูรย์ว่ามีอะไรบ้างที่เกรงว่าต่างชาติจะเข้ามาเป็นโจรสลัดทางชีวภาพ ถ้ายอมให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอม แล้วเป็นช่องให้ต่างชาติจดได้เช่นกัน

"ตอนนี้ญี่ปุ่นเขาเชี่ยวชาญเรื่องเชื้อรา เขามีทีมเยอะ ใช้ในยารักษาโรค อุตสาหกรรมอาหาร เขาเข้ามาศึกษาเชื้อราของไทยเยอะเลย ในญี่ปุ่นเขาประเมินว่าอุตสาหกรรมอะไรใหญ่ที่สุด ไม่ใช่รถยนต์นะแต่เป็นจุลินทรีย์ ที่เราเซ็น J-TEPPA ข้อเสนอเรื่องจุลินทรีย์เป็นเรื่องใหญ่ เราไม่รู้เรื่องเลยเราก็ยอมเขา สมัยสุรยุทธ์ จนต้องมาทำจดหมายแนบท้ายตอนหลัง"

"ผมเคยเจอศาสตราจารย์ญี่ปุ่น เขาบอกเขามีโครงการเต็มไปหมดกับมหาวิทยาลัยในเมืองไทย โดยเฉพาะราชภัฏ ราชมงคล เพราะเป็นมหาวิทยาลัยชุมชน เข้าถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นง่าย เพราะงานวิจัยด้านทรัพยากรชีวภาพ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือภูมิปัญญาคนท้องถิ่น เหมือนเปล้าน้อย เขาก็มาหานักวิชาการ ก็พาไปหาถึงที่เลยว่าที่ไหนได้สารเปลาโนทอลมากที่สุด ก็ไปเจอที่คลองวาฬ ประจวบฯ คนที่ไปด้วยก็เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้นี่แหละ คือเราไม่ทันเกมเขา ใสซื่อ คนไทยอัธยาศัยดี รับแขก"

"เขามาเปิดไร่ที่คลองวาฬแล้วสกัดสารส่งไป มันเริ่มจากโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับญี่ปุ่น แล้วงานวิจัย report ว่าตัวเปล้าน้อยมีสารที่สามารถรักษาโรคได้หลายอาการ โดยเฉพาะโรคกษัย ญี่ปุ่นไปทำวิจัยต่อในห้องแล็บ ก็พบสารเปลาโนทอลที่รักษาโรคกระเพาะได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาแหล่งเปล้าน้อยที่ไหนที่ออกฤทธิ์มากที่สุด เขาก็มาประสานกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้คนหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของนักวิชาการไทย อาจจะความไม่รู้เท่าว่าจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร ต่อมาญี่ปุ่นจดสิทธิบัตร จดในเมืองไทยด้วยนะ จดกรรมวิธีการผลิต เขาก็มาตั้งโรงงานที่คลองวาฬ จ้างชาวบ้าน บริษัทได้ยอดขายเป็นพันล้าน ขายเม็ดละ 30 กว่าบาท จะครบสิทธิบัตร 20 ปีในปีสองปีนี้แหละ"

"กวาวเครือนี่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นส่งนักศึกษาปริญญาเอกมาทำวิจัยกับนักวิจัยจุฬาฯ แล้วญี่ปุ่นก็จดสิทธิบัตร อีกอันนักวิชาการไทยจดสิทธิบัตร แต่ขายต่อให้เกาหลี ถามว่าผลการวิจัยเหล่านั้นมันได้กลับมาสู่ประเทศหรือเปล่า"

"เราผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยก็เพราะเหตุนี้ มันมีพวกที่มาฉวยไปโดยที่ไม่มีอะไรแบ่งเลย ภูมิปัญญาชาวบ้านกว่าจะได้เป็นองค์ความรู้ขึ้นมา ชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมาน อาจจะเสียชีวิตเพราะทดลองกันมาในบรรพบุรุษ ขณะที่เราไปให้เครดิตคนที่ทดลองในห้องทดลองเล็กๆ มันไม่เป็นธรรม ซึ่งกติกานี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ”