Sunday, September 20, 2009

2012-13: กระบวนทัศน์ใหม่มาถึงแล้ว

from
http://www.thaipost.net/sunday/200909/10999

ทุกวันนี้ผู้เขียนมีความยินดีเอามากๆ ที่ได้เห็นชาวโลกโดยเฉพาะชาวไทย (ส่วนเล็กๆ) มีการตื่นตัวที่ภายใน (interiority) กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนที่ได้เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับจิตหรือภายในมานานถึง 20 ปี-แบบผู้อ่านทั่วไปมักจะพูดว่าเขียนเรื่องอะไร โดยที่คนอ่านไม่รู้เรื่อง-ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของความรู้ ไม่ว่า จะเป็นเรื่องของจักรวาล (ภายใน) ศาสนา วัฒนธรรม และฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ หรือควอนตัมเมกานิกส์ในส่วนที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับจิต-ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ แห่งยุคใหม่และนักศาสนาหลายๆ คน รวมทั้งผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นอะไร-เชื่อเช่นนั้นว่ามีส่วนสัมพันธ์กับภายใน คือเป็นคลื่นพลังงานสั่นสะเทือน (vibration) และคล้ายๆ กันมากเป็นพิเศษ ซึ่งจริงๆ แล้วความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ที่ว่านั้นคือ ความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันและกันที่ภายในอย่างที่ไม่มีทางแยกออกจากกันเป็น บูรณาการได้ตลอดกาล หรือจะพูดได้ว่าไม่มีการสิ้นสุดเลยก็ว่าได้

อยากจะขออนุญาตผู้อ่านว่า อย่าเพิ่งเบื่อ-เซ็งที่เห็นว่าผู้เขียนพายเรืออยู่ในอ่าง หรือคิดว่าจะได้ยินแผ่นเสียงตกร่องอีกเมื่อเห็นปี 2012 ในหัวเรื่องของบทความของวันนี้ โดยหลายคนอาจคิดว่า ไม่ว่าผู้เขียนจะเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนที่จะเกิดกับ ชาวโลกและคนไทยอย่างไร? ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ผู้อ่านส่วนมาก? อาจคิดต่อไปว่าถึงจะรู้แล้วหรือเชื่อแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ทว่าจริงๆ แล้วที่เขียนบ่อยเพราะมันสามารถช่วย บางคน ได้ และช่วยได้ทันด้วย เพราะเรามีเวลาตั้งกว่าสามปีถึงจะถึงวันที่ 21 หรือ 22 เดือนธันวาคม ปี 2012 หากเราบางคนที่ว่านั้นปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิ-ไม่ว่าเชื่อตามศาสนาต่างๆ นั้นๆ หรือไม่? มันก็เป็นเรื่องที่ดีงามกับตัวเองทั้งนั้น-ปฏิบัติกันตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งผู้เขียนขอรับรองว่าจะช่วยได้จริง

สาธารณชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทย-ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ไม่กี่คน-แทบว่าจะทุกคน กระมัง? คงจะไม่รู้ว่าเร็วๆ นี้มันได้มีการเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยะที่สำคัญยิ่งอยู่สองเรื่อง เรื่องที่หนึ่ง สนามแม่เหล็กโลก (magnetosphere) ที่ป้องกันรังสีอันตรายจากลมสุริยะที่อยู่ๆ ก็มีรอยโหว่มหึมาขึ้นมาเฉยๆ ดังที่ผู้เขียนได้เขียนลงไทยโพสต์ไปเมื่อเดือนสองเดือนก่อน ประเด็นก็คือ องค์การนาซาได้บอกว่าลมสุริยะ (solar wind) จะมีขนาดและจำนวนที่ใหญ่และมากขึ้นๆ สามารถที่จะรบกวนไม่เพียงแต่ระบบการสื่อสารหรือทั้งดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังอาจจะรบกวนพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ภายใน 3-4 ปีนี้ ซึ่งไปตรงกับปี 2012-13 พอดี กับเรื่องที่สองก็ได้เขียนลงที่นี่ประมาณสิบปีเห็นจะได้ ว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา-ซึ่งเป็นกาแล็กซีขนาดกลาง จึงหมุนรอบๆ ศูนย์กลางทุกๆ 250 ล้านปี ทำให้ระบบสุริยะหมุนตามไปด้วย-ฉะนั้นในรอบหนึ่งของการหมุน ดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์ รวมทั้งดวงจันท์จะไปเรียงเป็นแถวเดียวกันกับศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้าง เผือกพอดี (grand planetary alignment) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ชาวโลกเราในขณะนี้กำลังได้รับรังสีจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากศูนย์กลางทางช้าง เผือก ซึ่งก็เป็นที่รู้ดีกันทั่วไปแล้วว่ารังสีจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบางไวเบรชัน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับจิต (ไร้สำนึก) ของมนุษย์ (Robert Becker: The Electromagnetic Fields, What They Can Do For Us, 1990) นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนเขียนเรื่องปี 2012-13 ไม่จบสักที

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาชิกของชมรมจิตวิวัฒน์คนหนึ่งได้ถามผู้เขียนที่ชอบพูดเรื่องของปี 2012 อันเป็นปีที่โลกพัง (บางส่วน)-ที่หมายถึงประสบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน-และจิตใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ ที่ผู้ติดตามงานของผู้เขียนทุกๆ คนเลย มักรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ผู้เขียนจัดเป็นเสมือนเป้าหมายหลักของงานเขียนของ ผู้เขียน คือสมาชิกผู้นั้นถามคล้ายๆ กับว่า ตอนนี้ผู้เขียนยังคงคิดถึงปี 2012 เช่นเดิมหรือไม่? ผู้เขียนได้ตอบไปว่าก็คงเป็นเหมือนเดิม แล้วผู้เขียนก็ได้บรรยายถึงเรื่องของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ชื่อ ริชาร์ด มูลเลอร์ ที่เบิร์กเลย์พูดกับหลุยส์ อัลวาเรซ นักฟิสิกส์ที่พบหลุมอุกกาบาตที่ตกลงมาชนโลกที่อ่าวยูตาคาน ทำให้เผ่าพันธุ์ของไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปทันทีทั้งหมดเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งอยู่ในยุคเครตาเซียส-ทำให้หลุยส์ อัลวาเรซ ได้รับรางวัลโนเบลจากการที่เขาพบหลุมที่เกิดจากอุกกาบาตตกลงมาชนโลกนั้น-จน อัลวาเรซเชื่อว่าหากมีดาวใหญ่เข้ามาใกล้ๆ ระบบสุริยะ (เช่นมีดวงอาทิตย์สองดวง) เกิดไปเกี่ยวให้ดาวหาง-อุกกาบาตหลุดจากที่อยู่ของมันในขณะเดียวกัน ดาวใหญ่หรือดวงอาทิตย์อีกดวงนั้นโคจรเข้ามาใกล้ๆ กับระบบสุริยะ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าดาวหาง-อุกกาบาตอาจจะวิ่งมาชนโลกเราก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่ระบบสุริยะเป็น "ระบบดาวคู่แฝด" หรือมีดวงอาทิตย์สองดวง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งอย่างที่ทั้งริชาร์ด มูลเลอร์ และหลุยส์ อัลวาเรซ คิดและเชื่อ อย่างไรก็ดี เรื่องของระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์สองดวงนี้ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่มากๆ ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้เขียนคิดว่าความเป็นไปได้ก็ยังมีอยู่ และผู้เขียนเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปี 2012 ซึ่งทุกๆ ศาสนาและทุกๆ ลัทธิความเชื่อ-เท่าที่ผู้เขียนรู้-ต่างพูดว่าเป็นปีที่ต้องระวัง แถมนักพยากรณ์บางคน เช่น นอสตราดามุส และพวกนิวเอจเยอร์ส (newagers) ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นปีที่โลกพัง (บางส่วน) แต่คงไม่หมดสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์ กับจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างใหญ่หลวงที่สุดในประวัติของมนุษยชาติที่ เรามีมาทั้งหมด และ ผู้ที่รอดพ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างลึกล้ำ

อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สมาชิกของจิตวิวัฒน์เช่นกัน ได้บอกไว้ว่าปี 2013 เป็นต้นไป มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาน (spirituality) ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตรงกับที่ เตยา เดอ ชาดัง, ศรีอรพินโธ และนักคิดเขียนไว้ นั่นคือสัญชาตญาณของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ หากเข้าที่คับขันที่เสี่ยงกับภยันตรายต่อเผ่าพันธุ์ประเทศชาติและศาสนา ความคับขันอันตรายนั้นจะเร่งเร้า หรือกระตุ้นให้เราปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างถอนรากถอนโคน นั่นคือสาเหตุอีกอย่างหนึ่งของผู้เขียน

มีอยู่สามเรื่องที่ต้องย้ำกันเป็นพิเศษ คือ

1.เรื่องโลกพัง (บางส่วน) กับปี 2012 นี้ แม้จะมีเหตุผลที่ยกมาข้างบน แต่รู้สึกว่าเขียนบ่อยจริงๆ ที่เขียนนั้นเพราะเชื่อว่า ถ้าหากความรู้ที่เรายอมรับกันว่าเป็นฐานของความจริงที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าความรู้นั้นจะได้จากทางจิต เช่น ศาสนา ลัทธิความเชื่อ หรือโหราศาสตร์ที่มองไม่เห็น ไม่มีตรรกะหรือเหตุผล หรือความรู้นั้นได้มาจากทางกาย เช่นวิทยาศาสตร์ที่มองเห็น (รวมทั้งที่ใช้อุปกรณ์ช่วย) หรือมีตรรกะเหตุผลที่ชมรมวิทยาศาสตร์บางส่วนยอมรับ เมื่อเชื่อว่าเป็นไปได้ที่โลกต้องพัง อย่างกะทันหัน เช่นน้ำท่วมโลกมากๆ และฉับพลัน การย้ายแผนที่โลก (geographic upheaval) อุกกาบาต ฯลฯ-ไม่ว่าในปี 2012 นี้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นไปได้มาก หรือโลกจะต้องพังเป็นบางส่วนในวันข้างหน้าและเร็วๆ นี้ (ถ้าหากไม่พังในวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ในปีนั้น-ทั้งยังอาจช่วยบางคนได้ ไม่ว่าอย่างไรผู้เขียนก็ต้องเขียน

2.โดยธรรมชาติและความรู้ที่มี เรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ระบบนิเวศน์โลกเท่าที่มีอยู่เดี๋ยวนี้จะเป็นสมดุล ซิเมตรี หรือพอเพียงพอดีกับประชากรโลก 7,000 ล้านคนที่โลกมีอยู่ในขณะนี้ เพราะเรารู้ว่าถ้าหากประชาชนทั้งโลกมีกินมีใช้อย่างเท่าเทียมกันสม่ำเสมอกัน จริงๆ-ไม่ใช่ในปัจจุบันที่ประชากรเพียง 2% ของโลก ส่วนใหญ่มากๆ อยู่ในสหรัฐอเมริกาบริโภคทรัพยากรธรรมชาติถึง 80%-ที่ไม่ใช้โดยฟุ่มเฟือยด้วย ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่โลกสามารถที่จะรองรับประชากรโลกได้เพียง 2,500 ล้านคนเท่านั้น ประชากรของโลกส่วนใหญ่จำต้องหายไป และการหายไปจะต้องเกิดอย่างกะทันหัน เช่น ดาวหาง-อุกกาบาตวิ่งมาชน หรือการย้ายขั้วโลก ย้ายแผนที่โลก หรือน้ำท่วมโลกที่เกิดในทันทีทันใด เหมือนสึนามิแต่ใหญ่กว่ามากๆ ฉะนั้นจงอย่าประมาทเป็นอันขาด

3.เรารู้ว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกเพียงเเผ่าพันธุ์เดียว จะต้องมีวิวัฒนาการหรือการเรียนรู้ตลอดเวลา ดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอดเวลาว่ามนุษย์ต้องเรียนรู้ทั้งสามรู้คือ รู้รอด รู้เพื่อรู้ และรู้แจ้ง ที่สัตว์โลกทุกตัวกับมนุษย์ทุกคนไล่ขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งข้อแรกเป็นคุณสมบัติของสัตว์โลกทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ ส่วนรู้เพื่อรู้ (intelligence) เป็นคุณสมบัติของสัตว์ชั้นสูงโดยเฉพาะของมนุษย์ ส่วนรู้แจ้งเป็นคุณสมบัติของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งก็คือวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ต่อไปจนถึงนิพพาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อแรกจะเป็นการวิวัฒนาการของกายล้วนๆ ข้อที่สองเป็นวิวัฒนาการของกายและจิต โดยทั้งสองจะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และวิวัฒนาการของจิตจะเป็นวิวัฒนาการของจิตสำนึกเท่านั้น ส่วนข้อที่สามหรือรู้ที่สามเป็นของมนุษย์แต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว และเป็นวิวัฒนาการของจิตเพียงอย่างเดียว ตอนแรกจิตของปัจเจกบุคคลหรือจิตสำนึกและใต้สำนึกก่อน ตอนหลังจึงเป็นจิตไร้สำนึก (unconsciousness) ของปัจเจกบุคคล หรือจิตสากลโดยรวมของจักรวาล

จากทั้งสามข้อที่เล่ามานั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรทั้ง 3 ประการจะต้องเกิดกับเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และน่าจะเป็นในเร็วๆ นี้ เช่น 1) โลกจะต้องพังไปบางส่วนอาจจะเป็นปลายปี 2012 หรือล่าช้าไปกว่านั้น แต่เร็วๆ นี้อย่างแน่นอน 2) ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่จะหายไปในกะทันหันแต่ไม่หมด โดยจะเหลือพอที่จะรักษาความสมดุลพอเพยงพอดีเป็นธรรมชาติอย่างยั่งยืน 3) มนุษย์ที่เหลือจะเปลี่ยนแปลง (transform) ตัวเองเป็นปัจเจกก่อน แล้วจะไปเป็นโดยรวมหรือกระบวนทัศน์แห่งสังคมใหม่ในตอนหลัง

เป้าหมายของจักรวาลที่มีขึ้นมาก็เพื่อวิวัฒนาการอย่างเดียวเท่านั้น และการวิวัฒนาการจะเป็นไปได้อย่างเด่นชัด จะต้องมี "สิ่ง" และมีขั้นมีตอนซึ่ง "สิ่ง" ที่เห็นจะมีอยู่เพียงหนึ่งหรือองค์รวมที่แยกออกไปเป็นสอง รูปกับนามหรือกายกับจิต โดยทั้งสองจะมีพลังงานเป็นเครื่องมือ ทั้งหมดวิวัฒนาการไปเป็นวัฏจักร จากหยาบสู่ละเอียด จากความง่ายสู่ความยากและซับซ้อน รูปหรือกายได้แก่สสารวัตถุกับรูปชีวิตและมนุษย์ นามได้แก่จิต ทั้งหมดจะต้องผ่านสามขั้นตอนของวิวัฒนาการ จากสสารวัตถุไม่มีชีวิตไปสู่ชีวิต และจากชีวิตไปสู่มนุษย์ (นั่นคือ matter life and man) จากวิวัฒนาการของรูปหรือกายจึงถึงวิวัฒนาการของนามหรือจิต (man ในแบบหนึ่งคือ mind) ที่มีการเดินทางหรือเรียนรู้ (ซึ่งก็คือพลังงานเป็นเครื่องมือ) ซึ่งวิวัฒนาการจะแล้วเสร็จก็เมื่อจิตของมนุษย์ส่วนใหญ่บรรลุธรรมในระดับจิต วิญญาณ (spirituality) ขึ้นไปจนถึงนิพพาน สรุปก็คือ จักรวาลต้องมีวิวัฒนาการของโลกกับมนุษย์ ตามที่นักฟิสิกส์ใหม่บางคนคิดโดยหลักการมนุษยจักรวาลวิทยา (cosmological Anthropic principle) และมีวิวัฒนาการของกายกับของจิต ซึ่งทั้งหมดมีความจริงแท้อยู่เพียงแค่นั้น (matter life mind หรือ ดิน มนุษย์ (ชีวิต) และฟ้า) ขณะนี้เรากำลังเดินทางไปสู่จุดเป้าหมายสุดท้ายหรือฟ้าที่ยังยาวไกลไม่น้อย นั้น.

Saturday, September 12, 2009

วิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจจะเป็นจริง

ในทุกๆการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะชีววิทยาจะมีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นตลอด นั่นคือ เมื่อเราต้องการศึกษาปรากฏการณ์ในหลอดทดลองที่ไร้การปนเปื้อนจากสิ่งใดๆ เราต้องพยายามลดตัวแปร ตัวก่อกวนการทดลองออกไปให้มากที่สุด แต่ปัญหาก็คือ ในชีวิตจริง มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในธรรมชาติที่แท้จริง ไม่เคยไม่มีการปนเปื้อน และก็จะมีตัวรบกวนระบบเสมอๆ แต่ ก็นั่นแหละ การเข้าใจสภาพแท้จริงของสิ่งที่ศึกษานั้น สิ่งรบกวน สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตได้วิวัฒนาการมาเพื่ออยู่กับสิ่งนี้

ตัวอย่าง เช่น เราแยกเอนไซม์ออกจากสภาพแวดล้อมในเซลล์เพื่อศึกษาปฏิกิริยาของมันในสารละลาย ในอุดมคติที่สะอาด ไร้การปนเปื้อน ในสภาวะเช่นนี้ มันก็ยังทำงานได้ อย่าง โปรตีเอส ก็จะตัดสายเปปไตด์ แต่คำถามคือในสิ่งมีชีวิตจริงๆแล้ว เอนไซม์นี้มันทำหน้าที่อย่างนี้หรือเปล่า เพราะสภาพแวดล้อมในเซลล์จริงๆแล้วจะไม่ใช่แบบสารละลายแต่จะเป็นเหมือนเยลลี่ มีความยืดหยุ่น มีโปรตีนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งข้อนี้ หลายปีก่อน ก็มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียได้ทำการทดลองไว้แล้ว ว่า ใน ภาวะที่เหมือนเยลลี่ (แบบง่าย) โปรตีเอส บางตัวแทนที่จะตัดสายเปปไตด์ แต่กลับต่อสายเปปไตด์เข้ากันเป็นโปรตีนใหม่ขึ้นมา (J. Biol. Chem.

277, S. 43253)

หรืออย่าง อีโคไล เพื่อนรักของเรา ในห้องทดลองที่มันได้เติบโตในสภาวะที่เหมือนสวรรค์ ไม่มีศัตรู ไม่มีการแข่งขัน มีอาหารอุดมสมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบทีหลังว่า มันได้สูญเสียคุณลักษณะที่ใช้ในการอยู่รอดไปอย่างเช่น มันจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์อีกต่อไป หรือ แม้แต่สูญเสียคุณสมบัติในการสร้าง ไบโอฟิล์ม ที่ก่อโรคได้ ซึ่งทำให้อีโคไลนี้ต่างจากอีโคไลดั้งเดิมออกไป (J.

Bacteriol. 188, S. 3572).

ซึ่ง ผลการทดลองนี้ก็ได้รับการยืนยันภายหลังจากความรู้ทางชีววิทยาที่มากขึ้น อย่างความรู้เรื่องความคงตัวของจีโนมของแบคทีเรียที่น่าทึง หลังจากนั้นก็มีรีวิวออกมามากมายยืนยันว่า อีโคไลสายพันธุ์ที่เลี้ยงไว้ในห้องทดลองหลายๆปีจะสูญเสียความสามารถสำคัญๆไป และจะไม่สามารถเป็นตัวแทนอีโคไลที่อยู่ในธรรมชาติได้ (Trends

Microbiol. 13, S. 58) นอกจากนี้ มันก็มีตัวอย่างด้านตรงข้ามออกไปเลย อย่าง หนอน C. elegans แมลงหวี่ Drosophila หรือกระทั่งสัตว์ชั้นสูงอย่าง หนู และลิง นักวิจัยพบว่า ถ้ามันกินน้อยลง ได้รับ แคลอรี่น้อยลง มันจะอายุยืนขึ้น (Science 325, S. 201 คนค้นพบได้โนเบลไปแล้ว) แต่นั่นเป็นจริงกับชีวิตนอกห้องทดลองงั้นหรือ เราต้องระวังไว้ให้ดีเพราะที่นักวิจัยศึกษานั้นเพียงแค่ดูอิทธิพลของการลดอาหารต่อการเกิดโรคแก่ชราเท่านั้น ตัวสัตว์ทดลองก็ยังอยู่ในดินแดนเหมือนสวรรค์อยู่นั่นเอง

ในหัวข้อนี้ก็มีงานวิจัยล่าสุดออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันต้องการพลังงานส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการต่อต้านเชื้อโรค แต่ว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เมื่อติดโรคแล้วจะลดการกินอาหารลงไป เขาเลยทดลองกับแมลงหวี่เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหารกับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรียสามชนิด ผลลัพธ์คือ แมลงหวี่ที่อดอหารสามารถทนต่อการติดเชื้อชนิดแรกได้ดีเท่าๆกับแมลงหวี่ในธรรมชาติ ส่วนเชื้อชนิดที่สองกลับตายเร็วขึ้น ส่วนเชื้อชนิดที่สามตายช้ากว่า (PLoS Biol. 7: e1000150)

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผลลัพธ์จากห้องทดลอง in vitro หรือ แม้แต่ in vivo ก็ไม่สามารถจะนำมาใช้กับโลกจริงๆได้เสมอไป แต่มันก็ทำให้ระลึกได้ว่า โลกจริงๆที่ปนเปื้อนนั้นมันง่ายกว่าที่คิด ต้องการการแก้ปัญหาอย่างง่ายๆที่ยืดหยุ่นเท่านั้นเป็นพอ ปวดขี้ก็ให้ไปขี้ ไม่ใช้ทำยังไงไม่ให้ปวดท้อง ไม่อยากแก่ก็ให้อารมณ์ดี มีความสุขไว้ อย่าคิดมากเด๋วเยี่ยวเหลือง

โลกมันง่ายกว่าที่คิดเว้ย ไอ้นักวิทย์ทั้งหลาย แสดดดด

Ralf Neumann

From http://www.laborjournal.de/rubric/archiv/domfac/bellbio/schoen_09_09.pdf

เติมน้ำใส่ไข่ โดย นายทิม