Thursday, January 14, 2010

PK Jan 12 a.m.‏

เวลาในเมืองไทยของผมใกล้งวดเ้ข้าไปทุกทีแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปเพื่อพบปะเพื่อนฝูงแต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ครบอยู่วันยังค่ำเพราะเพื่อนๆเขาแยกย้ายกันไปหมด เรียนอยู่บ้าง ทำงานบ้าง อยู่บ้านบ้าง ก็กระจายกันไปทั่วทั้งโลก
ดังนั้น ถ้าได้มีโอกาสเจอเพื่อนคนใดได้แม้จะเจอได้เพียงสั้นๆ ค่อยๆตามไปทีละคน ก็จะพยายามดั้นด้นไปหา
อย่างวันก่อนก็ได้ไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ในการกลับมาครั้งนี้ ผมตั้่งใจจะเจอมาก เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นคนสนใจทางชีววิทยามากๆเหมือนกัน และ หลายปีก่อนโน้น ได้สัญญาว่าจะเอาเท๊กซ์บุ๊กมาฝาก ครั้งนี้ก็ได้เวลาเสียที อุตส่าห์หอบหิ้วเท๊กซ์บุ๊กหนาๆมาจากเยอรมัน
ไอ้ตัวผมก็เสียดาย เนื่องจากว่ามันแพงอยู่เอาการ วันที่จะเอาไปให้ตั้งท่าอ่านเท็กซ์หนาๆหนักๆ บนรถไฟฟ้า รถเอนไปเอนมา ผมก็เอนไปเอนมา พาลเท็กซ์จะตกลงทันใด แต่ก็อ่านพอได้เนื้อหาอยู่
แต่เจ้ากรรมคุณพระช่วย อยู่ดีๆก็มีมือที่สามยื่นมาอุ้มหนังสือเรา เป็นมือขนดกๆ มองขึ้นไปเป็นหน้าเครียดๆของฝรั่งคนหนึ่ง
เขาพร้อมใจยินดีที่จะช่วยถือเพื่อให้ผมอ่านหนังสือได้อย่างราบรื่น ผมก็อ่านต่อไปด้วยท่าทีที่เคอะเขิน
แต่ชะรอยบรรทัดต่อไปของหนังสือเป็นเรื่องพฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่นของมนุษย์ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเราต้องช่วยเหลือผู้อื่น
มันก็สะดุ้งให้ผมกลับมาคิดว่า ทำไมฝรั่งคนนี้ต้องช่วยผมด้วย ผมกลับมาจดๆจ้องๆในหนังสือ มันมีอยู่สามทฤษฏีที่เขาถกเถึยงกันเท่าไหร่ก็ไม่จบคือ
1. ช่วยเพราะอยากให้ตัวเองได้ดี ได้สิ่งดีๆ ได้ความสุข หรือให้เผ่าพันธุ์ ได้แพร่พันธุ์มากขึ้น
2. ช่วยเพราะถูกสอนมาแบบนี้ สังคมสั่งสอน หรือต้องปรับตัวตามสังคม
3. ช่วยเพราะเป็นการเมืองที่ถูกบังคับให้ต้องทำ
ผมอ่านถึงตรงนี้ก็วางสายตาลงและชวนเขาคุยแทนเพราะในความรู้สึกผมมันเกินกว่าที่จะรับได้ ถ้าผมจะอ่านต่อไปโดยไม่สนใจคนๆนี้ แล้วเขาก็เอ่ยว่า เขาเคยอ่่านงานของ E.O. Wilson นักวิชา่การฮาร์วาร์ดที่คิดเรื่องนี้อย่างหนัก แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้ไม่ได้ตามมาก ผมเลยถามเขาว่า ทำไมต้องช่วยผม เขาตอบว่า "เพราะการคิดเป็นสิ่งสำคัญ เมืองเเบงค๊อก ที่เติบโตอย่างไร้ทิศทางไปเรื่อยๆนี้ ต้องการคนที่คิดจริงจังกับปัญหาโลกแตกทางวิชาการบ้าง มากกว่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบคนไทยทั่วไป เมืองหลวงนี้ขาดคนอย่างคุณ" ผมขอบใจเขาและบอกว่า คำกล่าวของเขาออกจะยกย่องผมเกินไป
เขากล่าวต่อไปด้วยเเววตาจริงจังว่า "การคิดเป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุดของมนุษย์และเป็นตัวอย่างที่สำคัญของความเป็นตัวเป็นตนของมนุษย์" ผมออกจะเห็นคัดค้านแต่คิดไม่ออกว่าจะเถียงอะไรออกไป แล้วเราก็คุยกันเรื่องอื่น เขาบอกว่าเขาชอบเมืองไทยและชอบทำบุญ ตอนนี้ก็อยู่เมืองไทยมา 20 ปีแล้ว พูดไทยได้นิดหน่อย ถึงสถานีที่ผมต้องลงพอดี ผมต้องลาเขาซะแล้ว เขาก็ให้นามบัตรผมไว้เผื่อติดต่อ บนนั้นเขียนไว้ว่า "PK Jan 12 a.m.‏ ยินดีที่ได้พบกับ Mr. Tim BTS"
แม้เราจะไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผมค่อนข้างที่จะปิ๊งแว๊บกัีบอะไรบางอย่าง
คำพูดของคนๆนึงลอยมาในหัวผม "ความบังเอิญไม่มีในโลก" อันจะเป็๋นแนวคิดที่ค่อนข้างจะต่อต้านกับวิทยาศาสตร์ที่ผมเรียนว่า อะไรๆก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แล้วเย็นวันนั้นผมก็ได้เจอกับนักวิทยาศาสตร์


...ผมอาจจะฝันไป...