Saturday, February 13, 2010

อนาคตสดใส แต่ไม่เห็นอนาคต

ก็ผ่านพ้นไปอีกครับ กับการสอบสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 ที่ ETH ก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งเรื่องโลกๆ อย่างการเตรียมตัว การพบเพื่อนใหม่ การเข้าหาโปรเฟสเซอร์ การเข้าหาคนในแล็บ วิธีคุย เพื่อจะได้ตำแหน่งปริญญาเอก เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนมาดีทีเดียว ต้องรู้งานของเเล็บนั้นอย่างแจ่มแจ้งและดิสคัสกับเขาได้ เราจะไม่สามารถที่เข้าไปอย่างคนรู้น้อยไม่ได้เลย ประตูที่เปิดไว้อยู่ใชว่าจะรับได้ทุกคน

ไปครั้งนี้ก็ได้แบบฝึกหัดดูใจตัวเอง อย่างไม่โกหกตัวเองด้วยว่า ซูริกไม่ใช่เมืองที่ผมอยากอยู่ เเม้จะเป็นเมืองที่สวยงามและมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง พอได้ไปใช้ชีวิต ไปค้างคืน แล้วพบว่าเมืองนี้ไม่ใช่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่เคยผ่านๆไปก็รู้สึกชื่นชมเมืองนี้อยู่ไม่น้อย ที่ผมรู้สึกกระดากใจก็คงเป็นเรื่องของเงินที่เหมือนกับว่าจะปั่นขึ้นไปจากความเป็นจริงทำให้ค่าครองชีพแพง เงินเดือนสูง ทุกคนที่นี่ดูเหมือนจะเป็นคนรวยทั้งนั้น ดูภาพโดยรวมเมืองนี้เป็นทุนนิยมเต็มขั้นมากกว่าเยอรมันที่เหมือนจะเป็นสังคมนิยมกว่าหน่อย แต่ที่สำคัญผมรู้สึกขาดรสชาตเผ็ดมันอะไรบางอย่างที่มากับความยากแค้น ความขาดแคลนทางวัตถุ อันพบไม่ได้ง่ายๆในเมืองสวรรค์อย่างสวิสเซอร์แลนด์หรือว่ายังไม่พบเลย อีกทั้งแล็บที่เขาเปิดตำแหน่งว่าง ก็ไม่มีตำแหน่งที่เหมาะกับผม ที่ตรงกับความชอบของผม ที่พอผมได้รับรู้แล้วบอกด้วยอารมณ์ภายในทันทีว่า "ใช่เลย" มีแต่ความรู้สึกแบบว่า "โอเค เราปรับตัวได้" ซึ่งยังไม่แรงพอที่จะทำให้ผมละทิ้งบ้านเกิดในเยอรมันของผมอย่างไฟร์บวก (แม้ว่าปีที่ผ่านมาของผมจะทำลายผมมากก็ตาม)

อาการที่บอกมาทางใจนั้น มันมาในแว่บแรก และเหมือนคลื่นโผล่ออกมาจากทางหน้าอกประมาณหัวใจ แต่ไม่ใช่ที่หัวใจ เสร็จเเล้วความคิดต่างๆก็ขึ้นมารกสมอง ปรุงแต่งเปลี่ยนความหมายจากสัญญาณใจนั้นไปต่างๆนานา ทำให้เกิดความสับสน ความมึนงง ความคาดหวัง ตึงเครียด ไม่สบายใจ แต่เมื่อพอรู้ทุกอย่างก็คลี่คลายแต่พอเผลอเพียงชั่วจิตเดียว ก็กลับมาหลงเพ้อ เละเทะไปอีก

นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการไปสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผลของการไปครั้งนี้ แม้ไม่ได้ตำแหน่งใดๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ดี ที่เจ็บใจ และที่รู้ใจ ครับ:-)