Friday, October 03, 2014

บริษัทไร้กระดาษ

Paul Veger เจ้าของบริษัทไอทีเก่าแก่ Decos แห่งเนเธอแลนด์ (ตั้งประมาณทศวรรษที่ 1980) ปรับปรุงบริษัทตัวเองให้ไม่ใช้กระดาษแม้แต่ในห้องน้ำ


Paul เริ่มทำไอเดียนี้ให้เป็นจริงตั้งแต่ปี 2011 เขายกเลิกจดหมายกระดาษทั้งหมดรับเป็นอีเมลล์เท่านั้นเหลือแต่ใบภาษีที่รัฐ ไม่ยอมส่งทางอีเมลล์ให้ แม้แต่สัญญาจ้างงานก็ไม่พิมพ์ออกมา ข้อมูลทุกอย่างเก็บไว้บน cloud server ทั้งสำนักงานและโต๊ทำงานจึงโล่งว่าง สะอาด เป็นระเบียบ แน่นอนมีข้อเสียว่า ข้อมูลอาจโดนแฮ็กหรือหายได้ แต่ถึงใช้กระดาษก็ไม่ได้ประกันว่าข้อมูลจะไม่หาย


ที่เขาทำแบบนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างของบริษัทไอที ที่อยู่บนโลกดิจิตัลทันสมัยจริงๆ การทำแบบนี้มีประโยชน์อย่างมาก ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก เพราะไม่ต้องเสียค่ากระดาษ ค่าปริ้นเตอร์ ค่าซองจดหมาย ค่าเก็บขยะ แถมยังดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยช่วยลดการตัดต้นไม้ได้ปีละ 16 ต้น (1/4 ต้นต่อ พนักงานหนึ่งคน) และที่สำคัญทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถหาเอกสารหรือส่งเอกสารโดยทันที


อย่างไรก็ตามก็มีข้อยกเว้นที่เดียว คือ กระดาษทิชชู่สำหรับเช็ดหน้า ที่คนต้องใช้เช็ดเวลาจาม ส่วนในห้องครัวก็ไม่มีกระดาษให้ใช้เลย ให้ใช้ผ้าเช็ดเท่านั้น นอกจากนี้แผนต่อไปของบริษัทคือ รถบริษัทจะเปลี่ยนจากรถพลังงานไม่สะอาดจาก น้ำมัน หรือ แก๊สธรรมชาติ เป็น รถพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น
โมเดลไร้กระดาษนี้ เริ่มมีบริษัทหลายที่ทำ ซึ่งน่าจะเป็นเทรนด์ออฟฟิซในอนาคต ดูแล้วไม่ยาก นอกจากตั้งใจทำจริง เมืองไทยถ้าบริษัทไหนสน ก็น่าจะลองทำดูครับ


ที่มา http://www.spiegel.de/karriere/berufsleben/holland-papierloses-buero-bei-decos-a-993143.html

Thursday, May 01, 2014

ปรามินทร์ เครือทอง: พม่า Shutdown กรุงศรี ใครหนี ? ใครสู้ ? ใครรู้ว่าแพ้เลยเผ่น ?

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397711039&grpid=03&catid&subcatid
จาก นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ 1 เมษายน 2557

(เชิงอรรถสมบูรณ์ อยู่ในนิตยสาร)

สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ให้แง่คิดมุมมองมากมายหลายด้าน ไม่เพียงแต่ด้านการเมือง การสงครามเท่านั้น ยังทำให้เราเห็นว่า เมื่อครั้งที่บ้านเมืองมีศึกติดพัน ถึงคราววิบัติบ้านแตกสาแหรกขาดชนิด “ล่มสลาย” จริงๆ นั้น ใครมีบทบาทอย่างไร ใครคิดสู้ปกป้องบ้านเมือง ท้องถิ่น ใครถอดใจหนีเอาตัวรอด ใครรักษาหน้าที่ของตนจนถึงที่สุดในยามวิกฤต

“ในปีวอก ฉศกนั้น ฝ่ายพุกามประเทศ พระเจ้าอังวะมังระ ให้เกณฑ์พลฉกรรจ์ลำเครื่องสองหมื่นห้าพัน สรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพศัตราวุธให้พร้อมไว้ คิดจะยกมาตีพระนครศรีอยุธยาอีก”

สงครามเสียกรุงคราวนี้ เริ่มต้นที่เมืองทวาย เพียงแค่เดือนเดียว กองทัพพม่าก็บุกทะลุถึงเมืองเพชรบุรี แต่ยั้งทัพรอต่อเรือรบจนเข้าปีระกา ก่อนจะบุกเข้าประชิดกรุงในเวลาต่อมา


ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาก็ระดมพลหัวเมือง ใช้ยุทธวิธี “ตั้งรับ” รอบๆ เมือง
 

“พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัสสั่งเสนาบดีให้จัดแจงเกณฑ์กองทัพหัวเมืองปากใต้ทั้งปวง และให้ทัพบกยกไปตั้งค่ายรับข้าศึกอยู่ตำบลบำหรุใต้เมืองราชบุรี ให้ทัพเรือไปตั้งอยู่หัวเมืองตำบลบางกุ้ง และให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตะวันออก ตะวันตก เข้ามาช่วยการสงครามป้องกันพระนคร
 

ให้ทัพเมืองพระพิษณุโลกมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดภูเขาทอง ให้ทัพเมืองนครราชสีมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดพระเจดีย์แดง แล้วให้พระยารัตนาธิเบศคุมกองทัพเมืองนครราชสีมา ยกมาตั้งรักษาเมืองธนบุรี ให้พระยายมราชเกณฑ์กองทัพหัวเมืองอื่นยกลงมาตั้งรักษาเมืองนนทบุรี และทัพหัวเมืองนอกกว่านั้นให้เกณฑ์เข้ามาบรรจบกับพลชาวพระนคร ขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินกำแพงเมืองโดยรอบ สรรพด้วยปืนใหญ่น้อยเครื่องสรรพาวุธพร้อม แล้วให้กวาดครอบครัวพลเมืองชาวเมืองและเสบียงอาหารเข้าไว้ในพระนคร”

แต่ตลอดรายทางก่อนจะปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้นั้นมีรายงานชัดเจนว่าหัวเมืองต่างๆยอมแพ้ต่อกองทัพพม่า ทั้งแบบต่อต้านเพียงเล็กน้อย จนถึงขั้นทิ้งเมืองหนีเลยก็มี


ทำให้กองทัพพม่าสามารถปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาได้แบบไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะทำสงครามขั้นสุดท้ายปิดบัญชีกรุงศรีอยุธยา


Shutdown กรุงศรี

นับตั้งแต่ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘ กองทัพพม่าก็เริ่มไล่ตีรุกคืบกินหัวเมืองรอบนอกกรุงศรีอยุธยาไว้แบบไม่ยากเย็นนัก
รุ่งขึ้นปีจอ พม่าซึ่งแต่เดิมมีนายทัพใหญ่ ๒ คน คือ เนเมียวมหาเสนาบดีนำทัพบุกทางเหนือ กับมังมหานรธานำทัพบุกทางตะวันตก ตามยุทธวิธี “คีมหนีบ” (pincers movement) แต่มังมหานรธาเสียชีวิตลงกลางศึก จึงเหลือเนเมียวมหาเสนาบดีเป็นนายทัพใหญ่เพียงคนเดียว เนเมียวมหาเสนาบดีสั่งนำทัพยกประชิดกำแพงพระนครโดยรอบเป็นการปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอย่างสิ้นเชิง


โดย กองทัพพม่าตั้งค่ายใหญ่ที่ตำบลโพธิ์สามต้นแล้วกระจายออกตั้งค่ายที่วัดภูเขา ทองวัดการ้องแล้วสั่งนายทัพนายกองเติมเข้าไปทางวัดกระช้าย วัดเต่า วัดสุเรนทร์ ทางด้านตะวันตกทั้งหมด


อย่างไรก็ดี เวลานั้นกองทัพกรุงศรีอยุธยายังคงยึดพื้นที่นอกกำแพงเมืองบางส่วนไว้ได้ คือด้านเหนือที่เพนียด ด้านตะวันออกที่วัดพิชัย วัดเกาะแก้ว ด้านใต้มีกลุ่มคนจีนโดยหลวงพิพัฒน์คุมอยู่ที่คลองสวนพลู ด้านตะวันตกที่วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น


ต่อมากองทัพพม่าได้ขยายวงล้อมมาทางทิศเหนือ ตั้งค่ายที่วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ แต่ละค่ายให้พูนดินปลูกหอสูงตั้งปืนใหญ่ไว้ยิงถล่มกรุง
แต่ในที่สุดค่ายใหญ่น้อยต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาที่อยู่รอบนอกพระนคร ก็ไม่สามารถจะยันพม่าไว้ได้

“ค่ายไทยซึ่งออกมาตั้งรบอยู่นอกพระนครนั้น ก็เสียแก่พม่าในเดือน ๓ ปีจอ อัฐศกนั้นทั้งสิ้น”


เท่ากับว่ากองทัพพม่าได้ Shutdown กรุงศรีอยุธยาได้อย่างเบ็ดเสร็จก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แต่ว่าก่อนหน้านั้น กรุงศรีอยุธยาก็ถูกปิดล้อมทั้งหัวเมืองใกล้เคียงและชานพระนครไว้ก่อนแล้ว

กองทัพพม่าไม่เพียงแต่ตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้แบบชั่วคราวเท่านั้นแต่ได้“สร้างเมือง”ก่อกำแพงสูง โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ปักหลักพักค้าง” น้ำมาไม่หนี อยู่กันข้ามปีถึงขนาดว่าจะล้อมไว้นานเท่าไรก็ได้ “ถึงแม้ว่าเราจะต้องล้อม ๑๐ ปี เราก็จะล้อมไว้กว่าจะได้”

เมื่อพม่าตั้งค่ายตามวัด ก็ใช้อิฐวัดก่อกำแพงเมือง “พม่าล้วนแต่มีใจหยาบช้ามิได้ละอายแก่บาป ให้รี้พลไปรื้อเอาอิฐ โบสถ์วิหารวัดน้อยใหญ่ทั้งปวง มาก่อกำแพงล้อมเป็นค่ายทั้งสองตำบล” นี่เองทำให้กรุงศรีอยุธยาหลังสงคราม “หมดสภาพ” ที่จะฟื้นคืนให้ดีดังเก่าได้


“เมือง” หรือค่ายของกองทัพพม่ามั่นคงแข็งแรง สร้างด้วยอิฐจากวัดต่างๆ มีอยู่ถึง ๒๗ เมือง รายรอบกรุงศรีอยุธยา

“ได้สร้างเมืองรอบพระนครทั้ง ๔ ด้าน สร้างด้วยอิฐทั้งสิ้น ๒๗ เมืองๆ นี้ได้ก่อนสร้างป้อม คู ประตู หอรบ ไว้ทั้งสิ้น ดุจเทวดาลงมานฤมิตร แล้วจัดให้พลทหารเอาปืนใหญ่น้อยสาตราวุธทั้งปวงขนขึ้นรักษาตามป้อมแลหอรบบนเชีงกำแพงโดยแน่นหนา

ครั้งจัดเสร็จแล้วแม่ทัพทั้ง๒ก็สั่งให้พลทหารเอาปืนใหญ่ยิงเข้าไปในกำแพงกรุงศรีอยุทธยาดุจฝนแสนห่ามิได้ขาดเสียงปืน”


การ Shutdown กรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น เป็นการปิดล้อมเชิงยุทธวิธีแล้ว เพื่อตัดการส่งเสบียงอาวุธ เสบียงอาหาร ไม่ให้กรุงศรีอยุธยาได้รับการสนับสนุนใดๆ จากภายนอกได้อีก แล้วยังสามารถจัดการพื้นที่เพื่อสนับสนุนเสบียงให้กับ “เมือง” ที่กองทัพพม่าตั้งขึ้นรอบๆ พระนครอีกทางหนึ่ง

“เพราะฉะนั้นพวกเราจงแย่งชิงโคกระบือของพลเมืองอยุทธยาทั้งปวง เมื่อได้แล้วก็ไปทำนาตามพลเมืองแลนาหลวงอยุทธยาให้มีกำลังแก่เรา แลอย่าให้พลเมืองอยุทธยาทำไร่ทำนาได้”


การปิดล้อมแบบปิดตายครั้งนี้ส่งผลให้ภายในพระนครระส่ำระสายอย่างหนัก

“ฝ่ายข้างในกรุงฯก็เกิดโจรผู้ร้ายปล้นกันเนืองๆมิได้ขาดและผู้คนอดอยากซูบผอมป่วยไข้ล้มตายนั้นก็มากที่หนีออกไปหาพม่านั้นก็เนืองๆ”
ผลการรบที่กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ ทำให้บาทหลวงชาวฝรั่งเศสถึงกลับกล่าวว่าไทยไม่คิดสู้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

“ฝ่ายพม่าข้าศึกก็ยกทัพเข้ามาทีละน้อย หวังจะให้ขาดเสบียงในกรุง เพราะพวกพม่าได้ทำลายทุ่งนาบ้านเรือนโดยรอบกรุง ถ้าไทยจะคิดตัดเสบียงพวกข้าศึกแล้วก็จะทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็ไม่เห็นไทยคิดจะจัดการอย่างใดเลย”


ศึกใน ไส้ศึก

กองทัพพม่าที่ยกมาคราวนั้น มีหลักฐานบันทึกจำนวนไว้ต่างกันออกไป พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ว่ามีราว ๒๕,๐๐๐ นาย หนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัดว่ามีประมาณ ๘๐,๐๐๐ นาย หนังสือมหาวงษ์พงศาวดารพม่า ว่ามีราว ๗๓,๐๐๐ นาย

ด้านกองทัพกรุงศรีอยุธยาฝ่ายตั้งรับ หนังสือคำให้การฯ ว่ามีราว ๖๐,๐๐๐ นาย ใกล้เคียงกับหนังสือมหาวงษ์ฯ ว่ามีราว ๕๐,๐๐๐ ไม่รวมช้าง ม้า ปืนใหญ่ อีกหลักพัน


จำนวนทหารที่ปรากฏในบันทึกอาจจะไม่มีความแน่นอนนัก อย่างไรก็ดี ตามหลักยุทธศาสตร์การรบ ฝ่ายตั้งรับคือฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า แต่ในกรณีนี้พม่าใช้ยุทธวิธีปิดล้อมยืดเยื้อ ผลการรบส่วนใหญ่พม่าจึงเป็นฝ่ายมีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาเกือบทุกสมรภูมิ


ความพ่ายแพ้ อดอยาก ยิ่งทำให้ทั้งทหาร ราษฎร ในพระนครหนีออกไปมอบตัวกับกองทัพพม่ามากยิ่งขึ้น “การข่าว” ของพม่าก็ยิ่งแม่นยำขึ้นมากเช่นเดียวกัน

“พวกพลทหารพลเมืองอยุทธยา ทั้งปวงก็ได้รับความคับแค้นอดหยากคับแค้นอยู่ทุกผู้คนแล้วจึงได้เข้ามาอ่อน น้อมสวามิภักดิ์ที่กองทัพเราทุกวันมิได้ขาดเราก็ได้ทราบกิจราชการของพระเจ้า กรุงศรีอยุทธยาหมดแล้ว”

นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานเป็นบันทึกของชาวต่างชาติที่“บันทึกเรื่องราวของผู้เห็นเหตุการณ์”ไว้ว่ากรุงศรีอยุธยามี“ไส้ศึก” ของกองทัพพม่าอยู่ภายในตัวเมือง คอยช่วยเหลือกองทัพใหญ่นอกเมืองอีกด้วย
 

“ในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ทัพพม่าได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากชาวพม่าด้วยกันจำนวนประมาณ ๕๐๐ คน ที่อยู่ในตัวเมือง (ชาวพม่าเหล่านี้ถูกกองทัพไทยจับไว้ได้ในครั้งก่อนๆ) และได้ติดต่อกับกองทัพพม่าที่ยกเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา”

น่าเสียดายที่บันทึกเรื่องนี้ไม่สามารถยืนยันได้จากเอกสารฝ่ายพม่าและฝ่ายไทย

อย่างไรก็ดีคำให้การชาวกรุงเก่าได้เอ่ยถึงเรื่อง“ไส้ศึก” ไว้เหมือนกัน
“พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเห็นนายทัพนายกองแตกพ่ายมาดังนั้น ก็ให้ปิดประตูให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นไว้มิให้ออกรบ

ครานั้นพระยาพลเทพข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกหากลอบส่งเครื่องศัสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่าสัญญาจะเปิดประตูคอยรับ”


แม้ว่าเรื่องนี้จะเชื่อถือได้ยาก เพราะในกรุงศรีอยุธยาเองก็ขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างมาก จะมีปัญญาส่งเสียให้กับกองทัพพม่าได้อย่างไร


แต่ ข้อเท็จจริงบางประการที่มีหลักฐานยืนยันตรงกันก็คือ“กองทัพพม่าเต็มไปด้วยคน ไทย” จะเป็นการแปรพักตร์หรือถูกกวาดต้อนให้ร่วมรบก็ตามย่อมมีผลในการ “เติม” กำลังพลให้กับฝ่ายพม่า ในขณะเดียวกันก็ “ลด” กำลังทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไปไม่น้อย


การที่มีคนคิดสู้ และผู้ที่คิดหนี ในเวลาเช่นนี้ ย่อมมีผลอย่างสูงในเวลาที่บ้านเมืองระส่ำระสาย และหากผู้ที่คิดหนีเป็นขุนทหารไม่ใช่ราษฎรที่เป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา ย่อมมีผลต่ออำนาจในการป้องกันตัวของกรุงศรีอยุธยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


แน่นอนว่าเรื่องของนักสู้ และผู้ถอยหนี มีบันทึกไว้ไม่น้อยในประวัติศาสตร์หน้านี้

เช็คชื่อ ใครสู้ ใครถอย ใครหนี

ปกติการรบย่อมมีรุกมีรับ แต่ในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยานั้น ปรากฏว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายถอยหนีมากกว่ารุกคืบ การที่กรุงศรีอยุธยาเน้นยุทธวิธีตั้งรับมากกว่ารุกไล่ หรือป้องกันข้าศึกตั้งแต่แนวชายแดน ทำให้ข้าศึกรุกคืบถึงพระนครได้โดยง่าย และมีโอกาส “รุกฆาต” เมื่อใดก็ได้

อย่างไรก็ดี การที่กรุงศรีอยุธยาสามารถตั้งรับได้นานนับปี อาจแสดงว่าประสิทธิภาพในการป้องกันตัว ยังใช้ได้ดีพอสมควร ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะทหารในพระนครสู้รบอย่างเต็มที่เนื่องจากเป็นปราการด่านสุดท้าย หรืออาจเป็นเพราะ “กรุงศรีอยุทธยานี้เปนกรุงใหญ่โตมั่นคง แลคูเมืองกว้างน้ำก็ลึกกับได้ก่อสร้าง ๕๐ ป้อม ค่ายคูประตูหอรบขึ้นไว้ใหม่”  ทำให้กองทัพพม่าต้องหายุทธวิธีฝ่าด่านสุดท้ายนี้ให้ได้ คือการขุดอุโมงค์เผารากกำแพงเมือง แล้วเข้าตีพร้อมกันทุกด้าน จนสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้ในที่สุด

หากไล่เรียงความพ่ายแพ้นับตั้งแต่เริ่มเกิดศึก ก็จะเห็นได้ว่า กรุงศรีอยุธยาเสียทีตั้งแต่เริ่มศึก และไม่มีโอกาสกลับมาเป็นผู้ชนะได้ เนื่องจากตลอดเส้นทางการรบกรุงศรีอยุธยารบพลางถอยพลางอยู่ตลอดเวลา

นับตั้งแต่เดือน ๖ ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๐๗ กองทัพพม่าได้ไล่ล่า “หุยตองจา” เจ้าเมืองทวาย ซึ่งหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พม่าจึงตามตีไล่ล่าหุยตองจา ตั้งแต่เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี เลยมาถึงเมืองกระบุรี ชุมพร ปทิว เมืองกุย เมืองปราณ ก่อนจะยกทัพกลับไปตั้งหลักที่เมืองทวาย หลังจากไม่ได้ตัวหุยตองจาดังที่หวัง เพราะรัฐบาลกรุงศรีอยุธยาได้ส่งตัวหุยตองจาไปลี้ภัยที่เมืองชลบุรี

หลัง จากได้หยั่งเชิงดูแล้วเห็นว่ากองทัพกรุงศรีอยุธยานั้นอยู่ในสภาพอ่อนแอพม่า ก็ตัดสินใจที่จะตีกรุงศรีอยุธยาสิ้นสภาพในคราวนี้จึงส่งกองทัพบุกทางเหนือ หนึ่งกองทัพ ทางใต้อีกหนึ่งกองทัพ บุกตะลุยฝ่าด่านหัวเมืองต่างๆ มาเรื่อยๆ

เดือน ๔ ปีวอก เมืองกำแพงเพชร ไม่มีใครสู้รบ
เดือน ๗ ปีวอก พระพิเรนทรออกรับศึกเมืองกาญจนบุรี แตกพ่าย
ราชบุรี เพชรบุรี มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น
ปีระกา ให้พระพิษณุโลกไปตั้งรับที่วัดภูเขาทอง พระพิษณุโลกถวายบังคมลาไปปลงศพมารดา
เดือน ๑๑ ปีระกา พระยาสุโขทัย และพระยาสวรรคโลกพาครอบครัวพลเมืองหนีเข้าป่า


พวกไทยบางกุ้งแตกพ่ายหนี
พระยารัตนาธิเบศตั้งรับอยู่เมืองธนบุรีหนีกลับขึ้นไปกรุงศรีอยุธยามิได้สู้รบ
พระยายมราช ตั้งรับอยู่เมืองนนทบุรี เลิกทัพหนี มิได้ตั้งอยู่ต่อรบพม่า
บรรดาประชาชนชาวหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวง ยกครอบครัวหนีเข้าป่า
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ผนวชอยู่วัดประดู่ หาได้ลาผนวชออกไม่


เดือนอ้าย ปีจอ พระยาแพร่ ซึ่งร่วมรบกับกองทัพพม่ามาตลอดทาง รวมทั้งร่วมเข้าตีค่ายบางระจัน เกิดเปลี่ยนใจไม่อยู่ฝ่ายพม่าอีกต่อไปเพราะ “สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้ามาก ข้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่รบกรุงเทพมหานครด้วยพม่าแล้ว จะกลับไปเมืองของตน”

เดือนยี่ ปีจอ พระยาตาก “จัดแจงกันคิดจะยกทัพหนีไปทางตะวันออก”

พลเรือน ทหาร ข้าราชการ ที่ “หนี” เหล่านี้ เฉพาะที่ปรากฏชื่อ เรื่องราวในพระราชพงศาวดารเท่านั้น ในเหตุการณ์จริงคงจะมีนายทัพนายกองอีกมากที่ทำในสิ่งเดียวกัน นอกจากหนีแล้วหนังสือมหาวงษ์ฯ ยังได้กล่าวอ้างถึงการยอมสวามิภักดิ์ของเจ้าเมืองฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไว้หลายเมือง เช่น ราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เป็นต้น

“ฝ่าย ผู้รักษาเมืองราชบุรีเห็นว่าเมืองเพ็ชร์บุรีเสียแก่มหานรทาก็มีความกลัวเกรง ไม่อาจจะต่อสู้รบแล้วผู้รักษาเมืองราชบุรีก็เอาเครื่องราชบรรณาการเปนอัน มากออกมาสวามิภักดิ์ยอมเข้าเปนข้ามหานรทาแม่ทัพแล้วมหานรทาแม่ทัพก็ตั้งให้ ผู้รักษาเมืองราชบุรีกับตั้งให้นายทหารเอกอยุทธยากำกับรักษาเมืองราชบุรีต่อ ไป แล้วให้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาด้วย”

แน่นอนว่าการศึกครั้งนี้ มิใช่จะมีแต่การ “หนี” เพียงอย่างเดียว

ในศึก “ป้องกันตัว” กรุงศรีอยุธยายังมีผู้ที่สู้ตายถวายชีวิตอีกมาก เพียงแต่ว่าการเสียสละเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ผลการรบเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

ราวเดือน ๑๒ ปีระกา พ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ ปอเน นำเรือเข้ามาขายสินค้าในกรุงศรีอยุธยาในระหว่างเกิดสงครามพอดี
 

“โกษาธิบดีให้ล่ามถามแก่นายกำปั่นว่าถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบุรีอีกนายกำปั่นจะอยู่ช่วยรบหรือจะไปเสียนายกำปั่นว่าจะอยู่ช่วยรบ”

พวกปอเนยิงต่อสู้กับพม่าที่ป้อมเมืองธนบุรีได้ระยะหนึ่งก็ขอปืนใหญ่กระสุนดินปืนเพิ่มอีก“ไทยยอมจัดปืนให้แต่ไม่ครบจำนวน” สุดท้ายปอเนจึงถอนสมอออกไป “มิได้อยู่รบพม่า”

เดือน ๓ ปีระกา เกิด “ศึกบางระจัน” ชาวบ้านร่วมมือกันต่อสู้กับกองทัพพม่าอย่างดุเดือด และสามารถรักษาบางระจันไว้ได้นานถึง ๕ เดือน ก่อนจะแตกพ่ายไปในเดือน ๘ เสียชาวบ้านไป ๑,๐๐๐ กว่าคน พม่าตายไป ๓,๐๐๐ เศษ พวกที่รอดตายก็ถูกจับเป็นเชลยโดยมาก

กรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นอีกพระองค์หนึ่งที่รวบรวมผู้คนทางหัวเมืองตะวันออกได้หลายพันคน คิดจะยกกลับมากู้กรุงศรีอยุธยา แต่แผนแตกเสียก่อน พม่ายกกองทัพมาตีจนแตกพ่าย กรมหมื่นเทพพิพิธหนีไปเมืองนครราชสีมา

นายเริก ทหารในกองเรือที่กำลังจะยกเข้าตีค่ายพม่าที่วัดการ้อง ถูกปืนยิงขณะรำดาบสองมืออยู่หน้าเรือ “ตกน้ำลง” ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นหรือตาย แต่เห็นจะมีวิชาดีอยู่จึงกล้ารำดาบท้าพม่าอยู่หน้าเรือได้

เดือน ๑๒ ปีระกา พระยาเพชรบุรีเป็น “กองหน้า” นำกองเรือเข้าตะลุมบอนกับพม่ากลางทุ่งวัดสังฆวาส พม่าเอาหม้อดินดำติดเพลิงโยนเข้าในเรือพระยาเพชรบุรี สุดท้ายจับพระยาเพชรบุรีได้ แต่พระยาเพชรบุรีเป็นคนมีวิชา ฟันแทงไม่เข้า “จึงเอาไม้หลาวเสียบแทงทางทวารหนักถึงแก่ความตาย”

ในกองเรือนี้มีพระยาตาก “นายกองเรือ” และหลวงศรเสนี “กองหนุน” แต่ทั้งสอง “จอดรอดูเสีย หาเข้าช่วยอุดหนุนกันไม่”

นอกจากนี้ยังมีชาวจีนคลองสวนพลูนำโดยหลวงพิพัฒน์ นำจีน ๒,๐๐๐ คน ตั้งค่ายรบอยู่ที่คลองสวนพลู (เอกสารบาทหลวงว่าตั้งอยู่ที่ค่ายฮอลันดา) ค่ายนี้รบกับพม่าอยู่ครึ่งเดือนถึงเสียค่าย

ค่ายทหารกรุงศรีอยุธยาที่วัดชัยวัฒนารามก็ต่อสู้พม่าอยู่แปดเก้าวันจึงพ่ายแพ้

นอกจากนี้ยังมีวีรบุรุษอีกมากที่สู้ตายถวายชีวิตในศึกครั้งนี้ บ้างก็อาจมีชื่ออยู่ในพระราชพงศาวดาร บ้างก็มีชื่ออยู่ในตำนานท้องถิ่น บ้างก็เป็นวีรบุรุษนิรนามไป

ข้อมูลจากพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ในศึกครั้งนี้กรุงศรีอยุธยามีผู้เสียชีวิต ทั้งด้วยอาวุธ ป่วยไข้ และอดตาย ประมาณได้ ๒๐๐,๐๐๐ คน ถูกจับเป็นเชลยราว ๓๐,๐๐๐ คน รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาก็ถูกจับเป็นเชลยอีกพระองค์หนึ่งด้วย

แต่ก็ยังมีผู้ที่หลบหนีพม่าและรอดจากสงครามคราวนี้จนต่อมาได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึง๒คน

๓ กษัตริย์ “หนี” ในศึกกรุงแตก

พระเจ้าแผ่นดินพระองค์สุดท้ายในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาคือพระเจ้าเอกทัศน์พระราชพงศาวดารบันทึกพระราชประวัติในช่วง“หนี”พม่าไว้ว่า

“พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจากเมือง ลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคน ไปเร้นซ่อนอยู่ในสุมทุมไม้ใกล้บ้านจิกข้างวัดสังฆาวาส มหาดเล็กนั้นก็ทิ้งเสียหนีไปอื่น อดอาหารอยู่แต่พระองค์เดียว พม่าหาจับได้ไม่”


แต่พระราชพงศาวดาร ฉบับพระพนรัตน์ บันทึกไว้ต่างกันคือ “หนีออกไปจากพระนครองค์เดียว ได้ความทุกข์ลำบากก็ถึงพิราลัยไปสู่ปรโลก” คล้ายกับ คำให้การชาวกรุงเก่า ที่ว่า “พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ประมาณสิบเอ็ดสิบสองวันก็เสด็จสวรรคต” ส่วนบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสว่า “ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามซึ่งเป็นพระโรคเรื้อนนั้น ก็หนีข้าศึกไป และไปสวรรคตที่โพธิ์สามต้น”


บันทึกทั้งหมดนั้นต่างจากพงศาวดารพม่าอย่างสิ้นเชิง พงศาวดารพม่ากล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าแผ่นดินสยามว่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้ปลอมพระองค์หนีไปกับพระมเหสีเล็ดลอดปะปนไปกับราษฎร แต่ทรงถูกปืนซึ่งพม่ายิงเข้าใส่ฝูงชนเมื่อบุกเข้าเมืองมา “พระศพพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาถูกอาวุธล้มสวรรคตอยู่ที่ประตูเมืองฝั่งตวันตกกรุงศรีอยุธยา” เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา


แต่ก่อนที่จะสิ้นวงศ์อยุธยามีบุคคลสำคัญ๒ท่าน ที่หนีศึกในสงครามกรุงแตก และภายหลังได้กลับมาเป็นผู้ที่สถาปนาราชอาณาจักรและพระราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ สืบต่อจากวงศ์อยุธยา


หนึ่งในนั้นคือ พระยาตาก ที่พารี้พลหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ก่อนกรุงจะแตก ๓ เดือน ภายหลังจึงวกกลับมาขับไล่พม่า “ฟื้น” ราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่มีราชธานีอยู่ที่ “กรุงธนบุรี”


อีกท่านหนึ่งคือ หลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) เมืองราชบุรี

เมื่อครั้งพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น นายสุดจินดา (บุญมา) หนีพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา มุ่งหน้าไปหาพี่ชายคือหลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) เมืองราชบุรี ที่อัมพวา หมายจะชักชวนกันไปเฝ้าหาพระยาตากแถบเมืองชลบุรี เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันกู้กรุงศรีอยุธยา
 

“เมื่อถึงราชบุรีแล้วจึงเสด็จไปที่บ้านอำพะวา ก็หาพบพระเชษฐาไม่ สืบความทราบมาแต่พระสงฆ์บางองค์ที่กล้าอยู่ บอกว่าพระเชษฐาท่านพาพระชายาแลพระญาติหนีพม่าในป่าข้างทิศเหนือ ขณะนั้นกรมพระราชวังท่านก็ตามไปในป่าหลายวันจึงพบพระเชษฐา”

หากย้อนกลับไปตรวจสอบวันที่มังมหานรธาบุกเมืองราชบุรีคือเดือน๗ ปีวอก ซึ่งเวลานั้นพงศาวดารกล่าวไว้แตกต่างกันคือ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า “มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น” ส่วนฉบับพระพนรัตน์กล่าวว่า “รบพุ่งกันอยู่หลายวัน” ในขณะที่พงศาวดารพม่าบันทึกว่าผู้รักษาเมืองราชบุรี “ออกมาสวามิภักดิ์ยอมเปนข้ามหานรทา”


ไม่ว่าสถานการณ์การรบจะเป็นอย่างไร บทสรุปที่แน่นอนก็คือราชบุรีเสียให้แก่พม่าตั้งแต่เดือน ๗ ปีวอก ในขณะที่ราษฎร ทหาร บางส่วนย่อมหลบหนี “เข้าป่าไปสิ้น” ซึ่งก็น่าจะเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่หลวงยกกระบัตรพาครอบครัวหลบหนีเข้าป่า

ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็เท่ากับว่าหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี หนีเข้าป่าก่อนกรุงแตกเกือบ ๒ ปีเต็ม


จนกระทั่งนายสุดจินดาน้องชายไปชวนให้เข้าร่วมรบกับพระยาตาก กู้กรุงศรีอยุธยา แต่หลวงยกกระบัตรราชบุรีเวลานั้น “ไม่สะดวก” เนื่องจากเมียและพี่สาวตั้งครรภ์อยู่ และยังต้องคอยตามหาพ่อตาแม่ยายที่พลัดพรากจากกันไปอีกด้วย
 

“อยู่ ที่ตำบลนี้ก็พอจะซ่อนตัวได้เมื่อเสบียงอาหารหมดลงก็จะเอาที่เราฝังไว้ในบ้าน มากินอีกประการหนึ่งเงินทองก็ฝังไว้เหล่านี้ทั้งสิ้นจะทิ้งไปเสียกระไรได้ ต้องอยู่ดูแลระวังรักษาบ้าง”

อีกราว ๑๕ ปีต่อมา หลวงยกกระบัตรราชบุรีท่านนี้ ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สืบต่อจากกรุงธนบุรี


สรุปบทเรียนของนายสุดจินดา

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ภายหลังถูกตีแผ่ด้วยเพลงยาวนิราศของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเดิมคือนายสุดจินดา “ประจักษ์พยาน” ที่ฝ่าด่านพม่าไปทางเรือ เพื่อหวังจะ “สู้” กู้กรุงศรีอยุธยา


  อันจะเป็นเสนาบดี   ควรที่จะพิทักษ์อุปถัมภ์
  ประกอบการหว่านปรายไว้หลายชั้น ป้องกันปัจจาอย่าให้มี
  นี่ทำหาเป็นเช่นนั้นไม่   เหมือนไพร่ชาติชั่วช้ากระทาสี
  เหตุภัยใกล้กรายร้ายดี   ไม่มีที่จะรู้สักประการ
  ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที   มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน
  ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน   เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
  ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย  ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
  ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป   มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
  จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่  ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
  ครั้นทัพเขากลับยกมา   จะองอาจอาสาก็ไม่มี
  แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ  จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
  ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี  เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ


Friday, January 24, 2014

เก็บตกจากสารคดี "ความชั่วช้าสามานย์อันทนรับมิได้ - Das radikal Boese"

http://www.youtube.com/watch?v=96wBhgXafto

"การเห็นคนต่ำกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" - Patrick Debois ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรปตะวันออก

วันนี้ได้มีโอกาสไปดูสารคดีมาครับ เรือง Das radikal Boese - The radical evil ที่ตั้งคำถามทำไมทหารนาซีถึงฆ่าคนยิวได้อย่างเลือดเย็น

ในหนังก็ให้คำตอบจากงานวิจัยครับ โดยบอกว่า นาซีก็มีสุขภาพจิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่มันเริ่มที่เราเห็นคนอื่นต่ำกว่า แย่กว่า จากข้อมูลผิดๆที่เป็นโปรปากานด้า โฆษณาชวนเชื่อ แล้วก็มีการสร้างพรรคพวกให้เห็นว่ายิวมันเลว เป็นศัตรูของฝ่ายเรา คนอื่นก็อยากฆ่ายิวเหมือนๆกัน แล้วสร้างสถานการณ์ที่ทำให้ฆ่ายิวได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่มีการทำโทษ หรือ ประนาม มีแต่การให้รางวัล (conformity)

เเละเพื่อลดความกดดันทางศีลธรรมส่วนบุคคล ก็แบ่งขั้นตอนการฆ่าเป็นหลายๆขั้น ให้แบ่งกันทำเพื่อ ลดความรับผิดชอบไป เป็นขั้นๆ เช่น ให้คนนึงเหนี่ยวไก คนนึงสั่งยิง คนนึงจับนักโทษมา เวลาจับนักโทษก็จับเหมือนกับจับสัตว์ให้คนยิงรู้สึกเหมือนยิงสัตว์

แต่จากบันทึก และ คำให้การของทหารที่โดนขึ้นศาล พวกเขาบางคนก็รู้สึกผิดแต่ว่าถือว่าความรู้สึกผิดนั้นคือความอ่อนแอที่จะ แสดงออกมาไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งและทำเพื่ออุดมคติ เช่น เพื่อชาติ เท่านั้น

วิธีที่จะป้องกันความโหดร้ายแบบนี้ในอนาคตคือ
หนึ่ง การอนุญาตให้ทหารปฏิเสธการกระทำที่ผิดหลักมนุษยธรรมได้ โดยไม่ขึ้นคำสั่งของผู้นำ
สอง พยานผู้เห็นเหตุการณ์ต้องกล้าหาญพอที่จะห้ามการกระทำนั้น หรือ ประนามการกระทำนั้นทันที
และสาม เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ต้องต่อต้านการเหยียด ดูถูก กัน ในทุกรูปแบบเช่น การเหยียดผิว เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทหารพวกนี้ แม้จะอ้างว่า ทำเพราะคำสั่ง ทำเพื่อชาติ แต่ก็ไม่สามารถหนีความรับผิดชอบส่วนบุคคลไปได้ ต้องขึ้นศาลรับผิด โดย มีกระบวนการสอบสวนที่ เมือง เนินแบร์ก ประเทศเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกือบทั้งหมดที่ถูกนำมาขึ้นศาล ก็ถูกตัดสินประหารชีวิต

แต่กระบวนการยุติธรรมนี้ก็มีข้อจำกัด คือ มีทหารที่ฆ่ายิวเป็นจำนวนมากเกินกว่าจะสอบสวนได้หมด เขาจึงเลือกมา 24 นาย ซึ่งเป็นจำนวนที่ห้องที่ใช้สอบสวนรองรับได้ มันเป็นเหตุผลที่ประหลาดมาก และ ทั้งหมดก็ถูกปล่อยตัวหลังจากคำพิพากษาไม่กี่ปี (ยกเว้นคนที่ตายในคุก)

ผู้พิพากษาในครั้งนั้น เบนจามิน เฟเรนซ์ (Benjamin Ferencz) ได้แต่บอกว่า มันช่วยไม่ได้ เราไม่สามารถจะได้ความยุติธรรมที่สมบูรณ์แบบ แต่ได้เพียงความยุติธรรมที่ยอมรับได้อย่างสูงที่สุด มันแสดงได้แค่ว่า มนุษย์จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์โหดร้ายแบบนี้อีกแล้ว


--------------------------------------------


„Das radikal Böse ist das, was nicht hätte passieren dürfen, das heißt das, womit man sich nicht versöhnen kann [...] woran man auch nicht schweigend vorübergehen darf.“ - Hannah Arendt

"ความชั่วร้ายที่สุดที่ไม่ควรเกิดขึ้น คือสิ่งที่คนไม่ควรประนีประนอมกับมัน และ สิ่งที่คนไม่ควรเป็นเงียบกับความชั่วร้ายนี้" - ฮันนา อาเรนดท์ นักปรัชญาชาวยิวผู้รอดจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ปล. ผมดูมารอบเดียวเป็นภาษาเยอรมัน อาจมีผิดได้ ต้องขออภัย และ พร้อมแก้ไขเสมอครับ