Wednesday, December 30, 2015

ปริทรรศน์ หนังสือ กบฏกู้ชาติ เล่าเรื่องเสรีไทยสายอังกฤษ โดย พี่ Saravuth Ph

ที่มา https://www.facebook.com/saravuth.ph/posts/10153717988610664:0

กบฏกู้ชาติ
หนังสือแต่งโดยทศ พันธุมเสน ลูกของพระยาทรงสุรเดช อันนี้เพิ่งทราบว่าท่านมีลูกด้วย
สรุปที่อ่าน
หนังสือเล่มนี้ออกปี 2531 เพื่องานครบรอบอายุ 72 ปี ป๋วย
พอรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษจึงกันทรัพย์สินทั้งหมดของรัฐบาลไทย นร.ไทยมาที่มาด้วยทุนรัฐบาลไทยจึงไม่ได้รับค่าใช้จ่ายไปด้วย ต้องเอาของมีค่าไปจำนำหรือรับจ้างเป็นกรรมกรตามโรงงาน แต่ผู้เขียนมีเงินออมอยู่พอสมควรเพราะว่า ตั้งแต่พ่อลี้ภัยก็เจียมตัวว่ายากจนมาตลอดไม่ใช้ฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ผู้เขียนไปทำงานเหมืองถ่านหินในชนบทซึ่งคนอังกฤษที่นั่นก็ไม่รู้ว่า ปท.ไทยอยู่ไหนหรือเป็นคู่สงครามกับอังกฤษ รู้จักแต่แฝดสยามและแมวสยาม จึงต้อนรับผู้เขียนอย่างดี
ขณะที่เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยที่สหรัฐฯประกาศชัดเจนว่าไม่ยอมรับการประกาศสงครามของไทยกับ พันธมิตรและได้เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่สหรัฐฯ ทูตไทยยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆที่ประชุมนร.ไทยในอังกฤษจึงคิดว่าจะหาใครเป็น ผู้นำดี เมื่อติดต่อไปหาพระมนูเวทวิมลนาทที่เป็นทูตก็ปรากฏว่าท่านไม่เห็นด้วยเพราะ ทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการกบฏต่อรัฐบาลไทย จากนั้นติดต่อไปพระองค์เจ้าจุลฯท่านก็บอกว่าท่านปฏิบัติราชการในกองรักษาดิน แดนอังกฤษอยู่แล้ว ทั้งนี้มีหนังสือเวียนในหมู่นร.ว่าจะมีใครกลับไทยโดยเรือแลกเปลี่ยนเชลยหรือ ไม่ถ้าไม่ก็จะถูกถอนสัญชาติไทย บางคนก็กลับบางคนก็ไม่
ป๋วยวางตัวเป็นครู เป็นหัวหน้าพวกเสรีไทยด้วยกัน แต่คราวหลังก็มีทำตัวดีแตกเสเพลบ้างเหมือนกัน (ผู้เขียนแซวมากกว่าจะตำหนิ) พวกเจ้าที่มาเป็นเสรีไทยด้วยกันและไปฝึกฝนกันในค่ายทหารอังกฤษก็สนิทกันจน แทบจะไม่มีใครใช้ราชาศัพท์เวลาคุย
สถิติทหารอเมริกันเป็นการมโรคมากกว่าทุกชาติ ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นน้อยที่สุดเพราะทางการจัดหญิงบริการปลอดโรคให้ทหารรวมทั้ง กำชับให้ใช้ถุงยางกับยาฆ่าเชื้อหลังร่วมเพศ
กลุ่มทหารเสรีไทยออกจากท่าลิเวอร์พูลต้นปี 2486 เดินทางโดยเรือไปอินเดียใช้เวลาสามเดือนครึ่งโดนระหว่างนี้มีแวะพักรอเรือ ขบวนใหม่ที่อาฟริกาใต้ 28 วัน ผู้เขียนนอนอยู่ในท้องเรือโดยถ้าโดนเรือดำน้ำเยอรมันยิงใส่ก็คงตายทันที หรือถ้าทะลุไปโดนส่วนอื่นเรือก็จะจมในห้าถึงสิบนาทีอย่าหวังจะขึ้นไปดาดฟ้า เรือได้ทัน สู้นอนสวดมนต์ดีกว่าไปเหยียบกับคนอีกพันคน ระหว่างทางมีเครื่องบินเยอรมันที่ตั้งฐานในฝรั่งเศสออกมาโจมตีแต่ไม่สามารถ ทำความเสียดายได้เพราะเรือรบอังกฤษคุ้มกันอย่างดุเดือด ผู้เขียนกล่าวว่าคนส่วนใหญ่เมาเรือกันหนักมาก ผู้เขียนไม่ได้กินอะไรเลยเพราะอ้วกออกหมดห้าวันเต็มอยากตายเพราะโดนระเบิดดี กว่าทรมานจากอาการเมาเรือ ทั้งนี้ถ้าอังกฤษแพ้เยอรมันในอาฟริกาเหนือสถานการณ์จะลำบากมากสำหรับพวกที่ กำลังไปอินเดียเพราะการส่งกำลังของอังกฤษไปอินเดียจะยากขึ้นมาและจะเสียอิน เดียวให้ญี่ปุ่น
ผู้เขียนตอนแรกไม่ได้รับเลือกเป็นเสรีไทยกลุ่มช้างเผือกหรือกลุ่มที่ต้องทำ การรบแต่ด้วยความอยากเป็นฮีโร่กลับไปให้แฟนสาวชาวอังกฤษได้รับรู้ จึงขอเข้าร่วมไปด้วยแต่หลังจากหายไปนาน แฟนสาวนึกว่าผู้เขียนถูกจับจึงแต่งงานกับชายอื่นไป ภายหลังสงครามแฟนสาวอังกฤษได้ชวนให้ผู้เขียนกลับไปเยี่ยมเธอและสามีในฐานะ เพื่อนแต่ผู้เขียนปฏิเสธไปแต่ก็ยังไม่ลืมเธอในภาพหญิงสาววัย 21 ปี
กองทัพอังกฤษไม่เชี่ยวชาญการรบในป่าเมืองร้อนจึงแพ้อย่างย่อยยับให้กับญี่ปุ่นในมลายูและพม่า
แนวที่ 5 (fifth column) แปลว่าไส้ศึก
หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ผู้นำเสรีไทยในอังกฤษได้ไปพบจำกัด พลางกูรที่จุงกิง ปีพ.ศ. 2486
ป๋วย ประทาน กับสำราญ สามคนเป็นเสรีไทยอังกฤษกลุ่มแรกที่ได้รับมอบหมายเข้าไทย โดยเลือกป๋วยเพราะรู้จากท่านชิ้นว่าปรีดีเป็นหัวหน้าขบวนการในประเทศ ป๋วยเป็นนศ.มธ.รุ่นแรก ปรีดีรู้จักป๋วย ป๋วยเดินทางโดยเรือดำน้ำแต่ไปถึงแล้วไม่มีคนมารับจึงไม่ได้ขึ้นบก ผู้เขียนกล่าวว่าประทานเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านวิทยุ ส่วนสำราญนั้นไม่น่าไว้ใจเพราะเชี่ยวชาญการรักษาโรคของม้าและหมา ดังนั้นจึงน่าจะเป็นความเสี่ยงที่ถ้าป่วยไข้ขึ้นมาป๋วยจะได้รับการเยียวยา เยี่ยงเดรัจฉาน (ฮา)
ทุกคนเห็นว่าการส่งป๋วยเข้าไปไทยเป็นคนแรกในเหมาะสมในแง่ที่ว่า ป๋วยเป็นคนเก่ง สุขภาพดี จิตใจเข้มแข็ง ซึ่งทางการอังกฤษก็เห็นด้วย ซึ่งถ้าได้เจอปรีดีทั้งสองฝ่ายก็น่าจะทำความเข้าใจกันได้ดี ปัญหาคือถ้าป๋วยเข้าไปคนแรกแล้วพลาดถูกจับหรือตายก็จะเสียคนที่มีความสามารถ มากไป ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเก็บป๋วยไว้เป็นกำลังสำคัญมากกว่าจะส่งเข้าไป เป็นกลุ่มแรก แต่ป๋วยก็เป็นคนอาสารับความเสี่ยงเองว่าจะไปกลุ่มแรกจากผู้พันอังกฤษ
เสรีไทยสายอเมริกาพยายามเข้าไทยผ่านจีนแต่ถูกจีนถ่วงเวลาไว้ ส่วนเสรีไทยอังกฤษหลังจากวางแผนเข้าไทยผ่านเรือดำน้ำไม่สำเร็จจึงเปลี่ยน เป็นโดดร่มแทน มีป๋วย ประทาน และเปรมหมอรักษาคนมาแทนสำราญหมอรักษาหมา
เนื่องจากแผนที่ไทยที่มีอยู่นั้นเป็นแผนที่เก่าก่อนสงครามโลก จุดที่คาดว่าป๋วยและเพื่อนจะลงจากที่ว่าไม่มีหมู่บ้านจึงมีหมู่บ้านมีร่ม สัมภาระอันหนึ่งตกในหมู่บ้านอีก ป๋วยพยามยามวิทยุติดต่อฐานที่กัลกัตตาแต่ก็ไม่สำเร็จ จนมาถูกชาวบ้านล้อมจับโดยขณะถูกจับนั้นป๋วยลังเลว่าจะกลืนยาพิษให้ตายเลยดี หรือไม่ ทั้งนี้ตอนโดนจับนั้นมีนายตำรวจคนหนึ่งชักปืนเตรียมยิงป๋วยทิ้งแล้ว แต่มีพลทหารเข้าไปขวางร้องว่าจับข้าศึกได้แล้วต้องส่งตัวให้ผู้บัญชาการ การจัดการเองเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ยี่สิบปีต่อมาป๋วยได้สืบหาผู้มีพระคุณคนนี้จนเจอ ประทานและเปรมถูกจับภายหลังเนื่องจากลืมใส่หมวกแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านจึง เป็นที่สงสัย
กำแหง พลางกูร น้องชายของจำกัด ตอนอยู่ป่าอินเดียคืนหนึ่งฝันว่าพี่ชายมาเข้าฝันว่าตัวเองตายแล้ว กำแหงตื่นขึ้นตกใจไปบอกเพื่อนๆไม่มีใครสนใจ มารู้ภายหลังว่าจำกัดนั้นเสียชีวิตจริง
ฟ.ฮีแลร์อยู่อินเดียช่วงสงครามโลกทำหน้าที่รับส่งวิทยุ
หลังป๋วยถูกจับแต่ตำรวจเป็นฝ่ายกู้ชาติเหมือนกัน ป๋วยจึงได้พบกับปรีดีและส่งข้อความมายังอินเดีย โดยเมื่อพิจารณาจากสำนวนแล้วก็มั่นใจว่าป๋วยไม่ได้เขียนข้อความภายใต้บังคับ ญี่ปุ่น ทางอังกฤษจึงวางแผนจะส่งเสรีไทยคณะที่สามเข้าไทย
อังกฤษและอเมริกาใช้ฉายา Ruth เป็นรหัสปรีดีมาจาก Truth เพราะว่าการที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นหัวหน้าขบวนการลับนี่มันเป็น เรื่องจริงที่พิลึกกว่านิยาย
แผนของหน่วยของเสรีไทยคือส่งเสรีไทยเข้าไปฝึกทหารให้กับกองกำลังต่อต้าน รวมทั้งสะสมอาวุธ แต่ทางลอนดอนไม่เห็นด้วยเพราะไม่ไว้ใจฝ่ายต่อต้านในไทย อยากให้เสรีไทยปฏิบัติงานเป็นเอกเทศแต่ก็ยอมกับเหตุผลของฝ่ายเสรีไทยในที่ สุด
ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้กระโดดร่มลงภูกระดึงที่สมัยนั้นไม่มีผู้คนรู้จัก
พลพรรคใต้ดินทั้งประเทศไทยน่าจะมีราวๆ แปดหมื่นคนที่มีอาวุธ แต่ก็ล้วนเป็นพวกนิรนามเพราะไม่มีการเก็บรายชื่อไว้ เมื่อรัฐบาลไทยมีมติจ่ายเงินให้แก่เสรีไทยสายอังกฤษและอเมริกาเป็นค่าศึกษา ใรตปท.เวลาสามปีครึ่งพวกเสรีไทยจึงไม่รับ
ตอนที่จะส่งท่านชิ้นเข้าเมืองไทยมีความกังวลว่าท่านชิ้นเป็นพระเชษฐาของพระ นางเจ้ารำไพพรรณี ขณะที่รูธเป็นคณะราษฎรจะมีปัญหากันหรือไม่ รูธตอบว่าไม่ ท่านชิ้นวิทยุถามปรีดีว่าแล้วเพื่อนๆของท่านที่ถูกจับอยู่จะว่าไง ปรีดีตอบว่าจะรีบหาทางปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหลาย
พวกเสรีไทยอังกฤษหลายคนได้รับเหรียญตราจากทางอังกฤษแต่ผู้เขียนกล่าวว่าเขา รวมทั้งเพื่อนๆไม่มีใครประดับเหรียญเพราะไม่มีใครยินดียินร้ายเรื่องเหรียญ และต่างคนก็ไม่รู้ว่าใครได้เหรียญหรือไม่ได้เหรียญ
ในบรรดาเสรีไทยที่ได้กลับเมืองไทยได้เจอสาวไทยก็ลืมสาวฝรั่งกันหมดยกเว้น ป๋วยคนเดียวที่ยังรักมั่นกับสาว หลังจบสงครามป๋วยได้กลับไปอังกฤษต่อปริญญาเอกแต่เหนือสิ่งอื่นใดเขารีบแต่ง งานเป็นอันดับแรก โดยก่อนเข้าอังกฤษป๋วยต้องขึ้นเครื่องบินที่กัลกัตตาจึงได้ไปร่วมกับเสรีไทย สายอเมริกาถวายความอารักขาพระเจ้าอยู่หัวอานันและพระอนุชาที่อยู่เมืองนั้น ก่อนนิวัตพระนคร
เสรีไทยอเมริกาใหญ่กว่าและปฏิบัติงานได้สำคัญกว่าเสรีไทยอังกฤษแต่ไม่มีผู้ ได้เขียนหนังสือไว้ เสรีไทยอเมริกาสองคนโดนฆ่าตายตอนเข้าไทย
//////////////////////////////
อ่านจบแล้วสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ ผมไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์เสรีไทยเลย นึกว่าคงไม่ได้เป็นหน่วยที่เก่งกล้าอะไรเพราะว่ายังไม่ทันสู้รบจริงสงคราม โลกก็จบซะก่อน แต่พอมาอ่านดูแล้วถึงรู้ว่าเสรีไทยนี่ฝึกหนักมากๆเหมือนกัน มีเรื่องราวตื่นเต้นกว่าที่คิดเยอะ จริงๆแล้วเอามาทำเป็นหนังหรือละครได้เลยนะ แต่ก็อย่างที่เห็นหนังประวัติศาสตร์ของไทยมันก็มีแต่อย่างที่รู้ๆกันอยู่ ทั้งๆที่ประวัติศาสตร์ไทยนี่มีตัวละครสำคัญๆเยอะอยู่นะ อย่างง่ายๆนี่จำกัด พลางกูร ถ้าไม่มีละครเวทีนี่ผมก็ไม่รู้จักเหมือนกัน



Wednesday, August 19, 2015

ความรู้ (หรือไม่รู้) เรื่องการเงินระหว่างประเทศฉบับสามัญชน โดย อาจารย์ ชวินทร์ ลีนะบรรจง

จากเฟซบุ๊กของอาจารย์ชวินทร์ วันที่ 6, 7, 13, 14, 24 สิงหาคม, 3, 7 กันยายน 2558

https://www.facebook.com/chawin.lee?fref=nf


ความรู้ (หรือไม่รู้) เรื่องการเงินระหว่างประเทศฉบับสามัญชน (1-7)

เพื่อเป็นความรู้เอาไว้จับผิดพวก "กูรู้ " ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหลายที่รู้ไม่จริงแถมชอบมั่วอีกต่างหาก

1.อัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากในโลกนี้มีการแบ่งพิ้นที่ออกเป็นประเทศตามเชื้อชาติหรืออะไรก็แล้วแต่ ย่อมต้องมีอธิปไตยทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นตามการเมืองการปกครอง เงินสกุลในแต่ละประเทศจึงเป็นเงินสกุล "ท้องถิ่น" เช่น บาท ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ปอนด์สเตอริง ที่แสดงถึงอธิปไตยทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ ซึ่งในประเทศ/ท้องถิ่น อื่นๆอาจรับหรือไม่รับเพื่อชำระราคาสินค้า ดังนั้นจึงต้องมีอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเอาไว้เปรียบเทียบระหว่างเงินสกุลท้องถิ่นที่ต่างถิ่นกัน
2.ระบบอัตราแลกเปลี่ยน
หมายถึง วิธีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินสกุลท้องถิ่นตาม 1 
หากกำหนโดยใช้โลหะมีค่า เช่น ทองคำ หรือ เงิน ก็จะกลายเป็นระบบมาตรฐานทองคำ/เงิน
วิธีการกำหนดก็ง่ายๆ 
สหรัฐฯอาจกำหนด ค่าเสมอภาค เงินดอลลาร์สหรัฐฯเทียบกับทองคำไว้ที่
2 ดอลลาร์ แลกได้ ทองคำหนัก 1 ออนซ์ 
สหราชอาณาจักรก็อาจทำเช่นเดียวกัน โดยกำหนดไว้ที่
1 ปอนด์สเตอริง แลกได้ ทองคำหนัก 1 ออนซ์
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปอนด์สเตอริง จะเป็น 
2 ดอลลาร์ = ทองคำ 1 ออนซ์ = 1 ปอนด์สเตอริง หรือ
เมื่อตัดทองคำตรงกลางสมการข้างต้นออก 
2 ดอลลาร์สหรัฐฯ = 1 ปอนด์สเตอริงค์ เพราะกำหนดผ่าน ค่าเสมอภาคระหว่าง เงินสกุลท้องถิ่นนั้นกับน้ำหนักทองคำนั่นเอง
วิธีกำหนดไม่ได้มีวิธีเดียว
หากกำหนดโดยกลไกตลาดก็จะเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวหรือเสรี 
คิดง่ายๆ ให้ถือว่าเงินสกุล(ท้องถิ่น)ต่างประเทศเป็นสินค้า เช่น หมู หากวันนี้มีหมูเข้ามาขายในตลาดมากแต่คนกินเท่าเดิม ราคาหมูย่อมต้องถูกลงกว่าเมื่อวาน และราคาหมูจะแพงขึ้นกว่าเมื่อวานเมื่อสถานการณ์กลับข้างกัน เช่นวันนี้มีหมูเข้ามาขายน้อยแต่มีคนกินเท่าเดิม 
ราคาหมู(อัตราแลกเปลี่ยน)จึงลอยตัวไปมาตามอุปสงค์และอุปทานของหมูที่เปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลานั่นเอง
ไม่ยากกว่าที่คิดจริงไหม
---------------------------------
3.วิวัฒนาการระบบอัตราแลกเปลี่ยน
การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนโดยใช้โลหะที่มีค่า เช่น ระบบมาตรฐานทองคำ ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มต้นในยุโรปต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
เหตุที่แพร่หลายก็เนื่องมาจาก ความสามารถในการแลกคืนเป็นทองคำ หรือ convertibility ระหว่าง เงินกระดาษ(ธนบัตร)ที่ถืออยู่กับทองคำ คนจึงยินยอมถือเงินที่เป็นกระดาษแทนทองหรือเงิน
และก็ด้วยเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ระบบนี้ล่มสลาย เพราะ
(1)มูลค่าการค้าของโลกมันเพิ่มเร็วกว่าปริมาณทองคำที่โลกนี้สามารถผลิตได้ ทองคำ(ที่อาจรวมแร่เงิน)จึงมีปริมาณไม่พอที่จะนำมาเป็นสำรอง(เอาไว้แลกหากไม่เชื่อ)เพื่อใช้ออกเงิน(กระดาษ) 
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ (2)การสะสมแร่โลหะที่มีค่า เช่น ทองคำ มันไม่ได้สะท้อนถึงความมั่งคั่งที่ประเทศนั้นมีแต่ประการใด
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะสิ้นสุดลง มีการประชุมของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ Bretton Woods (สหรัฐฯ) ที่ตกลงในเรื่องระเบียบการค้าการเงินของโลก IMF World Bank และ WTO ก็เกิดขึ้นจากตรงนี้
ข้อตกลงสำคัญอันหนึ่งก็คือ ทุกประเทศออกจากระบบมาตรฐานทองคำ คือ inconvertibilityไม่ยอมรับแลกเงินสกุลตนเองเป็นทองคำอีกต่อไปเนื่องจากเหตุผล (1) ยกเว้นแต่สหรัฐฯ
ทุกประเทศจึงหันมาถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯแทนทองคำ ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯกลายเป็นเงินตราระหว่างประเทศ (international currency)นับแต่นั้นเป็นต้นมาเพราะทำหน้าที่ของเงินที่ทุกประเทศในโลกยอมรับได้ครบถ้วน โดยทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เก็บรักษามูลค่า และเป็นหน่วยนับ
ดอลลาร์สหรัฐฯจึงเป็นเงินตราระหว่างประเทศ ที่เป็น พรแล้วยังเป็น บาป 
พรก็เพราะสหรัฐฯอยู่ในสถานะที่สามารถใช้เงินตนเองชำระราคาสินค้าระหว่างประเทศได้ หรือที่ภาษาชาวบ้านว่า เสกกระดาษเป็นเงินนั่นเอง
ในขณะที่ประเทศอื่นๆต้องขายสินค้า(ส่งออก)ไปแลกเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อจะได้มีไว้ชำระค่าสินค้าอื่นๆ 
ส่วน บาปก็คือหากสหรัฐฯไม่ขาดดุลการค้าไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว โลกนี้จะมีเงินดอลลาร์มาเป็นสภาพคล่องให้ทุกประเทศในโลกได้ใช้ซื้อขายชำระราคาได้อย่างไร
กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับการเก็บรักษามูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯในเวลาเดียวกัน 
หากสหรัฐฯเข้มงวดไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวจนขาดดุลการค้า เช่น ใช้นโยบายเกินดุลการค้า เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็จะมีแพร่หลายในโลกน้อยรักษามูลค่าเอาไว้ได้ แต่คู่ค้าของสหรัฐฯจะมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯไปชำระค่าสินค้าให้กับสหรัฐฯหรือประเทศอื่นๆได้อย่างไรเพราะต้องส่งมองดอลลาร์คืนให้สหรัฐฯในฐานะที่ซื้อมากกว่าขาย
นักการเมืองและประชาชนสหรัฐฯจึงหลงระเริงพิมพ์ดอลลาร์สหรัฐฯออกมาใช้จนประเทศต่างๆเริ่มกริ่งเกรงว่าสหรัฐฯจะมีทองคำไว้เพียงพอแลกคืนดอลลาร์สหรัฐฯหรือไม่ หลายประเทศจึงแอบทยอยแลกคืนดอลลาร์สหรัฐฯกลับไปเป็นทองคำ
จนมาถึงสมัยนายนิกสันเป็นประธานาธิบดีจึงตัดสินใจ ชักดาบยกเลิกการรับแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์ของตนเองกับทองคำ เพราะคิดคำนวณดูแล้วมีทองคำไม่พอแลกเป็นแน่
ระบบมาตรฐานทองคำจึงตายตามสหรัฐฯที่เป็นประเทศสุดท้ายที่รับแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์ของตนเองกับทองคำ
จุดนี้จึงมักมีคนเข้าใจผิดและมโนไปเอง โดยเฉพาะพวก กูรู้ทั้งหลาย
อัตราแลกเปลี่ยน ทองคำ และการพิมพ์(เพิ่ม)เงิน จึงไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างกันเหมือนอดีต 
สั้นๆง่ายๆได้ใจความ
จะเพิ่มเงิน(กระดาษ)ออกมามากเท่าใดก็ไม่ได้ขึ้นกับทองคำที่มีแต่อย่างใด เงินสกุลใดจะมีค่ามากน้อยเท่าใดมิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนทองคำที่ประเทศนั้นมีเป็นสำรองของอีกต่อไป
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของโลกในปัจจุบันจึงกลายมาเป็นไม่มีระบบ ต่างคนต่างก็เลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่คิดว่าเป็นคุณกับตนเองมากที่สุด อาจเป็นแบบลอยตัวเสรี หรือาจลอยตัวแต่มีการแทรกแซงจากรัฐบ้าง หรืออาจเป็นแบบคงที่โดยรัฐเข้าไปแทรกแซงทุกครั้งเพื่อให้มันคงที่
ชื่อของระบบอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีอยู่อย่างมากมาย แต่ชื่ออาจไม่สำคัญเท่าการกระทำว่าได้เข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะหากจะแทรกแซงเพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ก็ต้องมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯเอาไว้เป็นหน้าตักเพื่อใช้แทรกแซงเหมือนเช่นที่ประเทศไทยเคยทำช่วงปีพ.ศ.2539-40ที่ผ่านมาจนหมดตูดนั่นเอง
---------------------------------
4. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน: กรณีจีน
จีนเป็นตัวอย่างที่ดีของระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่และไม่ได้ อิงหรือ รับแลกเป็นทองคำ เหมือนที่หลาย กูรู้บอกไว้ โดยอ้างจากจำนวนทองที่รัฐบาลจีนซื้อในตลาดโลก
กลไกในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนของจีนให้คงที่กับเงินสกุลอื่นๆก็คือ การแทรกแซง โดยอาศัยเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงซื้อ/ขายกับผู้ที่ต้องการขาย/ซื้อหยวน 
พูดง่ายๆก็คือธนาคารกลางจีนทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับผู้ซื้อหรือผู้ขายนั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นก็คือต้องมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพราะเงินหยวนเป็นเงินสกุลท้องถิ่นที่จะเพิ่ม(หรือลด)เท่าใดก็ได้อยู่แล้ว แต่จะมีดอลลาร์สหรัฐฯได้ต้องค้าขายหรือไม่ก็ต้องไปยืมมา
ค่าเงินหรือ(อัตราแลกเปลี่ยน)ที่คงที่อยู่ได้หาใช่โดยการออกกฎหมายแต่อย่างใดไม่ เพราะกลไกตลาดมันมีอำนาจเหนือกว่า
ขณะนี้จีนมีขีดความสามารถที่จะแทรกแซงเพราะมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯจากการเกินดุลการค้ากับประเทศต่างๆในโลกมิใช่สหรัฐฯเพียงประเทศเดียวสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่ละระบบอัตราแลกเปลี่ยนก็มีข้อดีและเสียในตัวของมัน อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่มีข้อดีตรงที่รัฐรับภาระความเสี่ยงในความผันผวนแทนผู้ที่ใช้เงินตราต่างประเทศ แต่มันก็เป็นข้อเสียไปในตัวเองเพราะความเสี่ยงในความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นต้นทุนของผู้ที่ใช้เงินตราต่างประเทศ หาใช่ของส่วนรวมที่รัฐจำเป็นต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบแต่อย่างใดไม่
เหตุที่เป็นต้นทุนก็เพราะการแทรกแซงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดกำไร(หรือขาดทุน)เป็นผลตามมา โดยมากมักจะขาดทุนเพราะทำสวนกระแสตลาด ดูตัวอย่างจำนำข้าวก็จะเห็นชัดว่าการแทรกแซงราคาข้าวมีต้นทุนขนาดไหนและเป็นต้นทุนของประชาชนทุกคน 
แต่ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนก็ไม่ใช่กงการอะไรของรัฐที่จะเข้ามาแทรกแซงเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือโทษ
การประกาศลดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลง (depreciate) เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาจึงเป็นการแทรกแซงที่สวนกระแสกลไกตลาด 
เหตุก็คือจีนเกินดุลการค้าอย่างมหาศาลมาตลอดช่วงเปิดประเทศ การได้ดอลลาร์สหรัฐฯมามากก็เหมือน หมูเข้าตลาดเยอะแต่คนกิน(หรือใช้ดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อการนำเข้า)มีเท่าเดิม ค่าหยวน(เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ)ก็สมควรที่จะแข็งค่ามากกว่าอ่อนค่า 
หากไม่ทำให้แข็งค่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ได้มาก็จะทำให้มีเงินหยวนไหลเข้าท่วมตลาดจนเกิดภาวะเก็งกำไรในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เกิดคอนโดฯร้างผู้คน(แต่มีเจ้าของ)เป็นเมืองๆไปเลยทีเดียว 
ดัชนีราคาหุ้นที่ตกลงมากว่าร้อยละ 30 ก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเอกชนจีนมีเงินจากการค้าขายต่างประเทศสะสมไว้มากจนต้องนำไปซื้อหุ้นนั่นเอง เมื่อราคาหุ้น(หรือที่ดิน คอนโดฯ) มันเกินจริงไปมากเข้าก็เป็นเหมือนฟองสบู่ที่จะต้องแตกเมื่อลอยพ้นน้ำ เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้วไม่ต้องเป็น กูรู้ก็ได้
ในระยะหลังจีนจึงจำต้องปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้แข็งค่า หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯจาก 7.5 มาเป็นประมาณ 6.2 จนกระทั่งเมื่อ 2 วันที่ผ่านมากลับปรับค่าให้แข็งค่าขึ้นเป็น 6.3-6.4
จะอธิบายแบบ กูรู้ทั้งหลายด้วยทฤษฎีสมคบคิดว่าทุนสหรัฐฯทุบหุ้นจีนหรือลดค่าหยวนเพื่อดัดหลังนักเก็งกำไรก็คงได้ อ่านแล้วสนุกดี แต่มันไม่มีทฤษฎีหรือหลักฐานอ้างอิงได้เลย มโนเอาเองทั้งนั้น
อย่าลืมว่าจีนยังดำรงใช้ลัทธิเศรษฐกิจแบบคอมมูนิสต์และเป็นเผด็จการเพราะมีพรรคคอมมูนิสต์เพียงพรรคเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายจีน แต่สิ่งที่คิดที่ทำมันฝืนกลไกตลาด
รู้อย่างนี้แล้วมาลองดูว่าจีนจะเอาตัวรอดปรับสมดุลเศรษฐกิจตนภายใต่เงื่อนไขข้างต้นได้อย่างไร
---------------------------------
5. เงินตราระหว่างประเทศ: มายาคติของเงินหยวน
สิ่งที่ถูกทำให้เข้าใจผิดโดย กูรู้หรือตัว กูรู้โง่เองก็คือ
5.1.สงครามค่าเงิน หรือสงครามเงินตราระหว่างประเทศ คืออะไร?
ลองถาม กูรู้ดูว่าอะไรคือสงครามค่าเงินก็คง บลา ๆๆๆ บ้าบอไปตามเรื่อง ไม่ได้ความสักเท่าไร
เหตุก็คือ โลกนี้ไม่ได้มีการแข่งขันกันลดค่าเงินเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 ในยุโรปเพื่อเพิ่มการส่งออกเหมือนในยุคมาตรฐานทองตำอีกแล้ว
หากเยอรมันใช้วิธีลดค่าเสมอภาคตนเองกับทองคำเพื่อให้ค่าเงินตนเอง ถูกลง จะได้ขายของได้มากขึ้นและทองคำไม่ไหลออกเพราะขาดดุลการค้า แต่ก็อาจถูกตอบโต้จากประเทศคู่แข่งลดค่าเงินบ้าง สงครามค่าเงินในอดีตจึงเกิดด้วยเหตุนี้ แต่หากสู้กันจริงในที่สุดอาจไม่มีผู้ชนะเพราะค่าเงินจะกลับมาที่เดิม มึงลด 10 % ได้ กูก็ลด 10% ได้เช่นกัน
ปัจจุบันไม่มีประเทศใด ใช้มาตรฐานทองคำ ไม่รับแลกคืนเงินตนเองเป็นทองคำ จะขาดดุลหรือเกินดุลการค้ามากเท่าใด จำนวนทองคำที่มีอยู่ก็ไม่ได้ไหลไปไหน
แล้วสงครามค่าเงินมันคืออะไรกันหว่า? มั่วได้ถ้วยจริงๆ
5.2.เงินหยวนจะมาครองโลกแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
นี่ก็เป็นมายาคติของพวก กูรู้อีกเช่นกัน
เงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นเงินตราระหว่างประเทศนั้นมีที่มาที่ไป บอกไปในตอนที่แล้ว
ประเทศที่จะนำเงินสกุลท้องถิ่นของตนเองมาเป็นเงินตราระหว่างประเทศก็ย่อมจะได้รับทั้ง พรและ บาปติดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
สหรัฐฯแม้ได้ พรจากการพิมพ์เงินดอลลาร์มาซื้อสินค้าคนอื่นได้ง่ายๆ ขณะที่คนอื่นต้องขายสินค้าตนเองเพื่อที่จะได้ดอลลาร์สหรัฐฯมาซื้อสินค้าอื่น แต่ก็ติด บาปนี้มานานจนทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯสูญเสียความเชื่อมั่นในการเก็บรักษามูลค่า ทองคำจึงกลายเป็นตัวเลือกของการเก็บรักษามูลค่า แต่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดแต่อย่างใด
ถามง่ายๆว่าผู้นำจีน โง่ มากขนาดไหนที่จะนำเอาเงินหยวนตนเองไปติดกับดักเหมือนดอลลาร์สหรัฐฯเป็นอยู่ในปัจจุบัน อยากได้ พรแต่ บาปนั้นมหันต์กว่าเยอะเลย 
กูรู้มักสับสนระหว่าง ประเทศที่มีสัดส่วนค้าขายในโลกสูง เช่น ญี่ปุ่นในยุค 1980 อาหรับในยุค 1990หรือ จีนในปัจจุบัน กับ เงินจะใช้ชำระค่าสินค้าว่าต้องไปด้วยกัน
ญี่ปุ่นในยุค 1980 ก็ยังหนีสุดชีวิตไม่ยอมให้เงินเยนเป็นเงินตราระหว่างประเทศ แล้วจีนจะไปรับเผือกร้อนแทนสหรัฐฯไปทำไม?
ความมั่งคั่งของประเทศจึงมิได้อยู่ที่การนำเงินตนเองไปเป็นเงินตราระหว่างประเทศแต่อย่างใด
จะครองโลกจึงไม่ต้องนำเงินตนเองมาแทนดอลลาร์สหรัฐฯ มีแต่พวก จั๊ดง่าว เท่านั้นที่คิดเช่นนั้น
---------------------------------------------
6. องค์กรโลกกบาล (supra-national organization)
องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก (World bank) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ล้วนแต่เป็นผลพวงที่เกิดมาจากการประชุมของฝ่ายชนะที่ เบรดตันวู๊ดส์ ทั้งสิ้น 
เพียงแต่ WTO นั้นเริ่มดำเนินการหลัง IMF และ World bank หลายสิบปี
วัตถุประสงค์ในการจัดดั้งก็แตกต่างกันออกไป
IMF เป็นองค์กรการเงินที่มีพันธกิจหลักในการช่วยเหลือทางการเงินต่อประเทศสมาชิกในระยะสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ World bank เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลดค่าเงินของตนเองให้เกิดสงครามค่าเงินเหมือนเช่นในอดีต เมื่อเกิดความไม่สมดุล เช่น ขาดดุลการค้าติดต่อกันหลายๆปีจนไม่มีเงินดอลลาร์สหรัฐฯเหลือพอจะไปสั่งซื้อสินค้า อาจเนื่องจากโครงสร้างการผลิตที่ล้าหลัง
ส่วน World bank ทำหน้าที่ให้กู้เพื่อบูรณะประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงแรกและเมื่อพันธกิจบูรณะเสร็จสิ้นก็หันมาให้กู้ด้านโครงสร้างสาธารณะที่จำเป็นในการพัฒนาประเทศ
เมื่อรู้พันธกิจและการใช้ไปซึ่งเงินทุนแล้ว ที่มาของเงินทุนก็ต้องสอดคล้องกัน 
IMF มีที่มาของทุนจากการส่งเงินสมทบเหมือนสหกรณ์ออมทรัพย์ โควต้าเงินกู้จึงคิดเป็นสัดส่วนกับเงินสมทบที่แต่ละประเทศมีอยู่เช่นเดียวกับสิทธิออกเสียง
World bank เป็นสถาบันการเงินระยะยาว ที่มาของเงินทุนเพื่อให้กู้ยืมจึงมาจากการขายพันธบัตรที่มีอายุไถ่ถอนระยะยาวของWorld bank ในตลาดเงิน ประเทศใดมีเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯเหลือก็ไปลงทุนซื้อพันธบัตรนี้นำมาเป็นสำรองเพื่อพิมพ์เงินก็ได้ ดีกว่าเก็บเป็นดอลลาร์สหรัฐฯในบัญชี กฏหมายไทยเองก็ยอมรับให้ทำ
สมาชิกจึงจะมีสิทธิในการขอรับความช่วยเหลือ “เป็นประโยชน์” และเช่นกันที่เมื่อเป็นสมาชิกก็จำต้องยอมสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจการเงินให้กับองค์กรเหล่านี้อัน “เป็นโทษ” ไม่มีอะไรที่ได้มา “ฟรี” อย่างแน่นอน 
จะเอาสิทธิการกู้เงินราคาดอกเบี้ยถูกระยะเวลาคืนเงินนานก็ต้องแลกมาด้วยการยอมรับกติกาที่รัฐสมาชิกองค์กรเหล่านี้ร่วมกันกำหนด จะมาเย่อหยิ่งบอกว่าเรามีอธิปไตย IMF ไม่ใช่พ่อก็ถูก แต่มันเป็นกติกาของสังคมอารยะประเทศในโลกจะเอาแต่สิทธิเสรีอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติด้วย มันจะได้อย่างไร
อย่าลืม “เงินกู้” ไม่ใช่ “เงินกู” ที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ถ้าไม่ชอบไม่ยินดีจะดิ้นรนมาเป็นสมาชิกทำไม?
วิกฤตเมื่อปี 2540 เมื่อไทยไม่สามารถหาเงินกู้ในตลาดได้จึงเป็นต้องไปพึ่งพาใช้สิทธิสมาชิกจาก IMF และมันเป็น “เงินกู้” ไม่ใช่ “เงินกู” ที่ผู้บริหาร IMF มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องแทนรัฐสมาชิกอื่นๆ 
ไม่มีสำนักงานที่ดินโลกหรือศาลโลกที่จะบังคับให้ประเทศที่มากู้ชำระได้ ประเทศกู้ยืมนั้นยังคงมีอธิปไตยอยู่ อีกทั้ง IMF ไม่มีกองทัพที่จะไปบังคับยึดดินแดนหากไม่ชำระได้ เงื่อนไขทางเศรษฐกิจการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตกลงกับประเทศกู้ยืมเสียก่อนผ่าน “หนังสือแสดงเจตจำนง” ที่จะทำไปเพื่อแจ้งให้ IMF ทราบว่าประเทศกู้ยืมได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้เรียบร้อย
จะมากล่าวหาบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ หรือใครก็ตามก็ทำได้ แต่ไม่รู้หรือว่าวิกฤตปี 2540 นั้นเกือบทุกประเทศที่บอกว่าจะช่วยไทยนั้นมีเงื่อนไขว่าช่วยผ่าน IMF ซึ่งหมายความว่ามอบให้ IMF เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและดูแลแทน เพราะเป็นเงินทองของประเทศไม่ใช่เงินส่วนตัว
กรีซเป็นตัวอย่างที่ดีว่า นักการเมือง “โง่ๆ” ที่อวดฉลาดทำให้ประชาชนตนเองลำบากมากกว่าเดิมจากการไม่ยอมรับกติกาที่ตกลงกับ IMF ไว้ตั้งแต่แรกจนเหตุการณ์บานปลายอย่างที่เห็นอยู่
---------------------------------------------
7.มายาคติของ AIIB
เรื่องนี้มีแต่ข้อจริงไม่มีเท็จหรือความเห็น
ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย หรือ Asian Infrastructure Investment Bank นั้นได้ถูกมโนและขยายความกันไปใหญ่โตโดย"กูรู้ " ทั้งหลายที่รู้ไม่จริงแถมชอบมั่วอีกต่างหาก
จนกระทั่งกลายเป็นสงครามค่าเงินบ้าง หรือการลดบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯไปบ้าง หรือจะเป็นคู่แข่งของIMFไปเสียฉิบ เลอะกันไปใหญ่โต
ในข้อเท็จจริง AIIB ก็เป็น ธนาคารเพื่อการพัฒนา เช่น เดียวกับ World Bank แต่อยู่ในระดับธนาคารพัฒนาที่เน้นเฉพาะเจาะจงในพื้นที่(เอเชีย) ดังนั้นจึงคล้ายคลึงและอยู่ในระดับเดียวกับ Asian Development Bank หรือ African Development Bank
ไม่ได้มีหน้าที่คล้ายคลึงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF แต่อย่างใด Article 2 ของ Articles of Agreement ระบุไว้ชัดเจน AIIBให้กู้กับรัฐหรือเอกชนเพื่อการพัฒนาประเทศ ทำคนละหน้าที่กันกับ IMF ที่ให้กู้กับประเทศเมื่อขาดดุลการค้า/ชำระเงิน
ผู้กู้หรือลูกหนี้ AIIB จึงอาจไม่ใช่ประเทศ แต่เป็น กิจการ บริษัท หรือองค์กรก็ได้ ขณะที่ IMF ลูกหนี้คือประเทศ ไม่เล็กไปกว่านั้น
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งก็คือ ทุน หรือ capital stock ของ AIIB มาจากรัฐสมาชิกในภูมิภาคจะสมทบรวมกันร้อยละ 75 ของทุน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะอยู่ในรูปของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 หรือเงินสกุลอื่นๆที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯได้ (Article 6 para 2) ซึ่งเผื่อไว้สำหรับรัฐสมาชิกประเภทด้อยพัฒนาที่อาจไม่มีเงินดอลลาร์สหรัฐฯไม่เกินร้อยละ 50 ของทุนที่จะสมทบ
ไทยสมทบ 1,427.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้หุ้น 14,275 หุ้นคิดเป็นสิทธิออกเสียงประมาณร้อยละ 1.5 ขณะที่จีนสมทบ 29,780.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้หุ้น 297,804 หุ้นคิดเป็นสิทธิออกเสียงเกือบร้อยละ 30
ด้วยทุน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯนี้ AIIB ไม่ได้เอามาให้กู้ยืมโดยตรง หากแต่เป็นทุนเอาไว้เพื่อแสดงความมั่นคงของธนาคารเพื่อที่ธนาคารจะไปออกตราสารหนี้ในตลาดระดมเอาเงินมาปล่อยกู้อีกทอดหนึ่งดังเช่นธนาคารทั่วๆไปทำกัน
ให้ทายเล่นๆว่าพันธบัตรที่จะออกมาระดมทุนจะออกในเงินสกุลใด แต่คงไม่ใช่อย่างที่บทความข้างล่างเขียนเอาไว้ว่าจะปล่อยกู้เป็น บาท หรือ วอน(เกาหลี) อย่างแน่นอน จะขยายความในตอนหน้า
--------------------------------------------
8.มายาคติของ AIIB และเงินหยวน
การใช้ไปของเงินทุน (use of funds) จะเป็นตัวกำหนด ที่มาของเงินทุน (source of funds) หรืออาจจะกลับกันก็ได้
แต่โดยพื้นฐานมันต้องสอดคล้องกันทั้งในด้าน สกุลเงินและกำหนดระยะเวลาไถ่ถอน
มิเช่นนั้นมันจะ mismatch ทั้งในสกุลเงิน หรือ กำหนดระยะเวลาไถ่ถอน ก่อให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ติดตามมา
++++++++++++++++++++++++++
ประเทศไทยก็เคยประสบปัญหานี้แล้วในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเมื่อปีพ.ศ.2540 เมื่อผู้กู้แห่ไปกู้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯผ่าน BIBFโดยคำนึงถึงแต่ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้ที่เป็นเงินบาทแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่ตัวเองประกอบอาชีพที่มีรายรับเป็นบาท เช่น สร้างคอนโดหรือบ้านจัดสรรขายที่มีรายรับเป็นเงินบาท
หากทำเช่นที่ว่า เมื่อถึงเวลาคืนเงิน แม้จะมีความสามารถในการชำระแต่ก็เกิดปัญหา mismatch in currency ได้โดยง่ายเพราะอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯกับบาทอาจเปลี่ยนไปตามกลไกตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงินบาทอ่อนค่า หรือ depreciate
หนี้เงินต้นอาจเพิ่มจาก 100 ล้านบาทเป็น 150 ล้านบาทได้โดยง่ายเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนไป แต่หากเป็นผู้ส่งออกมีรายรับเป็นดอลลาร์สหรัฐฯก็ไม่มีปัญหาที่จะคืนเงินกู้เป็นดอลลาร์สหรัฐ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่มาเป็นความเสี่ยงในการประกอบธุณกิจของตนเองแต่อย่างใด
++++++++++++++++++++++++++++++
หากว่าตามที่ผู้เขียนบทความข้างล่างกล่าวไว้ว่า
“สมมุติว่ารัฐบาลลาวต้องการลงทุนสร้างพัฒนาเครือข่ายเทเลคอมมีมูลค่า$200ล้าน ลาวสามารถกู้เงินจากAIIBได้เป็นเงินหยวน เงินบาท เงินวอนของเกาหลี หรือเงินสกุลอื่นของประเทศสมาชิกของAIIBได้ สมมุติต่อไปอีกว่าลาวขอกู้หยวน บาทและวอนเป็นจำนวนเทียบเท่า$200ล้าน ทั้งจีน ไทยและเกาหลีก็ทำsyndication loan หรือปล่อยกู้ร่วมกันให้กับรัฐบาลลาวไป”
++++++++++++++++++++++++++++++
เครือข่ายเทเลคอมดังกล่าวซื้อจากใครก็ควรจะกู้เป็นเงินสกุลของประเทศที่จะไปซื้อ แต่ประเทศที่มีของนี้ขายส่วนใหญ่ต้องการขายในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเพราะตนเองก็มีชิ้นส่วนที่ผลิตไม่ได้ในประเทศเช่นกัน จริงไหม เงินดอลลาร์สหรัฐฯจึงเป็นที่ต้องการมากกว่าเพราะเป็นเงินตราระหว่างประเทศที่สามารถนำมาใช้ชำระราคาระหว่างประเทศได้
หากจะดึงดันกู้เป็น บาท หรือ วอน ก็คงสติไม่ดีเป็นแน่ เพราะไทยไม่มีเครือข่ายเทเลคอมดังกล่าวขายแน่และประเทศส่วนใหญ่ 57 ประเทศที่เป็นสมาชิก AIIB ก็ไม่ใช่ผู้ขายเช่นกัน จีนหรือเกาหลีก็เถอะ อยากจะจะขายเป็น หยวน หรือวอน มากกว่าดอลลาร์สหรัฐฯหรืออย่างไร
ยังไม่ต้องคิดไกลไปถึงว่ามีรายรับเป็นเงินกีบหรือไม่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประเด็นสำคัญในการตัดสินใจกู้ก็คือ เงินสกุลที่จะกู้นั้นมันผันผวนโดยกลไกตลาดหรือโดยรัฐบาลเช่น หยวน ในช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลจีนไปแทรกแซงตลาดลดค่าเอาดื้อๆ
หากเป็นอย่างแรกยังพอมีเครื่องมื่อทางการเงินอีกมากชนิดที่จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากการผันผวน
แต่หากเป็นอย่างหลังที่ถูกกำหนดค่าโดยอำเภอใจ เช่น หยวน ใครจะกล้ากู้เป็น หยวน หากไม่มีอะไรที่ต้องซื้อจากจีน จริงไหม?


Sunday, July 26, 2015

รามายณะ วิจารณ์

สองบทความในมติชน วิจารณ์รามยณะ ได้อย่างน่าสนใจ ในแง่มุม ชนชั้น และ แง่มุมการกลืนศาสนาพุทธ

1 http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1431955667
รามายณะ มหากาพย์แห่งชนชั้น โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธรมติชนรายวัน 18 พฤษภาคม 2558


ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ในวัยเด็กเคยชื่นชมและชื่นชอบเรื่องรามายณะหรือรามเกียรติ์มาก เคยรวมเงินค่าขนมซึ่งได้วันละสองสลึงกับพี่ชาย ซื้อหนังสือรามเกียรติ์ซึ่งออกรายวันเล่มละหนึ่งบาท ระหว่างติดตามอ่านก็เอาใจช่วยพระราม พระลักษณ์ และเกลียดทศกัณฐ์อย่างยิ่ง รู้สึกสนุกและสะใจทุกครั้งกับความเก่งของหนุมานเมื่อรบชนะและฆ่าบรรดายักษ์ได้

เมื่อเติบใหญ่ขึ้น มีความรับรู้ด้านสังคมในเชิงลึกมากขึ้น ได้เห็นปัญหาสังคม เห็นความเหลื่อมล้ำจากการเอาเปรียบเชิงระบบ ความซับซ้อนของการเบียดเบียนและการเก็บเกี่ยวทรัพยากรโดยกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูงกว่า การใช้ความเชื่อสยบและสะกดคนผู้อ่อนด้อยกว่าทางการศึกษาและความคิด เพื่อคงความได้เปรียบในการบริโภคทรัพยากรของโลกและสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อหวนกลับไปอ่านรามายณะหรือรามเกียรติ์อีกครั้งก็มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางความรู้สึกและแนวทางวิเคราะห์โดยสิ้นเชิง

ทำไมสีดาต้องเป็นลูกสาวทศกัณฐ์

การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเอาลูกสาวตนเองเป็นเมียนั้น เป็นภาวะที่สุดอัปยศ เป็นความต่ำช้าในสายตาของสังคม จึงมีการผูกเรื่องให้ทศกัณฐ์พยายามเอาสีดาซึ่งเป็นลูกสาวมาเป็นเมีย แต่เพื่อให้แนบเนียน ไม่เจาะจงเกินไป จึงผูกเรื่องให้ทศกัณฐ์ไม่รู้ทั้งที่มีหลายช่องทางที่จะรู้ได้ เนื่องจากสีดาได้รับการดูแลจากเหล่านางฟ้าและเลี้ยงดูโดยฤๅษี อีกทั้งยังมีพิเภกซึ่งเพียงจับยามดูโดยไม่ต้องมีหน่วยลาดตระเวนหรือสายลับก็รู้ทุกอย่างของทุกฝ่ายได้อย่างละเอียด การผูกเรื่องจึงเป็นการจงใจให้ทศกัณฐ์พยายามเอาลูกสาวเป็นเมีย ให้เป็นภาพลักษณ์ที่ทุเรศแม้จะไม่รู้ก็ตาม

ทำไมทศกัณฐ์และพันธมิตรต้องเป็นยักษ์

ที่มาของทศกัณฐ์เป็นการกลับชาติมาเกิดของนนทกซึ่งเป็นยักษ์ที่ทำหน้าที่ต่ำต้อย คอยล้างเท้าเทวดาที่มาเฝ้าพระอิศวร ระหว่างนนทกกำลังล้างเท้า พวกเทวดาก็ลูบหัวเล่นจนนนทกหัวล้าน เหตุการณ์ในมหากาพย์รามายณะหรือรามเกียรติ์จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้านนทกผู้ต่ำต้อยยอมสยบ สงบเสงี่ยมเจียมตัวทำหน้าที่ต่อไปจนสิ้นอายุขัย แต่ไม่ใช่เช่นนั้น นนทกลุกขึ้นสู้ เมื่อได้อาวุธคือนิ้วเพชรจึงทำการตอบโต้เหล่าเทวดาล้มตาย ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างเป็นหญิงสาวมาปราบด้วยการหลอกให้ชี้นิ้วเข้าตัวเอง เมื่อนนทกต่อว่าว่าพระนารายณ์มีถึงสี่กรตัวเองจึงแพ้ พระนารายณ์จึงสาปให้นนทกไปเกิดใหม่ มีสิบหัวยี่สิบแขน พระนารายณ์จะตามไปเอาชนะอีก นนทกที่กลายมาเป็นทศกัณฐ์จึงมีสถานะของยักษ์ที่ไม่ยอมแพ้ สื่อถึงการเป็นตัวแทนของผู้ต่ำต้อย ผู้ถูกกดขี่รังแกและถูกเอาเปรียบที่ลุกขึ้นสู้ การดำเนินของเรื่องหลังจากนั้น เมื่อนนทกกลายมาเป็นทศกัณฐ์แล้วก็ถูกตามไปฆ่าเผ่าพงศ์วงศ์ยักษ์ที่ไม่ยอมสยบต่อเทวดาเกือบหมดสิ้น ที่เหลืออยู่คือผู้ที่สยบยอมต่อเหล่าเทวดา เป็นการสื่อว่าบรรดาผู้ต่ำต้อยจะต้องยอมสยบต่อบรรดาผู้อยู่ในชนชั้นที่เหนือกว่าคือบรรดาเทวดาและพรรคพวกเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะต้องถูกฆ่าล้างผลาญหมดโคตร 

เทียบเคียงกับการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียก็คือการสื่อถึงบรรดาผู้มีวรรณะต่ำที่ต้องยอมรับ ยอมสยบต่อผู้มีวรรณะสูงโดยไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นก็จะถูกประทับตราว่าเป็นยักษ์แข็งข้อ จะต้องถูกฆ่าถูกลงโทษข้ามชาติข้ามภพไม่รู้จบดังที่นนทกได้ประสบ

ทําไมทหารพระรามต้องเป็นลิง

ลิงซึ่งพูดได้ รับคำสั่งได้ มีพฤติกรรมเหมือนคนทุกประการนั้นสื่อถึงบรรดาคนผู้ต่ำต้อย บรรดาผู้คนซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของสังคมที่นอกจากต้องแบกภาระหนักในการครองชีพแล้ว ยังต้องมีหน้าที่รับใช้ชนชั้นสูงจนตัวตายโดยไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เป็นที่รับรู้ และไม่เป็นที่ยอมรับ แม้ว่าหน้าที่นั้นเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของชนชั้นสูงก็ตาม

ทำไมหนุมานซึ่งแสนจะเก่งกาจจึงครองเมืองไม่ได้

หลังชนะศึกทศกัณฐ์ พระรามให้หนุมานร่วมครองเมืองอโยธยากึ่งหนึ่ง หนุมานให้เกิดความรู้สึก "เร่าร้อนฤทัยดังไฟกัลป์" ทนอยู่บนบัลลังก์ไม่ได้ต้องคืนเมืองให้พระราม พระรามจึงแผลงศรนำทางให้ไปสร้างเมืองชื่อนพบุรีให้ใหม่ ปรากฏว่าหนุมานก็ยังออกท่าลิงเกาแกะร่างกาย ท่าทางไม่สง่า ไม่สมเป็นเจ้าเมือง เป็นที่ดูถูกของบริวารจนต้องคืนเมืองให้พระรามอีก สื่อถึงภาวะที่ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้าอยู่ในกลุ่มคนชั้นต่ำ เทียบได้กับลิง ถึงจะอยู่ในตำแหน่งของคนของชนชั้นสูง ลิงหรือคนชั้นต่ำก็ไม่มีทางจะเป็นใหญ่ ไม่มีทางปกครองคนได้ ไม่มีทางจะมีบุคลิกสง่างามเหมือนคนหรือเหมือนชนชั้นสูงได้ ต้องย้อนกลับไปเป็นลิง เป็นคนชั้นต่ำตลอดไป

ว่าด้วยท้าวมาลีวราช

โดยสถานะมีโอกาสที่จะรู้ภูมิหลังของสีดาว่าเป็นลูกสาวของทศกัณฐ์ ก็ไม่สนใจสืบสาว รู้ทั้งรู้ว่าพระรามเป็นนารายณ์อวตารซึ่งไม่มีทางแพ้ ก็ยังแช่งทศกัณฐ์ซ้ำ รู้ทั้งรู้ว่าทศกัณฐ์คือนนทกผู้ต่ำต้อย ผู้ถูกรังแก ผู้ถูกสาป ก็ยังเอาประเด็นความไม่รู้ว่าสีดาคือลูกสาวของตัวเองของทศกัณฐ์มาซ้ำเติม การลักพาเมียคนอื่นนั้นไม่ดีแน่นอน แต่มีคำถามว่า เป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปเองตามกิเลสตัณหาของทศกัณฐ์หรือเป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้วที่จะผลาญวงศ์ยักษ์ ฐานเป็นคนชั้นต่ำที่บังอาจแข็งข้อต่ออำนาจชนชั้นสูง หากทศกัณฐ์ไม่ขโมยเมียพระราม ไหนเลยจะได้ผลาญยักษ์ ท้าวมาลีวราชก็รู้ว่าพระรามเป็นนารายณ์อวตารมาเพื่อผลาญยักษ์ หากไม่ต้องการให้มีการตายกันมากมายก็เพียงเอาข้อเท็จจริงที่สีดาเป็นลูกทศกัณฐ์ ซึ่งเทวดาทั้งหลายก็รู้และก็ได้สมรู้ร่วมคิดเลี้ยงดูสีดามาตั้งแต่เล็ก มาบอกให้ทศกัณฐ์รู้เท่านั้น เรื่องก็จะจบด้วยดีแต่ไม่ทำ เป็นความหลายมาตรฐาน เป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นความลำเอียงอย่างยิ่งของกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามแผนที่จะผลาญยักษ์

ข้อสังเกต

พระรามแม้จะเก่งกาจมีฤทธิ์เดชมากมายก็จะไม่ชนะทศกัณฐ์ได้ถ้าไม่มีลิง ตลอดเรื่องรามายณะจึงสื่อถึงสองนัยยะคือ

นัยยะแรก ชนชั้นสูงตระหนักดีว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนชั้นต่ำคอยแวดล้อมรับใช้ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้คอยยกให้ชนชั้นสูงยังคงสูงอยู่ได้ จึงผูกเรื่องให้ลิงหรือคนชั้นต่ำอยู่ช่วยเหลือ อยู่รับใช้ตลอด ยอมเจ็บยอมตายแทนเพียงเพื่อให้ชนชั้นสูงได้สมประสงค์

อีกนัยยะหนึ่งคือ แม้คนชั้นต่ำจะยอมเจ็บยอมตายเพื่อชนชั้นสูงแล้วก็อย่าหมายว่าจะตีเสมอได้ อย่าหมายว่าจะได้ครองตำแหน่งเสมอได้ เพราะจะเกิดภาวะ "เร่าร้อนฤทัยดังไฟกัลป์" เป็นการแยกกันชัดเจนระหว่างเทวดากับคนออกจากลิง อำนาจการปกครองและการบริหารเป็นของคนหรือชนชั้นสูง ลิงนั้นอย่างดีก็สมควรเพียงได้รับรางวัลเป็นสิ่งของ หลังจากนั้นก็จงรับใช้ต่อไป จงต่ำต้อยต่อไป ต้องเป็นผู้อยู่ใต้ปกครองของชนชั้นสูงและบริวารซึ่งประกาศตัวเป็นคนดีในอาณัติชนชั้นสูงเท่านั้น ไม่ต้องมีสิทธิมีเสียง ไม่ต้องมีส่วนในการปกครองเพราะเป็นเพียงลิง หากไม่ยอมรับสถานะดังกล่าวก็จะถูกนับถูกประทับตราให้เป็นยักษ์ที่ไม่ยอมสยบซึ่งจะถูกตามไปทำลาย ไปบดขยี้จนไม่มีที่ยืนและที่อยู่ ต้องตระหนักว่าลิงนั้นก็คือลิง ให้มีจำนวนมากเพียงใดหรือเก่งเพียงใดก็คือลิง

เหตุการณ์อื่นๆ ตลอดเรื่องเป็นเพียงศิลปะการดำเนินเรื่องให้สนุกชวนติดตามเท่านั้น


2 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433349309


รามายณะ มหากาพย์กับพุทธศาสนา โดย กลิ่นบงกช
มติชนรายวัน 3 มิถุนายน 2558


ได้ อ่านบทความชื่อ รามายณะ มหากาพย์แห่งชนชั้น ของ นพ.สมเกียรติ ธาตรีธร ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 หน้า 21 แล้ว ถูกใจมากตามมุมมองของท่าน บทความนั้น พอสรุปใจความเชิงสงสัยได้ 5 ประเด็น คือ

1.ทำไมฤๅษีวาลมิกิ ผู้แต่งรามายณะหรือรามเกียรติ์ จึงแต่งให้นางสีดา เป็นลูกของทศกัณฐ์ แล้วต่อมาทศกัณฐ์ต้องใช้ชีวิตยักษ์เป็นจำนวนมาก เพื่อทำสงครามแย่งเอาลูกสาวของตนมาเป็นเมีย

2.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์จึงแต่งให้กำลังรบของทศกัณฐ์เป็นยักษ์และเป็นยักษ์ที่ ชั่วช้าเลวทราม ขนาดทำสงครามเพื่อแย่งลูกสาวของตนมาทำเมีย

3.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งให้ลิงเป็นทหารของพระราม โดยมีหนุมานเป็นหัวหน้าลิง แล้วแต่งให้ทหารลิงเก่งกว่ายักษ์สามารถปราบยักษ์ได้ราบคาบ พวกลิงแม้จะตาย แต่พอลมพัดมาอ่อนๆ พวกลิงก็ฟื้นมารบได้อีก แต่พวกยักษ์เมื่อตายแล้วก็ตายเลย

4.ทำไมผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งให้หนุมานผู้ซึ่งช่วยพระรามฆ่ายักษ์ แล้วนำนางสีดากลับมาได้ แต่ไม่มีวาสนาจะครองเมืองได้

5.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งเรื่องท้าวมาลีวราช ผู้เป็นพรหมผู้ทรงธรรม แต่แต่งให้ไม่ทรงธรรมคือหมายความว่า เมื่อให้พระพรหมมาลีวราชผู้ทรงธรรมมาตัดสินคดีทศกัณฐ์ทำสงครามแย่งเมียพระ รามแล้วทำไมไม่แต่งให้ท้าวมาลีวราชวินิจฉัยว่า นางสีดานั้นเป็นลูกทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์จะเอามาเป็นเมียไม่ได้ เมื่อวินิจฉัยอย่างนี้แล้ว เรื่องก็จะจบ แต่ท้าวมาลีวราชไม่พูดความจริง กลับพูดเข้าข้างทศกัณฐ์ทำนองเห็นใจทศกัณฐ์ โดยใช้คำพูดพอสรุปได้ว่า อันนางสีดานี้เป็นหญิงงามหาหญิงในสามโลกเทียบไม่ได้ แม้แต่ตัวกูผู้ทรงธรรมก็ยังหวั่นไหวเพราะความสวยงามของนาง หากแต่กูอาศัยอุเบกขาญาณจึงกลับใจได้

ใน บทความดังกล่าวคุณหมอได้อธิบายอย่างน่าอ่าน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้สนใจโปรดอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวเองก็แล้วกัน สำหรับบทความต่อไปนี้จะกล่าวมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น



ผู้เขียนบทความนี้มีความเห็นเหมือนกันกับคุณหมอที่ว่าฤๅษีวาลมิกิมีนัยยะทางการเมืองในการแต่งเรื่องรามเกียรติ์ แต่นัยยะในมุมมองของผู้เขียน มองว่า ฤๅษีวาลมิกิมุ่งกดพระพรหมให้ตกต่ำ และมุ่งสร้างศรัทธาในพระเจ้าองค์ใหม่ที่ตัวสร้างขึ้นแทนพระพรหมซึ่งผู้เขียน จะขยายความต่อไป

หากเรา ศึกษาเรื่องภารตวิทยา คือความรู้เรื่องดินแดนอินเดีย เราจะพบว่า ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะอุบัติขึ้น ประชาชนอินเดียนับถือศาสนาพราหมณ์ ซึ่งศาสนานี้สอนว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก มนุษย์พระพรหมเป็นผู้สร้าง แม้แต่โลกพระพรหมก็เป็นผู้สร้าง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์กลับสอนตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือเมื่อพูดถึงกำเนิดโลก พระองค์ก็ตรัสไว้ในอัคคัญญสูตรว่าโลกเกิดโดยธรรมชาติ พระพรหมมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เมื่อพูดถึงการเกิดของมนุษย์ พระองค์ก็ตรัสว่า มนุษย์เมื่อเริ่มแรกปฐมกับป์เกิดโดยโอปปาติกะคือลอยเกิดขึ้น ส่วนมนุษย์ยุคหลังจากนั้น เกิดจากพ่อแม่อยู่ร่วมกัน

เมื่อ พระพุทธเจ้าสอนความจริงที่เห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ชาวอินเดียสมัยนั้นจึงนับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวอินเดียเกือบทั้งประเทศนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในยุคนั้นจึงรุ่งเรืองเหมือนแสงอาทิตย์ ส่วนศาสนาพราหมณ์ร่วงโรยอับแสงเหมือนแสงหิ่งห้อย

ประชาชน ชาวอินเดียส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา ชาวพุทธอินเดียต่างก็พูดสรรเสริญพระพุทธเจ้ากันปากต่อปาก คำพูดสรรเสริญพระพุทธเจ้าอย่างอื่นหมื่นแสนพวกพราหมณ์พอฟังได้ แต่มีอยู่คำหนึ่งที่พราหมณ์ฟังไม่ได้ เพราะฟังไปแล้วมันแสนจะขมขื่น คำพูดคำนั้นก็คือ คำพูดว่าพระพรหมมากราบบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นมนุษย์ในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวไว้ว่า ในสมัยนั้นชาวชมพูทวีปลือกันทั่วว่า พระพรหมมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มากราบ ไหว้พระพุทธเจ้า พวกพราหมณ์ฟังคำนี้แล้วยากที่จะทำใจได้ เพราะพวกพราหมณ์บูชาพระพรหมกับทั้งพระพุทธศาสนาก็เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับ ศาสนาพราหมณ์ แล้วในเมื่อพระพรหมมากราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าเสียเช่นนี้พวกพราหมณ์จะอดสูใจ ขนาดไหน

อนึ่ง การที่พวกพราหมณ์ได้ฟังว่า พระพรหมมากราบไหว้พระพุทธเจ้ายังพอทน แต่ที่พวกพราหมณ์ฟังไม่ได้จริงๆ ก็คือการที่ชาวบ้านพูดกันว่า ขณะชาวบ้านกำลังนำอาหารเลิศรสมาทำพิธีเผาเพื่อบูชาพระพรหมอยู่นั้น พระพรหมก็ปรากฏกายให้เห็นแล้วกล่าวกับ ชนผู้บูชาพระพรหมอยู่ว่า การที่พวกท่านนำอาหารมีค่ามากมาเผาบูชาเรานั้น เป็นการสูญเปล่า หาประโยชน์มิได้ ขอให้ท่านน้อมนำอาหารเลิศรสต่างๆ ไปถวายพระอรหันต์ที่ท่านนั่งคอยอยู่ในบ้านของท่านจะมีอานิสงส์มากกว่าบูชา เราด้วยการเผาของมีราคาเช่นนี้ (เรื่องนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกผู้เขียนจำไม่ได้ว่าสูตรใด) ชาวบ้านผู้บูชาพระพรหมได้เห็นพระพรหมปรากฏกายให้เห็นพร้อมแนะนำความจริงเช่น นั้นก็เลยเลิกบูชาพระพรหม หันมานับถือพระพุทธศาสนา 

คำพูดเช่นนี้แหละที่พวกพราหมณ์อดทนไม่ได้และก็คงมีความแค้นใจที่พระพรหมไม่ไว้หน้าตนทั้งที่ตนก็นับถือบูชาพระพรหมอยู่



เมื่อ พวกพราหมณ์มีความรู้สึกเสียหน้า จึงเกิดการประชดเลิกบูชาพระพรหมโดยตั้งพระเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมาแทน ผู้ที่เป็นหัวหอกในการเลิกบูชาพระพรหมและหาพระเจ้าองค์ใหม่แทนพระพรหมก็คือ ศังกราจารย์ ผู้นี้เกิดเมื่อปี พ.ศ.1331-1361 เขาแอบไปบวช แล้วศึกษาพระไตรปิฎกจนช่ำชอง แล้วสึกออกมาใช้ความรู้จากพระพุทธศาสนา ดำเนินการตั้งพระเจ้าองค์ใหม่ กลืนพระพุทธศาสนาเป็นฮินดู และแต่งเรื่องรามเกียรติ์หมิ่นพระพรหม เพื่อสร้างศรัทธาในพระเจ้าของใหม่ของเขา

งานขั้นแรก ของ ศังกราจารย์ ก็คือหาชื่อพระเจ้าองค์ใหม่ แทนพระอินทร์และพระพรหม ซึ่งเป็นเทพที่ชาวอินเดียรู้จักและมีนามปรากฏในพระเวท ดูเหมือนศังกราจารย์จะสร้างพระศิวะแทนพระพรหม เพราะให้เป็นผู้ สร้าง แล้วสร้างพระวิษณุแทนพระอินทร์ ซึ่งมีผิวกายเขียวเหมือนกัน แล้วสร้างชื่อศาสนาใหม่ของเขาว่าศาสนาฮินดู แทนศาสนาพราหมณ์ แล้วสร้างกติกาให้พระวิษณุอวตารมาเกิดเพื่อปราบคนชั่ว 

แผนการขั้นที่ 2 ก็คือกลืนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาฮินดู โดยวิธีที่ชาวพุทธรับไม่ได้ กล่าวคือตั้งพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระวิษณุ หรือเป็นอวตารของพระนารายณ์ แผนนี้ทำให้ชาวพุทธอินเดียที่เป็น ชาวบ้านคาดไม่ถึงว่าจะทำลายพุทธศาสนาได้อย่างไร สำหรับสงฆ์ในอินเดียยุคนั้นก็เสื่อมสุดสุดแล้ว เพราะเป็นลัทธิมหายานที่เพิกถอนวินัยอยู่ร่ำไป มิได้คำนึงถึงความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนา พอมาถึงพุทธศตวรรษที่ 17 เมื่อพวกมุสลิมมาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ทำลายวิหาร ทำลายชีวิตพระสงฆ์มหายานที่อาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทาอย่างโหดเหี้ยม แล้วจากนั้นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็หมดสิ้นไปจากดินแดนอินเดีย และนั่นคือโอกาสอันงามของศาสนาฮินดู

แผนขั้นที่ 3 ของ ศังกราจารย์ คือแต่งรามเกียรติ์ หมิ่นพระพรหม สร้างศรัทธาในพระเจ้าองค์ใหม่ของเขา ลักษณะโครงสร้างรามเกียรติ์ของศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิ ก็ คือ สร้างตัวละครฝ่ายพระพรหมให้เป็นฝ่ายคนชั่ว เช่น แต่งให้ทศกัณฐ์ชั่วถึงขนาดจะแย่งลูกสาวของตนซึ่งเป็นเมียของคนอื่นอยู่เอามา เป็นเมียของตน ทศกัณฐ์เป็นลูกของยักษ์ชื่อ ท้าวลัสเตียน ซึ่งครองกรุงลงกา ท้าวลัสเตียนเป็นลูกของพระพรหม และคงจะหมายให้เป็นพระพรหมที่มาไหว้พระพุทธเจ้านั่นแหละ

จากนี้ลองมาดูตัวละครฝ่ายดีของฤๅษีวาลมิกิบ้าง ฤๅษีวาลมิกิสร้างตัวละครฝ่ายพระศิวะให้เป็นฝ่ายดีให้มาปราบทศกัณฐ์ ผู้เป็นฝ่ายชั่ว กล่าวคือสร้างพระรามเป็นลูกของท้าวทศรถ ท้าวทศรถเป็นลูกของท้าวอัชบาล ท้าวอัชบาลเป็นลูกของอโนมาตัน อโนมาตันเป็นลูกของพระศิวะ



มูลเหตุของสงคราม เกิดจากทศกัณฐ์วางแผนแย่งลูกสาวของตนเอง ซึ่งเป็นเมียพระรามอยู่ นำมาเป็นเมียของ ตน ผลของสงครามทศกัณฐ์เป็นฝ่ายแพ้ พระรามเป็นฝ่ายชนะ การชนะของพระรามเป็นการชนะทั้งในเรื่องรามเกียรติ์ และศาสนาฮินดูชนะศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย ถ้า จะพูดสำนวนปัจจุบัน ต้องพูดว่าชนะทั้งในจอและนอกจอ ชนะในจอก็คือในเรื่องรามเกียรติ์พระรามซึ่งเป็นฝ่ายพระศิวะชนะทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นลูกหลานพระพรหม ชนะนอกจอก็คือฮินดูชนะพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียเกือบทั้งประเทศนับถือพระศิวะ แทบทุกคนพร่ำภาวนาแต่คำว่าสีดารามๆ พุทธศาสนาแทบจะไม่มีเหลือ

อยาก จะบอกความจริงแก่ชาวพุทธทั้งหลายว่า เรื่องรามเกียรติ์ที่ฤๅษีวาลมิกิเขียนนั้น แกนำเนื้อเรื่องในชาดกชื่อ ทศรถชาดกไปเขียน ชื่อตัวละครเหมือนกัน ความในชาดกนั้นมีโดยสรุปว่า พระราชาพระนามว่าทศรถ (ทดรด) ครองเมืองพาราณสี พระองค์มีพระโอรส ราชธิดา 3 องค์ คือ พระราม พระลักษณม์ และนางสีดา 

ต่อมาเมื่อพระมารดาของพระรามสิ้นพระชนม์ท้าวเธอจึงมีพระมเหสีใหม่ เมื่อพระมเหสีใหม่มีพระโอรสสององค์ พระราชามีพระโสมนัสทำนองคนแก่หลงลูกชายจึงออกปากให้พรพระมเหสีใหม่ว่าต้องการอะไรให้ขอ แล้วจะพระราชทานให้ นางจึงขอราชสมบัติให้ลูกชายของตัวเอง พระราชาทศรถทรงพิโรธ ตวาดมเหสีใหม่ว่า อีถ่อยมึงจะให้ลูกชายกูฉิบหายหรือ! แล้วไม่พระราชทานให้

ต่อ มาท้าวเธอดำริว่า ธรรมดาผู้หญิงมุ่งจะเอาชนะอย่างเดียว ถ้าพระรามยังอยู่ในวัง อาจมีอันตรายแก่ชีวิต จึงให้โหรคำนวณอายุของพระองค์ว่าจะมีอายุอยู่กี่ปี โหร คำนวณแล้ว กราบทูลว่าจะมีอายุต่ออีก 12 ปี ท้าวเธอให้เรียกหาพระรามมาเฝ้า แล้วรับสั่งให้ลูกชาย ราม-ลัก ษณม์ออกไปอยู่ในป่า 12 ปี เมื่อพ่อตายแล้วให้มาเอาราชสมบัติ ในการไปอยู่ป่านางสีดาน้องสาวขอตามไปด้วยพ่อก็อนุญาต พระรามไปอยู่ป่าได้เพียง 9 ปี พ่อก็สวรรคต เมื่อพ่อสวรรคต มเหสีใหม่ก็สั่งให้เสนาบดีมอบราชสมบัติให้พระภรต ลูกชายของตน

คำ สั่งของมเหสีใหม่ พระภรตและเสนาบดีไม่เอาด้วย แต่ยกกองทัพไปเชิญพระรามมาครองเมืองแทน วันราชาภิเษกพระประยุรญาติและประชาชนน้อมถวายนางสีดา ผู้เป็นน้องสาวให้เป็นมเหสี นี่คือเนื้อความโดยสรุปในทศรถชาดกที่ฤๅษีวาลมิกินำไปแต่งเรื่องรามเกียรติ์ ผู้สนใจชาดกเรื่องนี้โปรดไปอ่านในพระไตรปิฎกเล่ม 60 หน้า 72 พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยปี 2525

เท่า นั้นยังไม่พอ ! ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิยังนำเอากุณาลชาดก มาแต่งเป็นเรื่อง มหาภารตยุทธ ที่ชาวอินเดียหลงใหลอยู่ทุกวันนี้ คนไทยบางส่วนก็พลอยหลงใหลไปด้วย ความสรุปในกุณาลชาดกมีว่า นางกัณหาราชธิดาติดแม่ของพระเจ้าพาราณสี ขอมีสิทธิเลือกคู่เอง ถึงวันเลือกคู่นางเลือกพระราชบุตรพี่น้อง 5 คนของพระเจ้าบัณฑุราช เป็นสามีทั้ง 5 คน นามราชบุตร 5 คนนั่นคือ อรชุน นกุล ภีมเสน ยุธิษฐิละ และสหเทพ นางกัณหามีสามีคราวเดียวถึง 5 คนแล้ว ก็ยังไม่อิ่มในกาม ยังแอบไปสังวาสกับบุรุษเปลี้ยอีก

จุดหมายของชาดกเรื่องนี้ คือตำหนิผู้หญิงไม่อิ่มในกาม

ข้อสังเกต

ใน ทศรถชาดก นางสีดาเป็นลูกสาวของท้าวทศรถ แต่ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิเปลี่ยนมาเป็นลูกทศกัณฐ์ มีจุดมุ่งหมายอะไร มุ่งจะประณามทศกัณฐ์ผู้เป็นหลานพระพรหมว่าเลวทรามขนาดจะเอาลูกทำเมียใช่ไหม ในชาดกเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระรามเป็นอดีตชาติของพระองค์ แต่ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิเปลี่ยนเป็นอวตารของพระวิษณุ

ในกุณาลชาดก เป็นเรื่องของนางกัณหา มีสามีคราวเดียว 5 คน โดยสามีทั้ง 5 คนนั้นเป็นพี่น้องกัน ศังกราจารย์ได้เปลี่ยนดังนี้ พี่น้อง 5 คนนั้นศังกราจารย์เปลี่ยนยุธิษฐิละมาเป็น พี่ใหญ่แทนอรชุน นางกัณหาเปลี่ยนไปเป็นเทราปตี เพิ่มการทำสงครามระหว่างวงศ์บัณฑุราชกับวงศ์เการพ เพิ่มพระกฤษณะเข้ามาโดยไม่มีในชาดก

ใน การทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร (อยู่เมืองเดลี) อรชุนเป็นแม่ทัพฝ่ายบัณฑุราช ทุรโยชน์เป็นแม่ทัพฝ่ายเการพ เมื่อกองทัพเผชิญหน้ากันอรชุนไม่กล้าสั่งรบ เพราะล้วนแต่ญาติพี่น้องทั้งนั้น พระกฤษณะเป็นสารถีให้อรชุน เกลี้ยกล่อมอรชุนให้สั่งรบในฐานะกษัตริย์ต้องทำสงคราม คำยุของกฤษณะอินเดียยกย่องว่า เพลงขับพระเจ้า (ภควศิตะ) ผล ของสงครามอรชุนเป็นฝ่ายชนะ ศังกราจารย์ก็สรุปว่า พระกฤษณะคือพระนารายณ์อวตารมา สำหรับในกุณาลชาดกพระพุทธเจ้าตรัสว่าอรชุนเป็นอดีตชาติของพระองค์ ผู้สนใจกุณาลชาดก โปรดอ่านในพระไตรปิฎกเล่ม 62 หน้า 559 พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยปี 2525

ชาวพุทธทั้งหลาย! เมื่อทราบเรื่องนี้แล้ว ขอให้มีสติ แล้วมองตากัน ส่วนใครจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ตามอัธยาศัยเทอญ


Tuesday, July 14, 2015

Research makes difference

จากรีวิว ใน วารสาร Science  ฉบับ 10 กค 2015 เรื่องเศรษฐศาสตร์ ได้สรุปว่า อีลิตจำนวนน้อยที่ผลิตงานออกมามากๆ ช่วยให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมใน คริสตศตวรรษที่ 18

INTELLECTUALS AND THE RISE OF THE MODERN ECONOMY
http://www.sciencemag.org/content/349/6244/141.full?utm_campaign=email-sci-toc&utm_src=email

เขารีวิวจาก งานวิจัย ของ  Mara P. Squicciarini และ Nico Voigtländer
http://www.nber.org/papers/w20219


งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์งานนี้ ศึกษา ความสัมพันธ์ของค่าต่างๆกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสตศตวรรษที่ 18 แล้วพบว่า

ปัจจัยทางด้านมนุษย์ ที่ก่อให้เกิด ปฏิวัติอุตสาหกรรม ไม่ใช่ การที่คนทั่วไปจำนวนมาก สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น อย่างที่ มาร์กซิสต์หรือปัญญาชนส่วนใหญ่คิด แต่เป็นการที่อีลิตจำนวนน้อยที่สามารถเขียนอ่านงานซับซ้อนสร้างผลงานออกมาจำนวนมากเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมสำหรับ การปฏิวัติอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม เปเปอร์นี้ก็ต้องระวังการตีความผิดไปว่า ต้องเป็นชนชั้น อีลิตเท่านั้นที่สร้างงานสร้างเศรษฐกิจ ต้องอุดหนุนชนชั้นนี้ให้มากที่สุ่ด เพราะในปัจจุบัน อีลิตมันมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เป็น trickle-down economics ที่โครงสร้างมันผิด เอาอำนาจกับความร่ำรวยไปให้แค่ 1% ด้านบน ซึ่งรวยอยู่แล้วเก่งอยู่แล้ว โดยไม่แบ่งชนชั้นล่างลงมาบ้าง มันจะซวยเอา

สิ่งที่เรานำไปได้จากเปเปอร์นี้ คือ การพัฒนาความคิดซับซ้อน จนสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้ได้
ถ้าที่เปเปอร์นี้กล่าวเป็นจริง แล้วลองนำมาประยุกต์กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่คนชั้นกลางเป็นชนชั้นมีความรู้หลักของสังคม จะพบว่า การสร้างชาติถึงขั้นเปลี่ยนคุณภาพประเทศ คือการสร้างคนที่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเป็นอีลิตชั้นสูง แค่ระดับคนชั้นกลางก็พอ แต่เป็นการพัฒนาคนชั้นกลางที่มีคุณภาพ สามารถอ่านเขียน วิเคราะห์งานที่ซับซ้อนได้ ซึ่งสามารถต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆขึ้นมา เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นที่รองรับอนาคต ถ้าทำได้ก็จะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปทุกวงการ ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ หรือ ระบอบการปกครอง เช่น ประชาธิปไตย จะงอกงามจากสังคมอุดมปัญญาเช่นนี้เท่านั้น


มีเกร็ดที่น่าสนใจ ว่า ในสมัยพระนารายณ์มหาราช สยามเจริญเฟื่องฟู เข้มแข็งทั้งวิชาการและการเงิน จนสามารถผลิตปืนใหญ่อยุธยา ให้ได้รับการยอมรับจากโชกุนของญี่ปุ่นถึงคุณภาพและสมรรถนะ และสามารถส่งไปช่วยฝรั่งเศสปฏิวัติได้ (พอดีวันที่ 14 กค พอดี ที่เขียน)


ทั้งนี้ คงเป็นผลมาจากการเรียนรู้และการตกผลึกทางวิทยาการจากตะวันตกนั่นเอง แต่เสียดายว่า จากการรัฐประหารของ พระเพทราชา ทำให้เกิดการไล่ต่างชาติออกไป ไม่มีการต่อยอดและพัฒนาวิทยาการเหล่านี้ในช่วงอยุธยาตอนปลายและต่อมาจนต้นยุครัตนโกสินทร์จึงทำให้รัฐสยามไม่สามารถปฏิวัติตัวเองเข้าสู่ความเป็นอุตสาหกรรมอันเป็นพื้นฐานของการเป็นมหาอำนาจนั่นเองครับ

(เครดิต คุณ Danai Bawornkiattikul ในคอมเม้นต์ของ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10152147870996954&set=a.430946001953.211467.719626953&type=1&hc_location=ufi )

ซึ่งมันก็น่าเสียดายจนถึงปัจจุบันที่เมืองไทย คนพออ่านออกเขียนได้ แต่ขาดความรู้ มีความยับยั้งชั่งใจ ดูขนาดงานของนาซ่า ที่เกี่ยวกับรายงาน
breakthrough ภาพดาวพลูโตจากยาน
New Horizon ที่ใช้เวลาถึง 9 ปีในการไปเก็บรูปนี้  คนไทยที่พอเล่นคอมได้ ยังไปเกรียนจนเละเทะมาแล้ว ดูที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10204163114470105&set=a.1160978076644.2021739.1593591073&type=1&theater

ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศ โดน รัฐประหารชัทดาวน์ เพื่อแช่แข็งประเทศ เช่นเดียวกับสมัยพระเพทราชา ความอิสระทางความคิดไม่มี ความเชื่อมั่นในอนาคตไม่มี คนก็ไม่กล้าคิด ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็ลืมได้เลยเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสร้างชาติสำหรับอนาคต ในระดับชาติจากรัฐ เราขาดจุดตรงนี้ไปแล้ว เราก็หวังว่า อย่างน้อย ภาคเอกชนไทย ชาวบ้านชาวช่องไทยจะ ไม่หลับใหล ค่อยๆกันทำงาน สร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นมา โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ เผื่อในภายภาคหน้าที่ บรรยากาศผ่อนคลาย เอื้อต่อการใช้ปัญญา ประเทศจะได้ใช้ตรงนี้ในการเติบโตได้ทันที

การที่เราต้องสร้างความรู้ไว้ เป็นสิ่งสำคัญมาก หวังว่าจะมีคนธรรมดาทั่วไป ที่หวังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเหลืออยู่ ทีทำงานกันเต็มที่ สุดท้ายนี้ขอฝากคติเตือนใจจาก
มากาเร็ต มีด นักมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ว่า
อย่าสงสัยเลยว่า พลเมืองที่ช่างคิดและจริงจังเท่านั้นแหละที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีคนกลุ่มอื่นทำได้

Saturday, July 11, 2015

ป่ากับฝน

from https://www.facebook.com/notes/prin-niamskul/%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9D%E0%B8%99/1023950247629253?__mref=message_bubble

by Prin Niamskul


ป่ากับฝน


วันนี้เรามาคุยกันในประเด็นของกลศาสตร์การถ่ายเทระดับใหญ่กันนิดๆและเอี่ยวกับระบบกลศาสตร์ของสิ่งแวดล้อมกันหน่อยๆ  ประเด็น ป่าทำให้เกิดฝน หรือ ฝนทำให้เกิดป่า มีที่มาจากข้อถกเถียงใน หว้ากอ in wonderland ที่พูดถึงโมเดลการเกิดฝนเชิงกลศาสตร์ความร้อนอันนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะมาคุยกันให้เรารู้จักธรรมชาติของเรามากขึ้น
-------------------------------------------------------
การเกิดของฝน

เมฆ คือไอน้ำที่กลั่นตัวเป็นละอองน้ำ แต่ด้วยขนาดที่มันเล็ก มันจึงยังไม่สามารถเอาชนะแรงยกของกระแสลมและตกลงมา การที่เมฆจะกลายเป็นฝน ต้องอาศัยความปั่นป่วนของลมทำให้ละอองเหล่านี้ชนกัน จับตัวเป็นหยดขนาดใหญ่จนชนะแรงต้านของกระแสลมและตกลงมา และเนื่องจากลม มีการเคลื่อนที่จากแหล่งความกดอากาศสูง (ที่เย็น ความถ่วงจำเพาะอากาศสูง จึงหนัก) ไปสู่แหล่งความกดอากาศต่ำ (ที่ร้อน ความถ่วงจำเพาะอากาศต่ำ อากาศจึงลอยตัว)ณ จุดที่มีการยกตัว เป็นจุดที่เกิดความปั่นป่วน และทำให้เกิดการปะทะกันของละอองน้ำ กลั่นตัวลงมาเป็นฝน จุดสำคัญ อากาศนั้นต้องมีความชื้น

ในแง่การเกิดฝน

รูปแบบการเกิดฝนในระดับพื้นที่ แบ่งใหญ่ๆได้ 3 รูปแบบ[1][2]
1. เกิดจากการพาของความร้อน (Convection) มักเกิดในวันที่ร้อนจัด อากาศถูกพาขึ้นไปสู่ด้านบนและกลั่นตัวตกลงมา


2. เกิดจากการเคลื่อนตัวผ่านสันเขา (Orthographic) เมื่อมวลอากาศอุ่นถูกพาเข้าสู่แนวเขาและยกตัวขึ้น อุณหภูมิอากาศจะลดลง ทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นฝน


3. เกิดจากการเคลื่อนตัวเข้าหากันของมวลอากาศร้อนและอากาศเย็น (Weather front) เพราะมวลอากาศร้อนมีความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าก็จะถูกดันขึ้นด้านบน อุณหภูมิลดลง ก็เกิดการกลั่นตัวเป็นฝน


สำหรับ ในแง่ความร้อน ต้นไม้ มีการระบายความร้อนออกด้วยการระเหยของน้ำ อุณหภูมิสัมผัสของผิวใบที่จะสูงจนสร้างแรงยกตัวของลมนั้นน้อยกว่าพื้นดินที่ไร้สิ่งปกคลุม ดังนั้น กำลังที่จะดึงอากาศภายนอกเข้ามา ดึงความชื้นและเมฆฝนเข้ามาตกในพื้นที่จึงน้อยกว่า ตรงนี้ ถ้านับเฉพาะผลทางความร้อน แต่เราต้องไม่ลืมด้วยว่า พื้นที่ๆไม่มีต้นไม้นั้น ความชื้นจะน้อยกว่า แม้พื้นดินจะร้อนขนาดไหน พาอากาศร้อนขึ้นสูงไปยังไงถ้าพื้นที่ไม่มีความชื้นฝนก็ไม่ตก

ดังนั้นในการบ่งชี้เหตุว่า มีป่าฝนตกมากกว่า หรือมีป่าฝนตกน้อยกว่า ในระดับพื้นที่ภูมิภาค จึงตอบไม่ได้ถ้ามองแค่เฉพาะความร้อนและการขยายตัวอย่างเดียว

ในแง่การพาความชื้นจากมหาสมุทรสู่พื้นดิน 

แต่ทีนี้ถ้าหากเรามองการเกิดฝน ในขนาดที่ใหญ่กว่าในพื้นที่หนึ่งๆล่ะ ในวงจรสภาวะอากาศ ถ้าเรามองในขนาดที่ใหญ่ขึ้น แหล่งความชื้นที่สำคัญคือทะเล แหล่งความกดอากาศสูงที่สำคัญก็คือบนบก อันนี้ ถ้าหากความแตกต่างอุณหภูมิสูงกระแสลมก็ควรไหลพาจากด้านเย็นไปสู่ด้านร้อนได้มาก ก็ควรพาความชื้นขึ้นไปได้มากกว่าถูกไหม

สำหรับประเด็นตรงนี้ เมื่อได้ทำการศึกษาถึงการพาความชื้นเข้าลึกสู่แผ่นดินของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกัน ผลปรากฏว่า พื้นที่ป่า ความชื้น หรือฝน ถูกพาเข้าสู่แผ่นดินได้ ลึกกว่ามากแบบมีนัยสำคัญ[3]

ในแง่ของสิ่งที่ผมทราบ ฝน ที่ตกผ่านป่าจะถูกกีดขวางไม่ให้ไหลไปเร็วนัก และความชื้นนั้นก็จะถูกซับลงสู่ดิน ไปเป็นระดับน้ำใต้ดินได้มาก ซึ่งถ้าฝนนั้นตกในพื้นที่โล่งเตียน ไม่มีอุปสรรคการไหล น้ำนั้นก็จะไหลออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว อันนื้คือการกักน้ำของป่า และเราจะสามารถสังเกตได้ว่า ในป่า มีความชุ่มชื้น ในป่าขาจะมีพวกตาน้ำ มีลำธารขนาดเล็กอยู่ได้ เป็นความชื้นที่ป่านั้นเก็บกักไว้ ค่อยๆไหลออกมา น้ำฝนที่ตกลงมาจึงไม่เหือดแห้งไปหมด มีน้ำค่อยๆไหลออกมาได้ตลอดปี

อีกส่วนหนึ่ง ต้นไม้ กันการไหลออกไปของน้ำอย่างรวดเร็ว มันก็เป็นตัวระเหยน้ำออกผ่านทางกระบวนการคายน้ำจากปากใบ ซึ่งมีพื้นที่ผิวมหาศาล ป่านั้นมีทั้งกลไกการกัก
และกระจายน้ำออกสู่บรรยากาศอย่างต่อเนื่อง และนั่น ก็อาจเป็นเหตุผลให้ ความชื้นที่ปรกติจะไหลกลับลงทะเล ยังถูกหอบพากลับเข้าลึกไปสู่แผ่นดินได้ต่อเนื่อง ถ้าไมมีมนุษย์มาทำลาย ป่าจะมีความสามารถรุกคืบเข้าไปในแผ่นดินที่ลึกๆได้ และสามารถพาความชื้นเข้าไปในแผ่นดินได้ลึกกว่าที่ไม่มีป่าไม้อยู่


 ในกรณีการอนุรักษ์น้ำของเมืองยุคใหม่ การปรับผังเมืองให้มีพื้นที่ซับน้ำด้านใต้เมืองก็เป็นทางออกหนึ่งของการอนุรักษ์น้ำ[4]
เมื่อกลับมาที่หัวข้อเรื่อง ป่าทำให้เกิดฝน หรือป่าไม่ทำให้เกิดฝน ป่า ก็ไม่เกี่ยวโดยตรงกับกลไกการเกิดฝนตกทั้ง 3 รูปแบบ แต่มันเป็นตัวส่งต่อความชื้น ที่เป็นเงื่อนไขให้กับการเกิดฝนตกอีกทีหนึ่ง ป่าทำให้ฝนที่ตกลงมานั้นคงอยู่ในพื้นที่ ค่อยๆระบายออก และส่งต่อความชื้นลึกเข้าไปในแผ่นดิน ทำให้เกิดความชุ่มชื้น เป็นปัจจัยให้เกิดฝนในแผ่นดินที่ลึกเข้าไป แทนที่จะบอกว่า ป่าทำให้เกิดฝน เราน่าจะบอกว่า ป่า เป็นตัวส่งต่อความชื้นเข้าสู่แผ่นดินที่ลึกเข้าไปในทวีปจะถูกต้องกว่า
-------------------------------------------------------
อ้างอิง
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Precipitation_types
[2] http://www.royalrain.go.th/royalrain/uploads/vcharkarn/ZR2014.pdf
[3] http://www.hydrol-earth-syst-sci.net/11/1013/2007/hess-11-1013-2007.pdf
[4] http://www.sswm.info/category/concept/water-cycle

Monday, June 29, 2015

น้ำขึ้น น้ำลง น้ำแล้ง : โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

บทความนี้ให้ภาพสังคมไทย กับ น้ำได้ดี

from 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435543211

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

มติชนรายวัน
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558



คลองสายหนึ่งในกรุงเทพฯ รูปนี้น่าจะถ่ายสมัย ร.5 

มีผู้คาดว่าน่าจะเป็นย่านที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกน้อย-บางกอกใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่มีคำอธิบาย

มีเรือนตลาดแบบจีนติดกันเป็นแถว เรียกเรือนแถว แล้วมีบันไดท่าน้ำทอดพาดเรียงกันลงในคลอง สำหรับขนถ่ายสิ่งของขึ้นลงเรือ และเป็นทางลงตักน้ำใช้น้ำกิน กับอาบน้ำ

ช่วงเวลากลางวัน น้ำลงเหลือติดก้นคลอง สองฝั่งเห็นโคลนตม เรือติด จนต้องจอดเกยฝั่งอยู่อย่างนั้น เหลือแอ่งน้ำท้องคลองไว้ให้เรือเล็กแล่นไปมาได้ เรือใหญ่แล่นไม่ได้ 

พอตกกลางคืน น้ำจะขึ้นเต็มฝั่งตามปกติ เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปีสำหรับพื้นที่ใกล้ทะเล อยู่ใต้อิทธิพลของน้ำทะเลขึ้นลง

ปลาตีนริมคลองน้ำลง

เมื่อนุ่งกางเกงขาสั้นเรียนมัธยม ผมเคยอาศัยบ้านญาติอยู่ริมคลองวัดดาวดึงษ์ ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี (เข้าออกโดยลงเรือข้ามฟากที่ท่าพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ทุกวันนี้) 

ยุคนั้นยังไม่มีน้ำประปาเข้าไป ผมต้องรอเวลาน้ำขึ้นคอยตักน้ำจากคลองไปแกว่งสารส้ม รอตกตะกอน แล้วช้อนน้ำใสข้างบนใส่ตุ่มไว้ใช้ บางทีน้ำขึ้นกลางวัน แต่บางทีก็ขึ้นกลางคืนตอนดึกๆ ต้องถ่างตารอน้ำขึ้น(ให้รีบตัก)

ถ้าน้ำลงตอนกลางวันจะเห็นปลาตีนแหวกโคลนตมตามริมคลองวัดดาวเต็มไปหมด ผมตื่นเต้นมากๆ เพราะเด็กบ้านนอกเป็นที่ดอนไม่เคยเห็นปลาตีน

ที่เห็นน้ำขึ้นน้ำลงอย่างนี้ได้ในกรุงเทพฯ เพราะเป็นยุคไม่มีเขื่อนควบคุมน้ำ

[เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เปิดใช้งาน 7 กุมภาพันธ์ 2500 หลังจากนั้นมีเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เปิดใช้งาน 17 พฤษภาคม 2507]

แม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อน้ำลงในหน้าแล้ง จะเหลือน้ำไหลปิดท้องน้ำเท่านั้น มองเห็นโคลนตมและเศษขยะสิ่งของสองข้างตลิ่ง(แบบเดียวกับคลองในรูปประกอบ)

เมื่อเดินลงเรือข้ามฟากดูน่ากลัวหกล้มตกโคลน เพราะสะพานทอดลงโป๊ะเรือจะชันกว่าตอนน้ำขึ้น

คนกรุงเทพฯสมัยนั้นมองเป็นเรื่องปกติของหน้าแล้ง เพราะมีให้เห็นทุกปี

Wednesday, June 03, 2015

นิสัยที่แท้ของคนไทย

อ่านบทความอาจารย์ โกวิท แล้ว คิดออกมาได้ดังนี้ (ดูต่อด้านล่าง)

กรมพระยาดำรงราชานุาภาพทรงเคยดำรัสว่า อุปนิสัยคนไทยคือ การรักความเป็นไทย ปราศจากวิหิงสา รู้จักประสานประโยชน์

คนไทยทั่วไปเข้าใจตัวเองว่า อุปนิสัยคนไทยคือ ความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

แต่ รูธ เบเนดิกต์ ปรมาจารย์ของวิชามานุษยวิทยา ผู้เขียนหนังสือ "ดอกเบญจมาศกับดาบซามูไร" ที่ พลเอก แมคอาเธอร์ใช้เป็นตำราในการปกครองญี่ปุ่น ซึ่งถือว่า เป็น "การยึดครองประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างวิเศษที่สุดในประวัติศาสตร์" กลับบอกว่า ความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่น่าจะเป็นนิสัยเฉพาะของคนไทย เพราะว่า ทุกสังคมการเกษตรจะมีนิสัยแบบนี้
รูธ ได้ฟันธงว่า นิสัยเฉพาะของคนไทย คือ "คนไทยมีนิสัยชอบซ้ำเติมคนที่พลาดพลั้งจากการถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้าย แต่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าคนที่หลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่นนั้นมีความผิดแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยจะเห็นว่าการหลอกลวงหรือการทำร้ายบุคคลอื่นนั้นจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายอะไรนัก" 

นี่ก็เป็นความเห็นฝรั่งคนหนึ่งเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า ปัจจุบัน ยังเป็นจริงไหม

ถ้าแค่สมน้ำหน้า คิดว่า มีทุกชาติ แต่ เอาหนักๆแบบนี้ อาจจะมีที่จีน กับ อินเดีย ที่อินเดียน่าจะใช่เลย แบบ กรณี ข่มขืน ผญ บนรถบัสประจำทาง คนในสังคมก็มีกระแสคิดแบบเดียวกัน


---------------------------------------------
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433313206

รูธ เบเนดิกต์ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์


ที่มา:มติชนรายวัน 3 มิ.ย.2558
รูธ เบเนดิกต์ เป็นปรมาจารย์ของวิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ที่จัดว่าเป็นวิชาการสาขาใหม่ที่ศึกษาทำความเข้าใจมนุษย์ เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ในเรื่องของมนุษยชาติในประเด็นของวิวัฒนาการของมนุษย์ และสังคมวัฒนธรรมมนุษย์เริ่มปรากฏตัวบนโลกครั้งแรกเมื่อไหร่ ไปจนถึงประเด็นที่ว่าทำไมมนุษย์ในแต่ละสังคมทั่วโลกจึงแตกต่างกันทั้งทาง พัฒนาการและวัฒนธรรม


รูธ เบเนดิกต์ เขียนหนังสือเรื่อง Patterns of Culture (1934) ซึ่งหัวใจของหนังสือเล่มนี้คือ "วัฒนธรรม (วิถีการดำเนินชีวิต-ไม่มีดีไม่มีเลว เช่น คนไทยกินข้าว ฝรั่งกินขนมปัง หรือคนไทยเผาศพ คนจีนฝังศพ เป็นต้น) มีแบบแผนสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมนั้น" หรือจะเน้นให้ชัดเจนก็คือ "วัฒนธรรมก็คือบุคลิกภาพของคนในสังคมนั่นเอง"

รูธ เบเนดิกต์ เป็นสุภาพสตรีผู้ที่ทำการศึกษาเรื่องลักษณะนิสัยประจำชาติของไทยและของ ญี่ปุ่น สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากทั้งประเทศญี่ปุ่นและไทยนั้นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทางกระทรวงกลาโหมอเมริกันก็เลยอยากรู้จักศัตรูของเขาให้ถ่องแท้ เข้าทำนอง "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะทั้งร้อยครั้ง" นั่นแหละ

ผลงานรูธ เบเนดิกต์ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของญี่ปุ่นนั้นเป็นที่แพร่หลายรู้จักกันดี ทั่วโลก โดยถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเรื่องคือ The Chrysanthemum and the Sword-ดอกเบญจมาศกับดาบซามูไร ซึ่งหนังสือเล่มนี้กองทัพสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายพลแมคอาเธอร์ ยึดถือเสมือนคัมภีร์ไบเบิลในการปกครองชาวญี่ปุ่นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถือว่าเป็นการยึดครองประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างวิเศษที่สุดในประวัติ ศาสตร์เลยทีเดียว

ส่วนงานของรูธ เบเนดิกต์ เกี่ยวกับประเทศไทยนั้นไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก เพราะไม่ได้ถูกตีพิมพ์เป็นเล่มในภาษาอังกฤษ แต่ทางเมืองไทยได้แปลออกมาพิมพ์เป็นภาษาไทยแล้ว โดยพรรณี ฉัตรพลรักษ์ ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2524 โน่น ยังพอหาอ่านได้ตามห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆ ชื่อเรื่องคือ Thai Culture and Behavior ส่วนชื่อหนังสือภาษาไทยคือ "วัฒนธรรมและพฤติกรรมของไทย"

งานวิจัยเกี่ยวกับนิสัยประจำชาติคนไทยนี้ รูธ เบเนดิกต์ทำเสร็จแล้วส่งให้กระทรวงกลาโหมอเมริกันตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2486 เธอเสียชีวิตในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2491 รวมอายุได้ 61 ปี 

สิ่งที่จะต้องระลึกไว้ตลอดเวลาก็คือองค์ประกอบของเวลา เพราะทั้งคนที่ศึกษาและผู้ที่ถูกศึกษาก็เสียชีวิตหมดแล้ว บริบท (Context-สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศทั้งหมดในขณะหนึ่ง) ของประเทศไทยก็เปลี่ยนไปเยอะแยะแล้ว 

อาทิ เมื่อสมัยก่อน (ช่วงที่รูธ เบเนดิกต์ วิจัยนั่นแหละ) ถือว่าโรงแรมเป็นสถานที่อโคจร ผู้หญิงดีๆ เขาไม่เข้าโรงแรมกัน แต่ปัจจุบันนี้ต้องจัดงานแต่งงานในโรงแรมถึงจะโก้ แม้แต่ในแวดวงการศึกษา เช่น พวกมหาวิทยาลัย ยังนิยมจัดงานประชุมทางวิชาการกันที่โรงแรมเลยครับ 

ดังนั้น เรื่องที่ว่ารูธ เบเนดิกต์ ค้นพบความจริงเกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทย และสิ่งที่ค้นพบความจริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาพิจารณากันอย่างจริงจัง 

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความแปลกในการมองและมุมมองสังคมไทยของ นักวิชาการตะวันตก และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่น่าศึกษา พูดง่ายๆ ก็คือเทคนิควิธีการวิจัยของเขาน่าจะมีประโยชน์ในการศึกษาวิจัยของบ้านเรา ด้วย เพราะปัจจุบันนี้เราเน้นเฉพาะเทคนิควิธีวิจัยเชิงประมาณมากจนเกินไป แทบจะเรียกได้ว่าเอะอะอะไรก็ต้องเป็นเชิงประมาณไปเสียหมด พวกที่วิจัยเชิงคุณภาพกลับถูกมองข้ามไปหมดทีเดียว 

ที่ว่าน่าสนใจนั้นก็เพราะการมองของนักวิชาการต่างชาติแบบเป็นระบบ นั้นได้ให้ข้อคิดที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากรูธ เบเนดิกต์ ตัดเรื่องที่เป็นสากลออกไป เช่นที่ว่าคนไทยเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้น ก็เป็นเรื่องปกติของคนในสังคมเกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ ที่ไหนๆ ที่เป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ผู้คนก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ทั้งนั้นแหละ 

ส่วนเรื่องไม่ตรงต่อเวลาก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะในสังคมเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะไปเร่งรัดนักก็ไม่ได้ ไม่เหมือนการทำงานในโรงอุตสาหกรรมที่ต้องแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ ดังนั้น การตรงต่อเวลาแบบเป๊ะๆ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับสังคมเกษตรกรรม สังคมเกษตรกรรมที่ไหนๆ ในโลกก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการตรงต่อเวลาทั้งนั้น 

สิ่งที่รูธ เบเนดิกต์มองเห็นและวิเคราะห์สรุปออกมาเป็นลักษณะนิสัยประจำชาตินั้น ต้องเป็นลักษณะที่เด่นและแจ้งชัดจริงๆ แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ใช่เรื่องสากล

ที่น่าพิศวงที่สุดที่รูธ เบเนดิกต์ สรุปว่าเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติของไทยก็คือ "คนไทยมีนิสัยชอบซ้ำเติมคนที่พลาดพลั้งจากการถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้าย แต่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าคนที่หลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่นนั้นมีความผิดแต่ อย่างใด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยจะเห็นว่าการหลอกลวงหรือการทำร้ายบุคคลอื่นนั้นจะเป็นการ กระทำที่เลวร้ายอะไรนัก" 

ดูเหมือนคำพูดที่ติดปากคนไทยที่ว่า "สมน้ำหน้า" จะเป็นแคปซูลที่บรรจุลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทยเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งตรงข้ามกับพวกฝรั่งที่เขามีความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติที่เป็นบรรทัด ฐานว่าต้องช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือผู้ที่ถูกทำร้าย เพราะเหยื่อที่ถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้ายเป็นผู้ที่ควรแก่ความสงสาร สำหรับผู้ที่หลอกลวงหรือทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย 

สำหรับการมองโลกของไทยนั้น ถ้าหากผู้หญิงถูกข่มขืนก็มักจะถูกคนไทยสมน้ำหน้า โดยถูกหาว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย ยั่วผู้ชาย หรือไม่ก็หาเรื่องใส่ตัวโดยไปในที่ไม่ปลอดภัยเอง สรุปก็คือเป็นความผิดของเหยื่อเองที่โง่ ส่วนผู้ชายที่ข่มขืนผู้หญิงดูจะถูกยกย่องว่าเก่งเสียด้วยซ้ำไป 

ส่วนถ้าใครถูกหลอกให้เสียเงินเสียทอง เช่น เรื่องตกทอง (ลูกไม้ของการหลอกลวงที่เก่ากะลาแต่ยังใช้ได้ผลอยู่จนทุกวันนี้ คือนักต้มมนุษย์ มักจะหลอกคนที่มีทองคำเป็นเครื่องประดับ ว่าเก็บสร้อยทองคำหนัก 5-10 บาทได้ ให้เอาไปขายเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ฝากให้ถือเอาไว้ก่อนจะไปตามเพื่อนอีกคน แต่ขอแหวนทองหรือกำไลทองหรือสร้อยทองของเหยื่อที่หนักสัก 2-3 สลึง หรือ 1-2 บาท ไปเป็นประกันก่อน แล้วก็หายไปเลย ส่วนสร้อยทองที่ให้ถือไว้ก็เป็นของเก๊) หรือเล่นไพ่สามใบ (การหลอกให้เล่นไพ่สามใบนั้นจะมีหน้าม้าเล่นกับเจ้ามือ แล้วก็เล่นได้เอาๆ แบบรวยกันง่ายๆ แล้วจึงชักชวนให้เหยื่อเล่นด้วย ก็หมดเนื้อหมดตัวทุกที) ก็จะถูกสมน้ำหน้าว่าโง่เอง ดังนั้น คนไทยที่ถูกใครโกงหรือถูกหลอกลวงจะปิดปากตัวเองเงียบเพราะกลัวจะถูกซ้ำเติม แบบว่ากลืนเลือดเงียบๆ นั่นแหละ 

ถ้าจะแปลงจากที่รูธ เบเนดิกต์ เขียนมาตรงๆ แบบมีกลิ่นนมกลิ่นเนยแรงหน่อยก็ได้ดังนี้ คือ "พฤติการณ์ที่เป็นการหลอกล่อ อาจนำมาใช้ได้โดยไม่มีข้อตำหนิติเตียน และเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อาจใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ความไม่รู้ ความละโมบของฝ่ายตรงข้าม เช่นเดียวกับภาษิตของคนไทยที่ว่า หนามยอกให้เอาหนามบ่ง และเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม ความสนใจของคนไทยมุ่งไปที่การเยาะเย้ยคนที่ถูกหลอกล่อ ไม่ใช่การตำหนิวิธีการ"

ครับ! พอมาทบทวนงานวิจัยเก่ากะลาของคนที่ตายไปแล้วร่วม 70 ปี ก็เลยไม่มีข้อกังขาอะไรกับการที่คนไทยจำนวนมากแสดงออกถึงความโกรธ เกลียด เคียดแค้นชาวโรฮีนจาอพยพและผู้สื่อข่าวชาวไทยที่รายงานข่าวเรื่องนี้