Sunday, February 22, 2015

บทสนทนาเรื่องหุ้น -2

from FB of

ช่วงหนึ่งนั่งคุยกับมิตรสหายท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเล่นหุ้น เขาอยากเล่นหุ้น (ในขณะที่ผมกำลังหยุดเล่น) ผมก็ลองชวนคิดตาม
ถ้าเริ่มทุนไม่เกินห้าหมื่น ระหว่างมึงขายก๋วยเตี๋ยว ขายน้ำเต้าหู้ ขายปาท่องโก๋ ขายอาหาร กับเล่นหุ้น มึงว่าอะไรเสี่ยงและได้ผลตอบแทนน้อยกว่ากัน
มันบอกว่าขายของน่าจะได้น้อยกว่า ก๋วยเตี๋ยวชามแค่ 30-40 น้ำเต้าหู้ห้าบาทสิบบาท มันจะไปได้อะไร ?
ผมบอกว่ามึงพลาดอะไรไปเยอะล่ะ...
margin ในธุรกิจ "นอกสายตา" บางอย่างแม่งเยอะมากๆ คนมองข้ามและดูถูกมัน และมักไปมองหุ้นว่าน่าจะได้ผลตอบแทนเยอะกว่าเพราะไปหลงกับภาพลวงตาของพอร์ตหุ้นคนที่สำเร็จมากจนเกินไป
หุ้นนั้นมี margin ที่ขึ้นๆลงๆ เอาแน่นอนไม่ได้ เผลอๆมึงเจ๊งเพราะมึงออกไม่ทันซะด้วยซ้ำ ติดดอยหนาวกันไป..
แต่ธุรกิจนอกสายตาบางอย่าง margin ระดับ 5-10 เท่าตัวและค่อนข้างคงที่กว่าพอสมควร ธุรกิจบางตัวซื้อขายกับลูกค้าแค่เงินไม่กี่สิบบาทแต่ทำไมบางคนทำรายได้เดือนละหลายหมื่นจนถึงแสนได้ล่ะ ?
เพราะความเสี่ยงมันต่ำกว่าและแน่นอนกว่า การจัดการความเสี่ยงทำได้ง่ายกว่าเยอะหากเทียบกับหุ้น
ธุรกิจนอกสายตาบางตัวไม่ต้องเสียภาษีห่าอะไรซักแดงด้วยซ้ำ คำนวนต้นทุน-กำไรกันเพียวๆ นับเงินรายวัน
หุ้นไม่ต้องเสียภาษีซื้อขายก็จริง แต่ต้นทุนกำไรเอาแน่นอนไม่ได้ ผันผวนสูงเหี้ยๆ ผัวผวนหนักคือหุ้นตก แดกมาม่าบนดอยไป..

---------------------
ตลท. โปรโมทสุดๆ ทำให้ตลาดโตได้ ความดี เป็นของ ตลท. เงินทองมันเยอะไป ให้มันไหลเข้าไปเสียในตลาดเยอะๆ

ผมว่า สมมุติดีกว่าถ้าจะขาย CPF ราคา 30 บาทเท่าก็ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม วันนี้มัน 24.7 margin 10% หน่อยๆ จะรอกันกี่วัน


ปีที่แล้วมันมีพวกหุ้น 10 เด้ง พวก DIMET, ABC, CYBER โผล่มา มันก็เลยกระตุ้นต่อมรวยง่าย อยากเข้ามาบ้างมั้ง เพื่อนๆ เวลาได้มันก็อวดเวลาเสียหนะกริบ

เจอเยอะมากเลยเดี๋ยวนี้ เล่นหุ้นครับ ATO/ATC คือไรไม่รู้ -w คือไรไม่รู้ คือไม่รู้อะไรเลยนอกจาก สั่งซื้อกับสั่งขาย แล้วไอ้พวกนี้ถ้ามีตังค์มันเล่น dw ด้วยนะ
------------------------------
เล่นแบบตามแห่ เอาเฮไหนเฮกัน ไม่รู้เรื่องห่าอะไร อ่านบัญชีไม่เป็น ไม่อ่านรายงานประจำปี ไม่วิเคราะห์ราคา ก็ติดดอยเรียบ...ที่พูดเนี่ยผมยังไม่แม่นเลยนะ งมๆ งูๆปลาๆ พยายามศึกษาเอาเอง ทั้งเรื่องบัญชี เรื่องผลประกอบการ เรื่องอัตราส่วนทุนกำไรโน่นนี่ ผมแม่งยังเสียวเลย เพราะหุ้นตกง่ายมาก ขึ้นยากมาก
------------------------------
 ผมมีน้องคนนึงให้ผมสอนอ่าน เทคนิคแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะเธอไม่รับอะไรเลย เธอคิดว่าเทคนิคมันบอกว่าจะทำให้เธอกำไรมากขึ้น

ปีที่แล้วเธอทุนแสนนึง ภายใน 2 เดือน กำไร 4 แสนไม่รวมทุน


ไม่รู้อะไรเลยขึ้นซื้อลงขาย สุดท้ายผมก็บอกว่าผมไม่สามารถที่จะมี tool อะไรที่มันจะ improve กำไรขนาดนั้นได้หรอก นั่นมันพนันล้วนๆ
------------------------------
ผมไม่ใช่สายเทคนิค ผมใช้เทคนิคช่วยเฉพาะเวลาจะเข้าหรือจะออกเท่านั้นเอง ผมเน้นพื้นฐานมากกว่า เพราะเชื่อว่าพื้นฐานคือตัวสะท้อนราคาที่ดีที่สุด
------------------------------เรื่องบัญชี จากประสบการณ์ทำงานในบริษัท มหาชน ผมนิดหน่อย มันแยกเป็น 2 เรื่องอะครับ

1 มันแต่งหมด


2 ธุรกิจแต่ละประเภทมันไม่เหมือนกัน อย่างธุรกิจอสังหาฯ มันจอง ทำสัญญาจะซื้อจะขาย รับเงินกี่% จำไม่ได้ละ มันก็ขึ้นการรับรู้รายได้ ของยอดขาย สุดท้ายมันโอนไม่ได้ ก็โยกกันไปมากลับมา พออีก 3 ปีขายได้หมด ตัวเลขก็เด้งเป็น back log

หลายๆคนที่จบบัญชี ก็กล้าออกมายอมรับกันนะ ว่าอ่านไปเถอะมันไม่มีจริงหรอกตัวเลขพวกนั้น
--------------------------------
ถ้าซื้อหุ้นปีที่แล้วช่วงๆที่ กปปส ปิดเมือง แล้วมาขายทิ้งตอน คสช. มา รวยทุกคนครับ มันเป็นทั้งตลาด
-----------------------------
ผมเข้าตอนราวๆ 1649 แล้วมันร่วงมา 1200 กว่าๆ ตอนปีก่อนหนะครับ กลัวหมดอะครับ

เด็กเข้าปลายปีที่แล้ว ตลาดมันพุ่ง พวกนี้มันไม่รู้อะไรเลยมันเลยกลัวไม่เป็นกัน
----------------------------
ผมเข้าตอน 1320 กว่าๆ ผมซื้อ SOLAR ตอนราคา 3.90 เอาไว้ 15,000 หุ้น ถือยาวมาเรื่อยๆๆๆๆตอนตลาดวิ่งไปที่ 1400 แล้วก็ปล่อย

ล้างพอร์ตเลย ตอนนี้ไม่ได้ถือซักตัว รอรอบใหญ่ครั้งต่อไป
--------------------------------
ส่วนใหญ่คนอย่างเรามันจะตายตอน รอรอบใหญ่ รอแล้วมันไม่ลงซักที คนอื่นกำไรเอากำไรเอา พอเราเข้าปุ๊บ ทีนี้ ลง wave c เลย 5555

ทางเทคนิคผมยังมองว่านี่ wave 5 ใหญ่ grand cycle เทียบขนาด wave นับ C ใหญ่ ที่ปี 98 
คิดว่า 5 นี้อย่างเลวที่สุดโดยหลักการไม่น่าจะต่ำกว่า 5 เดิมปี 93 ที่เกือบๆ 1800 จุด

แต่ถ้าดูทรงการเมือง ผมว่า คสช. ยังไงก็ลงไม่สวย (อันนี้มันมุมมองเรา มุมมอง กปปส เค้าก็มองตรงข้าม) ถ้าคสช. ลงไม่สวย แล้วหุ้นร่วงก็อาจจะนับขึ้นมาเป็น extended B,C ของ wave 4 ก็ได้มั้ง ถ้าเป็นงั้น เราก็อาจไปสุด wave 5 ที่ 2020 แถวๆนั้นมั้ง

มโน ล้วนๆ เลย 5555555 จริงๆ ถ้าเทคนิคเค้าต้องห้ามมององค์ประกอบอื่นใช่มะ ต้องดูตัวเลขล้วนๆ

ผมสายเจ๊งนะครับ 555
---------------------------------

ส่วนต่อไป เรื่องมาร์ก

Marx มองการทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นอย่างไรครับ  ถามจริงๆไม่ได้กวนนะครับ
ขอร่วมวง Marx ด้วยนะครับ
Marx เคยพูดเรื่อง ตลาดหุ้นไหม นี่ผมไม่เคยอ่านเจอเลยนะ


แต่ผมว่า ตลาดหุ้นมัน น่าจะเข้าวิธีคิดแบบ zero sum ของ Nash มากกว่านะ
สุดท้ายเงินมันก็ถ่ายเทจากกระเป๋าคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่ง มันไม่ได้เกิดการงอกเงยในตลาด ปันผล มันคือผลประกอบการนอกตลาด

ผมไม่แน่ใจว่า marx พูดถึงตลาดหุ้นเอาไว้เล่มไหน เพราะผมเคยอ่านผ่านๆที่ marx เขียนถึงตลาดโลก

ไอ้ที่ใกล้เคียงที่สุดคือพูดถึง exchange value ส่วนตลาดหุ้นมันเป็นภาคการเงินแยกออกไป marx พูดถึงภาคการเงินเอาไว่ใน the poverty of philosophy ว่าเป็น commodity ชนิดหนึ่งที่สามารถผลิตซ้ำมูลค่าตัวเองได้ผ่านดอกเบี้ยและการแลกเปลี่ยน
-----
ขอเรียนถามเรื่อง Marx มองว่ามันผลิตซ้ำมูลค่าของตัวเอง แล้ว Marx ลากมันไปแตะเรื่องการผลิตซ้ำมูลค่าตัวเอง เป็นเงินเฟ้อด้วยไหมครับผมยังศึกษาไปไม่ถึงครับ ยังวนเวียนๆอยู่เรื่อง money as commodity อยู่

แต่ถ้าดูในปัจจุบันก็เป็นอย่างที่ marx เขียนเอาไว้ เพราะภาคการเงินมันแทบออกไปจากภาคการผลิตจริงไปเลย
----คือผมก็อ่านไม่เยอะนะ แต่ โดย sense ของผมที่เข้าใจ ผมก็มองว่า Marx น่าจะ attach commodity เข้ากับ มูลค่าส่วนเกิน

จริงๆ พี่เคยอ่านเจอ Marx speculate อะไรถึง great depression ในปี 1930 ไหมครับ ผมไม่เคยผ่านตา แต่ผมแอบเชื่อว่า Marx น่าจะมีการ speculate ถึงเรื่องแบบนี้อยู่
-----
ไม่ครับ marx ตายก่อนเข้า ศ.20 marx เลยไม่เห็นวิกฤติการเงินโลกในทศวรรษ 1930 งานที่ marx เขียนก็มักจะเขียนถึงระบบทุนนิยมซะเยอะ
----
นั่นสินะ Marx ไม่ได้มองว่านายทุนจะเจ๊งเพราะว่าพวกนายทุนด้วยกัน แต่ Marx มองว่า นายทุนจะเจ๊งเพราะว่าเอาเปรียบจนคนอื่นอยู่ไม่ได้
----
ใช่ครับ marx มองว่ามูลค่าส่วนเกินในตลาดเกิดจากการแลกเปลี่ยน commodity ระหว่างมนุษย์ ตรงนี้เลย drive สังคมไปในทิศทางของการแลกเปลี่ยนที่มีแรงจูงใจที่มากกว่า

marx เน้นมูลค่าส่วนเกินที่เกิดจากการขูดรีดแรงงานมากกว่าเรื่องอื่นๆ แต่ก็เขียนถึง exchange value เอาไว้ละเอียดพอสมควร ผมตีความได้ตามนั้นครับ
----
คิดแบบคอมมอนเซนเลยนี่ผมว่าคนที่รวยขึ้นจากการเก็งกำไรหุ้นนี่ไม่เกิดผลประโยชน์อะไรกับสังคม/ศก เลยนะครับ ไม่ใช่ทั้งการออม การระดมทุนอะไร

เคยอ่านบทความอันนึงน่าสนใจดีครับ http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1468-0335.1937.tb00002.x/full-----
ใช่ ตลาดหุ้นมันคือตลาดที่เก็งกำไรจากการแลกเปลี่ยนล้วนๆ เพราะราคาหุ้นทุกตัวในตลาดไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงๆของบริษัท มันเป้นราคาแลกเปลี่ยนที่คนเข้ามาแสวงหากำไรจากการซื้อขาย (แลกเปลี่ยน) เฉยๆ----
ใช่ครับ ตลาดมันถูกแปรให้วิบัติ
จริงๆ ตลาดแบบนี้มัน มีประโยชน์นะครับ มันไม่ได้วิบัติมาแต่เกิดแต่มันต้องมีการควบคุม


อย่างผมมองว่า post-modern ในเมกา มันตลก เพราะว่าจริงๆ modern มันไม่ได้เกิด อย่าง No Logo ผมก็ว่ามันพูดถึง modern ปลอมๆ ที่ถูกบิดเบือน ปัญหาของเมกามันไม่ได้เกิดจาก Modern แต่มันเกิดจากคนสวมชุด modern แล้วบอกว่าชั้นเป็น modern อย่างผมว่าประเด็น ที่ไม่เทคนิคคั่ลมากใน Inside Job นี่มันดีมากเลยนะ ที่มันพูดถึงการ เข้มงวดกับตลาดเงินและทุน ไม่ให้เล่นอะไรบ้าๆ จนถึงวันที่ มันเล่นอะไรบ้าๆ แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
http://www.imdb.com/title/tt1645089/?ref_=nv_sr_1 inside job the movie----
ไอ้พวกที่บอกว่า ศก ประเทศดีไม่ดีให้ดูตลาดหุ้น ผมเถียงว่ามันเกี่ยวอะไรวะ ? ภาคการเงินแทบจะแยก sector ออกไปจาก real sector แล้ว
มันดูได้เฉพาะหน้าอะมั้งครับ แต่ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างพื้นฐานทาง ศก----
จริงๆ ผมมองต่างนิดนะ มองต่างแต่ไม่ได้แย้งนะครับ ผมมองว่า ศก. ดีไม่ดี ดูตลาดหุ้นได้นะ ถ้าจะมองว่าเกี่ยว ก็อย่างตอนนี้หนะ พวกคนเลอะเทอะเข้ามาเป็นแมงเม่าเยอะ ตลาดหุ้นก็ขึ้น เพราะว่าเจ้าลากเม่าไปดอย ถ้า ศก ไม่ดี เม่าจะเอาเงินที่ไหนไปเที่ยวดอย 555
----
ใช่ สะท้อนสั้นๆแค่ดูว่าเม็ดเงินมันไหลเวียนยังไงบ้าง แต่ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างที่แท้จริงอะไรนักหรอก

ใครอยากรู้ ศก ระดับรากฐานให้ไปคุยกับพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดได้เลย ไปถามว่าขายดีมั้ย ยอดขายเป้นไงบ้าง ถามหลายๆเจ้าก็พอจะเดาออก อันที่จริงการที่คนเอาเงินเข้าตลาดหุ้นก็ไม่ได้หมายความว่า ศก จะดีนะ แต่พวกเขาเชื่อว่ากูน่าจะทำกำไรจากตลาดหุ้นได้เยอะกว่าเอาไปทำอย่างอื่น ก็เลยเอาเงินมาละลายในตลาด ถวายเข้าพอร์ตเจ้ามือ----
แต่ผมก็ไม่รู้นะว่า ถ้าสายเศรษฐศาสตร์ เค้ามี indicator แยกของการลักษณะกลุ่มทุน ที่เข้าไปในธุรกิจบางประเภทไหม

คือหุ้น กับอสังหา มักจะถูกปั่นกันเป็น tip top แล้วมันก็ ร่วงก่อน

พอเงินเข้ามาตรงนี้มากๆ พวกนายทุนใหญ่แต่ไร้คุณภาพเข้าตลาดอสังหา
นายทุนน้อย(แมงเม่า) เข้าตลาด ผมมองว่า นี่มันโคตร bullish divergence เลย แต่ bullish divergence ตอนปี 92 กว่าจะออกฤทธิ์จริงๆมันก็ฟาดเข้าไปปี 98 แหนะ
----




ขอบคุณมากที่เพิ่มความกระจ่างให้ครับ













บทสนทนาเรื่องหุ้น-1

จากเฟซ คุณ Pakinai Chomsinsubmun February 19 at 12:20pm · 

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ๆโดยเฉพาะพวก Gen Y บ้าเล่นหุ้น หันมาสนใจหุ้น อยากรวยเร็วๆจากหุ้น คือจำนวนหนังสือที่เกียวกับหุ้นในชั้นหนังสือขายดีในร้าน แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่กำลังผุดขึ้นมาอย่างเงียบๆคือหลักสูตรเล่นหุ้นของสถาบันการศึกษาระดับมหาลัย
ผมไปเห็นป้ายโฆษณาหลักสูตรอันหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เป็นของมหาลัยแห่งหนึ่งแถวๆอ่าวอุดม ขึ้นป้ายหราเลยว่ามีอบรมการเล่นหุ้น จบแล้วมีใบประกาศให้ด้วย
(ซึ่งเทรนด์ก่อนหน้านั้นประมาณไม่กี่ปีมักจะเป็นพวกหลักสูตรอบรมผู้ประกอบการรายย่อย SME อะไรอย่างนั้น เพราะกระแสช่วงหนึ่งมีคนลาออกจากงานประจำเยอะเพื่อมาเป็นเจ้าของธุรกิจและเจ๊งกันไปมากมาย หลายคนต้องกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเดิม)
แสดงว่าคนรุ่นนี้อยากรวยเร็วๆโดยไม่อยากทำงานหนักอะไร ก็เลยอยากเล่นหุ้นเพราะเชื่อว่าจะรวยและสบาย
------------------------
เล่นหุ้นสบายแน่ๆ แต่รวยหรือเปล่านี่ยากครับ หลายคนเพ้อฝันไปมากมายว่ากูจะรวยเพราะหุ้น มันยากแสนยากเลยนะ
กระแสแบบนี้ทำให้คนพวกหนึ่งนั่งยิ้มด้วยความชอบใจเงียบๆในห้องค้า เพราะมีแมงเม่าเอาเงินมาถวายให้ถึงในพอร์ต
"เจ้าใหญ่" นั้นทุนหนา กำหนดราคาได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าไปเจอพวก market maker ทีมฉมังๆ แมงเม่ามีอันตายยกรัง...

--------------------------

เล่นไม่ระวังเสร็จเจ้าหมด

ใครเข้าตลาดหุ้นด้วยความโลภจนเกินเหตุ ผมเห็นเจ๊งทุกคน

การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง กรองดีๆไม่มีคำว่าเจ้ง แน่ๆคือแมงเม่าไม่ควรเดย์เทรด สำคัญเลยอย่าโลภ หุ้นปั่นทั้งนั้น

ไอ้พวกนั่งยิ้มเวลามีคนเดย์เทรดเยอะๆคือโบรกเกอร์ แดกค่าคอมจนน้ำบาน

หลักสูตรดูหุ้นอย่างกับดูเลขเด็ด พื้นฐานธุรกิจไม่ศึกษา บัญชีอ่านไม่ออกผมไม่เห็นมีใครรอดได้นานสักคนนอกจากเจ้ามือน่ะ...

อย่าไปเรียนเสียเงิน2-3หมื่นพวกหลักสูตรเล่นหุ้นละ เสียเงินฟรีนะ

เบื้องหลังหนังสือหุ้น เบส เซลเลอ ในร้านหนังสือต่างๆ ก็พวกเจ้าใหญ่นี่ละครับ เป็นยุทธวิธีดึงเงินรายย่อยเข้าตลาด ลากมาทุบชัดๆ

Two Days , One Night ทุนนิยมไม่ได้สามานย์

ภาพยนตร์ Two Days , One Night กำกับโดยพี่น้องดาแดง Jean-Pierre & Luc Dardenne

เนื้อเรื่องเล่าเหตุการณ์สุดสัปดาห์ สองวัน หนึ่งคืน ของ ซองธา (Sandra) คุณแม่ลูกสองที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องลางานยาว และเนื่องด้วยเศรษฐกิจอียูไม่ดี บริษัทโซล่าร์เซลล์ที่เธอทำอยู่ก็ต้องการปรับลดพนักงานด้วย ทำให้เธอโดนแจ็กพ็อตให้โดนเลย์ออฟ แต่บริษัทมีเงื่อนไขหนึ่งคือ พนักงานที่เหลือสามารถเลือกจะเก็บเธอไว้ด้วยการงดโบนัสประจำปี

หนังเล่าเรื่องเริ่มจาก เธอนอนเศร้าอยู่เพราะพลาดจากการไปฟังผลโหวตนี้ ซึ่งก็ชัดเจนว่าเธอต้องออก แต่เพื่อนรักของเธอจูเลียต ได้คุยกับหัวหน้าเพื่อให้มีการโหวตใหม่ เพราะว่า มีคนไปกดดันคนโหวตให้โหวตเธอออก จูเลียตและสามีของเธอ ได้ช่วยกันให้กำลังใจจนเธอกล้าไปพบหัวหน้าเพื่อให้โหวตใหม่ หัวหน้าก็ยอมรับ โดยเธอมีเวลาเพียงแค่สุดสัปดาห์ที่จะไปคุยกับเพื่อนร่วมงานทุกคนให้เปลี่ยนมาโหวตให้เธอ

ระหว่างทาง ในหนังเราจะเห็นเธอสับสน ซึมเศร้าตลอดเวลาแต่ที่ต้องทำเหมือนกับว่าเพราะ โดนสามีหรือ เพื่อนบังคับ ทั้งๆที่ตัวเองอยากจะจมจ่มกับความเศร้า ความพ่ายแพ้ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เธอยอมแพ้ จะมีอะไรดีๆมาช่วยตลอดเวลาในเรื่อง ซึ่งก็ออกมาอย่างแนบเนียน ไม่ดูโอเว่อร์ เช่น จูเลียต จะโทรไปหา จะคอยช่วยติดต่อเพื่อนคนอื่นให้เปลี่ยนโหวตให้ตลอด หรือ อยู่ดีๆเพื่อนอีกคนก็มาหาเธอว่าจะเปลี่ยนโหวตให้ จนเธอเริ่มมีกำลังใจ เดินไปเคาะประตูเพื่อนร่วมงานทีละบ้านต่อไป ซึ่งก็ดูเหมือนกับการ
เดินทางแสวงบุญ?  หนังก็จะพาเราไปเรียนรู้ชีวิตคนธรรมดา แรงงานทั่วไป ผ่านการให้เหตุผลของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน

-----สปอยล์------
ส่วนตัวผมชอบสไตล์ของหนังเป็น มินิม้ลลิสต์ ดี ไม่ฟูมฟาย ไม่มีสตอรี่ไลน์เรื่องอื่นที่นอกเหนือมา ดูราบเรียบหนักแน่นดี กล้าเล่าเรื่อง ต่อเนื่อง ใช้เพลงน้อย แต่งฉากที่เพลงออกมา โดนเต็มๆ

แต่ที่ออกจะรำคาญคือ มีหลายฉากที่โอเวอร์แอ็คติ้ง ทั้งจากนางเอก และเพื่อนร่วมงาน เช่น ฉากฟูมฟายการเป็นผู้แพ้ของเธอ ฉากที่เธอเดินมาหาเพื่อนร่วมงานที่สนามฟุตบอล เพื่อนร่วมงานก็ช็อกและน้ำตาไหลทันทีที่เห็นเธอ เหมือนซาบซึ้งว่าได้ทำผิดไป

หรือ อีกฉากที่เพื่อนร่วมงานสองคนทะเลาะกันเพื่อเธอ มันดูเฟค และ ตั้งใจจัดฉากให้มันมีเรื่องมากไปหน่อย สิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่องของผมคือ สามี ที่ใจดี และพยายามช่วยเธอมากๆ อย่างไม่ดูเว่อร์ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูน่ารำคาญก็ตามที อีกอย่างที่สำคัญคือ นางเอกดูสวยและสดใสเกินกว่าคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่า ต้องหน้าดำคร่ำเครียด แต่ดูแล้วเธอไม่มีรัศมีความหดหู่สะท้อนออกมาเหมือนคนเป็นโรคนี้เลย ดูเล่นอารมณ์ไปตามธรรมดาเท่านั้น เลยรู้สึกว่าไม่ลึกพอที่จะสื่อถึงความเศร้าของตัวละครนี้ ถ้าบทบอกว่า ป่วยเป็นโรคทางกายสักโรค อาจจะน่าเชื่อกว่านี้ แต่อย่างน้อย เพราะนางเอกดูสวยอยู่ ดังนั้นถ้าใครชอบก็ดู นางเอก มาริยงไปเพลินๆก็ได้

อีกส่วนที่ไม่ชอบ คือ บท ซึ่งดูไม่เมกเซนส์ ผมไม่แน่ใจว่า กฏหมายแรงงานของเบลเยี่ยมเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ก็น่าจะต้องได้เงินชดเชยอะไรด้วย แต่หนังกลับไม่พูดเลย ถ้าได้เงินชดเชยมันอาจจะทำให้เรื่องไม่ดราม่าแบบนี้ก็ได้ เพราะยังมีทางเลือกอยู่ไม่ต้องมาเดินดราม่าแบบนี้ การเดินนี้ เหมือนเดินเพื่อแสดงความเห็นแก่ตัว แต่ก็ได้เห็นน้ำใจ และ ทุนนิยมไม่ได้สามานย์อย่างที่คิด เพราะมีทางเลือก และเดินต่อไป ก็ให้พลังให้คำตอบในชีวิตในตอนจบ ของคนใกล้ตาย

ในเรื่องให้เราได้เห็นว่า ทุนนิยมไม่ได้สามานย์ แต่เป็นคนไม่กี่คนนั่นแหละที่สามานย์ (ชองมาร์ก กับ เจ้าของ)

ก็ไม่แปลกใจ ที่ไม่ได้รางวัลอะไรที่คานส์

ให้ 6/10 พอๆกับที่คานส์ให้ 3/5