Monday, April 20, 2015

อีกมุมมองต่อคำทำนายสิบยุค

หลายท่านคงเคยได้ยินคำทำนายสิบรัชกาล
ที่มา http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=68 หรือ http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=32231

มหากาฬ พาลยักษ์  รู้จักธรรม จำแขนขาด สนิทธรรม ราชโจร ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล




แต่ตอนนี้มีคนบอกว่า ที่จำๆกันมา เป็นการเพี้ยนของคำทำนาย ที่ถูกต้อง ตามคัมภีร์อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร

ที่มา https://www.facebook.com/lannanian/posts/1623479367886827

"เพิ่ง ดูข่าว เห็นว่าพรุ่งนี้จะมีการฉลองครบรอบ 233 ปี กรุงเทพฯ อ้าว ปกติเขาไม่ฉลองไม่ใช่เหรอ ไหนๆก่ไหนๆละ ผมจะมาเล่าเรื่องการสร้างกรุงเทพฯ อวนิมิตมงคลงู 4 ตัว และคำทำนาย 10 ยุคให้ฟัง
เกือบจะเจ็ดโมงเช้าในวันที่ 21 เมษายน 2325 ในพิธีลงเสาหลักเมือง อยู่ดีๆก่มีงูเล็ก 4 ตัวโผล่มาตอนกำลังจะเอาเสาลงหลุมนะ จะหยุดก็ไม่ได้จะเสียฤกษ์ จึงต้องปล่อยเสาลงหลุมทับงูเล็ก 4 ตัวตาย
รัชกาลที่ 1 จึงเรียกประชุมทั้งราชครู โหร พระ บัณฑิตทั้งหลายมาหมดเมือง จึงสรุปได้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอวนิมิตมงคล ดวงชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน ถ้าอยู่กรุงเทพฯอยู่รอดได้ในเกณฑ์นี้จะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี รัชกาลที่ 1 ก่ทรงวิตก เพราะตอนนั้นเมืองก่เพิ่งสร้าง
จนกระทั่งผ่านไปเกือบ 1 เดือนก่เกิดเหตุฟ้าผ่าที่หน้าบันพระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาทเกิดไฟไหม้ รัชกาลที่ 1 เลยโล่งใจว่าโอ้ นี่มันเป็นการที่เทวดาสะเดาะเคราะห์ให้เมืองไปแล้ว
"เราได้ยกพระไตรปิฏก เทวาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงเสียปราสาท ด้วยชาตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี"
เพราะว่าโดยปกติ จะต้องมีการเสียเมืองก่อนแล้วถึงจะเสียปราสาท แต่การที่ฟ้าผ่าปราสาทจนไฟไหม้นี่เหมือนเสียปราสาทเท่ากับได้เสียเมืองไป แล้ว
ซึ่งปีที่ 150 นั้นจะตรงกับปี 2475 พอดี
ในสมัย ร.4 ก่ได้มีการพยายามแก้เคล็ดด้วยการสร้างเสาหลักเมืองขึ้นอีกมาต้น และทรงสั่งให้แก้เคล็ดด้วยการให้สร้างสะพานเชื่อม 2 ฝั่งเจ้าพระยา แต่ไม่ทันสร้างในยุคนั้น แต่ ร.7 มาสร้างและเปิดใช้ทันในวันจักรี ปี 2475 พอดีซึ่งก่คือ สะพานพุทธยอดฟ้า
ยิ่งในช่วงใกล้ปี 2475 มีการเชื่อกันว่างูทั้งสี่ตัวมาปรากฏแล้ว ซึ่งก่คืออีกครั้งคือ ร.7 ,กรมพระนครสวรรค์ฯ ,กรมพระกำแพงเพ็ชรฯ, กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เพราะทั้ง 4 พระองค์ประสูติในปีมะเส็ง(งูเล็ก-ตรงนี้ตรวจสอบแล้ว กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรไม่ได้เกิดปีงูเล็ก นอกจากนั้นใช่หมด) เลยแก้เคล็ดด้วยการสร้างตึก 4 มะเส็งที่สภากาชาด การแต่งเพลง ตับแม่งู แล้วการละเล่นแม่งู
จึงมีการเชื่อว่าการแก้เคล็ดเหล่านี้ทำให้ราชวงศ์ไม่จบสิ้นไปในปี 2475 ซึ่งเกิดแค่เปลี่ยนระบอบการปกครองเฉยๆ
นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมโหราจารย์ในเหตุอวนิมิตรมงคล งู 4 ตัวอีกอย่างที่เรารู้จักกันดีคือ คำทำนาย 10 ยุค
ยุคที่ 1 มหากาฬ
ยุคที่ 2 พันธุ์ยักษ์
ยุคที่ 3 รักบัณฑิต
ยุคที่ 4 สนิทธรรม
ยุคที่ 5 จำแขนขาด
ยุคที่ 6 ราชโจร
ยุคที่ 7 ชนร้องทุกข์
ยุคที่ 8 ยุคทมิฬ
ยุคที่ 9 ถิ่นตาขาว
ยุคที่ 10 ราชวิไล
หลายคนอาจเข้าใจว่าแต่ละยุคนั้นแบ่งตามรัชกาล แต่จริงๆแล้วคำทำนายนี้มาจากหลังเกิดนิมิตงู 4 ตัวปรากฎขึ้นในพิธียกเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ 1
โดยแต่ละยุคไม่ได้แบ่งตามแต่ละรัชกาล เหล่าโหราจารย์ได้วิเคราะห์แล้วว่ามันแบ่งตามวงรอบของการโคจรร่วมราศีของดาว พฤหัสและเสาร์ โดยตั้งแต่วันที่สร้างเมือง มีการร่วมราศีของดาวพฤหัสและเสาร์ทั้งหมด 10 ครั้ง และได้วิเคราะห์ชื่อทั้ง 10 ยุคตามเหตุการณ์ต่างๆดังนี้
ครั้งที่ 1 ในราศีธนู พ.ศ. 2325 ยุคที่ 1 มหากาฬ
- ที่เรียกมหากาฬเพราะมีการชิงราชบัลลังก์พระเจ้าตาก ฆ่าฝ่ายตรงข้าม ให้ตกตามกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ครั้งที่ 2 ในราศีสิงห์ พ.ศ. 2345 ยุคที่ 2 พันธุ์ยักษ์
- ได้มีการประหารลูกหลานพระเจ้าตากสิน ซึ่งรัชกาลที่สองเป็นคนสั่ง ซึ่งโหราจารย์ถือว่าเป็นทายาทสืบทอดความโหดเหี้ยมจากยุคที่ 1 เลยเรียกว่า พันธุ์ยักษ์
ครั้งที่ 3 ในราศีเมษ พ.ศ. 2364 ยุคที่ 3 รักบัณฑิต
- ยุคทองของกวี ปราชญ์ สุนทรภู่และผองพวก
ครั้งที่ 4 ในราศีธนู พ.ศ. 2384 ยุคที่ 4 สนิทธรรม
- รัชกาลที่ 3 สร้างวัดและบำรุงวัด ส่วนรัชกาลที่ 4 สร้างธรรมยุตนิกาย
ครั้งที่ 5 ในราศีสิงห์ พ.ศ. 2404 ยุคที่ 5 จำแขนขาด
- การเสียดินแดนใน รัชกาลที่ 5
ครั้งที่ 6 ในราศีเมษ พ.ศ. 2424 ยุคที่ 6 ราชโจร
- การถูกเอาเปรียบจากจักวรรดิต่างชาติต่างๆ
ครั้งที่ 7 ในราศีธนู พ.ศ. 2444 ยุคที่ 7 ชนร้องทุกข์
- ในรัชกาลที่ 6 ราชสำนักใช้เงินฟุมเฟือย ประเทศไม่มีตังค์ ชาวบ้านยากแค้น
ครั้งที่ 8 ในราศีกันย์ พ.ศ. 2464 ยุคที่ 8 ยุคทมิฬ
- การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กบฎบวรเดช
ครั้งที่ 9 ในราศีเมษ พ.ศ. 2483 ยุคที่ 9 ถิ่นตาขาว
- สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยยอมให้ญี่ปุ่นเข้ามา
ครั้งที่ 10 ในราศรีธนู พ.ศ. 2503 ยุคที่ 10 ราชวิไล
- สฤษดิ์เป็นนายกฯ ฟื้นโบราณราชประเพณีต่างๆทั้งหลายกลับมา
ไงละมึง แม่งเพี้ยน ยุคที่ 10 เป็นชาววิไล ฝันหวานกันละสิ คิดว่า พ้น 9 แล้วจะ วิไลกัน แต่ต้นฉบับเป็น ราชวิไล 5555

โหราจารย์เชื่อว่า การโคจรร่วมราศีของดาวพฤหัสกับเสาร์จะเกิดเหตุสำคัญกับบ้านเมือง กูจะนับให้ต่อแล้วเดาว่า ปีนั้นเกิดไรขึ้นกันเอง

ยุคที่ 11 ปี 2523

ยุคที่ 12 ปี 2542
ยุคที่ 13 ปี 2563 - XXX XXX ???"

แต่มีผู้แย้งว่า นับอีกแบบ
Wasu Khamhom ถ้าเป็นสูตรนี้นับดาวพฤหัสอย่างเดียว มันไม่ตรงหรอกต้องดูดาวเสาร์ด้วย ต้องมีองศาสัมพันธ์กันทั้ง 2 ดาว

ยุค 11 ปี 2536

ยุค 12 ปี 2548
ยุค 13 ปี 2560

รอบ 12 ปี +-7ปี ในช่วงนั้นจะมีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง

Thursday, April 16, 2015

มองความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา ผ่านการแต่งตั้งฑูตค คนใหม่ กลิน เดวีส์

ที่มา https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/953047504746009?fref=nf

โดย อ.Puangthong R. Pawakapan

กรณี สหรัฐอเมริกาส่งนายกลิน เดวีส์ (Glyn Davies) นักการทูตที่มีประสบการณ์รับมือกับปัญหายากๆ แบบเกาหลีเหนือ มาประจำประเทศไทย ชี้ว่าสหรัฐฯให้ความสำคัญกับไทยอย่างแน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังจะหันมาเอาใจรัฐบาลทหารของไทยสักนิด
*****************************************
นายเดวี่ส์ เป็นนักการทูตที่มีประสบการณ์การทำงานในปัญหาด้านความมั่นคงที่สหรัฐฯให้ ความสำคัญสูง เช่น ปัญหาการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ โดยเขาเคยเป็นผู้แทนพิเศษ (ฐานะเท่าเอกอัคราชทูต) ประจำสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ International Atomic Energy Agency (IAEA) จึงทำให้เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน และต่อมาได้เป็น “ผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีต่างประเทศว่าด้วยนโยบายเกาหลีเหนือ” ซึ่งพยายามคิดค้นอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน
(หมายเหตุ: เขาไม่ได้มีตำแหน่งทูตประจำเกาหลีเหนือ เพราะสหรัฐฯไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับเกาหลีเหนือ จึงไม่มีทูตประจำ)
เป็นที่รู้กันว่าทั้งอิหร่านและเกาหลีเหนือเป็นเสมือนกระดูกชิ้นใหญ่ที่ เคี้ยวยากสำหรับสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามต่อนโยบายความมั่นคงของสหรัฐเสมอมา และมีปัญหาประชาธิปไตย ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่านายเดวีส์ เป็นนักการทูตที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานเรื่องสำคัญสำหรับสหรัฐฯ มีประสบการณ์ทำงานกับประเทศยากๆ มาแล้ว การที่สหรัฐฯส่งนายเดวีส์มาไทยจึงชี้ว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับไทยไม่น้อย แต่ก็ต้องไม่หลงละเมอเพ้อพกไปว่า ไทยสำคัญอยู่ประเทศเดียว หรือสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทำให้สหรัฐฯกำลังจะโอนอ่อนผ่อนตามรัฐบาลทหารไทย เพราะกลัวอิทธิพลจีน
แน่นอนว่าสหรัฐฯ ย่อมไม่สบายใจที่เห็นรัฐบาล คสช. พยายามเล่นไพ่จีน (และรัสเซีย ซึ่งกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก) เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯ กดดันเรียกร้องให้ไทยเคารพในหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ได้หมายความว่าความกังวลนี้จะทำให้สหรัฐฯละทิ้งแนวนโยบายของตนจากหน้า มือเป็นหลังมืออย่างทันทีทันใด เพราะอะไร
หนึ่ง ในแง่เศรษฐกิจ นับแต่สงครามเย็นยุติลง ใครๆ ก็มองว่าประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งอาเซียนมีศักยภาพในการเติบโตสูงมากจนกลายเป็นสาวเนื้อหอมสำหรับนักลงทุน จากทั่วทุกภูมิภาค ความมั่นคงทางการเมืองของไทยจึงสำคัญต่อกระเป๋าเงินของทั้งภูมิภาคและนักลง ทุนทั่วโลก
แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาจนเกือบจะครบทศวรรษ และยังไม่มีท่าทีจะยุติลงในระยะเวลาอันใกล้ แถมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนกลับถดถอยลงนับแต่การรัฐประหารโดย คสช. ทำให้นักลงทุนทั้งหลายเริ่มเห็นว่าการฝากความหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลาง เศรษฐกิจของภูมิภาค โดยไม่มองหาช่องทางอื่นบ้าง คงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแน่ ฉะนั้น นับแต่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นบรรรษัทใหญ่ๆ เริ่มย้ายฐานการลงทุนอุตสาหกรรมไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นๆ
สอง ในแง่เศรษฐกิจ สหรัฐฯสำคัญกับไทยมากกว่าที่ไทยสำคัญต่อสหรัฐฯ สหรัฐฯเป็นหนึ่งในสามตลาดที่ใหญ่ที่สุดของสินค้าไทย แค่สหรัฐฯและอียูประกาศลดระดับสถานะประเทศที่ป้องกันการค้ามนุษย์ของไทย จากระดับ 2 ไปเป็นระดับ 3 ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยเต้นเป็นจ้าวเข้าได้
ไม่มีใครรับประกันได้ว่าหากปีหน้า ประเทศไทยยังไม่มีเลือกตั้งเสียที เราจะเจอกับมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯด้วยหรือไม่ เพราะขณะนี้ทั่วโลกรู้ดีว่าเศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤติ และเชื่อว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทหาร ซึ่งที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญอเมริกัน เช่น Joshua Kurlantzick ก็ได้เสนอให้สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลทหารไทย เพราะเชื่อว่าจะทำให้แรงกดดันในประเทศเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน
สาม ในแง่การทหาร ไทยกับสหรัฐฯมีความสัมพันธ์แนบแน่นมาตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ในปัจจุบันก็ยังมีข้อตกลงความร่วมมือด้านการทหารหลายฉบับ หนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญคือ คอบร้าโกลด์ อันเป็นการฝึกร่วมทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิค โดยไทยเป็นฐานสำหรับการฝึกซ้อมร่วม แต่พอรัฐประหารปุ๊บ สหรัฐฯก็ประกาศ “ลดระดับ” การฝึกซ้อมกับไทย ให้เหลือแค่การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและภัยธรรมชาติ และยังส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาย้ายที่ฝึกซ้อมร่วมไปออสเตรเลียแทน
นอกจากนี้ สหรัฐมองว่าการแอบอิงจีนไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านอาวุธของกองทัพไทย ได้อย่างน่าพึงพอใจ เพราะเทคโนโลยี่ด้านอาวุธของสหรัฐฯนั้นมีเหนือกว่าจีนมา แง่นี้แปลว่า เราต้องการสหรัฐฯ มากกว่าที่สหรัฐฯต้องการเรา
อันที่จริงในแง่การทหาร นับแต่สงครามเย็นยุติลง บทบาทของสิงคโปร์ด้านความร่วมมือด้านการทหาร ได้โดดเด่นขึ้นมาแทนที่ฟิลิปปินส์ นับแต่ปี 1992 สิงคโปร์เปิดและพัฒนาฐานทัพของตน เป็นฐานโลจิสติคส์ให้กับกองเรือรบที่ 7 (หน่วยรบนอกประเทศที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทำงานประสานกับฐานทัพทหารสหรัฐฯในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) และกองทัพอากาศของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าฟิลิปปินส์อาจเปิดฐานทัพของสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อคานอำนาจทางทหารกับจีน อันเนื่องมาจากข้อพิพาทเขตแดนในทะเลจีนใต้

สี่ นับแต่สงครามเย็นยุติลง ภัยคอมมิวนิสต์ยุติลง สหรัฐฯและยุโรปเริ่มใช้มาตรการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย มาดำเนินความสัมพันธ์กับพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ของตนมากขึ้น เพื่อสถาปนาภาพลักษณ์ของผู้นำเสรีนิยม แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะต้องใช้หลักการนี้อย่างเท่าเทียมกับทุกประเทศ มันขึ้นกับการประเมินว่าแนวทางไหนกับประเทศใดที่จะทำให้เขาได้ประโยชน์สูง สุด ในกรณีของไทย ปัจจุบันยังไม่มีภัยคุกคามที่น่ากลัวจนทำให้สหรัฐฯต้องละทิ้งหลักการ ปชต.แล้วหันมาจูบปากกับรัฐบาลทหาร แบบที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมมิวนิสต์มาแล้ว
ห้า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อนับแต่รัฐประหารปี 2549 ดูเหมือนจะทำให้ผู้นำสหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่เคยมีต่อชนชั้นนำ-กลุ่มอำนาจเก่าของไทยอย่างมีนัย สำคัญ
ในอดีต ความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ กระทำผ่านกลุ่มชนชั้นอนุรักษ์นิยมเป็นหลัก เพราะมีจุดยืนต่อต้านคอมมิวนิสต์ร่วมกัน และสหรัฐฯมองว่ากลุ่มนี้คือ ผู้กุมอำนาจและกำหนดทิศทางการเมืองไทยเป็นหลัก ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพได้อย่างน่าพอใจ แม้จะมีรัฐประหารบ่อย แต่เสถียรภาพทางการเมืองก็ไม่ได้ถูกสั่นคลอนจริงๆ การร่วมมือกับคนชนช้ำนำอนุรักษ์นิยม ไม่เพียงตอบสนองผลประโยชน์ของสหรัฐฯอย่างราบรื่น แต่ยังรับได้ในเชิงหลักการด้วย (หลักการต่อต้านคอมฯ)
แต่ปัจจุบัน สหรัฐฯ เริ่มตระหนักว่ากลุ่มอำนาจเก่าของไทยคือ หนึ่งในสาเหตุของปัญหาที่ยืดเยื้อ นั่นคือ การปฏิเสธไม่ยอมรับกติกาการเมืองประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ เหยียบย่ำหลักการหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชน เอาชนะฝ่ายทักษิณไม่ได้ ก็หันใช้ตุลาการภิวัตน์ ก่อม๊อบปิดหน่วยราชการเพื่อสร้างภาวะ failed state ไปจนถึงทำรัฐประหาร แม้จนกำลังจะกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย ก็ยังไม่มีท่าทีว่ากลุ่มอำนาจเก่าจะยอมปรับเปลี่ยนหรือเรียนรู้ข้อผิดพลาด ของตนแต่ประการใด ยังคงเดินหน้าใช้อำนาจกดปราบประชาชน ช่วยกัน เขียนรธน. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกดเสียงส่วนใหญ่ของประเทศต่อไป โดยไม่ไยดีต่อความคับแค้นของประชาชนเสียงข้างมากของประเทศที่รอวันเอาคืนแต่ ประการใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากที่ได้เคยพูดคุยกับนักการทูตจากตะวันตกหลายประเทศ ดิฉันพบว่านี่คือมุมมองหลักที่พวกเขามีในปัจจุบัน
นอกจากนี้ สื่อมวลชนใหญ่ๆของโลกยังมีผลต่อมุมมองของรัฐบาลในประเด็นปัญหาสำคัญๆด้วย หากเรากลับไปอ่านสื่อใหญ่ๆ เช่น New York Times, BBC, the Economist, Wall Street Journal, CNN ฯลฯ เราจะพบข้อเขียนที่วิพากษ์กลุ่มอำนาจเก่าของไทยอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมักปลอบใจตัวเองว่าสื่อพวกนี้ถูกทักษิณซื้อไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงคือ สื่อเหล่านี้รังเกียจทักษิณอย่างยิ่งเช่นกัน เขาอาจพูดถึงข้อดีของนโยบายต่างๆ ของทักษิณต่อคนจนและคนชนบท แต่เขามักบรรยายคุณสมบัติของทักษิณว่าเป็นพวกอำนาจนิยม คอรัปชั่นเชิงนโยบาย สงครามต่อต้านยาเสพติดทำให้คนบริสุทธิ์ตายจำนวนมาก ฯลฯ
หก เวลาสหรัฐฯต้องดีลกับประเทศยากๆ สหรัฐฯไม่ใช้วิธีโอ๋เอาใจ แต่จะใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็ง โดยอีกฝ่ายมักต้องแสดงท่าทียอมอ่อนให้ก่อน สหรัฐฯจึงจะใช้ไม้นวมตาม เช่น กรณีเกาหลีเหนือ ยื่นเงื่อนไขการเจรจาว่าเกาหลีเหนือจะยกเลิกการวิจัยนิวเคลียร์เพื่อแลกกับ การที่สหรัฐฯและโลกตะวันตกยกเลิกการคว่ำบาตรทางการทูตและเศรษฐกิจ และให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่เกาหลีเหนือ แต่เมื่อเกาหลีเหนือปฏิเสธไม่ให้ผู้แทนภายนอกเข้าไปตรวจสอบการดำเนินการของ ตนตามการเงื่อนไขของสหรัฐฯ สหรัฐฯ ก็พร้อมจะยุติการเจรจาเช่นกัน
นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว เกาหลีเหนือยังเจรจาทำนองขู่ว่าตนจะยินดียกเลิกการทดลองนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ยกเลิกการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกัน สหรัฐฯ บอกไม่สน เดินหน้าซ้อมรบกับเกาหลีใต้ต่อไป
สุดท้าย สิ่งที่สหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับไทยก็คือ คนป่วยคนนี้ยังมองหาสาเหตุความเจ็บป่วยของตนเองไม่เจอ แถมยังงมงายอยู่กับแนวทางเผด็จการปนไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี หากเป็นที่แน่ชัดว่า ไทยจะไม่มีการเลือกตั้งภายในต้นปีหน้า มีการละเมิดสิทธิของประชาชนด้วยมาตรา 44 อย่างกว้างขวางมากขึ้น ก็อย่าหวังเลยว่าสหรัฐฯ ภายใต้นายเดวีส์ จะหันมาฮันนีมูนกับไทย การกดดันเป็นเครื่องมือเพื่อเข้าถึงจุดหมายที่สหรัฐฯใช้มากกว่าการโอ้โลม ปฏิโลม
คนจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้ยังหวังลมๆ แล้ง ๆ ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเจอปัญหามามากมาย ก็เอาตัวรอดมาได้ด้วยดี พระสยามเทวาธิราชจะยังช่วยเราต่อไปแน่ๆ ยังไงเราก็เอาตัวรอด ทะยานกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกเหมือนเดิม แต่คนที่เขามองมาจากข้างนอก เขาเชื่อว่า “โชค” ที่ว่านั้น หมดไปนานแล้วค่ะ

เพิ่มเติม
ความเห็นของ อ.พอล แชมเบอร์
ท่านบอกว่า การเสนอให้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครมาดำรงตำแหน่งก็ตาม เป็นการแสดงการยอมรับความชอบธรรมของคณะรัฐประหารในไทย ไม่ใช่ข่าวดีอะไร อาจารย์หวังว่าทาง Senate ที่มีรีพับลิกันเป็นเสียงส่วนใหญ่ จะไม่รับรองชื่อของเขา

ที่มา https://www.facebook.com/paul.chambers.319/posts/10205245344385943?fref=nf&pnref=story

Sunday, April 05, 2015

ข้อดีข้อเสียของรางรถไฟแบบ Dual track

กรณีการก่อสร้างรถไฟ มีคนสงสัยว่า จะทำรางขนาดไหนดี จะทำรางขนาดเดิม 1.067 เมตร ที่ประเทศเราใช้อยู่หรือว่า 1.435 เมตร เพื่อทำเป็นรถไฟความเร็วสูง มันเหมือนจะมีคำตอบที่เราไม่ต้องเลือกว่า จะทำแบบไหนคือ รางแบบ Dual track ที่เป็นทางรถไฟที่วิ่งได้สองขนาดพร้อมกัน ทั้ง 1.067 และ 1.435 เมตร มีตัวอย่างที่ ชายแดน จีน เวียตนาม ฟังเหมือนดูดี แต่มีผู้รู้แย้งมาดังด้านล่างนี้


Lunlaius Chobphol ให้ความเห็นว่า
"แบบ นี้ไม่ดีครับ วิ่งจริงวิ่งได้ไม่เร็วมากแค่120ก็สุดแล้วมั้ง เวลาวิ่งผ่านประแจทางแยกวิ่งเร็วๆรถเสี่ยงที่จะตกราง ทางแบบนี้ที่จีน-เวียดนาม มีแค่จากเมืองชายแดนจีน-ฮานอยครับ เพราะเวียดนามใช้ราง1เมตร จีนใช้ราง1.435

ถ้าดีจริงประเทศในยุโรปเค้าใช้กันแล้ว อย่า
งสเปน และโปรตุเกสใช้รางขนาดกว้างกว่ารางที่ประเทศยุโรปตะวันตกใช้ หลังๆสเปนก็ต้องมาสร้างราง1.435 เพื่อเชื่อมกับฝรั่งเศส หรือรัสเซียใช้รางกว้างกว่ายุโรป เวลานั่งรถไฟจากยุโรปเข้ารัสเซีย ขบวนรถก็ต้องเปลี่ยนแคร่ล้อเสียก่อน จำไม่ได้ว่าเปลี่ยนที่เขตรัสเซียหรือโปแลนด์


ในญี่ปุ่นที่รถไฟระบบเดิมใช้ราง1.067เมตร พอสร้างรถไฟความเร็วสูงใช้ราง1.435 ก็ไม่มีโครงการไหนใช้dual track แบบนี้ครับ

อีก ตัวอย่างคืออินเดียใช้ราง2ขนาด แตกต่างกันตามแคว้นต่างๆ เป็นผลจากนโยบายแบ่งแยกกันปกครองสมัยอาณานิคม ปัจจุบันอินเดียก็ต้องมาทุ่มงบประมาณเปลี่ยนขนาดรางให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั่วประเทศตามโครงการunigauge ไม่ได้ใช้dual trackแบบนี้

ราง ที่รฟท.ใช้ปัจจุบัน(และที่กำลังทยอยเปลี่ยนรางเก่าทั่วประเทศอยู่) เอารถดีเซลรางมาวิ่ง วิ่งได้ถึง120ครับถ้าใช้หัวรถจักรไม่ได้พ่วงหนักมากก็วิ่งได้120 เช่นกัน

แต่ จะวิ่ง120 ต้องซื้อรถโดยสารใหม่ด้วย เพราะแคร่ล้อรถโดยสารจำนวนมากของรฟท.ในปัจจุบันยังวิ่งได้ไม่เกิน90อยู่เลย ครับ(ดูจากตัวเลขที่เขียนไว้ท้ายแต่ละตู้รถโดยสาร)
รฟท.-คมนาคม ไทยคิดช้ามากครับ มาเลเซียเค้าสร้างทางคู่(ราง1เมตร)ที เค้าลงทุนเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า-ระบบอาณัติสัญญาณใหม่ ตัดทางใหม่ให้ตรงขึ้นกันหลายช่วงเลย แก้ปัญหาเรื่องจุดตัดเสมอระดับ ทำอาคารสถานีใหม่ให้ทันสมัย ทำทีครบวงจรเลย แต่ก็เป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นพอสมควรเช่นกัน

โครงการ ทางคู่ราง1เมตรของไทยคล้ายๆกัน แต่ไม่มีระบบไฟฟ้า ส่วนระบบอาณัติสัญญาณไฟสีแยกโครงการกัน อย่างไรก็ตามงบประมาณที่จะใช้ของไทยต่ำกว่ามาเลเซียอย่างน้อยๆครึ่งนึงครับ
"

ที่มา จากความเห็นในเพจ https://www.facebook.com/terasphere?fref=nf