Sunday, July 26, 2015

รามายณะ วิจารณ์

สองบทความในมติชน วิจารณ์รามยณะ ได้อย่างน่าสนใจ ในแง่มุม ชนชั้น และ แง่มุมการกลืนศาสนาพุทธ

1 http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1431955667
รามายณะ มหากาพย์แห่งชนชั้น โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธรมติชนรายวัน 18 พฤษภาคม 2558


ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ในวัยเด็กเคยชื่นชมและชื่นชอบเรื่องรามายณะหรือรามเกียรติ์มาก เคยรวมเงินค่าขนมซึ่งได้วันละสองสลึงกับพี่ชาย ซื้อหนังสือรามเกียรติ์ซึ่งออกรายวันเล่มละหนึ่งบาท ระหว่างติดตามอ่านก็เอาใจช่วยพระราม พระลักษณ์ และเกลียดทศกัณฐ์อย่างยิ่ง รู้สึกสนุกและสะใจทุกครั้งกับความเก่งของหนุมานเมื่อรบชนะและฆ่าบรรดายักษ์ได้

เมื่อเติบใหญ่ขึ้น มีความรับรู้ด้านสังคมในเชิงลึกมากขึ้น ได้เห็นปัญหาสังคม เห็นความเหลื่อมล้ำจากการเอาเปรียบเชิงระบบ ความซับซ้อนของการเบียดเบียนและการเก็บเกี่ยวทรัพยากรโดยกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูงกว่า การใช้ความเชื่อสยบและสะกดคนผู้อ่อนด้อยกว่าทางการศึกษาและความคิด เพื่อคงความได้เปรียบในการบริโภคทรัพยากรของโลกและสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อหวนกลับไปอ่านรามายณะหรือรามเกียรติ์อีกครั้งก็มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางความรู้สึกและแนวทางวิเคราะห์โดยสิ้นเชิง

ทำไมสีดาต้องเป็นลูกสาวทศกัณฐ์

การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเอาลูกสาวตนเองเป็นเมียนั้น เป็นภาวะที่สุดอัปยศ เป็นความต่ำช้าในสายตาของสังคม จึงมีการผูกเรื่องให้ทศกัณฐ์พยายามเอาสีดาซึ่งเป็นลูกสาวมาเป็นเมีย แต่เพื่อให้แนบเนียน ไม่เจาะจงเกินไป จึงผูกเรื่องให้ทศกัณฐ์ไม่รู้ทั้งที่มีหลายช่องทางที่จะรู้ได้ เนื่องจากสีดาได้รับการดูแลจากเหล่านางฟ้าและเลี้ยงดูโดยฤๅษี อีกทั้งยังมีพิเภกซึ่งเพียงจับยามดูโดยไม่ต้องมีหน่วยลาดตระเวนหรือสายลับก็รู้ทุกอย่างของทุกฝ่ายได้อย่างละเอียด การผูกเรื่องจึงเป็นการจงใจให้ทศกัณฐ์พยายามเอาลูกสาวเป็นเมีย ให้เป็นภาพลักษณ์ที่ทุเรศแม้จะไม่รู้ก็ตาม

ทำไมทศกัณฐ์และพันธมิตรต้องเป็นยักษ์

ที่มาของทศกัณฐ์เป็นการกลับชาติมาเกิดของนนทกซึ่งเป็นยักษ์ที่ทำหน้าที่ต่ำต้อย คอยล้างเท้าเทวดาที่มาเฝ้าพระอิศวร ระหว่างนนทกกำลังล้างเท้า พวกเทวดาก็ลูบหัวเล่นจนนนทกหัวล้าน เหตุการณ์ในมหากาพย์รามายณะหรือรามเกียรติ์จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้านนทกผู้ต่ำต้อยยอมสยบ สงบเสงี่ยมเจียมตัวทำหน้าที่ต่อไปจนสิ้นอายุขัย แต่ไม่ใช่เช่นนั้น นนทกลุกขึ้นสู้ เมื่อได้อาวุธคือนิ้วเพชรจึงทำการตอบโต้เหล่าเทวดาล้มตาย ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างเป็นหญิงสาวมาปราบด้วยการหลอกให้ชี้นิ้วเข้าตัวเอง เมื่อนนทกต่อว่าว่าพระนารายณ์มีถึงสี่กรตัวเองจึงแพ้ พระนารายณ์จึงสาปให้นนทกไปเกิดใหม่ มีสิบหัวยี่สิบแขน พระนารายณ์จะตามไปเอาชนะอีก นนทกที่กลายมาเป็นทศกัณฐ์จึงมีสถานะของยักษ์ที่ไม่ยอมแพ้ สื่อถึงการเป็นตัวแทนของผู้ต่ำต้อย ผู้ถูกกดขี่รังแกและถูกเอาเปรียบที่ลุกขึ้นสู้ การดำเนินของเรื่องหลังจากนั้น เมื่อนนทกกลายมาเป็นทศกัณฐ์แล้วก็ถูกตามไปฆ่าเผ่าพงศ์วงศ์ยักษ์ที่ไม่ยอมสยบต่อเทวดาเกือบหมดสิ้น ที่เหลืออยู่คือผู้ที่สยบยอมต่อเหล่าเทวดา เป็นการสื่อว่าบรรดาผู้ต่ำต้อยจะต้องยอมสยบต่อบรรดาผู้อยู่ในชนชั้นที่เหนือกว่าคือบรรดาเทวดาและพรรคพวกเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะต้องถูกฆ่าล้างผลาญหมดโคตร 

เทียบเคียงกับการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียก็คือการสื่อถึงบรรดาผู้มีวรรณะต่ำที่ต้องยอมรับ ยอมสยบต่อผู้มีวรรณะสูงโดยไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นก็จะถูกประทับตราว่าเป็นยักษ์แข็งข้อ จะต้องถูกฆ่าถูกลงโทษข้ามชาติข้ามภพไม่รู้จบดังที่นนทกได้ประสบ

ทําไมทหารพระรามต้องเป็นลิง

ลิงซึ่งพูดได้ รับคำสั่งได้ มีพฤติกรรมเหมือนคนทุกประการนั้นสื่อถึงบรรดาคนผู้ต่ำต้อย บรรดาผู้คนซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของสังคมที่นอกจากต้องแบกภาระหนักในการครองชีพแล้ว ยังต้องมีหน้าที่รับใช้ชนชั้นสูงจนตัวตายโดยไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เป็นที่รับรู้ และไม่เป็นที่ยอมรับ แม้ว่าหน้าที่นั้นเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของชนชั้นสูงก็ตาม

ทำไมหนุมานซึ่งแสนจะเก่งกาจจึงครองเมืองไม่ได้

หลังชนะศึกทศกัณฐ์ พระรามให้หนุมานร่วมครองเมืองอโยธยากึ่งหนึ่ง หนุมานให้เกิดความรู้สึก "เร่าร้อนฤทัยดังไฟกัลป์" ทนอยู่บนบัลลังก์ไม่ได้ต้องคืนเมืองให้พระราม พระรามจึงแผลงศรนำทางให้ไปสร้างเมืองชื่อนพบุรีให้ใหม่ ปรากฏว่าหนุมานก็ยังออกท่าลิงเกาแกะร่างกาย ท่าทางไม่สง่า ไม่สมเป็นเจ้าเมือง เป็นที่ดูถูกของบริวารจนต้องคืนเมืองให้พระรามอีก สื่อถึงภาวะที่ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้าอยู่ในกลุ่มคนชั้นต่ำ เทียบได้กับลิง ถึงจะอยู่ในตำแหน่งของคนของชนชั้นสูง ลิงหรือคนชั้นต่ำก็ไม่มีทางจะเป็นใหญ่ ไม่มีทางปกครองคนได้ ไม่มีทางจะมีบุคลิกสง่างามเหมือนคนหรือเหมือนชนชั้นสูงได้ ต้องย้อนกลับไปเป็นลิง เป็นคนชั้นต่ำตลอดไป

ว่าด้วยท้าวมาลีวราช

โดยสถานะมีโอกาสที่จะรู้ภูมิหลังของสีดาว่าเป็นลูกสาวของทศกัณฐ์ ก็ไม่สนใจสืบสาว รู้ทั้งรู้ว่าพระรามเป็นนารายณ์อวตารซึ่งไม่มีทางแพ้ ก็ยังแช่งทศกัณฐ์ซ้ำ รู้ทั้งรู้ว่าทศกัณฐ์คือนนทกผู้ต่ำต้อย ผู้ถูกรังแก ผู้ถูกสาป ก็ยังเอาประเด็นความไม่รู้ว่าสีดาคือลูกสาวของตัวเองของทศกัณฐ์มาซ้ำเติม การลักพาเมียคนอื่นนั้นไม่ดีแน่นอน แต่มีคำถามว่า เป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปเองตามกิเลสตัณหาของทศกัณฐ์หรือเป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้วที่จะผลาญวงศ์ยักษ์ ฐานเป็นคนชั้นต่ำที่บังอาจแข็งข้อต่ออำนาจชนชั้นสูง หากทศกัณฐ์ไม่ขโมยเมียพระราม ไหนเลยจะได้ผลาญยักษ์ ท้าวมาลีวราชก็รู้ว่าพระรามเป็นนารายณ์อวตารมาเพื่อผลาญยักษ์ หากไม่ต้องการให้มีการตายกันมากมายก็เพียงเอาข้อเท็จจริงที่สีดาเป็นลูกทศกัณฐ์ ซึ่งเทวดาทั้งหลายก็รู้และก็ได้สมรู้ร่วมคิดเลี้ยงดูสีดามาตั้งแต่เล็ก มาบอกให้ทศกัณฐ์รู้เท่านั้น เรื่องก็จะจบด้วยดีแต่ไม่ทำ เป็นความหลายมาตรฐาน เป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นความลำเอียงอย่างยิ่งของกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามแผนที่จะผลาญยักษ์

ข้อสังเกต

พระรามแม้จะเก่งกาจมีฤทธิ์เดชมากมายก็จะไม่ชนะทศกัณฐ์ได้ถ้าไม่มีลิง ตลอดเรื่องรามายณะจึงสื่อถึงสองนัยยะคือ

นัยยะแรก ชนชั้นสูงตระหนักดีว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนชั้นต่ำคอยแวดล้อมรับใช้ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้คอยยกให้ชนชั้นสูงยังคงสูงอยู่ได้ จึงผูกเรื่องให้ลิงหรือคนชั้นต่ำอยู่ช่วยเหลือ อยู่รับใช้ตลอด ยอมเจ็บยอมตายแทนเพียงเพื่อให้ชนชั้นสูงได้สมประสงค์

อีกนัยยะหนึ่งคือ แม้คนชั้นต่ำจะยอมเจ็บยอมตายเพื่อชนชั้นสูงแล้วก็อย่าหมายว่าจะตีเสมอได้ อย่าหมายว่าจะได้ครองตำแหน่งเสมอได้ เพราะจะเกิดภาวะ "เร่าร้อนฤทัยดังไฟกัลป์" เป็นการแยกกันชัดเจนระหว่างเทวดากับคนออกจากลิง อำนาจการปกครองและการบริหารเป็นของคนหรือชนชั้นสูง ลิงนั้นอย่างดีก็สมควรเพียงได้รับรางวัลเป็นสิ่งของ หลังจากนั้นก็จงรับใช้ต่อไป จงต่ำต้อยต่อไป ต้องเป็นผู้อยู่ใต้ปกครองของชนชั้นสูงและบริวารซึ่งประกาศตัวเป็นคนดีในอาณัติชนชั้นสูงเท่านั้น ไม่ต้องมีสิทธิมีเสียง ไม่ต้องมีส่วนในการปกครองเพราะเป็นเพียงลิง หากไม่ยอมรับสถานะดังกล่าวก็จะถูกนับถูกประทับตราให้เป็นยักษ์ที่ไม่ยอมสยบซึ่งจะถูกตามไปทำลาย ไปบดขยี้จนไม่มีที่ยืนและที่อยู่ ต้องตระหนักว่าลิงนั้นก็คือลิง ให้มีจำนวนมากเพียงใดหรือเก่งเพียงใดก็คือลิง

เหตุการณ์อื่นๆ ตลอดเรื่องเป็นเพียงศิลปะการดำเนินเรื่องให้สนุกชวนติดตามเท่านั้น


2 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433349309


รามายณะ มหากาพย์กับพุทธศาสนา โดย กลิ่นบงกช
มติชนรายวัน 3 มิถุนายน 2558


ได้ อ่านบทความชื่อ รามายณะ มหากาพย์แห่งชนชั้น ของ นพ.สมเกียรติ ธาตรีธร ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 หน้า 21 แล้ว ถูกใจมากตามมุมมองของท่าน บทความนั้น พอสรุปใจความเชิงสงสัยได้ 5 ประเด็น คือ

1.ทำไมฤๅษีวาลมิกิ ผู้แต่งรามายณะหรือรามเกียรติ์ จึงแต่งให้นางสีดา เป็นลูกของทศกัณฐ์ แล้วต่อมาทศกัณฐ์ต้องใช้ชีวิตยักษ์เป็นจำนวนมาก เพื่อทำสงครามแย่งเอาลูกสาวของตนมาเป็นเมีย

2.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์จึงแต่งให้กำลังรบของทศกัณฐ์เป็นยักษ์และเป็นยักษ์ที่ ชั่วช้าเลวทราม ขนาดทำสงครามเพื่อแย่งลูกสาวของตนมาทำเมีย

3.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งให้ลิงเป็นทหารของพระราม โดยมีหนุมานเป็นหัวหน้าลิง แล้วแต่งให้ทหารลิงเก่งกว่ายักษ์สามารถปราบยักษ์ได้ราบคาบ พวกลิงแม้จะตาย แต่พอลมพัดมาอ่อนๆ พวกลิงก็ฟื้นมารบได้อีก แต่พวกยักษ์เมื่อตายแล้วก็ตายเลย

4.ทำไมผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งให้หนุมานผู้ซึ่งช่วยพระรามฆ่ายักษ์ แล้วนำนางสีดากลับมาได้ แต่ไม่มีวาสนาจะครองเมืองได้

5.ทำไม ผู้แต่งรามเกียรติ์ จึงแต่งเรื่องท้าวมาลีวราช ผู้เป็นพรหมผู้ทรงธรรม แต่แต่งให้ไม่ทรงธรรมคือหมายความว่า เมื่อให้พระพรหมมาลีวราชผู้ทรงธรรมมาตัดสินคดีทศกัณฐ์ทำสงครามแย่งเมียพระ รามแล้วทำไมไม่แต่งให้ท้าวมาลีวราชวินิจฉัยว่า นางสีดานั้นเป็นลูกทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์จะเอามาเป็นเมียไม่ได้ เมื่อวินิจฉัยอย่างนี้แล้ว เรื่องก็จะจบ แต่ท้าวมาลีวราชไม่พูดความจริง กลับพูดเข้าข้างทศกัณฐ์ทำนองเห็นใจทศกัณฐ์ โดยใช้คำพูดพอสรุปได้ว่า อันนางสีดานี้เป็นหญิงงามหาหญิงในสามโลกเทียบไม่ได้ แม้แต่ตัวกูผู้ทรงธรรมก็ยังหวั่นไหวเพราะความสวยงามของนาง หากแต่กูอาศัยอุเบกขาญาณจึงกลับใจได้

ใน บทความดังกล่าวคุณหมอได้อธิบายอย่างน่าอ่าน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้สนใจโปรดอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวเองก็แล้วกัน สำหรับบทความต่อไปนี้จะกล่าวมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น



ผู้เขียนบทความนี้มีความเห็นเหมือนกันกับคุณหมอที่ว่าฤๅษีวาลมิกิมีนัยยะทางการเมืองในการแต่งเรื่องรามเกียรติ์ แต่นัยยะในมุมมองของผู้เขียน มองว่า ฤๅษีวาลมิกิมุ่งกดพระพรหมให้ตกต่ำ และมุ่งสร้างศรัทธาในพระเจ้าองค์ใหม่ที่ตัวสร้างขึ้นแทนพระพรหมซึ่งผู้เขียน จะขยายความต่อไป

หากเรา ศึกษาเรื่องภารตวิทยา คือความรู้เรื่องดินแดนอินเดีย เราจะพบว่า ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะอุบัติขึ้น ประชาชนอินเดียนับถือศาสนาพราหมณ์ ซึ่งศาสนานี้สอนว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก มนุษย์พระพรหมเป็นผู้สร้าง แม้แต่โลกพระพรหมก็เป็นผู้สร้าง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์กลับสอนตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือเมื่อพูดถึงกำเนิดโลก พระองค์ก็ตรัสไว้ในอัคคัญญสูตรว่าโลกเกิดโดยธรรมชาติ พระพรหมมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เมื่อพูดถึงการเกิดของมนุษย์ พระองค์ก็ตรัสว่า มนุษย์เมื่อเริ่มแรกปฐมกับป์เกิดโดยโอปปาติกะคือลอยเกิดขึ้น ส่วนมนุษย์ยุคหลังจากนั้น เกิดจากพ่อแม่อยู่ร่วมกัน

เมื่อ พระพุทธเจ้าสอนความจริงที่เห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ชาวอินเดียสมัยนั้นจึงนับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวอินเดียเกือบทั้งประเทศนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในยุคนั้นจึงรุ่งเรืองเหมือนแสงอาทิตย์ ส่วนศาสนาพราหมณ์ร่วงโรยอับแสงเหมือนแสงหิ่งห้อย

ประชาชน ชาวอินเดียส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา ชาวพุทธอินเดียต่างก็พูดสรรเสริญพระพุทธเจ้ากันปากต่อปาก คำพูดสรรเสริญพระพุทธเจ้าอย่างอื่นหมื่นแสนพวกพราหมณ์พอฟังได้ แต่มีอยู่คำหนึ่งที่พราหมณ์ฟังไม่ได้ เพราะฟังไปแล้วมันแสนจะขมขื่น คำพูดคำนั้นก็คือ คำพูดว่าพระพรหมมากราบบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นมนุษย์ในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวไว้ว่า ในสมัยนั้นชาวชมพูทวีปลือกันทั่วว่า พระพรหมมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มากราบ ไหว้พระพุทธเจ้า พวกพราหมณ์ฟังคำนี้แล้วยากที่จะทำใจได้ เพราะพวกพราหมณ์บูชาพระพรหมกับทั้งพระพุทธศาสนาก็เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับ ศาสนาพราหมณ์ แล้วในเมื่อพระพรหมมากราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าเสียเช่นนี้พวกพราหมณ์จะอดสูใจ ขนาดไหน

อนึ่ง การที่พวกพราหมณ์ได้ฟังว่า พระพรหมมากราบไหว้พระพุทธเจ้ายังพอทน แต่ที่พวกพราหมณ์ฟังไม่ได้จริงๆ ก็คือการที่ชาวบ้านพูดกันว่า ขณะชาวบ้านกำลังนำอาหารเลิศรสมาทำพิธีเผาเพื่อบูชาพระพรหมอยู่นั้น พระพรหมก็ปรากฏกายให้เห็นแล้วกล่าวกับ ชนผู้บูชาพระพรหมอยู่ว่า การที่พวกท่านนำอาหารมีค่ามากมาเผาบูชาเรานั้น เป็นการสูญเปล่า หาประโยชน์มิได้ ขอให้ท่านน้อมนำอาหารเลิศรสต่างๆ ไปถวายพระอรหันต์ที่ท่านนั่งคอยอยู่ในบ้านของท่านจะมีอานิสงส์มากกว่าบูชา เราด้วยการเผาของมีราคาเช่นนี้ (เรื่องนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกผู้เขียนจำไม่ได้ว่าสูตรใด) ชาวบ้านผู้บูชาพระพรหมได้เห็นพระพรหมปรากฏกายให้เห็นพร้อมแนะนำความจริงเช่น นั้นก็เลยเลิกบูชาพระพรหม หันมานับถือพระพุทธศาสนา 

คำพูดเช่นนี้แหละที่พวกพราหมณ์อดทนไม่ได้และก็คงมีความแค้นใจที่พระพรหมไม่ไว้หน้าตนทั้งที่ตนก็นับถือบูชาพระพรหมอยู่



เมื่อ พวกพราหมณ์มีความรู้สึกเสียหน้า จึงเกิดการประชดเลิกบูชาพระพรหมโดยตั้งพระเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมาแทน ผู้ที่เป็นหัวหอกในการเลิกบูชาพระพรหมและหาพระเจ้าองค์ใหม่แทนพระพรหมก็คือ ศังกราจารย์ ผู้นี้เกิดเมื่อปี พ.ศ.1331-1361 เขาแอบไปบวช แล้วศึกษาพระไตรปิฎกจนช่ำชอง แล้วสึกออกมาใช้ความรู้จากพระพุทธศาสนา ดำเนินการตั้งพระเจ้าองค์ใหม่ กลืนพระพุทธศาสนาเป็นฮินดู และแต่งเรื่องรามเกียรติ์หมิ่นพระพรหม เพื่อสร้างศรัทธาในพระเจ้าของใหม่ของเขา

งานขั้นแรก ของ ศังกราจารย์ ก็คือหาชื่อพระเจ้าองค์ใหม่ แทนพระอินทร์และพระพรหม ซึ่งเป็นเทพที่ชาวอินเดียรู้จักและมีนามปรากฏในพระเวท ดูเหมือนศังกราจารย์จะสร้างพระศิวะแทนพระพรหม เพราะให้เป็นผู้ สร้าง แล้วสร้างพระวิษณุแทนพระอินทร์ ซึ่งมีผิวกายเขียวเหมือนกัน แล้วสร้างชื่อศาสนาใหม่ของเขาว่าศาสนาฮินดู แทนศาสนาพราหมณ์ แล้วสร้างกติกาให้พระวิษณุอวตารมาเกิดเพื่อปราบคนชั่ว 

แผนการขั้นที่ 2 ก็คือกลืนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาฮินดู โดยวิธีที่ชาวพุทธรับไม่ได้ กล่าวคือตั้งพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระวิษณุ หรือเป็นอวตารของพระนารายณ์ แผนนี้ทำให้ชาวพุทธอินเดียที่เป็น ชาวบ้านคาดไม่ถึงว่าจะทำลายพุทธศาสนาได้อย่างไร สำหรับสงฆ์ในอินเดียยุคนั้นก็เสื่อมสุดสุดแล้ว เพราะเป็นลัทธิมหายานที่เพิกถอนวินัยอยู่ร่ำไป มิได้คำนึงถึงความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนา พอมาถึงพุทธศตวรรษที่ 17 เมื่อพวกมุสลิมมาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ทำลายวิหาร ทำลายชีวิตพระสงฆ์มหายานที่อาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทาอย่างโหดเหี้ยม แล้วจากนั้นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็หมดสิ้นไปจากดินแดนอินเดีย และนั่นคือโอกาสอันงามของศาสนาฮินดู

แผนขั้นที่ 3 ของ ศังกราจารย์ คือแต่งรามเกียรติ์ หมิ่นพระพรหม สร้างศรัทธาในพระเจ้าองค์ใหม่ของเขา ลักษณะโครงสร้างรามเกียรติ์ของศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิ ก็ คือ สร้างตัวละครฝ่ายพระพรหมให้เป็นฝ่ายคนชั่ว เช่น แต่งให้ทศกัณฐ์ชั่วถึงขนาดจะแย่งลูกสาวของตนซึ่งเป็นเมียของคนอื่นอยู่เอามา เป็นเมียของตน ทศกัณฐ์เป็นลูกของยักษ์ชื่อ ท้าวลัสเตียน ซึ่งครองกรุงลงกา ท้าวลัสเตียนเป็นลูกของพระพรหม และคงจะหมายให้เป็นพระพรหมที่มาไหว้พระพุทธเจ้านั่นแหละ

จากนี้ลองมาดูตัวละครฝ่ายดีของฤๅษีวาลมิกิบ้าง ฤๅษีวาลมิกิสร้างตัวละครฝ่ายพระศิวะให้เป็นฝ่ายดีให้มาปราบทศกัณฐ์ ผู้เป็นฝ่ายชั่ว กล่าวคือสร้างพระรามเป็นลูกของท้าวทศรถ ท้าวทศรถเป็นลูกของท้าวอัชบาล ท้าวอัชบาลเป็นลูกของอโนมาตัน อโนมาตันเป็นลูกของพระศิวะ



มูลเหตุของสงคราม เกิดจากทศกัณฐ์วางแผนแย่งลูกสาวของตนเอง ซึ่งเป็นเมียพระรามอยู่ นำมาเป็นเมียของ ตน ผลของสงครามทศกัณฐ์เป็นฝ่ายแพ้ พระรามเป็นฝ่ายชนะ การชนะของพระรามเป็นการชนะทั้งในเรื่องรามเกียรติ์ และศาสนาฮินดูชนะศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย ถ้า จะพูดสำนวนปัจจุบัน ต้องพูดว่าชนะทั้งในจอและนอกจอ ชนะในจอก็คือในเรื่องรามเกียรติ์พระรามซึ่งเป็นฝ่ายพระศิวะชนะทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นลูกหลานพระพรหม ชนะนอกจอก็คือฮินดูชนะพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียเกือบทั้งประเทศนับถือพระศิวะ แทบทุกคนพร่ำภาวนาแต่คำว่าสีดารามๆ พุทธศาสนาแทบจะไม่มีเหลือ

อยาก จะบอกความจริงแก่ชาวพุทธทั้งหลายว่า เรื่องรามเกียรติ์ที่ฤๅษีวาลมิกิเขียนนั้น แกนำเนื้อเรื่องในชาดกชื่อ ทศรถชาดกไปเขียน ชื่อตัวละครเหมือนกัน ความในชาดกนั้นมีโดยสรุปว่า พระราชาพระนามว่าทศรถ (ทดรด) ครองเมืองพาราณสี พระองค์มีพระโอรส ราชธิดา 3 องค์ คือ พระราม พระลักษณม์ และนางสีดา 

ต่อมาเมื่อพระมารดาของพระรามสิ้นพระชนม์ท้าวเธอจึงมีพระมเหสีใหม่ เมื่อพระมเหสีใหม่มีพระโอรสสององค์ พระราชามีพระโสมนัสทำนองคนแก่หลงลูกชายจึงออกปากให้พรพระมเหสีใหม่ว่าต้องการอะไรให้ขอ แล้วจะพระราชทานให้ นางจึงขอราชสมบัติให้ลูกชายของตัวเอง พระราชาทศรถทรงพิโรธ ตวาดมเหสีใหม่ว่า อีถ่อยมึงจะให้ลูกชายกูฉิบหายหรือ! แล้วไม่พระราชทานให้

ต่อ มาท้าวเธอดำริว่า ธรรมดาผู้หญิงมุ่งจะเอาชนะอย่างเดียว ถ้าพระรามยังอยู่ในวัง อาจมีอันตรายแก่ชีวิต จึงให้โหรคำนวณอายุของพระองค์ว่าจะมีอายุอยู่กี่ปี โหร คำนวณแล้ว กราบทูลว่าจะมีอายุต่ออีก 12 ปี ท้าวเธอให้เรียกหาพระรามมาเฝ้า แล้วรับสั่งให้ลูกชาย ราม-ลัก ษณม์ออกไปอยู่ในป่า 12 ปี เมื่อพ่อตายแล้วให้มาเอาราชสมบัติ ในการไปอยู่ป่านางสีดาน้องสาวขอตามไปด้วยพ่อก็อนุญาต พระรามไปอยู่ป่าได้เพียง 9 ปี พ่อก็สวรรคต เมื่อพ่อสวรรคต มเหสีใหม่ก็สั่งให้เสนาบดีมอบราชสมบัติให้พระภรต ลูกชายของตน

คำ สั่งของมเหสีใหม่ พระภรตและเสนาบดีไม่เอาด้วย แต่ยกกองทัพไปเชิญพระรามมาครองเมืองแทน วันราชาภิเษกพระประยุรญาติและประชาชนน้อมถวายนางสีดา ผู้เป็นน้องสาวให้เป็นมเหสี นี่คือเนื้อความโดยสรุปในทศรถชาดกที่ฤๅษีวาลมิกินำไปแต่งเรื่องรามเกียรติ์ ผู้สนใจชาดกเรื่องนี้โปรดไปอ่านในพระไตรปิฎกเล่ม 60 หน้า 72 พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยปี 2525

เท่า นั้นยังไม่พอ ! ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิยังนำเอากุณาลชาดก มาแต่งเป็นเรื่อง มหาภารตยุทธ ที่ชาวอินเดียหลงใหลอยู่ทุกวันนี้ คนไทยบางส่วนก็พลอยหลงใหลไปด้วย ความสรุปในกุณาลชาดกมีว่า นางกัณหาราชธิดาติดแม่ของพระเจ้าพาราณสี ขอมีสิทธิเลือกคู่เอง ถึงวันเลือกคู่นางเลือกพระราชบุตรพี่น้อง 5 คนของพระเจ้าบัณฑุราช เป็นสามีทั้ง 5 คน นามราชบุตร 5 คนนั่นคือ อรชุน นกุล ภีมเสน ยุธิษฐิละ และสหเทพ นางกัณหามีสามีคราวเดียวถึง 5 คนแล้ว ก็ยังไม่อิ่มในกาม ยังแอบไปสังวาสกับบุรุษเปลี้ยอีก

จุดหมายของชาดกเรื่องนี้ คือตำหนิผู้หญิงไม่อิ่มในกาม

ข้อสังเกต

ใน ทศรถชาดก นางสีดาเป็นลูกสาวของท้าวทศรถ แต่ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิเปลี่ยนมาเป็นลูกทศกัณฐ์ มีจุดมุ่งหมายอะไร มุ่งจะประณามทศกัณฐ์ผู้เป็นหลานพระพรหมว่าเลวทรามขนาดจะเอาลูกทำเมียใช่ไหม ในชาดกเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระรามเป็นอดีตชาติของพระองค์ แต่ศังกราจารย์และฤๅษีวาลมิกิเปลี่ยนเป็นอวตารของพระวิษณุ

ในกุณาลชาดก เป็นเรื่องของนางกัณหา มีสามีคราวเดียว 5 คน โดยสามีทั้ง 5 คนนั้นเป็นพี่น้องกัน ศังกราจารย์ได้เปลี่ยนดังนี้ พี่น้อง 5 คนนั้นศังกราจารย์เปลี่ยนยุธิษฐิละมาเป็น พี่ใหญ่แทนอรชุน นางกัณหาเปลี่ยนไปเป็นเทราปตี เพิ่มการทำสงครามระหว่างวงศ์บัณฑุราชกับวงศ์เการพ เพิ่มพระกฤษณะเข้ามาโดยไม่มีในชาดก

ใน การทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร (อยู่เมืองเดลี) อรชุนเป็นแม่ทัพฝ่ายบัณฑุราช ทุรโยชน์เป็นแม่ทัพฝ่ายเการพ เมื่อกองทัพเผชิญหน้ากันอรชุนไม่กล้าสั่งรบ เพราะล้วนแต่ญาติพี่น้องทั้งนั้น พระกฤษณะเป็นสารถีให้อรชุน เกลี้ยกล่อมอรชุนให้สั่งรบในฐานะกษัตริย์ต้องทำสงคราม คำยุของกฤษณะอินเดียยกย่องว่า เพลงขับพระเจ้า (ภควศิตะ) ผล ของสงครามอรชุนเป็นฝ่ายชนะ ศังกราจารย์ก็สรุปว่า พระกฤษณะคือพระนารายณ์อวตารมา สำหรับในกุณาลชาดกพระพุทธเจ้าตรัสว่าอรชุนเป็นอดีตชาติของพระองค์ ผู้สนใจกุณาลชาดก โปรดอ่านในพระไตรปิฎกเล่ม 62 หน้า 559 พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยปี 2525

ชาวพุทธทั้งหลาย! เมื่อทราบเรื่องนี้แล้ว ขอให้มีสติ แล้วมองตากัน ส่วนใครจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ตามอัธยาศัยเทอญ


Tuesday, July 14, 2015

Research makes difference

จากรีวิว ใน วารสาร Science  ฉบับ 10 กค 2015 เรื่องเศรษฐศาสตร์ ได้สรุปว่า อีลิตจำนวนน้อยที่ผลิตงานออกมามากๆ ช่วยให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมใน คริสตศตวรรษที่ 18

INTELLECTUALS AND THE RISE OF THE MODERN ECONOMY
http://www.sciencemag.org/content/349/6244/141.full?utm_campaign=email-sci-toc&utm_src=email

เขารีวิวจาก งานวิจัย ของ  Mara P. Squicciarini และ Nico Voigtländer
http://www.nber.org/papers/w20219


งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์งานนี้ ศึกษา ความสัมพันธ์ของค่าต่างๆกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสตศตวรรษที่ 18 แล้วพบว่า

ปัจจัยทางด้านมนุษย์ ที่ก่อให้เกิด ปฏิวัติอุตสาหกรรม ไม่ใช่ การที่คนทั่วไปจำนวนมาก สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น อย่างที่ มาร์กซิสต์หรือปัญญาชนส่วนใหญ่คิด แต่เป็นการที่อีลิตจำนวนน้อยที่สามารถเขียนอ่านงานซับซ้อนสร้างผลงานออกมาจำนวนมากเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมสำหรับ การปฏิวัติอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม เปเปอร์นี้ก็ต้องระวังการตีความผิดไปว่า ต้องเป็นชนชั้น อีลิตเท่านั้นที่สร้างงานสร้างเศรษฐกิจ ต้องอุดหนุนชนชั้นนี้ให้มากที่สุ่ด เพราะในปัจจุบัน อีลิตมันมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เป็น trickle-down economics ที่โครงสร้างมันผิด เอาอำนาจกับความร่ำรวยไปให้แค่ 1% ด้านบน ซึ่งรวยอยู่แล้วเก่งอยู่แล้ว โดยไม่แบ่งชนชั้นล่างลงมาบ้าง มันจะซวยเอา

สิ่งที่เรานำไปได้จากเปเปอร์นี้ คือ การพัฒนาความคิดซับซ้อน จนสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้ได้
ถ้าที่เปเปอร์นี้กล่าวเป็นจริง แล้วลองนำมาประยุกต์กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่คนชั้นกลางเป็นชนชั้นมีความรู้หลักของสังคม จะพบว่า การสร้างชาติถึงขั้นเปลี่ยนคุณภาพประเทศ คือการสร้างคนที่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเป็นอีลิตชั้นสูง แค่ระดับคนชั้นกลางก็พอ แต่เป็นการพัฒนาคนชั้นกลางที่มีคุณภาพ สามารถอ่านเขียน วิเคราะห์งานที่ซับซ้อนได้ ซึ่งสามารถต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆขึ้นมา เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นที่รองรับอนาคต ถ้าทำได้ก็จะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปทุกวงการ ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ หรือ ระบอบการปกครอง เช่น ประชาธิปไตย จะงอกงามจากสังคมอุดมปัญญาเช่นนี้เท่านั้น


มีเกร็ดที่น่าสนใจ ว่า ในสมัยพระนารายณ์มหาราช สยามเจริญเฟื่องฟู เข้มแข็งทั้งวิชาการและการเงิน จนสามารถผลิตปืนใหญ่อยุธยา ให้ได้รับการยอมรับจากโชกุนของญี่ปุ่นถึงคุณภาพและสมรรถนะ และสามารถส่งไปช่วยฝรั่งเศสปฏิวัติได้ (พอดีวันที่ 14 กค พอดี ที่เขียน)


ทั้งนี้ คงเป็นผลมาจากการเรียนรู้และการตกผลึกทางวิทยาการจากตะวันตกนั่นเอง แต่เสียดายว่า จากการรัฐประหารของ พระเพทราชา ทำให้เกิดการไล่ต่างชาติออกไป ไม่มีการต่อยอดและพัฒนาวิทยาการเหล่านี้ในช่วงอยุธยาตอนปลายและต่อมาจนต้นยุครัตนโกสินทร์จึงทำให้รัฐสยามไม่สามารถปฏิวัติตัวเองเข้าสู่ความเป็นอุตสาหกรรมอันเป็นพื้นฐานของการเป็นมหาอำนาจนั่นเองครับ

(เครดิต คุณ Danai Bawornkiattikul ในคอมเม้นต์ของ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10152147870996954&set=a.430946001953.211467.719626953&type=1&hc_location=ufi )

ซึ่งมันก็น่าเสียดายจนถึงปัจจุบันที่เมืองไทย คนพออ่านออกเขียนได้ แต่ขาดความรู้ มีความยับยั้งชั่งใจ ดูขนาดงานของนาซ่า ที่เกี่ยวกับรายงาน
breakthrough ภาพดาวพลูโตจากยาน
New Horizon ที่ใช้เวลาถึง 9 ปีในการไปเก็บรูปนี้  คนไทยที่พอเล่นคอมได้ ยังไปเกรียนจนเละเทะมาแล้ว ดูที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10204163114470105&set=a.1160978076644.2021739.1593591073&type=1&theater

ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศ โดน รัฐประหารชัทดาวน์ เพื่อแช่แข็งประเทศ เช่นเดียวกับสมัยพระเพทราชา ความอิสระทางความคิดไม่มี ความเชื่อมั่นในอนาคตไม่มี คนก็ไม่กล้าคิด ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็ลืมได้เลยเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสร้างชาติสำหรับอนาคต ในระดับชาติจากรัฐ เราขาดจุดตรงนี้ไปแล้ว เราก็หวังว่า อย่างน้อย ภาคเอกชนไทย ชาวบ้านชาวช่องไทยจะ ไม่หลับใหล ค่อยๆกันทำงาน สร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นมา โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ เผื่อในภายภาคหน้าที่ บรรยากาศผ่อนคลาย เอื้อต่อการใช้ปัญญา ประเทศจะได้ใช้ตรงนี้ในการเติบโตได้ทันที

การที่เราต้องสร้างความรู้ไว้ เป็นสิ่งสำคัญมาก หวังว่าจะมีคนธรรมดาทั่วไป ที่หวังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเหลืออยู่ ทีทำงานกันเต็มที่ สุดท้ายนี้ขอฝากคติเตือนใจจาก
มากาเร็ต มีด นักมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ว่า
อย่าสงสัยเลยว่า พลเมืองที่ช่างคิดและจริงจังเท่านั้นแหละที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีคนกลุ่มอื่นทำได้

Saturday, July 11, 2015

ป่ากับฝน

from https://www.facebook.com/notes/prin-niamskul/%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9D%E0%B8%99/1023950247629253?__mref=message_bubble

by Prin Niamskul


ป่ากับฝน


วันนี้เรามาคุยกันในประเด็นของกลศาสตร์การถ่ายเทระดับใหญ่กันนิดๆและเอี่ยวกับระบบกลศาสตร์ของสิ่งแวดล้อมกันหน่อยๆ  ประเด็น ป่าทำให้เกิดฝน หรือ ฝนทำให้เกิดป่า มีที่มาจากข้อถกเถียงใน หว้ากอ in wonderland ที่พูดถึงโมเดลการเกิดฝนเชิงกลศาสตร์ความร้อนอันนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะมาคุยกันให้เรารู้จักธรรมชาติของเรามากขึ้น
-------------------------------------------------------
การเกิดของฝน

เมฆ คือไอน้ำที่กลั่นตัวเป็นละอองน้ำ แต่ด้วยขนาดที่มันเล็ก มันจึงยังไม่สามารถเอาชนะแรงยกของกระแสลมและตกลงมา การที่เมฆจะกลายเป็นฝน ต้องอาศัยความปั่นป่วนของลมทำให้ละอองเหล่านี้ชนกัน จับตัวเป็นหยดขนาดใหญ่จนชนะแรงต้านของกระแสลมและตกลงมา และเนื่องจากลม มีการเคลื่อนที่จากแหล่งความกดอากาศสูง (ที่เย็น ความถ่วงจำเพาะอากาศสูง จึงหนัก) ไปสู่แหล่งความกดอากาศต่ำ (ที่ร้อน ความถ่วงจำเพาะอากาศต่ำ อากาศจึงลอยตัว)ณ จุดที่มีการยกตัว เป็นจุดที่เกิดความปั่นป่วน และทำให้เกิดการปะทะกันของละอองน้ำ กลั่นตัวลงมาเป็นฝน จุดสำคัญ อากาศนั้นต้องมีความชื้น

ในแง่การเกิดฝน

รูปแบบการเกิดฝนในระดับพื้นที่ แบ่งใหญ่ๆได้ 3 รูปแบบ[1][2]
1. เกิดจากการพาของความร้อน (Convection) มักเกิดในวันที่ร้อนจัด อากาศถูกพาขึ้นไปสู่ด้านบนและกลั่นตัวตกลงมา


2. เกิดจากการเคลื่อนตัวผ่านสันเขา (Orthographic) เมื่อมวลอากาศอุ่นถูกพาเข้าสู่แนวเขาและยกตัวขึ้น อุณหภูมิอากาศจะลดลง ทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นฝน


3. เกิดจากการเคลื่อนตัวเข้าหากันของมวลอากาศร้อนและอากาศเย็น (Weather front) เพราะมวลอากาศร้อนมีความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าก็จะถูกดันขึ้นด้านบน อุณหภูมิลดลง ก็เกิดการกลั่นตัวเป็นฝน


สำหรับ ในแง่ความร้อน ต้นไม้ มีการระบายความร้อนออกด้วยการระเหยของน้ำ อุณหภูมิสัมผัสของผิวใบที่จะสูงจนสร้างแรงยกตัวของลมนั้นน้อยกว่าพื้นดินที่ไร้สิ่งปกคลุม ดังนั้น กำลังที่จะดึงอากาศภายนอกเข้ามา ดึงความชื้นและเมฆฝนเข้ามาตกในพื้นที่จึงน้อยกว่า ตรงนี้ ถ้านับเฉพาะผลทางความร้อน แต่เราต้องไม่ลืมด้วยว่า พื้นที่ๆไม่มีต้นไม้นั้น ความชื้นจะน้อยกว่า แม้พื้นดินจะร้อนขนาดไหน พาอากาศร้อนขึ้นสูงไปยังไงถ้าพื้นที่ไม่มีความชื้นฝนก็ไม่ตก

ดังนั้นในการบ่งชี้เหตุว่า มีป่าฝนตกมากกว่า หรือมีป่าฝนตกน้อยกว่า ในระดับพื้นที่ภูมิภาค จึงตอบไม่ได้ถ้ามองแค่เฉพาะความร้อนและการขยายตัวอย่างเดียว

ในแง่การพาความชื้นจากมหาสมุทรสู่พื้นดิน 

แต่ทีนี้ถ้าหากเรามองการเกิดฝน ในขนาดที่ใหญ่กว่าในพื้นที่หนึ่งๆล่ะ ในวงจรสภาวะอากาศ ถ้าเรามองในขนาดที่ใหญ่ขึ้น แหล่งความชื้นที่สำคัญคือทะเล แหล่งความกดอากาศสูงที่สำคัญก็คือบนบก อันนี้ ถ้าหากความแตกต่างอุณหภูมิสูงกระแสลมก็ควรไหลพาจากด้านเย็นไปสู่ด้านร้อนได้มาก ก็ควรพาความชื้นขึ้นไปได้มากกว่าถูกไหม

สำหรับประเด็นตรงนี้ เมื่อได้ทำการศึกษาถึงการพาความชื้นเข้าลึกสู่แผ่นดินของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกัน ผลปรากฏว่า พื้นที่ป่า ความชื้น หรือฝน ถูกพาเข้าสู่แผ่นดินได้ ลึกกว่ามากแบบมีนัยสำคัญ[3]

ในแง่ของสิ่งที่ผมทราบ ฝน ที่ตกผ่านป่าจะถูกกีดขวางไม่ให้ไหลไปเร็วนัก และความชื้นนั้นก็จะถูกซับลงสู่ดิน ไปเป็นระดับน้ำใต้ดินได้มาก ซึ่งถ้าฝนนั้นตกในพื้นที่โล่งเตียน ไม่มีอุปสรรคการไหล น้ำนั้นก็จะไหลออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว อันนื้คือการกักน้ำของป่า และเราจะสามารถสังเกตได้ว่า ในป่า มีความชุ่มชื้น ในป่าขาจะมีพวกตาน้ำ มีลำธารขนาดเล็กอยู่ได้ เป็นความชื้นที่ป่านั้นเก็บกักไว้ ค่อยๆไหลออกมา น้ำฝนที่ตกลงมาจึงไม่เหือดแห้งไปหมด มีน้ำค่อยๆไหลออกมาได้ตลอดปี

อีกส่วนหนึ่ง ต้นไม้ กันการไหลออกไปของน้ำอย่างรวดเร็ว มันก็เป็นตัวระเหยน้ำออกผ่านทางกระบวนการคายน้ำจากปากใบ ซึ่งมีพื้นที่ผิวมหาศาล ป่านั้นมีทั้งกลไกการกัก
และกระจายน้ำออกสู่บรรยากาศอย่างต่อเนื่อง และนั่น ก็อาจเป็นเหตุผลให้ ความชื้นที่ปรกติจะไหลกลับลงทะเล ยังถูกหอบพากลับเข้าลึกไปสู่แผ่นดินได้ต่อเนื่อง ถ้าไมมีมนุษย์มาทำลาย ป่าจะมีความสามารถรุกคืบเข้าไปในแผ่นดินที่ลึกๆได้ และสามารถพาความชื้นเข้าไปในแผ่นดินได้ลึกกว่าที่ไม่มีป่าไม้อยู่


 ในกรณีการอนุรักษ์น้ำของเมืองยุคใหม่ การปรับผังเมืองให้มีพื้นที่ซับน้ำด้านใต้เมืองก็เป็นทางออกหนึ่งของการอนุรักษ์น้ำ[4]
เมื่อกลับมาที่หัวข้อเรื่อง ป่าทำให้เกิดฝน หรือป่าไม่ทำให้เกิดฝน ป่า ก็ไม่เกี่ยวโดยตรงกับกลไกการเกิดฝนตกทั้ง 3 รูปแบบ แต่มันเป็นตัวส่งต่อความชื้น ที่เป็นเงื่อนไขให้กับการเกิดฝนตกอีกทีหนึ่ง ป่าทำให้ฝนที่ตกลงมานั้นคงอยู่ในพื้นที่ ค่อยๆระบายออก และส่งต่อความชื้นลึกเข้าไปในแผ่นดิน ทำให้เกิดความชุ่มชื้น เป็นปัจจัยให้เกิดฝนในแผ่นดินที่ลึกเข้าไป แทนที่จะบอกว่า ป่าทำให้เกิดฝน เราน่าจะบอกว่า ป่า เป็นตัวส่งต่อความชื้นเข้าสู่แผ่นดินที่ลึกเข้าไปในทวีปจะถูกต้องกว่า
-------------------------------------------------------
อ้างอิง
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Precipitation_types
[2] http://www.royalrain.go.th/royalrain/uploads/vcharkarn/ZR2014.pdf
[3] http://www.hydrol-earth-syst-sci.net/11/1013/2007/hess-11-1013-2007.pdf
[4] http://www.sswm.info/category/concept/water-cycle