Saturday, November 26, 2016

สรุปลำดับเวลาเรื่องอมรินทร์ และกรณีเบียร์ช้างอย่างง่าย

by
Theerapat Charoensuk

from
https://www.facebook.com/terasphere/posts/10153884052216809
https://www.facebook.com/terasphere/posts/10153884428081809

สรุปลำดับเวลาเรื่องอมรินทร์ และกรณีเบียร์ช้างอย่างง่าย
1. สนพ.อมรินทร์ (AMARIN) ก่อตั้งโดยคุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ นักคิดนักเขียนยุค 14 ตุลา โดยเริ่มจากการผลิตนิตยสารบ้านและสวนได้รับความนิยม เป็นนิตยสารแนวการจัดบ้านรุ่นแรกๆ ของไทย ต่อมาประสบความสำเร็จกับนิตยสารแฟชัน "แพรว" และแฟชันวัยรุ่น "แพรวสุดสัปดาห์"
2. อมรินทร์เติบโตมา ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เป็นสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ หลายเรื่อง เช่นติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ พระมหาชนก และเรื่องทองแดง
3. อมรินทร์พรินติ้ง ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 3 มกราคม 2535
4. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และสมเด็จพระเทพฯ ทรงถือหุ้นส่วนหนึ่งในสนพ.อมรินทร์ (1.58% และ 0.63%) ตามลำดับ
5. ร้านหนังสือ "นายอินทร์" ของอมรินทร์ ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่มาจากพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" (The Man called intrepid)
6. อมรินทร์ได้จัดประกวดวรรณกรรม นายอินทร์อะวอร์ด โดยผู้ชนะจะได้รับพระราชทานโล่รางวัลจากสมเด็จพระเทพ ถือเป็นรางวัลวรรณกรรมอันดับต้นของไทย
7. คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2545 จากนั้น คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ภรรยา และคุณระริน อุทกะพันธุ์ บุตรสาว เป็นผู้บริหารสืบต่อ
8. อมรินทร์เป็นผู้นำแนวคิด "ชีวจิต" โดยดร.สาทิส อินทรกำแหง เผยแพร่ให้เป็นกระแส และมีนิตยสาร "ชีวจิต" ตามมา รวมถึงแนวคิดแบบ "The secret" ซึ่งแปลมาจากต่างประเทศ รวมถึงเป็นผู้ที่ทำให้ท่าน ว.วชิรเมธี โด่งดังเข้าสู่กระแสสื่อหลัก ภาพลักษณ์ของอมรินทร์จึงออกมาในแนวทางยึดหลักธรรมะ พอเพียง คนดีมีศีลธรรม และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
9. ระยะหลังปี พ.ศ. 2547 อมรินทร์และร้านนายอินทร์ได้นำเสนอหนังสือแนวธรรมะอ่านง่ายเข้าถึงง่าย เช่น เข็มทิศชีวิตของฐิตินาถ ณ พัทลุง, ผลงานของพระมิตซูโอะ คเวสโก, ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ของทพ.สม สุจีรา เป็นต้น
10. หลังปี 2551 อมรินทร์ได้ขยายกิจการร้านนายอินทร์ออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับร้านซีเอ็ด และเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แม้ว่าจะประสบวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์และน้ำมันราคาสูง จนต้องขึ้นค่าสายส่ง อมรินทร์มีกำไรสะสมต่อหุ้นสามารถปันผลได้ราวปีละ 5% กำไรเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท
11. ปี 2556 มีการประมูลทีวีดิจิตอล อมรินทร์ได้เพิ่มทุนครั้งใหญ่กว่าเท่าตัว เพื่อเข้าประมูลช่องทีวีเป็นของตนเอง ในขณะเดียวกัน ช่วงปลายปีมีการประท้วงของกลุ่ม กปปส. เครืออมรินทร์เป็นผู้สนับสนุนและกระบอกเสียงหลักของการชุมนุมประท้วงทั้งในทางเงินทุนและสื่อเผยแพร่ ถึงกับมีประกาศเวียนในสำนักงานว่าให้พนักงานไปร่วมม็อบชัทดาวน์ประเทศไทยของ กปปส.
12. ปี 2557-2559 อมรินทร์ขาดทุนมหาศาล รวม 2 ปี 3 ไตรมาส ขาดทุนไปถึง 950 ล้านบาท นับแต่ม็อบ กปปส. ราคาหุ้นตกลงเหลือ 1 ใน 3 จากปี 2556 หนี้สินสะสมรวม 4,000 ล้านบาท กระแสเงินสดลดต่ำเหลือเพียง 291 ล้านบาท แต่มีหนี้เงินกู้ระยะสั้นและเงินเบิกเกินบัญชี (OD) ถึง 550 ล้านบาท
13. อมรินทร์ทีวียังไม่ประสบความสำเร็จ เรตติ้งอยู่ในระดับกลุ่มล่าง และรายได้โฆษณาต่ำมากทำให้ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายราววันละ 2 ล้านบาท หนี้สินต่อทุนพุ่งถึงเป็น 4.32 เท่า ถือว่าอันตรายในการดำเนินกิจการ
14. อมรินทร์ได้ร่วมกับบ. คาโดกาว่าโชเต็น ของญี่ปุ่น เปิดตัวหัว สนพ. ฟินิกซ์ เพื่อทำตลาดนิยายแปลญีปุ่่นและมีเดียมิกซ์ในเดือนพฤศจิกายน (เลื่อนจากเดือนตุลาคม)
15. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 บอร์ดบริหาร AMARIN ประกาศเพิ่มทุน และขายหุ้น 47% ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี แห่งเครือไทยเบฟ ผู้ประกอบกิจการโรงสุราแม่โขงและเบียร์ช้างเป็นเงิน 850 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้จ่ายดำเนินกิจการต่อไป
16. ตระกูลสิริวัฒนภักดี ขอผ่อนผันจาก กลต. เพื่อไม่ต้องทำ Tender offer ตั้งโต๊ะซื้อหุ้นอิสระ (Free float) ทั้งหมด ซึ่งปกติหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 25% ต้องประกาศรับซื้อหุ้นในตลาด เนื่องจากเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจากนอกตลาดโดยมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท
17. ตระกูลสิริวัฒนภักดี จะมีสื่อในมือเทียบเท่ากับตระกูลเจียรวนนท์แห่งทรู-ซีพี รวมถึงเครือข่ายลอจิสติกส์หนังสือและหน้าร้านหนังสือนายอินทร์กว่า 160 สาขาทั่วประเทศทันที
18. ตระกูลอุทกะพันธุ์ยังดำรงตำแหน่งระดับบริหารของอมรินทร์ จนกว่าตระกูลสิริวัฒนภักดีจะแต่งตั้งกรรมการบริหารใหม่ ปิดฉากตำนานของชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ผู้ริเริ่มนิตยสารปกิณกะบันเทิงและวงการสื่อไทยยุคร่วมสมัยไปในที่สุด
19. บริษัทคาโดกาวะอมรินทร์ ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากคาโดกาวะโชเต็นจากญี่ปุ่น ถือหุ้นใหญ่ 49% อมรินทร์ถือน้อยกว่าที่ 46% และผู้บริหารมาจากญี่ปุ่น
20. คาดว่าจะมีการลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนรวมถึงการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในบริษัทอมรินทร์เร็วๆ นี้ โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ พี่น้องชาวอมรินทร์ทุกท่าน หวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดี

----------------------------------------------

สาเหตุของการขาดทุนหนักของ AMARIN
( ปี 2557 ขาดทุน 86 ล้าน
ปี 2558 ขาดทุน 417 ล้าน
ปี 2559 ถึงไตรมาสสาม ขาดทุน 468 ล้าน)
สภาวะสื่อใหม่ที่เปลี่ยนแปลง สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ล้วนเป็นปัจจัยประกอบให้ธุรกิจสื่อเสียรายได้ แต่ทำไมอมรินทร์ถึงหนักกว่าเพื่อน? (ถ้าไม่นับเนชัน ที่ใช้วิธีทางบัญชีและกำลังมีปัญหาผู้ถือหุ้นฟ้องร้องกันอยู่)
1. อมรินทร์มีธุรกิจในมือถึงสามแบบ คือ ร้านหนังสือ(รวมสายส่ง) สำนักพิมพ์/โรงพิมพ์ และดิจิตอลทีวี ถ้าอยู่ภาวะรุ่งเรือง ก็จะหนุนเสริมกันทำกำไรได้มาก แต่เมื่อธุรกิจทั้งสามล้วนอยู่ในภาวะธุรกิจอัสดง (sunset business) การขาดทุนและรายจ่ายก็มากเป็นสามเท่า
2. ดิจิตอลทีวีเป็นธุรกิจใหม่ที่ลงทุนใหม่หมดตั้งแต่เริ่มต้น การแย่งบุคลากร การสร้างพื้นที่ถ่ายทำ และโครงข่าย รวมถึงค่าประมูลสิทธิ์ ทำให้เป็นรายจ่ายมหาศาล แม้จะสามารถลงบันทึกบัญชีว่าเป็นสินทรัพย์ทุนและสินทรัพย์ประเภทจับต้องไม่ได้ (intangible asset) แต่ก็เสื่อมค่าลงและก่อรายจ่ายดำเนินการ รวมถึงค่าบำรุงรักษาต่อเนื่อง
3. ดิจิตอลทีวีได้รับผลกระทบหนักหลังรัฐประหาร การถูกนำเวลาไปใช้ให้รายการของรัฐฟรีๆ หลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ การปิดกั้นข่าวสารและห้ามนำเสนอประเด็นร้อนบางประเด็น และเม็ดเงินโฆษณาของรัฐที่หายไป (เพราะบังคับให้ออกอากาศได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ต่างจากรัฐบาลปกติ) ทำให้ก้อนเค้กรายได้ของโทรทัศน์เล็กลงอย่างมาก ในขณะที่มีคู่แข่งขันสูง
4. โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อทั้งหนังสือและโทรทัศน์ คนยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือยากขึ้น และคนดูทีวีลดลง คู่แข่งในโซเชียลมีเดียเกิดใหม่อย่าง line TV หรือ facebook live ตอบโจทย์สังคมมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิตยสารที่ไม่สามารถนำเสนอเรื่องทันสมัยได้เร็วเท่าโซเชียลมีเดีย
5. ตัวสำนักพิมพ์ของอมรินทร์ปรับตัวได้ช้า และเป็นผู้ตามกระแสมากกว่าจะสร้างสรรค์เพื่อนำ แอพอีบุคมาช้าและทำงานไม่ดีเท่า ookbee, ระบบสั่งหนังสือผ่านเว็บยุ่งยากและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้, สนพ.หัวใหม่เปิดมาเพื่อตามกระแสนิยม แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ, ฐานนิตยสารเดิมลดลงเพราะแนวคิดการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรุ่นอายุผู้อ่าน, นิยายแปลยังคงคุณภาพดี แต่ขาดเรื่องระดับแม่เหล็กทำรายได้ต่างจากในอดีต (เกม ออฟ โทรนส์ คนชอบซีรีส์น้อยคนที่จะทนอ่านนิยายเรื่องยาว)
6. สภาพเศรษฐกิจต่างจังหวัดที่เคยเฟื่องฟูย่ำแย่ลงมาก ร้านสาขาในห้างต่างจังหวัดยอดขายตกฮวบ เพราะภาวะสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ การค้าต่างจังหวัดซบเซา รายจ่ายไม่จำเป็นอย่างหนังสือต้องถูกตัดก่อน ซึ่งในกรณีนี้ซีเอ็ดก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
7. อมรินทร์ทั้งเครือยังดูขาดเข็มทิศนำแผนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ ไม่สามารถระบุภารกิจเฉพาะเพื่อเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งหวังว่าการเข้ามาของตระกูลสิริวัฒนภักดีจะเปลี่ยนแปลงความเคยชินของอมรินทร์ เพื่อรักษาสำนักพิมพ์ที่ถือว่ามีคุณภาพแห่งหนึ่งของไทยให้กลับมาประสบความสำเร็จ ฝ่าฟันวิกฤตวงการสื่อนี้ไปอีกครั้ง


Sunday, November 13, 2016

“พุทธทำนาย” ของแท้: ศาสนาพุทธจะล่มสลายใน “500 ปี” โดยมี “ผู้หญิง” เป็นต้นเหตุสำคัญ

From
https://www.silpa-mag.com/featured/article_899

“หมอดูเขาว่าคู่กับหมอเดา” สำนวนไทยที่มักถูกใช้เพื่อลดคุณค่าของโหราศาสตร์ ซึ่งจะได้ยินบ่อยๆ เมื่อคำทำนายออกมาไม่ตรงใจ หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้วผลของคำทำนายไม่เกิดขึ้น แต่โหราศาสตร์ก็อยู่คู่กับคนไทยมาโดยตลอด ในฐานะที่พึงทางใจ ที่แม้ผลทำนายออกมาไม่ดีแต่ก็ล้วนมีทางแก้ ซึ่งบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์จนเกินส่วนของผู้ทำนายไปด้วย
ความผูกพันของคนไทยกับคำทำนายและโหราศาสตร์ เห็นได้จากกิจกรรมสำคัญต่างๆ ของคนไทยที่มักพึ่งพาหมอดูหรือผู้รู้ในด้านโหราศาสตร์ในการหาฤกษ์ยามเพื่อความเป็นสิริมงคลตั้งแต่งานบวช งานแต่ง ไปจนถึงงานตาย และในคัมภีร์ หรือบันทึกโบราณของชาวพุทธเองก็มีการกล่าวถึงคำทำนาย ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำทำนายของพระพุทธเจ้าเอง ที่มักจะเรียกกันว่า “พุทธทำนาย”
ตั้งแต่เด็กผู้เขียนได้ยินบ่อยครั้งว่า “พระพุทธเจ้าเคยทำนายเอาไว้ว่า พระศาสนาของพระองค์จะดำรงอยู่ได้ 5 พันปี” และผู้เขียนก็เชื่อมาโดยตลอดว่า คำทำนายดังกล่าวเป็น “พุทธทำนาย” ของแท้ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เอง จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้ลองตรวจสอบหาที่มาของคำทำนายดังกล่าวว่า โดยอาศัยพระไตรปิฎก แหล่งรวมพุทธพจน์ที่น่าจะมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่สิ่งที่พบไม่ได้เป็นตามความที่ผู้เขียนได้รับฟังมา กลับกันพระพุทธองค์ทรงทำนายว่า พระธรรมของพระองค์จะอยู่รอดได้เพียง “500 ปี” เท่านั้น และ “ผู้หญิง” ยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พระธรรมของพระองค์อายุสั้นกว่าที่ควร
พุทธทำนายดังกล่าวปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7 ภาค 2 ในตอนที่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาของพระพุทธองค์ พยายามทูลขอออกบวชหลายครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต จนกระทั่งพระอานนท์โน้มน้าวให้พระพุทธองค์ทรงยอมให้พระนางปชาบดีโคตมีออกบวชได้ในที่สุด แต่ขณะเดียวกันพระองค์ตรัสว่า
“ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น ดูก่อนอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อยตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย…”
หลังการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ได้มีผู้ออกมาตั้งข้อกังขาในพุทธทำนายดังกล่าวของพระองค์ หนึ่งในนั้นคือพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 กษัตริย์ชาวกรีกผู้นับถือศาสนาพุทธซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 4 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 5) ดังที่ปรากฏใน “มิลินทปัญหา” (เอกสารบันทึกการโต้ตอบระหว่างพระเจ้ามิลินท์ กับพระนาคเสน ปราชญ์ชาวพุทธ ซึ่งเชื่อว่าต้นฉบับน่าจะแต่งขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตในช่วงศตวรรษที่ 1 หรือศตวรรษที่ 2 [ราว พ.ศ. 544-743, หลังรัชสมัยของพระเจ้ามิลินท์นับร้อยปี] โดยนักเขียนนิรนาม ถือเป็นเอกสารสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บาลีของพม่าด้วย) ซึ่งพระมิลินท์ทรงถามพระนาคเสนว่า
“หลังจากที่ผู้หญิงออกบวช พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า พระธรรมอันบริสุทธิ์จะดำรงอยู่ได้เพียง 500 ปี อย่างไรก็ดีพระองค์ทรงเคยตรัสกับพระสุภัททะว่า ‘ตราบเท่าที่หมู่สงฆ์ยังคงยึดถือพระธรรมเป็นแนวปฏิบัติโดยสมบูรณ์แล้ว โลกนี้ย่อมไม่ขาดแคลนซึ่งพระอรหันต์’ คำพูดทั้งสองย่อมขัดกันเอง”
พระนาคเสนตอบกลับไปว่า คำพูดของพระพุทธองค์ทั้งสองประโยคถูกกล่าวในบริบทที่ต่างกัน หนึ่งคืออายุขัยของพระธรรมอันบริสุทธิ์ อีกหนึ่งคือแนวปฏิบัติในโลกของพระธรรม ซึ่งพระนาคเสนมองว่าต่างกัน โดยพระนาคเสนเชื่อว่า หากศิษยานุศิษย์ของพระพุทธองค์ยังคงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คำสอนของพระพุทธองค์ย่อมคงอยู่ไม่สูญหาย (แต่อาจจะไม่บริสุทธิ์แล้ว?)
ทั้งนี้ เนื้อหาในมิลินทปัญหาที่ผู้เขียนยกมานั้นเป็นฉบับภาษาอังกฤษ (The Debate of King Milinda) โดย Bhikku Pesala พระชาวอังกฤษที่ได้รับการบวชให้โดยพระชาวพม่า และเข้ามาศึกษาพระธรรมทั้งในพม่าและไทย ตำราอ้างอิงที่พระรูปนี้ใช้จึงเป็นคัมภีร์บาลีของพม่า (รวมไปถึงฉบับแปลในภาษาอื่นๆด้วย) ซึ่งบันทึกไว้ต่างจากฉบับศรีลังกา (และไทย) ที่ระบุว่า “พระสัทธรรมของตถาคตจะตั้งอยู่นานประมาณกำหนดห้าพันปี”
การที่บันทึกฝ่ายไทยไปแปลมิลินทปัญหาโดยระบุระยะเวลาเช่นนั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะเนื้อหาในส่วนที่พระเจ้ามิลินท์อ้างถึงคือการบวชของผู้หญิงนั้นในพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยเองก็ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะทำให้ “สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี” ผู้เขียนจึงเชื่อว่ามิลินทปัญหาฉบับศรีลังกาและไทย น่าจะใส่เลขศูนย์เกินไปหนึ่งตัว
ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นด้วยความจงใจ ด้วยชาวพุทธมักเชื่อว่า พระพุทธองค์ทรง “ตรัสรู้” ย่อมเป็นผู้รู้ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นอดีตปัจจุบัน และอนาคต ทำให้คำทำนายของพระองค์ต้องเป็นจริงแน่นอน การที่พระองค์ตรัสว่าพระธรรมของพระองค์จะตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี แต่พุทธศาสนากลับดำรงอยู่ได้เลยช่วงเวลาดังกล่าว ย่อมทำให้ความเชื่อที่ว่าพระองค์คือผู้รู้ในทุกสรรพสิ่งสั่นคลอน
การเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในเอกสารชั้นรองอย่างมิลินทปัญหา ผู้บันทึกชาวไทยและศรีลังกาคงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดของชาวพุทธย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พระเถระจึงใช้ “อรรถกถา” หรือคำอธิบายเสริมพระไตรปิฎก เพื่อขยายความคำพูดของพระพุทธองค์ออกไปว่า แท้จริงที่พระองค์ตรัสว่า พระสัทธรรมจะตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปี เพราะมาตุคามบวชแต่กลับไม่ได้เป็นดังที่พระองค์ทรงตรัส เพราะพระองค์ได้ทรงบัญญัติครุธรรมเพื่อกันความละเมิดไว้ก่อน “ทำให้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสทีแรกนั่นเอง”
นอกจากนี้อรรถกถายังอธิบายต่อไปว่า การคงอยู่ของพระสัทธรรมหนึ่งพันปีตามที่พระพุทธองค์ตรัสถึงก็ด้วยอำนาจ “พระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทา” (พระอรหันต์ขั้นสูง) เท่านั้น แต่พระสัทธรรมจะยังคงอยู่ไปอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ” (พระอรหันต์ขั้นรองลงมา) อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระอนาคามี” อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระสกทาคามี” และอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระโสดาบัน” ทำให้พระสัทธรรมของพระพุทธองค์จะคงอยู่ได้รวม “5,000 ปี”
ด้วยเหตุนี้จึงพอจะกล่าวได้ว่า ความเชื่อในพุทธทำนายที่ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ 5,000 ปี แท้จริงแล้วมิได้มาจากพระพุทธองค์เอง แต่เป็นการตีความพุทธพจน์ที่เกิดขึ้นภายหลัง (เนื่องจากไม่อาจตีความตามตัวอักษรได้อีกต่อไป) ซึ่งมีการผลิตซ้ำในเอกสารชั้นรองว่า คำทำนายดังกล่าวเป็นของพระพุทธองค์เองเช่นในมิลินทปัญหาฉบับศรีลังกาและไทย นอกจากนี้ยังมีการอ้างว่า เมื่อครั้งที่คณะธรรมทูตไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่อินเดียเมื่อปี พ.ศ.2484 ได้พบศิลาจารึกในเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวันซึ่งได้ลงจารึกไว้ว่า โลกจะแตกหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว 5,000 ปี (ไปไกลกว่าเดิม) แต่ก็เป็นเพียงการอ้างลอยๆ ไม่มีการระบุชื่อผู้พบและผู้แปลเป็นที่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

Tuesday, November 08, 2016

รวมบทความเรื่อง ปรีดี จอมพล ป โดย เพจ starless night- harit mahaton

ที่มา

https://www.facebook.com/1030548200366605/photos/a.1031137236974368.1073741828.1030548200366605/1169858023102288/?type=3
https://www.facebook.com/1030548200366605/photos/a.1031137236974368.1073741828.1030548200366605/1171716329583124/?type=3
https://www.facebook.com/1030548200366605/photos/a.1031137236974368.1073741828.1030548200366605/1172110069543750/?type=3
https://www.facebook.com/1030548200366605/photos/a.1031137236974368.1073741828.1030548200366605/1172981662789924/?type=3

ถ้าถามผมว่ามีประวัติศาสตร์ไทยยุคไหนน่าเอาไปทำทีวีซีรี่แบบเกาหลีญี่ปุ่น ผมคิดว่า ยุคสมัยของ จอมพล ป. + ปรีดี นั้นสนุกที่สุด
เริ่มต้นด้วยยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช
คนหนุ่มลูกหลานสามัญชนกลุ่มแรกๆที่ได้ไปเรียนเมืองนอก และได้เห็นว่าสยามล้าหลังขนาดไหนเป็นครั้งแรก ไปนั่งวางแผนเปลี่ยนแปลงประเทศกัน เป็นครั้งแรกที่นายทหาร กับนักวิชาการกฎหมาย ที่จะเป็นทั้งศัตรูและมิตรได้พบกัน
เริ่มไคลแม็กซ์ครั้งแรกที่การปฏิวัติเปลี่ยนการปกครอง ด้วยแผนของพระยาทรงฯ
(ฉากพีค คือตอนฝ่ายคณะราษฎรคนหนึ่งไปจับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางสาปแช่งว่าเดี๋ยวพวกคณะราษฎรก็จะฆ่ากันเองเหมือนพวกคณะปฏิวัติของฝรั่งเศส / ฝ่ายคณะราษฏรตอบว่า ถ้ามันเป็นกงล้อขอประวัติศาสตร์ก็ให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ประเทศของเราต้องก้าวต่อไป)
พวกคณะราษฎรฝ่ายที่มีอายุ (เช่นพระยาพหลฯ)ไม่เด็ดขาดแต่เป็นผู้กุมกำลัง มุ่งจะประณีประนอมกับฝ่ายขุนนาง เลยเอาฝ่ายขุนนางที่น่าจะคุยกันได้มาเป็นนายกฯ
ความสำเร็จของการปฏิวัติที่ไม่เด็ดขาด ทำให้เริ่มการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง คณะราษฎรกับกลุ่มขุนนางเก่า นำไปสู่การกดดันทางรัฐสภาพยายามปฏิวัติกลับด้วยวิธีทางการเมือง ด้วยการค่อยๆ ตัดถอนกำลัง ส่งปรีดีไปเรียนต่อ ส่งพระยาทรงไปเป็นทูตเมืองนอก จนถึงขั้นปิดรัฐสภา และยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยฝ่ายขุนนาง
ในที่สุดคณะราษฎรฝ่ายที่มีอายุก็ยอมคนหนุ่มและตอบโต้ขุนนางด้วยกำลัง ทำให้ฝ่ายขุนนางก่อกบฏบวรเดช และเกิดสงครามกลางเมืองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นไคลแม็กซ์ที่สอง แต่หัวเมืองต่างๆ กลับสนับสนุนฝ่ายรัฐสภา เรื่องจึงจบลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดโดยการบัญชาการรบ ของ ป. (เพราะพระยาทรงไม่อยู่)
นำไปสู่การอัญเชิญในหลวงที่ทรงพระเยาว์ และทรงนิยมความคิดแบบตะวันตก อย่าง ร.8 ขึ้นครองราช
จากนั้นก็เป็นการต่อสู้กันเองระหว่างเหล่าคณะราษฎรเพื่อตัดสินว่าทิศทางของประเทศจะไปทางไหน
ไคลแม็กซ์ที่ 3 เมื่อ จอมพล ป. ขึ้นสู่อำนาจ ด้วยการกำจัดมิตรที่ร่วมก่อการกันมาและเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เก่งที่สุดอย่างพระยาทรงฯ
ทำให้เหลือกลุ่มที่ต่อสู้กันสองฝ่าย ระหว่างปีกนักวิชาการ+สังคมนิยม ของปรีดี กับฝ่ายทหาร ชาตินิยม + นายทุน ของ ป.
ผู้ที่กุมทั้งอำนาจทหาร และการเมืองคือ ป. - แต่ ปรีดี มีฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการ เป็นทั้งพระอาจารย์และพระสหายคนสนิท
แผนการสร้างชาติไทยของ ป. ที่ตัดสินใจทำทุกอย่างให้เป็นมาตรฐานเดียว กำหนดชุดความเป็นไทยขึ้นบังคับใช้ ลบความต่างระหว่าง ไทย จีน ลาว มอญ แขก และเผ่าต่างๆทั้งหมดไป
พร้อมทั้งใส่มาตรฐานของยุโรปเข้ามาในประเทศ โดยเปลี่ยนเอาแนวคิดของศาสนาพุทธเข้าไป จนกลายเป็นค่านิยมไทย ผ่านการเร่งสร้างโรงเรียนกระจายไปทุกภูมิภาค
แม้จะถูกต่อต้าน เกิดความไม่พอใจ แต่มันก็ก่อรูปร่างประเทศไทยในปัจจุบันขึ้น
ในที่สุดกระแสของสงครามโลกครั้งที่สองก็เข้ามาในประเทศไทย
สงครามอินโดจีนที่ไทยเอาชนะชาติตะวันตกได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของไทย
การเอาตัวรอดภายใต้มหาอำนาจสองฝั่ง เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาในไทย
ระหว่าง ป. นายกฯ ที่เป็นพันธมิตรญี่ปุ่น / ปรีดี ผู้สำเร็จราชการ หัวหน้าเสรีไทย ที่เป็นพันธมิตรอังกฤษ-อเมริกา
ไคลแม็กซ์ที่ 4 เมื่อสงครามจบลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร ป. พ้นจากอำนาจ และปรีดีขึ้นสู่อำนาจแทน
ท่ามกลางความต้องการจะแบ่งครอบครองไทยของอังกฤษและฝรังเศส การเจรจาของปรีดีต่อประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ไทยไม่แพ้สงครามและรักษาเอกราชได้ แลกกับการยกเลิกผลของสงครามอินโดจีน
แต่ฝ่ายทหารที่ใหญ่ขึ้นมากในช่วงส่งครามโลกครั้งที่สอง ก็ไม่พอใจนโยบายของปรีดี และไม่เข้าใจว่าเป็นการปกป้องเอกราชของชาติอย่างไร
ปรีดีตัดสินใจ ช่วยเหลือ ป. แทนที่จะประหารตามคำเรียกร้องของฝ่ายฝรั่งเศส
ไคลแม็กซ์ที่ 6 แผนโค่นล้มปรีดี การสวรรคต และการกลับมาอีกครั้งของ ป. ปรีดีต้องจากไทยไปตลอดกาล
เรื่องเข้าสู่ยุคสมัย ของ ป. ที่ถูกท้าทายด้วยอำนาจของลูกน้องตัวเองจากฝ่ายตำรวจ และฝ่ายทหาร
ป.พยายามจะสานสัมพันธ์กับฝ่ายนักศึกษาที่เป็นผู้สนับสนุนของ ปรีดี แต่ไม่สำเร็จ
ซึ่งจบลงที่ไคลแม็กซ์ที่ 7 คือป.ถูกหักหลังโดยลูกน้องของตัวเอง จบยุคสมัยของจอมพล ป.
ฉากจบของเรืองคือ จดหมายที่ ป. เขียนที่ญี่ปุ่น ถึง ปรีดีที่อยู่ที่ฝรั่งเศสว่า "ท่านอาจารย์ พวกเราได้ทำทุกอย่างที่เราเห็นควรว่าเพื่อประเทศชาติแล้ว ในโลกนี้คงจะมีเพียงท่านเท่านั้นที่เข้าใจข้าพเจ้า..."
เป็นความขัดแย้งระหว่างแนวทาง อนุรักษ์นิยมของขุนนาง - ชาตินิยมของ ป. - สังคมนิยมของปรีดี ทั้งหมดทำไปเพื่อประเทศชาติ และความอยู่ดีกินดีของประชาชน เพียงแค่มีความคิดและนิยามที่แตกต่าง
เป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยตัวละครที่มีสีสัน การต่อสู้ทั้งสงครามและการเมือง การปะทะกันของอุดมการ มิตรภาพระหว่างศัตรู ความพยายามสร้างชาติ การเปลี่ยนแปลงหรือเก็บรักษา และจบลงด้วยความอนิจจังของชีวิต
น่าเสียดายที่มันถูกพยายามไม่พูดถึง ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันมีความอีพิคด้วยตัวของมันเองมากๆเลยครับ
.
.
.
ทำเป็นละครซีรี่ได้ 13 ตอน
1. การพบกันของคนหนุ่ม - ปัญหาเศรษฐกิจ และความล้าสมัยของสยาม - จบด้วยการตกลงเตรียมปฏิวัติ
2. การวางแผนและปฏิวัติจริง ลุ้นตอนปฏิวัติ - จบด้วยความสำเร็จ
3. ความพยายามประนีประนอมของคณะราษฎรสายมีอายุ - การต่อต้านของฝ่ายขุนนาง การสั่งปิดรัฐสภาของฝ่ายขุนนาง - ความตึงเครียด - จบด้วยคณะราษสายมีอายุเชื่อคนหนุ่มตัดสินใจรัฐประหารคืนอำนาจให้รัฐสภา
4. ความไม่พอใจทนไม่ได้ของฝ่ายขุนนาง - นำไปสู่กบฏบวรเดช - การบัญชาทัพของ ป. - จบด้วยชัยชนะ
5. ร.8 เสด็จถึงไทยครั้งแรก - ความขัดแย้งกันทางความคิดของคณะราษฎร - ป.ตัดสินใจกำจัดพระยาทรงฯ - ความตายของพระยาทรงฯที่เขมร - ในขณะที่ ป. ขึ้นสู่อำนาจ
6. ความขัดแย้งระหว่าง ป. กับ ปรีดี - แผนสร้างชาติของ ป. - คนไม่พอใจต่อต้าน - เกิดกบฏปฏิเสธโรงเรียนรัฐในอีสาน - จบด้วยคำสั่งประหารกบฏของ ป. เพื่อยุคสมัยใหม่
7. เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น ป.เริ่มรณรงค์รักชาติ ประวัติศาสตร์เสียดินแดน และประกาศสงครามโจมตีอินโดจีน - จบลงที่ญี่ปุ่นเข้าไกล่เกลี่ยและชัยชนะของไทยที่มีต่อฝรั่งเศส
8. ญี่ปุ่นเริ่มยิ่งใหญ่ และบุกเข้าตีไทย - ทหารไทยต่อต้านการยกพลขึ้นบก - การเปิดรัฐสภาประชุมเร่งด่วนกลางดึก - จบด้วยการตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
9. ไทยภายใต้การเข้ามาของญี่ปุ่น ปรีดีตั้งเสรีไทย นายพลโตโจของญีปุ่นมาเยือนไทย พบปรีดีและ ป. ที่ธรรมศาสตร์ โดยไม่รู้เลยว่าเป็นฐานใหญ่ของเสรีไทย (ลุ้นว่าโตโจจะจับได้มั้ยว่าทุกคนตรงนั้นเป็นพวกเสรีไทย)
10. ไทยถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีหนัก ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ป.ตัดสินใจลาออก
11. ปรีดีขึ้นสู่อำนาจ เจรจาเพื่อให้ไทยเป็นเอกราช ตัดสินใจยกโทษให้ ป. - ปรีดีถูกรัฐประหารพ้นอำนาจ
12. ป.ขึ้นสู๋อำนาจรอบใหม่ และรู้ตัวว่าเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่สามารถควบคุมลูกน้องไม่ให้คอรัปชั่นได้ เพราะอำนาจไม่อยู่กับ ป.แล้ว ตอนจบลูกน้องบอกกับ ป. ว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว - ป. คิดถึงตอนที่ตัวเองพูดกับพวกขุนนางตอนเป็นหนุ่ม
13. ป. พยายามสานสัมพันธ์กับนักศึกษา แต่ไม่เป็นผล คนต่อต้าน ป. และในที่สุดก็ถูกรัฐประหาร - ป. คิดถึงคนอื่นๆทุกคนที่เคยโดน ตัวเองเล่นงานไป - ฉากจบ คนญี่ปุ่นมารับตอนลี้ภัย และเขียนจดหมายถึงปรีดี

---------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้เห็นมีข่าวคนพยายามจะล้มล้างผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของคณะราษฎร แล้วก็มีฝ่ายนิยมคณะราษฎรมาเถียงกันบ้าง
ฝ่ายที่บอกว่านิยมคณะราษฎร จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก ต้องบอกว่าเป็นฝ่ายนิยมปรีดีมากกว่า
อันที่จริง คนในคณะราษฎรที่สร้างมรดกตกทอดมายังปัจจุบันมากที่สุดคือจอมพล ป. ครับ
จอมพล ป. เป็นนายกอยู่เกือบ 15 ปี สิ่งสำคัญที่สุดที่ ป. สร้าง ขึ้นคือ "ประเทศไทย" ครับ
จริงๆถ้าทุกคนไม่เกลียด ป. แกต้องได้เป็น Father of the Nation
ป. ทำอะไรไปบ้าง?
.
.
1. เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย เปลี่ยนเพลงชาติ สั่งให้เคารพธงชาติทุกเช้า เป็นจุดเริ่มของความคิดชาติไทยในหัวทุกคน
.
.
2. สั่งให้ทุกเผ่าพันธุ์ในประเทศ กลายเป็นคนไทยให้หมด
มันมีเรื่องเล่าคลาสสิคว่า แม่บ้านที่มาเรียนภาษาไทยของโครงการช่วยเหลือแรงงานคนหนึ่งบ่นให้อาจารย์สอนภาษาฟังว่า
"อาม่าเนี่ยชอบด่าหนูว่า พวกพม่า เผ่ากรุง ไว้ใจไม่ได้ หนูเถียงอาม่าไม่ได้ แต่อยากจะบ่นให้อาจารย์ฟังว่า อาม่า เนี่ย สมัยกรุงถูกเผาบ้านแกยังอยู่ซัวเถาอยู่เลย แล้วสำคัญคือหนูไม่ใช่พม่า หนูเป็นไทยใหญ่"
สมัยก่อนในประเทศเราแบ่งเป็น ไทย ลาว จีน ญวน มอญ ไทใหญ่ ภูไท ฯลฯ ทุกเผ่ามีภาษา มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง
ถ้าใครเคยไป สิงคโปร มาเลเซีย จะเข้าใจครับ ว่าแต่ล่ะเผ่าจะอยู่แยกกันอยู่ มีชุมชนของตัวเอง พูดภาษาของตัวเองเป็นภาษาหลัก และใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน การแต่งงานข้ามเผ่า เป็นเรื่องลำบาก
แต่ ป. สั่งเลยว่าทุกคนต้องเป็นคนไทยให้หมด ให้เป็น ไทยลาว ไทยจีน ไทยญวน และให้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก และบังคับให้เรียนในโรงเรียนรัฐที่สอนภาษาไทย
ช่วงแรกเกิดการต่อต้าน ยกตัวอย่างกบฏที่อีสาน แต่ตัวหัวหน้าโดนประหารเรียบ ผลคือจากนั้นมาคนลาวต้องเรียกตัวเองว่าไทยอีสาน ห้ามเป็นคนลาว ผ่านมาหกสิบกว่าปีคนแถวนั้นก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเป็นลาว
มีการบังคับให้ใช้ชื่อไทยด้วย พวกคนลาว มอญ ฯลฯ ที่ไม่มีนามสกุลไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แต่จีนตอนแรกก็มีคนต่อต้าน หลังๆก็ยอมกันหมด แล้วก็เปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุลไทย ใช้ชื่อไทยกัน
คนไทยจะงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมบางประเภทมีหลายเผ่าพันธ์อยู่ด้วยกัน ทำไมอยู่ในประเทศอังกฤษ ถึงไม่เป็นคนอังกฤษหมดล่ะ ทำไมแบ่งเป็นสก็อต เป็นอังกฤษด้วย คาตาลันก็สเปนมั้ย อะไรแบบนี้
.
.
3. ก่อตั้งประเพณีไทยทั้งหมด ตั้งแต่การทักทาย การแต่งกาย ค่านิยม การใช้ชีวิต
- สมัยก่อน ป. เวลาเจอกัน ไทบ้านเขาไม่ยกมือไหว้พูดว่า "สวัสดี" นะครับ แต่ละพื้นถิ่นจะมีวิธีทักทายต่างกันไป
เท่าที่ผมอ่านงานมานุษยวิทยา คิดว่าเมื่อก่อนน่าจะเอามือแตะหูตัวเองเหมือนพยายามฟังเสียง (ยังมีทำต่อๆกันมาเป็นทำเนียมในตอนเริ่มของวงหมอลำ ซึ่งคนเข้าใจว่าเป็นการเช็คเสียง) แล้วถามว่า "กินข้าวหรือยัง?"
- จัดการแต่งกายให้ใหม่หมด สมัยก่อนไทยเราแต่งกายคือเปลือยอก (ทั้งชายและหญิง) นุ่งผ้าโจงกระเบน หรือถ้าเป็นทางเหนืออีสานขึ้นมา ผู้หญิงจะนุ่งซิ่นครับ (ไปดูแบบได้จาก พม่า และลาว)
จอมพล ป. สั่งใหม่เปลี่ยนไปใส่ กางเกง กับกระโปรงแบบยุโรป
ผู้ชายถูกบังคับให้ใส่เสื้อออกจากบ้านทุกคน ผู้หญิงก็เปลี่ยนไปใส้เสื้อ ตามแบบที่กำลังฮิตกันในยุโรป
บังคับใส่รองเท้าด้วย เมื่อก่อนไม่มีใครใส่กันหรอก
ทรงผมก็ถูกบังคับให้ตัดรองทรงแบบทหารยุโรป กับทรงบ๊อบผมสั้น หรือรวบผมยาว แบบที่กำลังฮิตในยุโรปด้วย
ทรงติ่งหูนักเรียนหญิงนี่สมัยก่อนฮิตในยุโรปเลยนะครับทันสมัยมาก ส่วนทรงนักเรียนชายนั้นเป็นแฟชั่นมาจากญี่ปุ่น
คือสมัย 60 ปี ที่แล้ว ป. เลือกเอาทรงที่ฮิตที่สุดในสมัยนั้นมาให้แล้ว แค่ว่าผ่านไป 60 ปีมันไม่ฮิตแล้วเท่านั้นเอง
- วัฒนธรรมการกินอาหาร
เมื่อก่อนคนไทยใช้มือกินข้าว ป. เป็นคนสั่งให้ใช้ช้อนส้อมเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดต้องมีช้อน
จริงๆอันนี้เป็นการบังคับให้เลิกเป็นจีน และ ญวนด้วย ลูกคนจีนต้องเลิกใช้ตะเกียบนอกบ้าน
- ป. จัดการกับค่านิยมครอบครัวใหม่
โดยบังคับให้เชิดชูครอบครัวแบบ ผัวเดียว-เมียเดียว ผู้ชายเป็นใหญ่ เป็นผู้ทำงานเลี้ยงครอบครัว เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องในครอบครัว
ครอบครัวต้องสามัคคีกัน เคารพผู้ใหญ่ ลูกหลานเลี้ยงดูพ่อแม่ มีประเพณีรดน้ำดำหัววันสงกรานต์ ฯลฯ
- ยกเลิกวัฒนธรรมเก่าที่ "ไร้อารยธรรม" หรือ ผิดกฎหมาย
ห้ามเคี้ยวหมาก กำจัดวัฒนธรรมเมียฉุด ห้ามเฆี่ยนลงโทษคนในปกครองเองโดยไม่ใข้เจ้าหน้าที่รัฐ ฯลฯ
แต่ ป. ก็ห้ามไปถึงอะไรที่บางทีก็ไม่ได้แย่ด้วย เช่นพวกการนั่งพื้น การนั่งพื้นเล่นดนตรี ฯลฯ
เราจะเห็นการปะทะกันของวัฒนธรรมจอมพล ป. กับ วัฒนธรรมเก่า ในหนังเรื่องโหมโรง แต่ ต้องยอมรับว่า ของเก่ามันมีส่วนที่ไม่ดีและจอมพล ป. ล้างไปเยอะอยู่เหมือนกัน
- วันหยุด ตลาดนัด ฟุตบอล งานวัด
เมื่อก่อน ชาวบ้านไม่ได้สนใจตาราง จ อ พ พฤ ศ อะไรไง ก็ไปทำนาทุกวัน
ป. จัดระบบปฏฺิทินใหม่ ใช้ตามยุโรป เปลี่ยนวันปีใหม่เป็นวันที่ 1 ม.ค. จากวนสงกรานต์
ในบ้านนอกวันหยุดมันเกิดขึ้นครั้งแรก กับข้าราชการ และโรงเรียน
นอกจากนั้น จอมพล ป. ยังกำหนดด้วยว่า วันหยุดให้ไปวัดนะ ไปเดินตลาดนะ ให้ไปเล่นกีฬาฟุตบอลนะ
วัดเลยต้องปรับเปลี่ยนตามเจ้านายข้าราชการทั้งหลาย เกิดตลาดนัด เกิดสนามฟุตบอลในโรงเรียน และหน้าสถานที่ราชการ
ฟุตบอลเลยเป็นกีฬาเดียวที่เด็กๆรู้จัก แล้วก็ฮิตมาในหมู่คนไทย
ส่วนงานวัด งานกาชาด ก็เกิดจากคำสั่งให้จัดงานวันรัฐธรรมนูญ ตามแบบคาร์นิวัลฝรั่ง มีซุ้มขายของ กาชาด ประกวดนางงามอะไรก็ว่าไป ทุกวันนี้ บางอำเภอยังมีอยู่ก็เปลี่ยนไปจัดช่วงปีใหม่แทน ของบางจังหวัดก็เปลี่ยนเป็นงานประจำจังหวัด แบบไม่กำหนดวัน
.
.
4. จอมพล ป. ก่อร่างประวัติศาสตร์ของชาติไทยใหม่
นโยบายชาตินิยมนั้น ไทยจำเป็นจะต้องมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นความคิดร่วมเพื่อความภูมิใจ และเป็นหนึ่งเดียวกันของไทย
ทุกเมืองต้องมีอนุเสาวรีที่สร้างความรักชาติ พร้อมตำนานเรื่องราว
หลวงวิจิตรวาทการ คือบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย เพราะประวัติศาสตร์ที่ป็อบกันอยู่ในทุกวันนี้แกเป็นคนแต่งทั้งนั้น
ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเช่น
- ชาวบ้านบางระจัน
- ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร
- ย่าโม
- พ่อขุนรามคำแหงเป็นคนไทย
- แนวคิดแผนที่ประเทศไทยที่ใหญ่ๆ กินไปทั้งเขมร ลาว และประวัติศาสตร์การเสียดินแดน 10 ครั้ง ที่เรานั่งดูกันเป็นคลิป ก็เกิดขึ้นตอนที่ ป. คิดจะไปตีฝรั่งเศส
ประวัติศาสตร์ไทยในโรงเรียน ประถม - มัธยม ฝีมือ ป. ทั้งนั้นแหละ
วิธีการเลือกเขียนประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรฉลาดมาก อย่างทำไมโคราช ต้องเป็นย่าโม ทำไมชัยภูมิต้องเป็นพระยาภักดีชุมพล เพราะเป็นพื้นที่ที่มีลาวเยอะ เลยต้องเลือกประวัติศาสตร์ที่ต่อต้านลาวไง ให้คนลาวเรียกว่าบรรพบุรุษตัวเองต่อต้านลาว จะได้เกลียดลาว แล้วกลายเป็นคนไทย
สุดท้ายมันจะจบที่ บรรพบุรุษเราต่อสู้หลั่งเลือดปกป้องแผ่นดินไทยมา รักชาติกันเถอะเสมอ
.
.
5. ศาสนาพุทธ
จริงๆทั้ง ป. และ ปรีดี เป็นคนเคร่งศาสนา
ป. รวมเอา ศาสนาพุทธเข้าสู่ความเป็นชาติไทย ในสามสีของธงชาติ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ - ศาสน์ ที่ว่าหมายถึงพุทธ
ป. ตั้งโครงการแปลพระไตรปิฏกเป็นภาษาไทย (ก่อนนี้เป็นบาลี)
โรงเรียนของรัฐให้เด็กทุกคนสวดมนต์ และเรียนพิธีกรรม คำสอนของศาสนาพุทธ
ป. ยังจัดให้มี องค์กรสงฆ์ เพื่อร่วมพลังในการขยายศาสนา และงบประมาณในการสร้างวัดเพิ่ม
เป้าหมายหลัก ที่ ป. สู้ด้วยคือ ศาสนาถือผี และกีดกันพวกถือผีด้วยข้อหาเป็นวัฒนธรรมเก่าไม่อารยะ
ศาสนาพุทธถูกจัดเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของคนไทย คนไทยต้องนับถือพุทธ
ในช่วงที่ ป. ทำสงครามกับฝรั่งเศส ความคิดนี้ทำให้คนไทยกดขี่ชาวคริสต์อย่างหนัก เพราะคิดว่าพวกนับถือคริสต์เนี่ยนิยมฝรั่งแน่ๆ ทำให้มีการเผาโบสถ์และมีคนโดนยิงตายเพราะไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาไป7คน ทุกวันนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โบสถ์สองคอน มุกดาหาร
วัฒนธรรมพระเครื่องยังเริ่มสมัย จอมพล ป. ด้วยครับ เพราะสมัยนั้นมีเครื่องพิมพ์แล้ว กลายเป็นของดีเมืองไทยจนทุกวันนี้
.
.
6. กองทัพไทยสมัยใหม่
จอมพล ป. น่าจะเป็นแม่ทัพไทยคนเดียวที่รบชนะยุโรป จริงๆจังๆ มีอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งเด็นเป็นสง่าฉลองชัยชนะที่มีต่อฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน (คนกรุงเทพผ่านแทบทุกวัน แต่ไม่ค่อยรู้กันว่าชัยสมรภูมิไหน)
แนวคิดทางยุทธศาสตร์ภาพรวมของ ป. ค่อนข้างดีจริงๆ คือรู้ว่าใครอ่อนแอให้ตี ใครแข็งแกร่งให้เป็นพันธมิตร
และด้วยการสนับสนุนของญี่ปุ่น กองทัพไทยในสมัยสงครามโลกนั้นใหญ่ขึ้นอีก 10 เท่าตัว จากก่อนหน้านั้น และค่อนข้างทันสมัย ในมาตรฐานสมัยนั้น
กองทัพไทยมีศักยภาพพอที่จะผลิตบุคลากรได้ด้วยตัวเอง เลยไม่ได้ส่งนายทหารไปเรียนเมืองนอกอีกแล้ว
พอสงครามโลกครั้งที่สองจบลง รัฐบาลพลเรือนต้องการจะยุบ แต่ทำไม่ได้ ผลคือกองทัพก็รัฐประหารเอา ป. กลับมาอีกครั้ง
แต่ ป. เองก็ควบคุมลูกน้องตัวเองที่กุมกำลังจริงๆไม่ได้ และลูกน้องรุ่นต่อๆมาๆไม่ได้จบนอกเหมือน ป.
อย่างไรก็ตาม แนวคิดชาตินิยมและประวัติศาสตร์ แบบ ป. ก็ฝังลงในกองทัพแล้ว
.
.
7. ป. พยายามสร้างวัฒนธรรม ประชาธิปไตยแบบ ป. ซึ่งไม่สำเร็จ
เป็นประชาธิปไตยที่เชิดชูรัฐธรรมนูญ พยายามทำให้เป็นสถาบันหลักทางการเมือง
อันที่จริงในสมัย ของ ป. นั้น มีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งเปิดทำการตลอด แม้ในสมัยสงคราม
ทุกครั้งที่ จะออกกฎหมายอะไร ป. จะเสนอต่อรัฐสภา และถ้าไม่ผ่านก็จะลาออก (ซึ่งรัฐสภาก็จะเลือก ป. กลับมา)
ป. ลาออกบ่อยมากๆ แต่ก็กลับมาทุกครั้ง
แต่ถึงแบบนั้น ป. ก็ไม่ได้ประชาธิปไตย 100% เพราะมันขัดแย้งกับความเป็นฟาสซิสม์ของแกเอง ป. เลยไปหาทางจัดการกับ ส.ส. ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของแก มากกว่าจะปิดสภา
แต่มันก็ดีกว่าสมัยต่อๆมา ที่ไม่มีสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งเลย
.
.
ดังนั้นจึงเป็นไม่ได้เลย ที่จะยกเลิกมรดกของ คณะราษฎร
คนที่คิดแบบที่ ป. สร้างขึ้น ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
เพราะสุดท้ายแล้ว พวกฝ่ายที่บอกว่าตัวเองเกลียดคณะราษฎร ก็เกลียดโดยยืนอยู่บนมรดกของ ป.
สุดท้ายประเทศไทยก็เป็นการตีกันของฝ่ายขวาซึ่งเป็นมรดกที่ ป. สร้างไว้ กับ ฝ่ายซ้ายที่เป็นมรดกของ ปรีดี อยู่ดี
แต่ทั้งๆที่ ป. ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ใครๆก็เกลียด ป. ฝ่ายขวาเขาหันไปนิยมสถาบันกษัตริย์เลยเกลียด ป. ที่เป็นคณะราษฎร ส่วนซ้ายก็เกลียดเผด็จการฟาสซิสม์มาแต่ไหนแต่ไร
ซึ่งจริงๆก็สมควรที่จะโดนทุกคนเกลียด เพราะ ป. เนี่ย ทั้งเนรเทศ ทั้งลอบสังหาร ทั้งสั่งประหาร เยอะแยะ
จริงๆตอนที่เรียนผมก็เกลียด ป. หนักอยู่เหมือนกัน ป. ทำให้ คนลาวในไทยสูญสิ้นวัฒนธรรม และความภาคภูมิใจของเผ่าพันธ์ ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นลาว
แต่มันช่วยไม่ได้ ถึงเราจะเป็นลาว จีน ญวน หรืออะไร แต่เราก็ถูกทำให้เป็นไทย แบบ ป. ไปแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เกิดวัฒนธรรมผสมผสานขึ้น (ที่เรียกว่า วัฒนธรรมอีสาน วัฒนธรรมไทยจีน ฯลฯ)
พอคิดดีๆ ผมก็ไม่ได้ชอบวัฒนธรรมเก่าขนาดนั้น
สุดท้ายแล้ว มันเลยอยู่ที่ตัวของเราในปัจจุบันเองว่าจะสร้างวัฒนธรรมอย่างไรขึ้นในอนาคต


----------------------------------------------------------------------------------------------------
เราน่าจะคุยเคยกับงานฝั่งอนุรักษ์นิยมอย่าง 4 แผ่นดิน ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์
ฝ่าย ป. มี หลวงวิจิตรวาทการ พระยาอนุมานราชธน ที่อ่านงานได้ตามหนังสือเรียนสังคม
แล้วฝ่ายปรีดีล่ะ?
นักเขียนที่มีชื่อเสียงที่นิยมฝ่ายปรีดี คือ "กุหลาบ สายประดิษฐ์" ครับ
งานที่มีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบันคือ "ข้างหลังภาพ"
อันที่จริงเป็นหนึ่งงานเขียนคลาสสิคที่ผมชอบที่สุดของไทย
เรื่องอยู่ในช่วงสมัยคณะราษฎร
นพพร ชายหนุ่มที่ได้ทุนรัฐบาลเรียนต่อญี่ปุ่น และได้พบกับ ม.ร.ว. ชื่อกีรติ ภรรยาของท่านเจ้าคุณคนหนึ่งที่ญี่ปุ่น (เจ้าคุณอายุ 60 ปีแล้ว)
นพพรเป็นผู้ที่มีความคิดแบบสมัยใหม่(ในยุคนั้น) คือคิดแบบสุภาพบุรุษแบบฝรั่ง ที่เชิดชูความรัก
ในขณะที่ ม.ร.ว. กีรติ นั้นยึดมั่นใจเกียรติ แบบสมัยก่อน
ทั้งสองคนรักกันและกัน แต่ ม.ร.ว. กีรติ นั้นไม่อาจตอบสนองความรักของนพพรได้
ผมชอบตรง งานมันมีความละเมียดละไม ในเรื่องความรักของสมัยนั้นมาก และไม่บรรยายเยอะจนน่าเบื่อ
นพพรนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ ม.ร.ว.กีรติ ไม่ยอมพูดตรงๆเสียที
ท้ายสุด เรื่องจบที่ทั้งสองคนแยกจากกัน เพราะ ม.ร.ว.กีรติ ไม่ยอมตอบรับนพพร
นพพรเลยตัดใจแต่งงานกับหญิงอื่น และส่งจดหมายไปให้ ม.ร.ว.กีรติ โดยไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ
ตอนนั้นท่านเจ้าคุณสามีของ ม.ร.ว.กีรติตายไปแล้ว ม.ร.ว.กีรติได้จดหมายก็สะเทือนใจมากที่นพพรทิ้งเธอไปแต่งงาน ก็เลยป่วยตาย
ลองอ่านดูนะครับ
อ่านแล้วจะเข้าใจว่ามันคือ Snap ของยุคสมัยนั้นนั่นเอง
อย่างแรกเลย มันคือการปะทะกันระหว่างแนวคิดใหม่กับเก่า ที่เกิดขึ้นในยุคคณะราษฎร
และพวกอนุรักษ์นิยมเนี่ยไม่ยอมเปิดรับสิ่งดีๆเลย และยึดติดอยู่กับอะไรแก่ๆที่กำลังจะตาย โดยเชิดชูว่าการอยู่กับเรื่องแย่ๆนั้นเป็นเกียรติ
ชีวิต ม.ร.ว.กีรติ คือไหลไปตามพ่อ ตามประเพณี คือไม่อาจเลือกชีวิตด้วยตัวเองได้ คือทั้งๆที่เรารู้สึกว่า อันที่จริง ม.ร.ว.กีรติ ก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับ ท่านเจ้าคุณเท่าไหร่ ก็บอกเองว่าไม่ได้รักเลย แต่ก็เอาแต่ยึดติดว่านั่นถือเป็นเกียรติ และเชิดชูขึ้นให้มันสูง
นพพรเนี่ยเรียกร้อง กีรติให้ทิ้งเกียรติของตัวเอง แล้วเลือกความรัก ให้ตัดสินใจเอาแต่ใจตัวเอง แต่เธอไม่ทำ
แต่ว่าเมื่อนพพรไปเลือกคนอื่น ก็ค่อยมานั่งเสียใจที่ไม่อาจทิ้งความคิดเก่าเพื่อก้าวสู่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ และตายไป
ฝ่ายนพพรเอง ก็เหมือนพระเอก Snap คือ ถ้าเราอ่านแบบไม่คิดอะไรจะรู้สึกว่า นพพรไม่เข้าใจคุณหญิงกีรติเลย แต่พอคิดว่ากุหลาบเขียน ผมรู้สึกว่า จงใจเขียนให้นพพร "ไม่แคร์"
เรื่องก็เลยเศร้า และดีครับ
ผู้อ่านส่วนมาก จะเศร้า และด่าว่านพพรไม่เข้าใจคุณหญิงเลย แต่อันที่จริงคือเรื่องมันสื่อว่า นพพร ไม่แคร์ และต้องก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตไงครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
กรณีพิพาทอินโดจีน : เกียรติภูมิสูงสุดของกองทัพไทย
นี่จะเป็นซีรี่สุดท้ายของผมเกี่ยวกับ จอมพล Strange เดียวเขาจะหาว่าผมอวยฟาสซิสม์
แต่คนไทยเนี่ย มักจะรู้ประวัติศาสตร์แค่ส่วนเดียว
คือรู้เฉพาะส่วนที่หนังสือเรียนสังคมอยากให้เรารู้ ส่วนพวกที่รู้เพิ่มอีกฝ่ายก็รู้เฉพาะทางของฝ่ายปรีดี
ป. เป็นคนที่ ตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ภาพรวมได้ดีมาก
กรณีพิพาทอินโดจีน เริ่มในปี 2483 เป็นศึกที่ไทยรบกับฝรั่งเศส
(เวลานั้นเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกเราคือฝรั่งเศสที่ครอบครองลาว กัมพูชา เวียดนาม - ฝั่งตะวันตก และใต้ คืออังกฤษ ที่ครอบครองพม่า มาเลเซีย)
โดยมีปัจจัยสำคัญที่เป็นโอกาสเหมาะแก่การทำสงครามคือ
.
.
1. ปารีสพึ่งถูกตีแตกโดยนาซีเยอรมัน
ฮิตเลอร์ตั้งคนฝรั่งเศสที่ยอมรับใช้นาซีเป็นรัฐบาลที่เมือง วิชิ เราเรียกประเทศฝรั่งเศสตอนนั้นว่า วิชิฟรองเซ
รัฐบาลวิชินั้นเป็นพวกอักษะ เรือ ทหาร ทรัพยากรทั้งหมดถูกโอนให้พวกนาซี
ตอนนั้นฮิตเลอร์บุกตีอังกฤษแล้วแต่ตีไม่แตก บุกไม่เข้า
สถานการณ์ในยุโรปจึงเป็นการยันอยู่แบบที่ฮิตเลอร์ครอบครองภาคพื้นยุโรป ส่วนอังกฤษตรึงกำลังครอบครองน่านน้ำ และฐานอาณานิคมในแอฟริกาใต้ อินเดีย พม่า ไว้ได้ - อเมริกายังเฝ้าดูอยู่โดยยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม
ในสถานการณ์นี้ อาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีน คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ถูกโดดเดียว
ไม่มีทางที่ฝรั่งเศสจะส่งกำลังจากยุโรป ผ่านกองเรือมาช่วยได้
.
.
2. อังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการรบ และจะไม่ขนาบข้างหลัง
เพราะเวลานี้ วิชิ เป็นศัตรูของอังกฤษ และอังกฤษยังอยู่ในสงครามกับเยอรมันซึ่งเรื่องใหญ่กว่า อังกฤษต้องใช้อาณานิคมส่งเสบียง และยุทโธปกรณ์กลับไปที่ยุโรป ย่อมไม่อยากเปิดศึกเพิ่มอีกด้าน
.
.
3. ประชาชนไทยหนุนการทำสงครามนี้
ชนชั้นนำไทย และคนเมืองกรุงเทพ โกรธแค้นเรื่องเหตุการ ร.ศ.112 ในสมัย ร.5 มาก - ตอนนั้นฝรั่งเศสเอาเรือปืนมาปิดแม่น้ำเจ้าพระยา บังคับให้ไทยยอมรับการครอบครองกัมพูชาของฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายให้ฝรั่งเศส
ประชาชนย่อมหนุนเมื่อรัฐบาลคิดจะทำสงครามแก้แค้นกับฝรั่งเศส
.
.
4. กองทัพไทยในเวลานั้น พัฒนาแล้ว มีกำลังมาก (ยกเว้นทัพเรือ)
กองทัพไทยใหม่เหมือนสมัย ร.5 ได้รับการพัฒนาตามแบบยุโรปหมดแล้ว มีรถถัง เครื่องบินพร้อม เหล่าแม่ทัพนายกองก็สำเร็จการศึกษามาจากยุโรปพร้อมทั้งหมด
ไทยมีรถถังประมาณ 150 คัน เครื่องบินรบอีกประมาณ 150
ในขณะที่ฝรั่งเศสมีรถถังแค่ 20 กับเครื่องบิน 100
ฝรั่งเศสไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จึงไม่จำเป็นต้องคงทหารไว้มากขนาดนั้น จึงมีทหารฝรั่งจำนวนไม่มาก ที่เหลือเป็นกองทหารท้องถิ่น ซึ่งไม่ได้มีฝีมือ และความจงรักพักดีอะไรนัก
.
.
5. เส้นทางลำเลียงพล และยุทโธปกรณ์ฝั่งไทยดีกว่า
ถนนหนทางที่จะลำเลียงกำลังพลไปยังชายแดนของฝั่งไทยก็ดีกว่า
เนื่องจากฐานใหญ่ของฝรั่งเศสอยู่ที่ดานัง และฝรั่งเศสใช้วิธีปกครองอาณานิคมแบบรัฐในอารักขา คือปล่อยให้พวกเจ้าเมืองท้องถิ่นปกครองไปเอง ไม่ได้ยึดครองเต็มรูปแบบและไม่ได้สร้างถนนหนทางแบบอังกฤษทำในพม่า ถนนในลาว กัมพูชา เลยเลวร้าย
.
.
6. ชาวพื้นถิ่นในอินโดจีน ย่อมเลือกที่จะหนุนไทยมากกว่า
อย่างน้อยก็เป็นคนหน้าตา ผิดใกล้ๆกัน พูดกันรู้เรื่อง อาจชักชวนก่อการ หรือซื้อขายเสบียงได้
.
.
7. ปัจจัยทางการเมืองเป็นผลดีกับ ป. ที่จะทำสงคราม
เนื่องจาก รัฐบาล คณะราษฎรยังไม่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูงของไทยนัก แต่หากสามารถทำสงครามล้างอายเรื่อง ร.ศ.112 ได้ ความนิยมของรัฐบาลจะสูงขึ้น
.
+++++++++++++
.
ปลายปี 2483 ป. เริ่มโดยการจัดตั้งนักศึกษา เพื่อรณรงค์เดินขบวน เพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
มีการเผยแพร่เรื่องการเสียดินแดน 10 ครั้ง ในทุกที่ทั่วทั้งประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ตีข่าวโจมตีฝรั่งเศส
มีการแต่งเพลง ปลุกใจ เปิดให้ประชาชนฟัง
.
.
รัฐบาลไทย เริ่มจากวิธีทางการทูต โดยการยื่นหนังสือ บอกฝรั่งเศสว่า "ถ้าไม่มีปัญญารักษาอาณานิคมอินโดจีน ก็มอบคืนให้ไทยเถอะ"
ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องแบบหน้าด้านๆมากๆ
(จอมพล ป. คุมกระทรวงต่างประเทศเองด้วย)
ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลสำหรับคนไทย แต่สำหรับฝรั่งเศสนั้น ก็เหมือนสมมุติว่าจีนยื่นหนังสือบอกว่า เกาหลีเป็นของจีน ยกคืนให้จีนเถอะ
แน่นอนว่าฝรั่งเศสไม่ยอม และเคลื่อนกำลังเท่าที่เคลื่อนได้ประชิดชายแดน
จอมพล ป. ประกาศว่า ฝรั่งเศสได้รุกล้ำอธิปไตยไทย และสั่งให้เปิดฉากโจมตีในทันที โดยอ้างเหตุผลเรื่องทวงดินแดนคืน
.
.
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายไทยชนะคือ การต่อสู้ทางอากาศ
หัวเมืองชายแดนไม่ได้มีการป้องกันที่ดีพอ
เมื่อควบคุมน่านฟ้าได้ ฝ่ายไทยก็โจมตีฐานที่มั่นฝรั่งเศสทางอากาศอย่างต่อเนื่อง
และเข้ายึดด้วยทัพบก
ไทยชนะแทบทุกศึก ยกเว้นศึกทางทะเล ที่ยุทธภูมิเกาะช้าง
ในศึกทางบก ฝ่ายไทยรุกเข้าอย่างรวดเร็ว ยึดเมืองได้ 4 เมือง จับเชลยได้ 200 กว่าคน
.
.
อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็สร้างขึ้นเพื่อรำลึกเหตุการณ์นี้ครับ
.
.
ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย
.
.
ตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังยึดครองจีนอยู่
ญี่ปุ่นและวางแผนจะยึดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ก่อนแล้ว
รัฐบาล วิชิฝรั่งเศสนั้น เป็นฝ่ายอักษะ ญี่ปุ่นสามารถเคลื่อนทัพผ่านไปได้เลย
แต่ไทยกำลังจะทำให้ญี่ปุ่นเสียแผน
ญี่ปุ่นเลยเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา
9 พ.ค. 2484 ไทยจึงลงนามสนธิสัญญาโตเกียว
ฝรั่งเศสยอมยกดินแดนที่ไทยยึดได้ 4 เมือง
ตั้งเป็น จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง จังหวัดพิบูลสงครามและจังหวัดพระตะบอง ร่วม 24,000 ตารางกิโลเมตร กว่าๆ
.
.
จากนั้นความนิยมของ จอมพล ป. เลย โหดสัสมากๆ
ลองคิดดูว่า "ชนะฝรั่ง" นั้นเป็นสิ่งที่เหนือจริงในความคิดของคนไทยยุคนั้นมากๆ ประมาณเหมือนบอกให้ฟุตบอลทีมชาติไทยชุด10ปีก่อนไปแข่งชนะทีมชาติฝรั่งเศส
มันเป็นความฝันของชนชั้นนำไทย ที่รัฐบาลขุนนางไม่เคยแม้จะคิด แต่จอมพล ป. ทำสำเร็จ
จากนั้นเป็นต้นมา ความภูมิใจในความเป็นไทยก็พุ่งสูง รวมถึงความเชื่อมั่นในท่านผู้นำ เหมือนวลีว่า"ไม่ว่าท่านผู้นำไปไหนฉันจะไปด้วย"
.
++++++++++
.
สถานการณ์มันเปลี่ยนไปในวันที่ 7 ธ.ค. 2484 เมื่อจู่ๆญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกโจมตีไทยโดยไม่คาดฝัน
.
.
ส่วนตัวผมนับถือการตัดสินใจของ ครม. ในวันนั้นนะ การตัดสินใจว่าสงครามไหนจะแพ้ ไม่ควรสู้ นั้นยากกว่าการตัดสินใจว่าสงครามไหนจะชนะ
ลองคิดดูว่าถ้าหากเราอยู่ในสถานการณ์นั้น จะตัดสินใจอย่างไร
ญี่ปุ่นสมัยนั้นนี่มันจีนทุกวันนี้ดีๆนี่เอง ถ้าเราโดนกองทัพแบบนั้นบุกจะทำยังไง
ผมว่า ส่วนมากเลือกสู้ แล้วก็คงตายกันฉิบหายย่อยยับ
ส่วนน้อยอาจจะยอมแพ้ แล้วก็ยอมโดนประนามว่าขี้ขลาด
แต่จะมีใครบ้างที่จะคิดออกว่า "ไหนๆก็สู้ไม่ได้แล้ว เราก็มาเป็นพวกมันกันเถอะ"
.
.
กองทัพไทยใหญ่ขึ้นสิบเท่าตัว จากการสนับสนุนของญี่ปุ่น
สำหรับญี่ปุ่น การผลักภาระเรื่องกองทัพ ทางด้านยุทโธปกรณ์ และเสบียง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปให้ไทยนั้นต้นทุนถูกกว่า
ป. ก็ไม่ค่อยอยากรบเองเท่าไหร่ เลยเต็มใจทำบทบาทสนับสนุนญี่ปุ่นในแนวหลัง และเน้นผลประโยชน์ที่ได้จากเงินญี่ปุ่น
+++++++++++
.
สิ่งที่แสบ และเป็นปราฏิหาริย์ที่สุดทางการเมืองระหว่างประเทศคือเกมส์การเล่นไพ่สองมือ ระหว่าง ป. กับปรีดี
คนหนึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลเข้าข้างญี่ปุ่น ส่วนคนหนึ่งเป็นฝ่ายสถาบันกษัตริย์แอบเข้าข้างสัมพันธมิตร
.
.
ถ้าญี่ปุ่นชนะ เราก็เป็นมหามิตร ครองพื้นทวีปอินโดจีน
แต่ญี่ปุ่นแพ้ เราก็เลยถูกญี่ปุ่นบังคับ ความผิด ป. คนเดียว ผู้สำเร็จราชการตัวแทนในหลวงไม่เอาด้วย เห็นมั้ยว่าเรามีเสรีไทย
เย้!
ไทยเป็นประเทศอักษะประเทศเดียวที่ไม่แพ้สงคราม
แต่ผลของความพยายามเจรจาสันติภาพ ก็ทำให้เราต้องยอมยกเลิกสนธิสัญญาโตเกียวทิ้งไป และมอบดินแดนทั้ง 24,000 ตร.กม. คืนให้กับฝรั่งเศส
จริงๆฝรั่งเศสก็ไม่ค่อยพอใจหรอก อยากเอาให้หนักกว่านี้
แต่เกมส์การทูตของปรีดีเก่งจริงๆ ไปล็อบบี้ทั้ง อเมริกา ทั้งโซเวียต ไว้ได้ และฝรั่งเศสเวลานั้นก็ต้องฟังอเมริกา
จากนั้นมาประวัติศาสตร์ไทยก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้ เดี๋ยวจะไปสะกิดความรู้สึกอยากเอาคืนของฝรั่งเศส
ถึงเราจะสูญเสียทุกอย่างที่ได้มาจากกรณีพิพาทอินโดจีน แต่ก็แลกมากับการรักษาเอกราช ซึ่งคุ้มมากแล้ว
แต่ปัญหาภายในที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไปคือ กองทัพไทยที่ใหญ่ขึ้นสิบเท่าจากก่อนหน้า ทำให้มันทรงอำนาจกว่าเดิม และต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการดูแลมหาศาล
รัฐสภาของปรีดีที่ขึ้นมาแทน ป. นั้นเต็มไปด้วยพวกเสรีไทยที่ขาดความจัดเจนทางการเมืองไปหน่อย จึงได้ทำอะไรที่ไม่ค่อยเห็นหัวอกกองทัพ
เช่นสั่งให้ ถอนกำลังจากทั้ง 4 จังหวัด โดยให้เดินเท้ากลับบ้านเองแบบผู้แพ้ แถมยังประนามด่าเหมือนเป็นคนผิดทั้งหมด เป็นต้น
เพราะเหตุนี้พวกทัพบกเลยเกลียดปรีดีมาจนทุกวันนี้ และเป็นเหตุให้ปรีดีถูกรัฐประหารถูกไล่ออกจากประเทศไทยไป
ในยุคต่อจากนี้ กองท้พไทยจะถูกใช้ในบริบทของสงครามเย็น และมีอำนาจจนแม้แต่จอมพล ป. ก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป และนำไปสู่การจบสิ้นของยุค ป. ที่เป็นเผด็จการฟาสซิสม์แบบยุโรป แต่เปลี่ยนเป็นยุคเผด็จการแบบไทยๆ
++++++++++++
.
โดยสรุป การทหาร และ การทูต นั้นเป็นสองด้านของเรื่องเดียวกัน การรักษาเอกราชและผลประโยชน์ของประเทศชาติ ยิ่งในบริบทของสงครามโลกด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ว่าจะประนามว่าใครเลว ใครผิด
สงครามที่ดีคือสงครามที่ชนะ สงครามที่ดีที่สุดคือสงครามที่ชนะโดยไม่มีใครตาย
และในความพ่ายแพ้ จะมีวิธีแพ้อะไรที่ดีกว่านี้อีก?
ไม่ว่าด้วยวิธีใด แต่เวลานี้เราก็รักษาเอกราชได้ โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ สูญสิ้นสถาบันกษัตริย์ หรือสิ้นชาติ ดังหลายๆประเทศ
นั่นเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราทำได้ดีที่สุดแล้ว
เราถูกทำให้ลืม และไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความสำเร็จ และความผิดพลาดของ ป. กับปรีดี ทั้งสองคนเป็นมนุษย์ที่ต่างผิดพลาด แต่ก็มีสิ่งที่ทำได้ดีมากๆ
ทุกวันนี้เราขาดทัศนคติการเล่นการเมืองกันแบบ ป. กับ ปรีดี ที่แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่คนละฝั่งของไม้บรรทัด แต่ก็สนับสนุนประเทศชาติในแบบของตัวเอง และขึ้นมามีบทบาทในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่คนรุ่นคณะราษฎรเรียกว่า "สุภาพบุรุษ"
เราเอาแต่สาดเทโจมตีกัน จนสุดท้ายก็ทำลายกันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายแล้วผลเสียก็ไปตกอยู่กับประเทศชาติ
ประเทศเรามาอยู่ตรงนี้เพราะพวกเราไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เลย และถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ประเทศไทยก็จะเหมือนคนความจำเสื่อม ทำเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่จำไม่ได้ว่าเคยทำไปแล้ว ก็เลยวนอยู่ที่เดิมตลอดกาล

Thursday, September 01, 2016

Abu Ward คนสวนคนสุดท้ายแห่ง อาเลปโป้

Abu Ward อาศัยที่เมือง อาเลปโป้ ในซีเรียที่อยู่ในเขตปกครองของฝ่ายกบฎ แม้ในระหว่างสงครามกลางเมืองห้าปีนี้ เขาก็ยังคงอยู่ที่เมืองนี้ โดยพยายามที่จะทำสวน ปลูกดอกไม้ต่อไป เขาตั้งใจแจกและ ขายดอกไม้ให้กับคนในเมือง เพื่อที่จะทำให้เมืองนี้ยังคงสวยงามอยู่

ชื่อของเขา แปลว่า พ่อของมวลดอกไม้ เขาบอกว่า สวนเล็กๆของเขาราคามากกว่าหลายพันล้านดอลล่าร์ พวกเราเป็นเจ้าของโลกนี้ คนธรรมดาทั้งหมดเป็นเจ้าของโลกใบนี้

ฝั่งรัฐบาลซีเรียโดยความช่วยเหลือของรัสเซียยังคงบอมบ์เมืองนี้ไม่หยุดหย่อน จนคนในเมืองต้องหนีหายหรือตายไป จากที่เคยมีประชากรเป็นล้านคนตอนนี้เหลือแค่ สองแสนกว่าเท่านั้น

แต่เขาก็ยังไม่หนีไปไหน เขาบอกว่า เสียงของสงครามเหมือนบทเพลงของคีตกวี บีโทเฟน มันเป็นเพลงที่เขาเคยชินไปแล้ว ถ้าขาดมัน เขาน่าจะอยู่ไม่ได้ เขาเลยคิดว่าเสียงสงครามเป็นแค่เสียงดนตรีไปเท่านั้น ด้วยพระคุณของพระเจ้าต้นไม้จะมีชีวิต และ ทุกคนจะมีชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คนที่มาซื้อดอกไม้บอกว่า สวนนี้เป็นสิ่งที่สวยงาม มันให้ความหมายกับชีวิต ให้กำลังใจกับผู้คนท่ามกลางสงคราม เพื่อไม่ให้เห็นแค่การทำลายล้าง แต่ยังเห็นถึง การสร้างใหม่ สวนนี้ทำให้คนอยากมีชีวิตต่อไป มีกำลังใจที่จะสร้างสิ่งต่างๆทดแทนสิ่งที่ถูกทำลาย
เขามีลูกมือเป็นลูกของเขาเองชื่อ อิบราฮิม วัย 13 ปี ลูกคนอื่นโดนระเบิดตายหมดแล้ว อิบราฮิมออกจากโรงเรียนมาเพื่อช่วยอาบูทำสวนนี้ และ อิบราฮิมอยากจะได้ใกล้ชิดพ่อของเขา ด้วย
มันเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ เป็นความหวังเล็กๆบนโลกที่เหมือนนรกนี้ แต่โชคร้ายที่ความหวังต่อการมีชีวิตอยู่นี้ไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป

เพียงแค่ 6 สัปดาห์หลังอาบูให้สัมภาษณ์กับทางสถานี Channel4News เขาโดนระเบิดเสียชีวิต สวนดอกไม้ต้องปิด และอิบราฮิมลูกของเขากลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ชีวิตตัวเอง แม้ว่าจะทำใจอยู่ทุกวันว่าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้

สุดท้ายขอฝากไว้ด้วยคำอมตะของ อาบู 
"ดอกไม้สามารถช่วยโลก ไม่มีสิ่งไหนที่มีความสวยงามเกินไปกว่าดอกไม้ คนที่เห็นดอกไม้จะมีความสุขกับความงามที่พระเจ้าทรงสร้าง และเมื่อคุณได้กลิ่นดอกไม้ กลิ่นของมันจะเป็นอาหารให้หัวใจและวิญญาณของคุณ สิ่งสำคัญของโลกคือ ดอกไม้"
#pleasestopthewar

ที่มา 
https://www.facebook.com/Channel4News/videos/10154001524696939/

Thursday, August 18, 2016

10 วิธีง่ายๆ ปลุกความเป็นชาตินิยมในประเทศของคุณ

ที่มา
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=286805221704109&id=226559904395308
แปลจาก
http://www.zeit.de/kultur/2016-08/europaeische-union-nationalismus-populismus-anleitung/komplettansicht

บทความเล่าการเกิดขึ้นใหม่ของพวกขวาจัดในยุโรปผ่านการเสียดสี
ถ้าเทียบกับไทย ที่ต่างชัดเจนคือ เราไม่ต้องมีการสร้างหน่วยค่าเงินกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ที่ตรงกันมีเยอะ เช่น การเปิดเสรีตลาดการเงิน ทำให้คนรู้สึกเสียความควบคุมไป หรือ การสร้างศัตรูไว้ก่อน สำหรับยุโรปคือ อียูและคนรวย สำหรับไทย แต่ละฝั่งก็มีศัตรูเป้าไว้ ฝั่งนึงคือทักษิณ อีกฝั่งคืออีลิต และที่สำคัญคือ ไม่สนใจความรู้อะไร ใส่กัน อัดกันไว้ก่อน

ทางออกสำหรับเรื่องนี้ น่าจะเป็นที่การทำให้เป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้น นั่นคือ เพิ่มการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชนสู่การปกครองตัวเองมากขึ้น แบบที่ ฮาเบอร์มาสเคยกล่าวไว้ "
การสร้างความเท่าเทียม (equality) ระหว่าง ประเทศสมาชิกอียู การรวมกันที่แท้จริงของชาติสมาชิกเท่านั้นจะช่วยแก้ปัญหา"
http://www.independent.co.uk/news/world/europe/german-philosopher-jurgen-habermas-right-wing-populist-parties-grow-eu-integrates-brexit-a7132936.html?utm_content=buffer2daec&utm_medium=social&utm_source=facebook.com&utm_campaign=buffer
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
#### 10 วิธีง่ายๆ ปลุกความเป็นชาตินิยมในประเทศของคุณ ####
บทความเสียดสีที่ขนาด Christian Kern นายกรัฐมนตรีของออสเตรีย ยังแชร์ไปบอกว่าควรอ่าน
โดย Felix Stephan
ในยุโรปกำลังเกิดกระแสชาตินิยมที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองง่ายๆ ต้องการการดูแลเหมือนต้นกล้าน้อย นี่คือ ทิป 10 ข้อ ที่จะช่วยคุณปลูกฝังชาตินิยมได้แน่นอน
คุณเป็นนักการเมืองยุโรป หรือ อยากจะเป็นหรือเปล่า? ในประเทศของคุณ พวกขวา พวกชาตินิยม หรือ เหยียดเชื้อชาติ ไม่มีอิทธิพลใดๆหรือไม่ ? คุณเบื่อหรือขาดความท้าทายอะไรไหม? ถ้าใช่เรามี 10 วิธีง่ายๆในการสร้างความเป็นชาตินิยมให้ประเทศของคุณ
1. เอาเงินตราแต่ละประเทศผูกมัดรวมกัน
ข้อแรกนี่สำคัญทีสุด เป็นพื้นฐานให้ข้อต่อๆไป โดยการสร้างค่าเงินมาใช้ร่วมกัน แต่ไม่สร้างองค์กรที่ควบคุมนโยบายการเงินร่วมกัน ทำแบบนี้ยิ่งกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเสียอีก ได้ทั้งหน่วยเงินที่ใหญ่ขึ้นไว้ไฝว้กับดอลลาร์ แถมถ้าประเทศไหนมีปัญหากับหน่วยเงินใหม่นี้ ธนาคารกลางยุโรปก็ไปตัดเงินเกษียณและสวัสดิการได้ทันที ไม่ต้องไปถามรัฐบาลประเทศนั้น สุดยอดแบบนี้อนุญาตให้เก็บโปเกมอนได้ตัวนึง
2. ก่อตั้งสหภาพยุโรป
ไปเซ็นต์สัญญาก่อตั้งสหภาพยุโรปที่ Maastricht ที่ทำให้เกิดธรรมนูญปกครองที่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว เมื่อสาธารณชนได้รับรู้ว่าไปเซ็นต์รับอะไรมา ที่สำคัญอย่าไปสนใจความเห็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น Donald MacDougall นักเศรษฐศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ได้ทำนายไว้นานแล้วว่า การสร้างสหภาพที่ใช้หน่วยเงินเดียวกันแต่ไม่มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนสินทรัพย์นั้นเหมือนกับระเบิดเวลา คุณไม่ต้องสนหรอก เราเบื่อพวกผู้เชี่ยวชาญแล้ว
3. เปิดเสรีตลาดการเงิน
เมื่อทำแบบนี้แล้ว กองทุนระหว่างประเทศจะได้ไม่ใช่แค่เล่นพนันกับตลาดหุ้น แต่ได้พนันขันต่อ กับ ความสามารถทางการเงินของประเทศในยุโรปได้ด้วย ทำแบบนี้แล้วจะได้เกิดปฎิกริยาลูกโซ่ที่แสนโสภา คือ ประเทศที่ยิ่งก่อหนี้มากๆ ยิ่งมีความสามารถทางการเงินสูงขึ้นๆ ข้อดีสำหรับคุณคือ ชาติสมาชิกชาติใด ที่ทำให้ค่าเงินมีปัญหา คุณสามารถตัดสวัสดิการของรัฐนั้นทิ้งได้ทันที ทำแบบนี้แล้วความเป็นชาตินิยมจะผุดบานอย่างกับดอกเห็ดทีเดียว
4. เอาคนรวยเป็นแพะ
หลังจากทำมาแล้วสามขั้น คุณจะทำให้พวกชาตินิยมมีสิทธิ์ได้รับเลือกจากคนทำงาน คนตกงาน และ ผู้เกษียณอายุ แต่ยังไม่พอแค่นี้ ยังทำให้พวกชาตินิยมเพิ่มมากขึ้นไม่ได้ คุณต้องการ พวกอีลิต พวกอำมาตย์ ที่เอาทรัพย์สินของชาติไปลงทุนต่างชาติ เหมือนกับการขายชาติให้กับต่างชาติ พวกนี้ไม่สนใจประเทศชาติ สนใจแค่เอาเงินไปลงทุน เอาชาติเป็นแค่ชื่อยี่ห้อในการขาย ฟังดูเหมือนแย่ แต่ปัญหาพวกนี้จัดการในตัวเสร็จเรียบร้อย เพราะ มันทำให้คุณมีพันธมิตรชาตินิยมในประเทศอื่น
5. รักษาความรู้และวัฒนธรรมอันล้ำค่า
อย่าไปเชื่อว่า ภูมิปัญญาของแต่ละประเทศนั้นผสมผสานและแลกเปลี่ยนกันมามากกว่าหลายร้อยปี การที่เกอเธ่แปลงานของ Diderot จนดังในเยอรมนีกว่าในฝรั่งเศส หรือ การที่งานของนิชเช่กับไฮเดกเกอร์ ได้รับการอ่านในฝรั่งเศสมากกว่าเยอรมนี ของพวกนี้คุณไม่ต้องสนใจ โลกาภิวัฒน์ และ ความเป็นนานาชาติเป็นสิ่งของที่พวกเสรีนิยมใหม่สร้าง เป็นชาติเราชาติเดียวเท่านี้ ที่ปกป้องรักษาวัฒนธรรมไว้
ไม่ต้องอาย! ชาตินิยมเป็นเฟมินิสต์ (ผู้หญิงนิยม) ได้ด้วย
6. กล่าวหาผ้าคลุมหัว
พูดโดยไม่ต้องหยุดเลยเกี่ยวกับผู้หญิงที่คลุมผ้า ผู้หญิงชาวมุสลิมที่คลุมผ้าเป็นของขวัญทางการเมืองสำหรับคุณ จงปกป้องพวกเธอ จงทำเป็นเข้าใจพวกเธอ จงพยายามปลดปล่อยพวกเธอ จัดฉากว่าพวกเธอเป็นเหยื่อของศาสนาที่ล้าหลังที่สามารถเรียนรู้ได้จากพวกคุณ ทำแบบนี้จะทำให้ความเป็นชาตินิยมของคุณดูดีมีตระกูลขึ้น เป็นเฟมินิสต์ โดยไม่ต้องสนใจว่า พวกเธอที่ลี้ภัยมาต้องมาทำงานต่ำๆที่พวกเราไม่อยากทำแล้ว
7. ไม่ต้องสนใจผู้เชี่ยวชาญ
มาถึงตอนนี้เราจะมี อัตราว่างงานของวัยรุ่นสูง เศรษฐกิจจะหยุดโต ความไม่เท่าเทียมอย่างชัดเจน ตลาดการเงินข้ามชาติที่ไม่สนกฎใดๆ และ ทุกอย่างเป็นความผิดของผ้าคลุมหัว ขั้นต่อไปคือ ไม่ต้องสนใจผู้เชี่ยวชาญที่บอกว่า ปัญหาพวกนี้ แก้ไขไม่ได้ง่ายๆเพราะ จะมีการพัฒนาเทคโนโลยี ใช้หุ่นยนตร์ทำงานมากขึ้น มาทดแทนตำแหน่งงาน ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโต เพราะไม่มีการจ้างงาน ไม่ต้องไปดีเบตอะไรกับเขา อย่าทำให้ภาพบรัสเซลล์ดูดี ว่าที่นั่นสนใจรายได้ของทุกคน และพยายามอย่าให้แต่ละชาติรวมตัวกันใช้สัญญาว่าจ้างที่มีกฎเดียวกัน ไม่งั้นจะเกิดสหภาพแรงงานระหว่างชาติที่ยิ่งใหญ่ได้
8. งานขายต้องมา
หัดใช้ภาษาที่โรแมนติก ให้อารมณ์รักชาติ กับประเทศของคุณ ไล่เรียงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของชาติว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงแค่ ชนชั้นต่างๆมาอยู่ร่วมกันแบบสังเคราะห์ หรือ เป็นแค่ระบบรัฐๆหนึ่งเท่านั้น ชาติของคุณเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ให้ความอบอุ่น และความปลอดภัยอย่างในอุดมคติ แบ่งแยกชาติของคุณออกจาก อียูที่มีขั้นตอนบริหารวุ่นวาย แม้ว่าอียูจะมีข้าราชการเพียง 60000 คน เพียงแค่ครึ่งนึงของข้าราชการที่เบอร์ลินเท่านั้น!
9. ไม่ต้องสนใจสัญญาที่ประเทศคุณเคยทำ
ไม่ว่าประเทศของคุณเคยทำสนธิสัญญาอะไรไว้ หรือไป ต่อรองอะไรไว้ ลืมมันให้หมด แล้วสร้างภาพว่าเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่เคยเป็นอย่างในอดีตอันยิ่งใหญ่
10. (แกล้ง) ประกาศอิสรภาพจากอียู
ทำเหมือนกับว่า การที่คุณเป็นอิสระจากอียูจะช่วยแก้ปัญหาที่ประเทศคุณมีอยู่ได้ แน่นอนว่าคุณยังรู้อยู่แก่ใจว่ามันทำไม่ได้แต่ต้องแกล้งทำแบบนั้น คุณต้องทำให้ความรู้สึกอยากเป็นอิสระจากอียูนั้นมีอยู่เสมอ เพื่อที่จะให้กระแสชาตินิยมโตเต็มที่ตามเป้าหมาย
ข้อเสนอต่างๆนี้ เรานำมาจากหนังสือรวมวิวาทะ "Euro Trash" ที่เป็นหนังสือรวมบทความจากนักเขียน นักปรัชญาชื่อดัง เช่น Slavoj Žižek, Michel Houellebecq, Alain Badiou, Antonio Negri และ นักคิดยุโรปคนอื่นๆ
และถ้าสถานการณ์ดีขึ้น สิ่งที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้คือ ไอเดียความเป็นยุโรปนั้นจะสำเร็จได้
(จากผู้แปล - แปลแบบแปลเก็บความ จะไม่ตรงทุกประโยค)
ศัพท์จากข่าว
Anleitung แปลว่า คำแนะนำ
Nationalismus แปลว่า ชาตินิยม

Sunday, May 29, 2016

อะไรความเป็นเยอรมัน โดย MARTIN WALSER

เรียบเรียงจาก
http://www.bild.de/politik/inland/grundgesetz/was-ist-deutsch-45913964.bild.html

วันที่ 23 พฤษภาคม 2016 เป็นวันครบรอบ 67 ปี รัฐธรรมนูญเยอรมัน ที่ใช้มาตั้งแต่ หลังสงคราม 1949 หนังสือพิมพ์บิลด์ลงบทความวิจารณ์ว่า อะไรคือ ความเป็นเยอรมัน โดยสรุปผู้เขียน บอกว่า ความเป็นเยอรมัน คือ การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ของประเทศ และ ก็จดจำบทเรียน
ประโยคแรกของรัฐธรรมนูญ „Die Würde des Menschen ist unantastbar.“ ที่แปลว่า ศักดิ์ศรีของมนุษย์เป็นสิ่งที่ละเมิดไม่ได้ เป็นการสรุปบทเรียนของเยอรมนี จนถึง ณ ตอนนี้ ให้อยู่ในรัฐธรรมนูญ
ในอนาคตผู้เขียนเสนอว่า ให้คงความเป็นเยอรมัน คือ "การเรียนรู้" ต่อไป และเสริมว่า ให้คิดอย่างในบริบทของทั้งยุโรป ที่มีความเป็นมนุษย์ มีเหตุผลอย่างธรรมชาติ และ มีความจริงจากความงาม
ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 1949
รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่คุ้มครองความเป็นนิติรัฐ โดยจะทำให้ ประเทศเยอรมนี คงความเป็น ประชาธิปไตย ความเป็นรัฐสวัสดิการ ไว้ด้วย ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อตกลงตลอดกาลที่ห้ามเปลี่ยนแปลงคือ
1 ต้องปกป้องสิทธิมนุษยชน
2 อำนาจของรัฐต้องผ่านทางกฎหมาย
3 รูปแบบรัฐต้องเป็น สาธารณรัฐ เป็นประชาธิปไตย และเป็นรัฐสวัสดิการ
4 มีการแบ่งอำนาจออกเป็นสามส่วนคือ รัฐบาล รัฐสภา และ ศาล
5 สิทธิพื้นฐานสำหรับ ประชาชนทุกคนเช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในความเชื่อ (นับถือศาสนา)
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้รับการประกาศใช้ เมือ 23 พฤษภาคม 1949 คอนราด อะเดเนา นายกรัฐมนตรีขณะนั้นเป็นคนเซ็นต์รับรอง รัฐธรรมนูญนี้ถูกร่างโดยคณะกรรมการของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ประธานของรัฐทั้ง 11 รัฐของเยอรมนี และ สมาชิกรัฐสภา โดยเป็นการร่างภายใต้คำสั่งของพันธมิตรตะวันตก คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา
จวบจน ปี 1990 รัฐธรรมนูญนี้ มีผลใช้เฉพาะกับ เยอรมันตะวันตก หลังรวมประเทศ เยอรมันตะวันออกจึงใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย
ศัพท์จากข่าว
Würde แปลว่า ศักดิ์ศรี
Menschen แปลว่า มนุษย์
unantastbar แปลว่า ละเมิดมิได้

http://www.gesetze-im-internet.de/gg/index.html เว็บของรัฐธรรมนูญเยอรมัน

Thursday, May 12, 2016

หลักการการเมืองระหว่างประเทศอย่างย่อ

ที่มา https://www.facebook.com/supalak.ganjanakhundee/posts/484967511697852

จากโพสต์ของคุณ supalak.ganjanakhundee น่าสนใจมากในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จบปริญญาตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน 5 นาที
ศาสตราจารย์ สตีเฟ่น เอ็ม มอลต์ ซึ่งเป็นผู้เอกอุทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของฮาร์วาร์ด เขียนบทความชื่อนี้ในเวปไซต์ Foreign Policy ว่าหัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นมีแค่ 5 ข้อ ได้แก่

Anarchy ภาษาไทยคืออนาธิปัตย์ การเมืองระหว่างประเทศนั้นต่างจากการเมืองภายในตรงที่ว่าโลกนี้ยังไม่มีสิ่งที่เราเรียกกันว่า "อำนาจศูนย์กลาง" (central authority) องค์การสหประชาชาติก็ยังไม่ใช่ ยังทำหน้าที่นี้ไม่ได้ รัฐแต่ละรัฐจึงต้องหาทางปกป้องตัวเอง ในแง่นี้รัฐใหญ่มีกำลังเยอะก็ได้เปรียบ

Balance of power ดุลยภาพแห่งอำนาจ อันนี้เป็นผลมาจากข้อแรกคือเมื่อไม่มีใครจะมาปกป้องคุ้มครอง รัฐแต่ละรัฐก็แสวงหาเพื่อนมิตรและพันธมิตร การวิ่งเต้นสร้างสมดุลนี่เองที่เป็นแก่นสารของการเมืองระหว่างประเทศทุกวันนี้ เพราะถ้าเสียสมดุลเมื่อไหร่มันจะอันตรายมาก

Comparative Advantage ตำราเศรษฐศาสตร์ของไทยแปลว่า ความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบ อันนี้เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์หมายความว่าเราสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ตัวอย่างสิงคโปร์ไม่คิดจะปลูกข้าวแข่งกับไทย เพราะเขาไม่มีพื้นที่เพียงพอ ไม่มีแรงงานมาก ไม่มีทักษะ ไม่มีชาวนา (เพราะไม่มีใครอยากจนดักดาน ฮา) แต่เนื่องจากรัฐสมัยใหม่ชอบก๊อบปี้กัน เลยทำอะไรได้เหมือนๆกัน ปัจจุบันเลยมามุ่งแสวงหา competitiveness คือความสามารถในการแข่งขันซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลหรอกเพราะว่าเดี๋ยวสักพักคนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน เช่นเมื่อก่อนมีคนมาลงทุนในประเทศไทยเยอะเพราะค่าแรงถูก ตอนหลังเวียดนามถูกกว่า จีนถูกกว่า พม่าลดภาษีเยอะกว่า นักลงทุนแห่ไปโน่นหมด แต่ตรงกันข้ามถ้าประเทศไทยมีอะไรที่ประเทศอื่นไม่มีถือเป็นการได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบและนั่นมันยั่งยืนกว่ากัน

Misperception & Miscalculation คือเข้าใจผิดและประเมินผิต เรื่องจริงคือว่าผู้นำของโลกนั้นโง่เหมือนกันหมด บางทีพวกเขาพาประเทศเข้าสู่สงครามเพราะทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายจะโจมตี หรือ ประเมินภัยคุกคามผิดพลาด มอลต์บอกว่า การเมืองระหว่างประเทศ (ก็เหมือนกับการเมืองภายใน) ถูกขับดันด้วย ความกลัว ความโลภและความโง่ สองอย่างแรกนั้นพอเข้าใจได้มันเป็นธรรมชาติมนุษย์แต่อย่างที่สามซึ่งก็สำคัญพอกันมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะผู้นำต้องฉลาดถึงจะขึ้นสู่อำนาจได้หรือต่อให้โง่ก็ควรจะแวดล้อมด้วยคนฉลาด มีความรู้ มีการข่าวทีดี ไม่มีทางเลยที่ผู้นำจะโง่ได้ แต่ผู้นำอาจจะทำอะไรโง่ๆได้เสมอเพราะพวกเขามักขี้ขลาด คิดถึงแต่ความก้าวหน้าของตัวเองและที่สำคัญไม่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างสมบูรณ์ (perfect rationality) เรื่องพวกนี้อาจจะจำยาก ศาสตราจารย์มอลต์แนะนำว่า "จงจำไว้เสมอว่า ปกติแล้วคนที่อยู่ในอำนาจไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่"

Social Construction การสร้างสรรค์สังคม เรื่องนี้ก็เป็นธรรมชาติมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคม คือเราจะคิดสร้างและสร้างใหม่อยู่เสมอๆ การปฏิวัติ ปฏิรูป การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเกิดขึ้นเสมอๆทุกเมื่อเชื่อวัน ผู้นำแต่ละประเทศวิ่งวุ่นพบปะกันที่โน่นที่นี่ ไม่ใช่แค่เพื่อ 4 อย่างแรก แต่ก็มีอย่างสุดท้ายคือ พวกเขาอาจจะทำลายระเบียบเขาแต่ก็คิดสร้างระเบียบใหม่ๆอยู่เสมอๆด้วยเช่นกัน

นึกถึงประเทศไทยและการต่างประเทศของไทยในตอนนี้ประกอบไปด้วยจะช่วยให้เข้าใจการเมืองระหว่างประเทศได้ถ่องแท้มากขึ้น แต่ทว่า 5 นาทีคงไม่จบหรอก แค่อ่านบทความนี้ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว กว่าจะทำความเข้าใจและเขียนออกมาได้นี่ก็ร่วมชั่วโมงแล้ว (บังเอิญว่าอังกฤษไม่แตกฉานและตัวอย่างที่ยกก็ไม่ได้มีในบทความหรอกนะ เตือนไว้ก่อน) แต่ก็ถือว่าเป็นความคิดรวบยอดที่ดี