Tuesday, October 31, 2017

วัน Allerheiligen วันกำเนิด Halloween (All Hallows' Eve)

เมื่อวาน 31 ตุลาคม เป็นวันฉลองของชาวโปรแตสเเตนท์ วันนี้วันที่ 1 พฤศจิการยน เป็นวันฉลอง Allerheiligen หรือ วันนักบุญทั้งหลายของชาวคาทอลิก ซึ่งเป็นวันหยุดในห้ารัฐของเยอรมนีได้แก่ Baden-Württemberg, Bayern, Nordrhein-Westfalen, Rheinland-Pfalz และ Saarland นอกจากนั้นยังเป็นวันหยุดในออสเตรียและ บางส่วนของสวิตเซอร์แลนด์
Allerheiligen ไม่ใช่เป็นแค่วันระลึกนักบุญทั้งหลายที่ได้รับการยกย่องจากพระสันตะปาปาแต่ยังเป็นวันยกย่องนักบุญหรือทุกคนที่มีความศรัทธาแต่อาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นไม่มีใครรู้ได้นอกจากพระเจ้า และสำหรับประชาชนคนทั่วไป วันนี้เหมือนวันเช็งเม้งที่คนจะไปหลุมฝังศพคนในครอบครัวที่ได้เสียชีวิตไปแล้วเพื่อแสดงความระลึกถึง
ในอดีตวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แรกหลังช่วง Pfingsten แต่พระสันตะปาปา Gregor IV ได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่
9 เพราะเป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยวพอดี ชาวบ้านจะได้นำพืชพันธุ์ที่เก็บได้มาจัดโต๊ะฉลองกันได้เต็มที่ ขณะที่ชาวคริสต์ออร์โทดอกซ์จะยังเฉลิมฉลองวันนี้ในช่วงหลัง Pfingsten เหมือนเดิม
ส่วนวัน Halloween มีชื่อเดิมคือ All Hallows' Eve หรือ คืนก่อนวัน Allerheiligen ซึ่งพบว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่เริ่มมีในไอร์แลนด์ และ สก็อตแลนด์ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้นในยุคปัจจุบันคนเริ่มทำมาร์เก็ตติ้งทำให้คืนก่อนวัน Allerheiligen เป็นวันโด่งดังในชื่อ Halloween (31 ตุลาคม)
บางทฤษฎีบอกว่า วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ของปฏิทินชาวเซลติก (เคลท์) คืนก่อนขึ้นปีใหม่จึงมีการเฉลิมฉลองด้วยเทศกาล Halloween และที่แต่งหน้าเเต่งตาเป็นผีเพราะเชื่อว่า เป็นวันที่โลกของคนเป็นจะติดต่อกับโลกของคนตายได้
http://www.spiegel.de/panorama/allerheiligen-und-halloween-worum-geht-es-a-1174476.html

แนะนำหนังสือ ชาวเยอรมัน และ ชาวยิว ก่อนปี 1939 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง)

ผู้คนมักจะคุ้นชินกับเรื่องราวของโชคชะตาชาวยิว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างปี 1939-1945 แต่หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องต่างออกไป โดยจะเล่าเรื่องก่อนหน้านั้น และ พยายามตอบคำถามว่า ความเกลียดชังระหว่าง ชาวเยอรมัน และ ชาวยิว เกิดขึ้นได้อย่างไร
Wolfgang Effenberger, Reuven Moskovitz คู่หูนักเขียน คนหนึ่งเป็นคนเยอรมัน อีกคนเป็นคนยิว ได้ร่วมกันค้นคว้าหลักฐาน และ เปิดเผยข้อมูล ว่าทั้งคนเยอรมัน และคนยิว มีรากร่วมกันมาก่อนอย่างเเน่นแฟ้น อยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน มีหลักฐานว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆกัน อย่างวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และการเมือง ช่วงรอยต่อระหว่าง คริสตศตวรรษที่ 19 กับ 20 พบว่า ทั้งสองชนชาติอยู่กันได้อย่างกลมกลืน ชาวยิวรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งมีพยานหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะความเห็นในคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์ของชาวยิวในช่วงปี 1850 - 1938 ที่ชาวยิวกลายเป็นชนชาติต้องห้าม

นอกจากนั้นหนังสือนี้ยังได้ศึกษาปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมว่า ทำไมอยู่ดีๆ แนวคิดชาติพันธุ์นิยมจึงเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความโกรธเกลียด และความหัวรุนแรง จนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ตัวอย่าง ข้อมูลใหม่ที่ (อาจ) ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
- ชาวยิวในเยอรมนี มีความรักชาติเยอรมันมาก จนไปสมัครเป็นทหารอย่างสมัครใจ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 (เสียดายที่น่าจะประกาศตัวให้ฮิตเลอร์รู้ว่าเป็นสหายร่วมรบตั้งแต่นั้น - ผู้แปล)
- ชาวยิวในเยอรมันไม่ค่อยเห็นด
้วยกับการอพยพของชาวยิวจากทางตะวันออกเข้าเยอรมนี
- มีความคิดแตกแยกในเรื่องการตั้งประเทศในเขตของชาวอาหรับ ในปี 1907 
- มีชาวยิวไม่กี่คนในเยอรมนี ที่เห็นด้วยกับ ลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือ ลัทธิสังคมนิยม แม้ว่าผู้นำลัทธิ อย่าง คาร์ล มาร์กซ หรือ เคิร์ท ไอส์เนอร์ จะเป็นยิว
- ชาวยิวในรัสเซีย ก่อตั้ง รัฐสังคมนิยมที่ปกครองตัวเอง ชื่อ Birobidschan ซึ่งยังอยู่จนถึงปัจจุบัน
- ขบวนการเกลียดยิว เร่ิ่มอย่างเป็นระบบเมื่อปี 1919/1920 ที่การปฏิวัติรัฐบาเยิร์นให้เป็นรัฐสังคมนิยม ล้มเหลว
- ตั้งแต่ฤดูร้อนปี 1938 พวกนาซีและไซออนนิสต์ ร่วมมือกันอย่างลับๆในการอพยพคนอย่างผิดกฎหมายไปยังปาเลสไตน์
- นักเขียนหลายคนรวมทั้งนักเขียนชาวยิว เชื่อว่า ฮิตเลอร์เป็นเพียงแค่ปรากฎการณ์ชั่วคราว (อาจจะคล้ายที่คนคิดกับทรัมป์ครั้งนี้-ผู้แปล)
รายชื่อ ชาวเยอรมัน และ ชาวยิว ที่โดนอ้างอิงในเล่ม

Martin Luther • Heinrich Heine • Karl Marx • Wilhelm Emmanuel von Ketteler • Ferdinand Lassalle • Friedrich Nietzsche • Theodor Herzl • Otto von Bismarck • Kaiser Wilhelm II. • Kurt Eisner • Walther Rathenau • Victor Klemperer • Wilhelm Reich • Lion Feuchtwanger • Helene Mayer • Arthur Koestler • Bischof von Galen • Hannah Arendt และอีกมากมาย
Reuven Moskovitz (เกิดปี 1928) เป็นชาวยิวจากโรมาเนีย และเป็นผุ้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขามีความพยายามที่จะรักษารอยร้าวด้านเผ่าพันธุ์นี้ จนได้รับรางวัลด้านสันติภาพมากมาย ปัจจุบันพักอาศัยที่กรุงเยรูซาเล็ม
ประเทศอิสราเอล
Wolfgang Effenberger เกิ
ดปี 1946 เป็นนักข่าวอิสระ เชี่ยวชาญด้าน ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ปัจจุบันพักอาศัยที่ Starnberger See ในรัฐบาเยิร์น
ทั้งสองคนเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อไม่ให้คนลืม จนยุโรป ต้องลุกเป็นไฟอีกครั้ง

https://zeitgeist-online.de/buecher/neu-im-programm/116-buecher-und-dvds/962-deutsche-und-juden-vor-1939.html

ครบ 500 ปีปฏิรูปศาสนา มรดกของลูเทอร์ในเยอรมนีมีอะไรบ้าง

31 ตุลาคม 1517 มาร์ติน ลูเทอร์ นักบวชในเมืองเล็กๆอย่าง Wittenberg ได้ติดงานเขียน "ญัตติ 95" เรื่องพระเจ้า ที่หน้าประตูโบสถ์ตั้งแต่วันนั้นมาเยอรมนีและโลกก็ไม่เหมือนเดิม
การปฏิรูปศาสนาโดยลูเทอร์ในครั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อภาษาเยอรมัน จิตใจ และ วิถีีชีวิต อย่างมาก จนช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 วัฒนธรรมแบบลูเทอร์ได้ชัยชนะในเยอรมนี จนปัจจุบันนี้สิ่งที่คนทั่วโลกคิดว่าเป็น "เยอรมัน" นั้น เป็นวัฒนธรรมของพวกโปรเเตสเเตนท์มาก่อน
อย่างด้านความงาม ลูเทอร์จะค่อนข้างซีเรียส จะถือว่า ชาวคริสต์ที่ดีต้องใช้ชีวิตในสิ่งที่ควรได้ ดังนั้นทุกอย่างจะเรียบง่าย ไม่ดูฟุ้งเฟ้อ ตัวอย่างเช่น ศิลปะอย่าง Bauhaus หรือ แม้กระทั่ง IKEA ก็ได้รับอิทธิพลจากลูเทอร์ ขณะถ้าเป็นเรื่องดนตรีลูเทอร์จะเปิดกว้างกว่าเพราะคิดว่าเสียงดนตรีเป็นสิ่งที่เป็นอาวุธไว้ต่อสู้กับปีศาจได้ มาจนปัจจุบันนี้ ประเทศเยอรมนีก็มี คณะดนตรีออร์เคสตร้ามากว่า 130 คณะที่ได้เงินสนับสนุนจากสาธารณะ มากกว่าประเทศอื่นๆ
ต่อมาเป็นด้านการอ่าน เยอรมนีเป็นประเทศที่คนอ่านหนังสือมาก มีตลาดหนังสืออันดับสองของโลก ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ การแปลไบเบิ้ลเป็นภาษาเยอรมันโดยลูเทอร์ คนเยอรมันที่มีศรัทธาจึงหามาอ่านกัน อัตราการรู้หนังสือในตอนแรก พวกโปรแตสแตนท์ในเยอรมนีสูงกว่า คาทอลิก มาก และในที่สุดในปัจจุบัน ทำให้คนเยอรมันชอบอ่านหนังสือ
ทางด้านการเงิน ลูเทอร์สอนว่าการสร้างหนี้เป็นสิ่งไม่ดี ศัพท์ภาษาเยอรมันของหนี้เเปลว่าความผิด ผลส่งให้คนเยอรมันชอบทำงานเก็บเงินและลงทุนกับการออมหรือ ประกันชีวิตมากกว่า การซื้อหุ้น เพราะเชื่อว่าการได้เงินมาต้องมาจากการทำงานด้วยตัวเอง ซึ่งแนวคิดนี้ขัดกับยุโรปใต้มาก ที่นับถือคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ตอนวิกฤตเศรษฐกิจมีทางเลือกในการแก้ปัญหาการเงินต่างกัน อย่างเยอรมนีจะบอกว่าให้ประหยัดตลอด แต่ทางประเทศที่ประสบปัญหาอย่างทางใต้ของยุโรป จะเน้นให้ลงทุน
ทางด้านมุมมองต่อการทำงาน ลูเทอร์มองว่า ทุกคนมีสิทธิ์ถึงพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเหลือทุกคน ดังนั้นการทำงานจะไม่เป็นการทำงานเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยแต่เป็นการทำงานเพื่อสังคม การงานไม่ใช่ภาระ แต่เหมือนเป็นการเรียกให้มาช่วยจากสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานของ แนวคิดสังคมนิยม และ รัฐสวัสดิการ
แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียของลูเทอร์คือ ลูเทอร์เป็นพวกเกลียดยิว คิดว่า การที่ยิวจ้องตัวเองทำให้ตัวเองป่วย และ เคยเสนอให้ฆ่ายิวด้วย นอกจากนั้น ลูเทอร์ แม้ว่าจะกล้าขัดต่อศาสนจักร แต่ลูเทอร์นั้นนอบน้อมต่อรัฐทางโลกที่ปกครอง ทำให้ปกครองง่าย คนไม่ค่อยลุกฮือ และจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งก็เห็นได้ในคนเยอรมันปัจจุบัน ที่ลูเทอร์เสนอแบบนี้ี้เพราะลูเทอร์นั้นแยก รัฐกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจน
นอกจากบทความนี้ในดิ อิโคโนมิสต์แล้ว ซีเอ็นเอ็นก็ได้ประมวลอิทธิพลของลูเทอร์ต่อโลกไว้สามประการคือ การสืบค้นตั้งคำถามอย่างอิสระซึ่งนำมาซึ่งเสรีภาพทางวิชาการ ประชาธิปไตย และ การจำกัดอำนาจรัฐ อ่านเต็มๆต่อได้ที่
http://edition.cnn.com/…/reformation-world-change/index.html
---------
(เพิ่ิมเติม)
พอดีแอดมิน ได้สนทนากับคนเยอรมัน ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆเป็น Atheiist และ ชำนาญด้านประวัติศาสตร์
เขาเสนออีกแบบเลยว่า สิ่งที่เป็นมรดกของลูเทอร์จริงๆแล้วคือ ภาษา และ ศิลปะ โดยเฉพาะดนตรี ลูเทอร์เป็นเหมือนคนสร้าง Hochdeutsch ขึ้นมา ประดิษฐ์คำใหม่ๆ จากการแปลไบเบิลและงานเขียนต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่คนแรกที่แปล ที่ดังเพราะมีเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นมาพอดี
สิ่งที่ลูเทอร์เก่งอีกอย่างจนคนยอมรับคือ ได้แต่งเพลง กวี อีกมากมายที่ไพเราะ ถือเป็นมรดกที่สำคัญต่อวัฒนธรรมเยอรมัน
ส่วนทางด้านความขยันขันแข็งจนร่ำรวย หรือ รสนิยม เขาบอกว่า ไม่ใช่มรดกของลูเทอร์ เพราะ มันเป็นสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว สืบทอดมาตั้งแต่สมัย โรมันมายึดครองเยอรมนี ความรู้วิศวกร เขาให้ดู ศิลปะแบบโกธิก เป็นตัวอย่าง และ วัฒนธรรมคาทอลิกก็สร้างสรรค์ต่างๆในสังคมดีอยู่
เขายังชี้อีกว่า ข้อเสียของลูเทอร์นั้นมีเยอะมาก เช่นชอบด่าคนไปทั่ว ชอบฆ่าคน ฆ่าเด็กที่เข้าโบสถ์ ล่าแม่มด และตึความคัมภีร์ตามตัวอักษร แม้บางจุดในคัมภีร์ไม่เมคเซนส์ ทำให้เคร่งครัดเกินไป ขณะที่คาทอลิก นั้นจะสบายๆกว่า
สิ่งเลวร้ายที่ลูเทอร์ทำนั้นคือ การทำให้สังคมแตกแยก เยอมรนีต้องเผชิญกับสงครามศาสนาอีกสามสิบปี คนตายมหาศาล สิ่งก่อสร้างที่มีความหมายโดนทำลาย
อันที่จริงเขาควรจะโดนประหารเหมือนคนที่ทำก่อนหน้านี้ แต่ที่เขารอดเพราะ ไกเซอร์สมัยนั้น อ่อนแอ และอายุน้อย นอกจากนั้น ยังพูดเยอรมันไม่ได้ เพราะมาจาก สเปน
เขาสรุปว่า สิ่งที่ลูเทอร์ทำนั้นเปลี่ยนแปลงเยอรมนีจริง แต่ไปในทางเลวร้ายมากกว่า ที่ลูเทอร์ทำเพราะอิจฉาที่โบสถ์ร่ำรวย ในยุคนั้น ก็มีพวกคาทอลิกที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว จากภายในและจะทำให้การเปลี่ยนเเปลงไปอย่างสงบ
---------
ก็เป็นอีกความคิดเห็นหนึ่งที่น่าสนใจครับ เป็นอีกทฤษฏีหนึ่งในการอธิบายประวัติศาสตร์ จะได้มองมันอย่างครบถ้วนที่สุด และ ถอดบทเรียนได้แม่นยำที่สุด
---------
แนะนำหนังสืออ่านเพิ่มเติม
http://www.lindenbaum-verlag.de/contents/de/p86.html

--------

แนะนำคลิปที่เล่าเรื่องการเมืองเบื้องหลังการปฏิรูปศาสนา

500th reformation
จะปฏิรูปต้องมาเป็นทีม มีอนุสาวรีย์ที่เมือง Worms ครบทั้งบุ๋น และ บู๊ นำโดย Martin Luther

---------

อันนี้ เพื่อนคนนึงเขียนเล่าย่อๆได้ดีครับ

"เป็นเวลา 500 ร้อยปีมาแล้ว Martin Luther นักบวชและศาสนาจารย์จากอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์(เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีในปัจจุบัน) ประกาศ"ญัตติ 95 ข้อ" วิจารณ์การกระทำของศาสนจักรและได้ทำการแปลไบเบิลเป็นภาษาเยอรมัน (ภา
ษาเยอรมันได้ตอกหมุดสร้างให้เป็นแบบแผนขึ้นโดยผ่านการแปลไบเบิลของ Luther เมื่อคราวนั้นเอง) ทำให้ชาวบ้านเข้าถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในไบเบิลได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการแปลจากนักบวชของศาสนจักรอีกต่อไป จนทำให้เกิดความเชื่อที่ตีต่างออกจาก คริสเตียนคาทอลิก การกระทำของ Luther ได้สั่นสะเทือนไปถึงนครวาติกัน ทำให้ศาสนจักรซึ่งนำโดยพระสันตะปาปา เรียกคนกลุ่มที่เดินตาม Luther ว่า "Protestan" (พวกต่อต้าน)
วันนี้ 31 ตค เป็นวันครบรอบ 500 ร้อยปี ที่ Martin Luther ทำการติดประกาศ "ญัตติ 95" ไม่บ่อยครั้งนักที่ Christian Protestan จะระลึกนักบุญที่ตายแล้ว เหมือนอย่างคาทอลิกปฏิบัติกัน แต่การระลึกถึง Luther ครั้งนี้เป็นเหมือนการขอบคุณเพราะการกระทำให้ครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างใหญ่หลวงของรัฐต่าง ๆ ทั่วทั้งอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ และ ทำให้ศาสนาคริสต์มีนิกายและเน้นการสอนหลากหลายความเชื่อ นับร้อยนิกาย ไม่ยึดติดกับคนแต่ยึดติดกับไบเบิลและการตีความจากพระคัมภีร์
สิ่งที่ Luther ทำหาใช่การเป็นกบฏและเป็นการปฏิรูป Reformation ทำให้ศาสนา พระเจ้าของอับบราฮัม เป็นพระเจ้าที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้โดยทางไบเบิล"