Saturday, August 24, 2024

ข้อเท็จจริงทางสังคม ของ Homo duplex

 from https://www.facebook.com/theaestheticsofloneliness/posts/pfbid031LxgksivU4SLpQiK5YBLatCFTzKNVseEqSa6uBWf9tHBezgdJCB2Lm54tffXA6nVl

#ทำไมเพื่อนเราที่เชียร์เผด็จการ จึงซาบซึ้งน้ำตาไหลเมื่อเห็นข่าวทหารเข้าไปแจกอาหารและถุงยังชีพ ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม?
ในยามที่ประเทศเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ทำไมประชาชนจึงชื่นชมการแก้ปัญหาด้วยการบริจาค และเรียกร้องระบอบเผด็จการให้เข้ามาจัดการ?
ตัดทอนและเรียบเรียงจาก The Righteous Mind "ความถูกต้องอยู่ข้างใคร" ของโจนาทาน ไฮด์ต สนพ.Being โดยเกลาและเปลี่ยนศัพท์เฉพาะหลายคำ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นและเข้ากับบริบทการอ่านในเฟซบุค
ปล. ต้องหมายเหตุไว้ก่อน ว่าไม่ได้จะบอกว่าการช่วยกันบริจาคในยามนี้เป็นสิ่งไม่ดีนะครับ แค่จะบอกว่าให้ระวังพวกเผด็จการที่เข้ามาสร้างความนิยม พวกไอโอไม่ต้องยกเอาไปบิดเบือน
1.
เอมิล เดิร์กไฮม์ บอกว่ามันมีสิ่งที่เป็น "ข้อเท็จจริงทางสังคม" ที่ไม่สามารถลดทอนให้กลายเป็น "ข้อเท็จจริงระดับปัจเจก" ข้อเท็จจริงทางสังคมที่ว่านี้ เกิดขึ้นเมื่อมีผู้คนมาอยู่รวมกัน มันมีอยู่จริงและควรค่าแก่การศึกษาโดยสังคมศาสตร์ เช่นเดียวกับที่ปัจเจกและสภาวะทางจิตใจของเขาถูกศึกษาโดยจิตวิทยา
เดิร์กไฮม์มักจะวิพากษ์วิจารณ์คนร่วมสมัยของเขา อย่างฟรอยด์ ผู้พยายามอธิบายศีลธรรมและศาสนา โดยใช้เพียงแค่จิตวิทยาของปัจเจกและความสัมพันธ์กับคู่ ในทางที่แตกต่างกัน เดิร์กไฮม์เสนอว่าโฮโมเซเปียนส์นั้น แท้จริงแล้วเป็น โฮโมดูเพล็กซ์ (Homo duplex) คือสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในสองระดับพร้อมๆ กัน
คือ 1. ในระดับที่ตัวเขาเป็นปัจเจกหนึ่ง และ 2. ในระดับที่ตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ใหญ่กว่า โดยที่ในแต่ละระดับ คนเราจะมีความรู้สึกสองชุดที่แยกขาดจากกัน
ความรู้สึกชุดแรก คือสิ่งที่เห็นได้ภายในชุมชนหนึ่งๆ อยู่ในความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันของปัจเจกคนนั้น เกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด การต่อสู้แข่งขันกันภายในสังคม ชิงดีชิงเด่นเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง นับเป็นเรื่องปกติที่อธิบายได้ด้วยเหตุผล ว่าคนเรากระทำสิ่งต่างๆ ไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ด้วยความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกชุดแรกนี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วิน
แต่อย่างไรก็ตาม คนเรายังมีศักยภาพที่จะมีความรู้สึกอีกชุดหนึ่ง ความรู้สึกชุดที่สอง คือสิ่งที่ผูกมัดฉันเข้ากับสังคมของฉัน (ซึ่งเป็นสิ่งที่มีตัวตนจริง) ในฐานะที่ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับสังคมนั้น ความรู้สึกเหล่านี้เห็นได้ในความสัมพันธ์ของสังคมเรากับสังคมอื่น หรือเรียกว่า "ระหว่างสังคม"
บางครั้งเราจะเห็นว่าคนบางคนไม่เห็นแก่ตัว เสียสละ ช่วยเหลือผู้อื่น ยอมสละชีพเพื่อชาติ ฯลฯ นั่นคือเมื่อเขากระทำภายใต้อิทธิพลของความรู้สึกชุดที่สองนี้ คือเขารู้สึกขึ้นมาว่าเขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด ซึ่งเขาต้องกระทำตามการกระทำของมัน และเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน ตัวเขาต้องนำมาอุทิศหรือเสียสละเพื่อมัน
ความรู้สึกทางสังคมชุดที่สองนี้ มีไว้เพื่อช่วยกลุ่มของเรา เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกันระหว่างสังคม เป็นสัญชาตญาณแบบชนเผ่าที่มีอยู่ในใจเรา
ในความสัมพันธ์แบบ "ระหว่างสังคม" ความรู้สึกชุดที่สองนี้เหมือนสวิทช์ปิดเปิด มันทำให้เราปิดสวิทช์ความเห็นแก่ตัว และเปิดสวิทช์ความเห็นแก่กลุ่มที่ปกคลุมสังคมนี้อยู่ และทำให้เราวาร์ปขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า
สิ่งสำคัญของความรู้สึกชุดที่สองนี้ คือการสร้างความรู้สึกตื่นเต้นมีชีวิตชีวาแบบรวมหมู่ขึ้นมา ให้สมาชิกผู้เข้าร่วมได้รู้สึกถึงความปีติอย่างท่วมท้นที่พิธีกรรมประจำกลุ่มนั้นๆ ได้สร้างขึ้น
ดังที่เดิร์กไฮม์กล่าวว่า การกระทำในการรวมตัวกันเป็นชุมนุม เป็นตัวกระตุ้นอันทรงพลังอย่างแสนพิเศษ เมื่อปัจเจกมารวมตัวเข้าด้วยกัน กระแสไฟฟ้าชนิดหนึ่งก็จะถูกสร้างขึ้นมาจากความใกล้ชิด และปลดปล่อยพวกเขาให้พุ่งขึ้นไปสู่ความปีติอันเหนือระดับปกติอย่างรวดเร็ว ในภาวะเช่นนี้ พลังชีวิตจะพลุ่งพล่านเกินขีด ความปรารถนาจะยิ่งเร่าร้อน ความรู้สึกก็ช่างทรงพลัง
จุดที่น่าสนใจคือ อารมณ์ชุดที่สองนี้ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา มันมาชั่วคราวแล้วก็ไป มันฉุดดึงเราไว้ได้เพียงชั่วคราว ให้ขึ้นไปสู่ดินแดนที่สูงส่ง เรียกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (sacred) มันเป็นสถานที่ซึ่งตัวตนสลายหายไป และเราถูกครอบงำไว้ด้วยผลประโยชน์ของกลุ่ม
ส่วนอีกดินแดนหนึ่งที่ตรงข้ามกัน เรียกว่า ดินแดนทางโลก (profane) คือชีวิตของเราตามปกติที่ดำเนินไปแต่ละวัน ซึ่งเราใช้ชีวิตอยู่ สนใจเรื่องเงินทอง สุขภาพ ชื่อเสียง
แต่บ่อยครั้งที่เราก็มักจะฉุกคิดขึ้นมาแว้บๆ หรือเกิดความรู้สึกทะแม่งๆ ว่ามันต้องมีที่ไหนสักแห่ง หรืออะไรสักอย่าง ที่อยู่สูงขึ้นไปกว่าโลกนี้ และมีความสูงส่งขึ้นไปกว่าชีวิตมนุษย์อย่างเรา
เดิร์กไฮม์เชื่อว่าการเคลื่อนขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างสองดินแดนนี้ในใจคนเรา ทำให้เกิดความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้า จิตวิญญาณ สวรรค์ และรวมถึงความคิดทั้งหลายเกี่ยวกับระเบียบศีลธรรมแบบภาววิสัย
เหล่านี้คือข้อเท็จจริงทางสังคม ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยนักจิตวิทยาที่ทำการศึกษาปัจเจกหนึ่ง เปรียบเหมือนกับโครงสร้างของรังผึ้ง ไม่สามารถลดทอนโดยนักกีฏวิทยาที่ศึกษากับผึ้งตัวหนึ่ง
2.
วิธีทำให้ซาบซึ้งน้ำตาไหล (ไม่ได้บอกว่าถูกผิด หรือดีเลวนะครับ แค่ขึ้นกับว่ามันถูกนำไปใช้กันอย่างไร) ยกตัวอย่างเช่น การสร้างความรู้สึกพรั่นพรึง
ช่วงทศวรรษ 1830 ราล์ฟ วาลโด อีเมอร์สัน ได้บรรยายถึงเรื่องธรรมชาติไว้ชุดหนึ่ง ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของปรัชญา American Transcendentalism คือขบวนการที่ปฏิเสธการคิดวิเคราะห์ด้วยปัญญาอย่างล้นเกิน ของพวกมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำในอเมริกายุคนั้น
อีเมอร์สันโต้แย้งว่าความจริงที่ลึกซึ้งที่สุด จะเข้าถึงได้โดยปัญญาญาณเท่านั้น หรือ intuition ไม่ใช่ด้วยเหตุผล และประสบการณ์ประหวั่นพรั่นพรึงต่อธรรมชาติ ก็คือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดเพื่อกระตุ้นปัญญาญาณที่ว่านี้ขึ้นมา เขาพรรณนาถึงความกระปรี้กระเปร่าและความปีติที่ได้มาจากการมองดูดาวบนฟ้า หรือทัศนียภาพท้องทุ่งกว้างไกล หรือเพียงแค่การเดินอยู่ในป่าเขา
"ยืนอยู่กลางผืนดินกว้างใหญ่ ศีรษะโลมไล้ด้วยสายลมแช่มชื่น และล่องขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าอันเหลือคณา หมายความว่าตัวข้านี้เลือนหาย กลายเป็นดวงตาที่โปร่งใส ข้านี้ไม่เป็นสิ่งใด ข้ามองเห็นทุกสิ่งเป็นกระแสธารของสัตตะแห่งจักรวาลไหลผ่านไป ข้าเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหรืออณูแห่งพระเจ้า"
ไม่เพียงแค่ธรรมชาติป่าเขาเท่านั้น ความพรั่นพรึงจะถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ด้วยบางสิ่งที่มีลักษณะท่วมหัวท่วมหู ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า จนคุณไม่อาจต้านทานมันได้ คุณจะพรั่นพรึงเมื่อคุณเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีสองลักษณะ คือ
1. ความยิ่งใหญ่ไพศาล (หมายถึงบางสิ่งที่ท่วมหัวท่วมหู จนทำให้คุณรู้สึกเหลือตัวลีบเล็ก)
2. สิ่งที่ต้องทำใจยอมรับ (หมายถึงประสบการณ์ของคุณตอนนี้มันเลวร้ายมาก คุณไม่สามารถปรับเปลี่ยนมันให้เข้ากับโครงสร้างทางจิตใจที่มีอยู่เดิมได้ คุณจึงจำเป็นต้องทำใจยอมรับประสบการณ์นี้ โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางจิตใจของตัวคุณแทน)
ความพรั่งพรึงเป็นเหมือนสวิทช์ที่กดเพื่อย้อนกลับไปยังค่าตั้งต้น มันทำให้คนเราละคน ปล่อยวางความทุกข์โศก ลืมความลำบากยากจน ทำให้คนเรารู้สึกว่าเล็กกระจ้อย และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมด
นอกจากนี้ พวกสารเคมีที่เกี่ยวกับจิตและประสาท อย่างเช่นสารไซโลไซบิน ก็มีผลต่อความรู้สึกนี้ รวมถึงกิจกรรมรวมหมูู่ต่างๆ ปาร์ตี้ ดนตรี เต้นรำ คอนเสิร์ต การชุมนุมทางการเมือง ก็สร้างความรู้สึกทำนองนี้ได้
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ โทนี เช (Tony Hsieh) Delivering Happiness เชคือซีอีโอของร้านออนไลน์ Zappos เขาร่ำรวยขึ้นมาด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ เมื่อเขาขายบริษัทเทคสตาร์ทอัพของตัวเองไปให้ไมโครซอฟต์ หลังจากนั้นมาอีกสองสามปี เขาก็สงสัยชึ้นมาว่าจะทำอะไรต่อไปในชีวิตนี้ดี เขามีเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ที่ออกตระเวนเที่ยวด้วยกันในซานฟรานซิสโก ครั้งแรกที่เชกับ “เผ่า” ของเขา (tribe พวกเขาเรียกตัวเองอย่างนี้) เข้าร่วมปาร์ตี้เรฟ เขาได้บรรยายไว้ดังนี้
สิ่งที่ผมประสบได้เปลี่ยนมุมมองของผมไปตลอดกาล ... ใช่ การตกแต่งภายในและแสงเลเซอร์ก็เจ๋งดี และใช่ ในห้องขนาดใหญ่ยักษ์นั้น แน่นขนัดไปด้วยผู้คนกำลังเต้นรำอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็ไม่ได้ช่วยอธิบายความรู้สึกพรั่นพรึงที่ผมได้ประสบ ... ในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งในกลุ่มเราถือว่ามีตรรกะและเหตุผลมากที่สุด ผมเองยังประหลาดใจที่พบว่าตัวเองท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกแห่งจิตวิญญาณ ไม่ใช่ในเชิงศาสนา แต่ในเชิงความเชื่อมโยงอย่างล้ำลึกกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้น และกับทุกคนในจักรวาล มันเป็นความรู้สึกว่าไม่มีการตัดสิน...ที่ตรงนี้ไม่มีความรู้สึกเก้อเขิน หรือความรู้สึกว่ามีใครเต้นเพื่อให้ถูกมองว่ากำลังเต้น ... ทุกคนหันหน้าไปทางดีเจ และดีเจคือหัวหน้าชนเผ่าของทั้งกลุ่ม ... จังหวะคงที่โดยไม่ต้องมีถ้อยคำจากเครื่องดนตรีอิเลกทรอนิกส์ รวมหัวใจของฝูงชนให้เต้นไปพร้อมกัน ราวกับการดำรงอยู่ของสติรับรู้ของปัจเจกได้สูญหายไป และแทนที่ด้วยการรับรู้ของกลุ่มที่เป็นหนึ่งเดียว
โทนี เช บังเอิญหลุดเข้าไปในอีกรูปแบบหนึ่งของความซาบซึ้งน้ำตาไหล มันเป็นรูปแบบที่ทันสมัยและวัยรุ่นกว่า ภาพและประสบการณ์ตรงหน้าทำให้เขาปิดสวิทช์ตัวฉัน และเชื่อมโยงเขาเข้ากับพวกเราขนาดยักษ์ ค่ำคืนนั้นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขา มันเริ่มต้นให้เขาออกเดินบนหนทางการสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นรูปธรรมของความเป็นชุมชนและการกดข่มอัตตาตัวเอง ที่เขาได้รับความรู้สึกมาจากปาร์ตี้เรฟ
ยังมีอีกหลายวิธีที่จะเปิดสวิทช์ เช่นการร้องเพลงประสานเสียง ร่วมการสวนสนาม ฟังเทศน์ เข้าร่วมประท้วงทางการเมือง และนั่งสมาธิ คนส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์กับภาวะซาบซึ้งน้ำตาไหลมาแล้วอย่างน้อยสักครั้ง มีบางคนบอกว่ามันเป็นประสบการณ์เปลี่ยนชีวิต สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ผลกระทบนี้ค่อยๆ เลือนไปภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือภายในไม่กี่วัน
เพราะว่าคนเราไขว่คว้าและแสวงหาความรู้สึกทั้งสองระดับไปพร้อมๆ กัน และสลับขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ ดินแดนทางโลกและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา เพราะว่าเราทุกคนล้วนเป็นโฮโมดูเพล็กซ์
3.
ในวิวัฒนาการของมนุษย์ เราไม่ได้วิวัฒนาการมาแค่ความสามารถในการเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่เรายังวิวัฒน์ความสามารถในการสนับสนุนกลุ่มของเรา ให้ไปเอาชนะกลุ่มอื่นด้วย รวมถึงความสามารถในการสนับสนุนผู้นำกลุ่มของเรา
เมื่อถึงคราวที่กลุ่มของเราประสบภัยพิบัติร่วมกัน หรือถูกคุกคาม หรือต้องไปแข่งขันกับกลุ่มอื่น สัญชาตญาณความเป็นชนเผ่า และการมีโครงสร้างลำดับชั้นทางสังคมจะปรากฏขึ้นมา
มีงานวิจัยแสดงให้เห็นด้วยว่าคนแปลกหน้าจะมารวมตัวกันเองโดยธรรมชาติ และจัดตั้งกลุ่มที่มีผู้นำและผู้ตามขึ้นมา เมื่อพวกเขาประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติ ผู้คนยินดีจะยอมเป็นผู้ตาม เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของเขาจำเป็นต้องมีผู้นำขึ้นมา เพื่อทำให้ภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ
และยังมีกรณีที่เรียกว่า ปรากฎการณ์ the rally-round-the-flag reflex หมายถึงในช่วงเวลาที่ประเทศเกิดวิกฤต ผู้คนจะให้การสนับสนุนผู้นำมากกว่าในยามปกติ ยอมยกอำนาจเบ็ดเสร็จให้ไปเผด็จการ เพราะลึกๆ ในใจแบบชนเผ่าของเรา เรารู้ว่ากลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการเกาะกุมกันและให้ความร่วมมือกัน จะเอาชนะกลุ่มอื่นที่ไม่ได้มารวมตัวกัน
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะเข้าใจสังคมวิทยาและจิตวิทยาเรื่องนี้ อย่างเช่นในอเมริกา สำหรับชาวอเมริกันที่เกิดก่อน ค.ศ. 1950 คุณสามารถปลุกธรรมชาติที่สูงส่งแบบเดิร์กไฮม์ ได้โดยพูดเพียงสองคำว่า "อย่าถาม" ประโยคเต็มๆ ที่พวกเขาจะได้ยินอยู่ในใจ มาจากคำกล่าวในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี เมื่อปี ค.ศ. 1961 หลังจากเรียกร้องให้ชาวอเมริกันทุกคน "แบกรับภาระฟันฝ่าสนทยาอันยาวนาน" นั่นคือการจ่ายราคาและรับความเสี่ยงในการต่อสู้สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต
เคนเนดีกล่าวถ้อยคำที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันว่า "และดังนั้น ผองอเมริกันชนทั้งหลาย อย่าถามว่าประเทศทำอะไรให้คุณ จงถามว่าคุณทำอะไรให้ประเทศ"
ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะรับใช้บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา เป็นรากฐานของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากมายในยุคสมัยใหม่
จาก The Doctrine of Fascism โดย เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ได้บอกว่า
... ขบวนการของเราปฏิเสธมุมมองที่ว่ามนุษย์นั้นเป็นปัจเจก ยืนหยัดด้วยตัวเอง ถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง อยู่ภายใต้เพียงกฎแห่งธรรมชาติ ซึ่งนั่นจะผลักดันเขาโดยสัญชาตญาณไปสู่ชีวิตที่เห็นแก่ความสุขส่วนตัวเพียงชั่วแล่น มันต้องไม่ใช่เพียงแค่ปัจเจก แต่ต้องมีประเทศและชาติด้วย ปัจเจกแต่ละรุ่นผูกพันกันด้วยกฎศีลธรรม มีขนบ และภารกิจร่วมกัน ที่จะกดข่มสัญชาตญาณในชีวิต ให้ปิดวังวนแห่งความสุขอันคับแคบ หันมาสร้างเสริมชีวิตที่สูงส่งขึ้นไปบนฐานของหน้าที่ กลายเป็นชีวิตที่อิสระจากข้อจำกัดของเวลาและสถานที่ เพื่อที่ปัจเจกผู้เสียสละตน สละสิทธิ์ในผลประโยชน์ส่วนตน … จะสามารถบรรลุถึงการดำรงอยู่ทางจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณค่าเท่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งพึงมี
ฟังดูให้แรงบันดาลใจดี แต่เราทุกคนรู้ว่าคนพูดนี้คือผู้นำเผด็จการลัทธิฟาสซิสม์ มันคือจิตวิทยาความซาบซึ้งน้ำตาไหล ที่ถูกยกระดับขึ้นไปสูงลิบจนวิปริตผิดเพี้ยน
มันคือหลักการที่ถือว่าประเทศชาติเป็นมหาองคาพยพ หรือ superorganism ที่สำคัญเป็นหลัก ขณะที่ปัจเจกที่อาศัยอยู่ภายในนั้นสูญเสียความสำคัญไปหมดสิ้น
คำถามคือ ถ้าเช่นนั้น ความซาบซึ้งน้ำตาไหลก็เป็นสิ่งไม่ดีกระนั้นหรือ? การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย การเสียสละตนเพื่อช่วยเหลือคนอื่น การต่อสู้ความยากลำบากในชีวิตอย่างอดทน การเดินขบวนของ LGBT การชุมนุุมของผู้ต่อต้านรัฐบาล สิ่งเหล่านี้ไม่ดีไปหมดเลยเหรอ? และผู้นำที่กำลังพยายามทำให้ประชาชนละตัวตน และหลอมรวมเข้าสู่ทีม น้ำตาไหลกับความยิ่งใหญ่ของอุดมคติอะไรก็ตาม นั่นคือเขากำลังหลอกล่อเราด้วยลัทธิฟาสซิสต์ใช่ไหม
บาร์บารา เอห์เรนไรช์ (Barbara Ehrenreich) ในหนังสือ Dancing in the Streets อธิบายคำถามนี้ มีพิธีกรรมทางสังคมมากมายที่ใช้ความเป็นโฮโมดูเพล็กซ์ของมนุษย์ เพื่อนำเรามารวมตัวกันเพื่อให้เกิดสายใยทางสังคมและเกิดเป็นพลังได้ ในสังคมแบบชนเผ่าโบราณก็มีพิธีกรรมเต้นรำ ให้สมาชิกมาเริงร่ายอย่างปีติ มันเป็นเทคโนโลยีทางชีวภาพที่วิวัฒน์มา เพื่อสลายโครงสร้างลำดับชั้นและผูกมัดผู้คนเข้าด้วยกันเป็นชุมชน จนในปัจจุบันก็กลายเป็นงานเทศกาลรื่นเริง ขบวนแห่เฉลิมฉลอง ที่จะช่วยลบเลือนโครงสร้างลำดับชั้น หรือช่วยสลับโครงสร้างลำดับชั้น เช่น ผู้ชายแต่งกายเป็นผู้หญิง ชาวไร่ชาวนาแสดงเป็นขุนนางสูงศักดิ์ และเอาผู้นำมาล้อเล่นได้โดยไม่อันตราย เมื่องานจบลง ผู้คนก็กลับไปสู่สถานะทางสังคมตามปกติของพวกเขา โดยสถานะเหล่านั้นก็จะแข็งกระด้างน้อยลง และหมู่ผู้คนในสถานะต่างๆ ก็จะเชื่อมโยงร้อยรัดกันอย่างอบอุ่นยิ่งขึ้น
แต่การชุมนุมของลัทธิฟาสซิสม์นั้นไม่มีอะไรที่เหมือนกับการเริงร่ายอย่างปีติเลย ลัทธิฟาสซิสม์นั้นแสดงให้เห็นแต่ความยิ่งใหญ่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่ใช่เทศกาลรื่นเริงของประชาชน มันใช้ความน่าพรั่นพรึง เพื่อเน้นย้ำให้โครงสร้างลำดับชั้นทางสังคมแข็งแรงยิ่งขึ้น และผูกมัดผู้คนเข้ากับตัวผู้นำที่ยิ่งใหญ่ดั่งเป็นพระเจ้า
ประชาชนในประเทศเผด็จการฟาสต์ซิสต์ไม่ได้เริงร่ายและพวกเขาก็ไม่ได้ล้อเลียนผู้นำ แต่พวกเขาต้องมายืนห้อมล้อมกันอย่างเฉื่อยชาเป็นเวลานานนับชั่วโมง ตบมือเมื่อมีกลุ่มทหารเดินสวนสนามผ่านมา หรือส่งเสียงดีใจโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อผู้นำอันเป็นที่รักเดินทางมาถึงและกล่าวปราศรัยกับพวกเขา
ชัดเจนว่าผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์ สามารถหาประโยชน์จากความเป็นโฮโมดูเพล็กซ์ และความเห็นแก่กลุ่มของมนุษย์ในหลายๆ ด้าน ในห้วงยามที่เกิดความเดือดร้อนในสังคม

Thursday, August 01, 2024

Game theory บอกว่า ควร cooperate ยังไง ถึงจะได้ผลดีที่่สุด

https://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Axelrod_(political_scientist)

https://en.wikipedia.org/wiki/The_Evolution_of_Cooperation

https://www.youtube.com/watch?v=mScpHTIi-kM


ศ. Robert Axelrod อดีตนักวิจัยทาง political science แห่ง Yale University ได้ทำการวิจัยจาก ทฤษฎีเกม ว่า จะต้องมีนิสัยแบบไหน ถึงจะประสบความสำเร็จในเกม prisoner's dilemma ที่ผู้เล่นแต่ละคนจะสามารถเลือกได้ว่า จะร่วมมือ หรือ หักหลัง ถ้าร่วมมือทั้งสองฝ่ายจะได้ 3 คะแนน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงหักหลัง ฝ่ายที่หักหลังจะได้ 5 คะแนน อีกฝ่ายจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าหักหลังทั้งคู่ก็จะได้ 1 คะแนน 

โดยเขาได้พัฒนาเกมนี้ขึ้นไป โดยออกแบบ คาแรคเตอร์ หรือ นิสัย ของผู้เล่นต่างๆกันไป เช่น tit for tat ที่จะทำเหมือนกับสิ่งที่ได้รับ หรือ joss ที่จะชอบหักหลังมากขึ้นหน่อย และเขาได้รันเกมนี้ 5-200 รอบ แล้วสุดท้ายนำคะแนนมาเทียบกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชนะเกมนี้คือ คาแรคเตอร์ tit for tat หลังจากนั้น เขาก็ได้ปรับกติกาเกมไป เพื่อหาสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ก็ปรากฎว่า tit for tat ยังชนะอยู่ แต่ เขาก็พบว่า ถ้าปรับนิสัยของ tit for tat อีกเล็กน้อย ก็จะทำให้ชนะขาด และในภาพรวม ลักษณะนิสัยต่างๆที่ไปในทางดีจะชนะนิสัยไม่ดี โดยสรุป เขาพบ คุณสมบัติ 4 ข้อ ที่จะทำให้ชนะเกม cooperation นี้ ในระยะยาวคือ (ดูจาก คลิปของ veristasium)

1. be nice ให้เริ่มด้วยความใจดีก่อน คอยร่วมมือ อย่าหักหลังแต่เริ่ม
2. retailiatory/provocable ถ้าโดนหักหลังให้แก้แค้นโดนทันที
3. forgiving ถ้าโดนหักหลัง เมื่อเอาคืนแล้ว ก็ควรให้อภัย ให้กลับมาดีด้วยก่อน ถ้ายังมีซ้ำ ก็ให้หักหลังคืนต่อไป

4. be clear ชัดเจนกับแผนที่ทำ อย่าทำตัวให้คนสงสัย ด้วย โชว์ฉลาด หรือ พยายามหักหลังคนอื่นก่อน

ถ้ามองนิสัย 4 ประการน๊้ ไม่ใช่ ศีลธรรมทางคริสต์ที่จะยื่นแก้มให้คนอื่นตบเมื่อโดนตบไปก่อน แต่ออกเป็นศีลธรรมแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่สามารถร่วมมือกับคนอื่นได้ อาจบอกได้ว่า เราไม่ต้องไปใจดีทำเพื่อคนอื่นมาก เราสามารถเห็นแก่ตัวได้บ้าง แต่คอยร่วมมือกับคนอื่นก็จะทำให้ชนะเกมได้

แต่ก็มีเกร็ดอื่นๆ เช่น ถ้า อยู่ในสถานการณ์ที่เจอกับ คนดีๆ นิสัย แบบ tit for tat จะไม่ชนะ หรือ ถ้า อยู่ในสถานการณ์ที่ แย่ๆ มี noise รบกวนให้เครียดมากๆ นิสัยแบบ tit for tat ก็จะทำคะแนนต่ำลงมาก ทางนักวิจัย ได้ แนะนำให้ forgive มากขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ เช่น โดนหักหลัง 10 ครั้ง ก็จะให้อภัยเพิ่ม 1 ครั้ง เพื่อให้กลับมาร่วมมือกันได้ใหม่ ตัวเลข 10 เปอร์เซ็นต์นี้ก็จะพอดีที่จะไม่ทำให้โดนเอาเปรียบมากเกินไป และทำให้ยังร่วมมือกันได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเกม zero sum game ที่ผู้ชนะได้หมด ผู้แพ้ไม่ได้อะไรเลย ลักษณะนิสัยแบบที่บอกมาจะไม่สามารถชนะได้ง่าย ซึ่งก็ต้องการคนที่มีนิสัยต่างออกไป แต่ในชีวิตจริง ส่วนใหญ่ไม่ใช่ zero sum game ดังนั้น tit for tat +10% จึงอาจเหมาะที่สุด หลังจากงานวิจัยเขาได้ตีพิมพ์ ก็มีงานอื่นๆ ทดลองต่างๆ ซึ่งพบว่าแม้ tit for tat ไม่ใช่ผู้ชนะ แต่ ลักษณะ 4 แบบ นี้ ก็เป็นกลุ่มหลักของผู้ชนะ

รายละเอียดเพิ่มเติม ดูได้ในคลิป, เว็บวิกิ และหนังสือ https://www.amazon.com/Evolution-Cooperation-Revised-Robert-Axelrod/dp/0465005640



Thursday, June 13, 2024

กรรม บันทึกที่ ฮิปโปแคมปัส

 https://www.youtube.com/watch?v=VWwdfUNh9ok จาก ช่อง หมอเฉพาะทางบาทเดียว 

https://bigthink.com/neuropsych/good-bad-memories-stored-different-places-brain/

Steve Ramirez, a neuroscientist at Boston University discovered where the brain stores positive and negative memories.

from works published in 
https://www.cell.com/current-biology/fulltext/S0960-9822(19)30494-4

and
https://www.nature.com/articles/s42003-022-03906-8 

The top part of the hippocampus activated when mice underwent enjoyable experiences, but the bottom region activated when they had negative experiences.

ส่วนบของฮิปโปแคมปัสใช้เก็บความทรงจำสิ่งดีๆ ส่วนล่างของฮิปโปแคมปัสเก็บความทรงจำจากประสบการณ์แย่ๆ เช่น อดอาหาร หรือ โดนทำร้าย โดยใช้สมองส่วน prefrontal cortex ในการประมวลผลของประสบการณ์ที่ดีและแย่

สำหรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น จะใช้สมองส่วน amygdala ในการรับรู้ แต่ประสบการณ์ดี กับ ไม่ดี จะอยู่คนละส่วนของ amygdala

ทางนักวิจัยต้องการ นำไปใช้ในการควบคุมความทรงจำ "It opens the door to exploring memory manipulation."

ทางเพจหมอเฉพาะทางบาทเดียวตีความว่า ประสบการณ์ด้านดี เก็บไว้ด้านบนของ ฮิปโปแคมปัส เหมือนเป็นทางสวรรค์ด้านบน ส่วนประสบการณ์ด้านไม่ดี อยู่ด้านล่างเหมือนนรก เป็นเหมือนการบันทึกกรรมไว้ และทางคุณหมอ ก็ได้นำเคสกรรมต่างๆที่คุณหมอเคยประสบมาเล่าไว้ในคลิป



Wednesday, June 12, 2024

3 งาน พัฒนาจิต

 https://www.youtube.com/channel/UCNt-j4bap72PYG-8u28uNNg/community?lb=UgkxGa9569yV1eky6uy9sKHJdwPOYlKf3-D-

พัฒนาจิตมี 3 งาน “งานที่หนึ่ง ปลุกความรู้สึกตัวขึ้นมา งานที่สอง แยกขันธ์ออกไป อย่างน้อยมี 2 ขันธ์ แต่หนึ่งในนั้นต้องเป็นจิต ไม่มีจิตปฏิบัติต่อไม่ได้ พอแยกได้แล้วก็ถึงงานที่สาม งานสุดท้าย คือการเจริญปัญญา ตรงที่เราแยกกายกับจิตออกจากกัน อาศัยสมาธิ ความตั้งมั่นของจิตเกิดขึ้น สติระลึกรู้อะไร ปัญญาก็เกิดว่านี่ถูกรู้ ไม่ใช่จิต แต่ตรงที่ปัญญาแท้จริง วิปัสสนาปัญญาจะเกิด นี้เป็นอีกสเต็ปหนึ่ง ก็คือการที่มีปัญญาหยั่งลงไป เห็นทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมทั้งหลายทั้งปวง ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ตรงนั้นเราจะได้ของดีของวิเศษก็ตรงนี้ แต่ก่อนจะมาถึงของดีของวิเศษนี้ เราต้องแยกขันธ์ได้ เราจะต้องมีความรู้สึกตัวได้ การที่ขันธ์มันมารวมกันอยู่ ขันธ์ 5 มารวมกันอยู่ อย่างนี้ มันจะเกิดความรู้สึกว่านี้คือตัวเรา นี่คือของเรา นี่คือตัวเรา แต่พอขันธ์มันกระจายตัวออกไป มันก็จะเริ่มเห็นความจริงได้ รูปไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา รูปนอกจากเป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเราของเรา รูปยังเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ ตรงที่เราแยกกายกับจิตออกจากกัน เราเหลืองานนิดเดียว เราก็จะเห็นเหลือรูปอันเดียวที่จะต้องเรียนรู้ ไม่ใช่เหลือตัวนี้ทั้งตัวที่จะเรียนรู้” หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 ตุลาคม 2565 ฟังเพิ่มเติมได้ที่ youtube.com/watch?v=TYqklx8mxZk

Tuesday, May 21, 2024

Spatial inteligence ของ AI ให้เอไอเห็น เพื่อ ทำงาน ได้

 from https://www.facebook.com/photo/?fbid=10160626168918649&set=a.10150195418768649

สรุปอนาคตของ AI จบในโพสต์เดียว พลังแห่ง Spatial Intelligence จากทอล์คของ อ. Fei-Fei Li ผู้บุกเบิกศาสตร์ Computer Vision
.
อ. แกสอนวิชา Computer Science ที่ Stanford เป็นผู้ก่อตั้ง ImageNet หน่วยงาน HAI และอีกหลายโปรเจ็คพลิกโฉมโลก หลายคนตั้งฉายาให้ อ. ว่า "Godmother of AI"
.
นั่งฟังทอล์คนี้ของ อ. Fei-Fei ยังกะดูหนัง Sci-Fi โลกเราไปไกลขนาดนี้แล้วหรอ ตามไม่ทันแล้ว 555+
.
เขียนสรุปเป็น 15 ไอเดียสำคัญ อ่านจบ เข้าใจ AI ง่ายจนงง (ที่เหลือยากหมด) ยั๊งงงง 555+
.
1. 540 ล้านปีก่อน โลกได้รับแสงจากพระอาทิตย์ แต่ทุกอย่างกลับมืดมิด เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดรับรู้ถึง "แสงสว่าง" นั้นได้เลย
.
2. Trilobites เป็น Organism สายพันธ์ุแรกในโลกที่เริ่มสัมผัสถึงแสงสว่างได้ เป็นครั้งแรกที่สิ่งมีชีวิตเริ่มรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ตัวมันเอง
.
3. เมื่อสิ่งมีชีวิตเปิดรับแสงเข้ามา ระบบประสาทและการรับรู้ทั้งหมดของมันเริ่มวิวัฒนาการ
.
"Sight turning to insight, Seeing becomes understanding"
.
และทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของ "Intelligence" ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ขนลู๊กกก
.
4. ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ทำให้เราพยายามสร้างเครื่องจักรที่สามารถมองเห็นได้เหมือนเรา
.
Intelligence ที่เกิดจากการมองเห็น ในศาสตร์ AI เรียกว่า "Computer Vision"
.
// 9 ปีที่แล้วคุณ Fei-Fei เคยมาขึ้น TED เพื่อเล่าเรื่อง Vision มาแล้ว ทอล์คล่าสุดเหมือนแกมาอัปเดตก้าวต่อไปของงานวิจัยสายนี้
.
5. Convergence ของสามพลังที่ทำให้ AI สมัยใหม่เติบโตมาได้ไกลถึงทุกวันนี้คือ
.
- Algorithms เช่น Neural Networks
- Computing Power เช่น GPUs
- และ Big Data เช่น ImageNet ที่มีรูปภาพมากกว่า 15 ล้านรูปไว้สอน AI
.
6. ความสามารถของ AI เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด State-of-The-Art Model ในสาย Vision ทำนายรูปภาพได้แม่นยำขึ้นทุกปี
.
Model Accuracy ของ ImageNet โตขึ้นจาก 50% เป็น 90%+ ภายในเวลาแค่สิบปี
.
7. Vision AI ตอนนี้เริ่มทำอะไรหลายๆอย่างได้เหมือนมนุษย์ตั้งแต่การทำ Segmentation, เขียนอธิบายรูปภาพ และการสร้างรูปจาก Text Prompt
.
เรื่องที่พวกเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้เมื่อสิบปีก่อน ทุกวันนี้ AI ทำได้หมดเลย อ้าว 555+
.
Generative AI อย่าง Midjourney, DALL-E, Imagen และล่าสุด Sora ยกระดับ Vision ไปอีกระดับหนึ่งเลย
.
// อ. Fei-Fei บอกว่านักเรียนเค้าสร้าง Gen AI สำหรับสร้างวีดีโอได้ก่อนหน้า Sora หลายเดือนชื่อ "WALT" โดยไม่ต้องใช้ GPU แรงๆก็ได้
.
8. ทุกวันนี้แค่มองเห็น "Seeing" ไม่เพียงพอแล้ว ก้าวต่อไป AI ต้องมองเห็น เข้าใจ และลงมือทำได้ "Doing & Learning"
.
มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านการมองเห็นในโลกจริงแบบสามมิติ Space & Time และเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้
.
ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "Spatial Intelligence" ผสมผสานการรับรู้และการลงมือทำ (Perception + Action) เรียนรู้สิ่งแวดล้อม เพื่อทำงานที่ซับซ้อน
.
"The urge to act is innate to all beings with spatial intelligence, which links perception with action."
.
9. Spatial Intelligence คือความสามารถในการโมเดลความสัมพันธ์ของวัตถุต่างๆในโลก รวมถึงสถานที่ และเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นๆที่ดวงตาเรามองเห็นอยู่
.
อ. Fei-Fei โชว์รูปแมวบนสไลด์ เดินเตะแก้วน้ำกำลังจะตกจากโต๊ะ และถามผู้ฟังว่า "ทุกคนเห็นรูปแล้วนี้แล้วอยากจะทำอะไรใช่ไหม?" (อยากจะจับแก้วที่กำลังจะตกแตก)
.
กว่าที่มนุษย์จะมีความสามารถด้าน Spatial ที่เราทำได้ง่ายๆแบบนี้ ผ่านวิวัฒนาการมาเป็นล้านๆปี อ. บอกว่าจะสอนสิ่งนี้ให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย
.
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า "จะทำไม่ได้" ขนลู๊กกกอีกแล้ว 555+
.
10. เหตุผลที่เราต้องใส่ "เวลา" ในโมเดล Spatial ด้วย เพราะมนุษย์มีความสามารถในการ "ทำนาย" สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ แค่วิเคราะห์สิ่งที่เห็นตรงหน้าภายในเสี้ยววินาที
.
// นอกเรื่อง ถ้าเป็นในโลกฟิสิกส์ Einstein บอกว่า Time คือ 4th Dimension เดินทางเป็นเส้นโค้ง จะ Geek ไปแล้ว ยั๊งงง 555+
.
11. ทีมวิจัยของ อ. Fei-Fei ศึกษาและพัฒนาต่อยอดงานวิจัยจาก ImageNet ทุกวันนี้เราสามารถเขียน Prompt เพื่อสร้าง 3D Objects ได้แล้ว
.
12. ไม่ใช่แค่ 3D Objects แต่สร้างได้ทั้งโลก เอาเรื่อง Vision AI เริ่มเรียนรู้ที่จะสร้าง "โลกทั้งใบ" ได้จากรูปถ่ายแค่ใบเดียว (อ. Fei-Fei เปิด Demo ให้ดูในทอล์ค อย่างโหด 555+)
.
// นั่งดูแล้วก็นึกถึง Metaverse ต่อไปอาจจะกลับมาบูมก็ได้ เพราะ AI ตอนนี้เก่งกว่าตอนนั้นเยอะมาก ผ่านมาแค่สองปีเอง ยั๊งงง 555+ 🤣
.
// ลองนึกภาพเกมที่อยากจะจำลองเมือง New York ทั้งเมือง อาจทำได้ง่ายๆแค่เขียน Prompt "สร้างเมืองนิวยอร์กแบบสามมิติ"
.
13. โปรเจ็ค "Behavior" ของ อ. Fei-Fei พยายามสอน AI ให้เข้าใจโลกนี้ผ่าน Simulation ในโลก 3D ที่ให้หุ่นยนต์ทำงานต่างๆที่มนุษย์ทำในชีวิตประจำวัน
.
อย่างที่ อ. บอกไว้ว่า แค่มองเห็นไม่พอแล้ว ต้องเห็น เข้าใจ และลงมือทำงานนั้นๆได้เหมือนมนุษย์ กราบบบ
.
14. งานวิจัยล่าสุดของ อ. ใช้แค่เสียงควบคุมแขนหุ่นยนต์ได้เลย
.
แต่ที่พีคสุดคือการใช้คลื่นสมอง "Brain Waves" ในการสั่งงานหุ่นยนต์ได้แล้ว ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเอ่ยคำสั่งใดๆ ใช้พลังสมองล้วนๆ โหดมาก (มี Demo ในคลิป)
.
ใส่หมวก EEG ส่งคลื่นสมองไปที่หุ่นยนต์ หน้า Magneto ใน X-Men ลอยมา นี่มันยิ่งกว่า Comic 555+
.
15. อ. Fei-Fei ปิดท้ายว่าวิธีการเดียวที่จะปลดล็อคพลังขั้นสูงสุดของ AI ต้องทำให้มันเห็น เข้าใจ และทำได้เหมือนพวกเรา
.
ใส่พลัง Spatial Intelligence เข้าไปที่คอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ เหมือนที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มนุษย์ขึ้นมา ผ่านวิวัฒนาการล้านปี
.
กำเนิดเป็นศาสตร์ใหม่ "Embodied AI" หรือ EAI ที่สร้างเครื่องจักรให้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น จากแค่มองเห็น เป็นลงมือทำ ขนลู๊กรอบที่สาม 555+
.
✅ ดูทอล์คนี้ของ อ. Fei-Fei Li แบบเต็มๆ 15:11 นาทีได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=y8NtMZ7VGmU
.
ทอล์คนี้เปิดโลกเลย อัปเดตอนาคตของ AI จบในโพสต์เดียว ขอบคุณ อ. Fei-Fei Li มากๆคร้าบ ดูจบ รอยหยักในสมองเพิ่มขึ้นหลายเส้นเลย กราบ 555+
.
EAI: From Seeing to Doing, with Spatial Intelligence.


Wednesday, September 06, 2023

ภูมิศาสตร์ มีผลต่อ สังคม วัฒนธรรม ของคนในแต่ละพื้นที่อย่างไร

 from https://markpeak.net/origins-lewis-dartnell/ 

origins: how the earth shaped human history

ในฐานะผู้สนใจเรื่องภูมิศาสตร์ (geography) และภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ก็มีคำถามในใจตลอดมา ในประเด็นว่าภูมิศาสตร์ (เช่น ภูเขา ทะเลทราย แม่น้ำ ทะเล) มีผลต่อสภาพการเมือง สังคม วัฒนธรรม ของคนในแต่ละพื้นที่อย่างไร

คำถามข้อหนึ่งที่ผมสงสัยมานานมาก คือทำไมขอบเขตแผนที่ของยุโรปถึงหยุดอยู่แถวๆ โมร็อกโก ตั้งแต่ยุคกรีก-โรมันแล้วไม่ไปต่อ ทำไมคนยุโรปถึงไม่สามารถล่องเรือ เดินทางเลาะตามชายฝั่งแอฟริกาเพื่อมาหา “โลกใหม่” ตั้งแต่สองพันปีก่อน ทำไมต้องรอถึงยุคโคลัมบัสถึงกล้าเดินเรือออกมาได้

ผมไม่สามารถหาข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์มาตอบคำถามนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง (หรือเราหาไม่เจอเองก็ไม่ทราบได้) จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ในทวิตเตอร์สายภูมิศาสตร์-แผนที่ ที่ติดตามอยู่ มีคนพูดถึงหนังสือเล่มนี้ Origins: How the Earth Shaped Human History ของ Lewis Dartnell เลยตามไปหาข้อมูลเพิ่มดู และพบว่านี่แหละคือสิ่งที่เราตามหามานาน

Lewis Dartnell เป็นอาจารย์ด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ University of Westminster เขาจบการศึกษาด้านชีววิทยาดาราศาสตร์ (Astrobiology) และมีผลงานหนังสือเล่าเรื่องด้านวิทยาศาสตร์หลายเล่มหลายแขนง

ผลงานเล่มก่อนหน้าของเขาคือ The Knowledge: How to Rebuild Our World from Scratch (2014) พูดเรื่องการสร้างสิ่งต่างๆ วิทยาการในปัจจุบันขึ้นมาใหม่ หากโลกเจอกับหายนะขึ้นมา ซึ่งเพิ่งมาทราบเหมือนกันว่าหนังสือเล่มนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้มังงะเรื่อง Dr.Stone ด้วย ส่วนหนังสือเล่มใหม่ของเขาเพิ่งออกในปี 2023 คือ Being Human: How our Biology shaped World History ที่ตั้งชื่อล้อกับเล่ม Origins แต่เป็นเรื่องชีววิทยาแทนที่จะเป็นเรื่องภูมิศาสตร์

ถ้าใครขี้เกียจอ่านก็สามารถชมคลิปบรรยายของ Dartnell ได้ มีหลายอัน

ผมใช้เวลาอ่านๆ หยุดๆ อ่านๆ Origins อยู่นาน สุดท้ายอ่านจบก็พบว่าสมความมุ่งหมาย ได้คำตอบที่ต้องการ และได้เวลามาเขียนแนะนำให้คนอื่นบ้าง (เผื่อมีคนสนใจแปลเป็นภาษาไทย)

เนื้อหาใน Origins พูดถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา (geology) ที่กลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของสิ่งมีชีวิตและสังคมมนุษย์ (อย่างไม่ตั้งใจ) และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของเรา ว่าจริงๆ แล้วปัจจัยเกิดจากอะไร

หนังสือแบ่งออกเป็นทั้งหมด 9 บท ขอสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ของแต่ละบทดังนี้

บทที่ 1: The Making of Us

บทแรกเปิดมาว้าวพอสมควร เพราะกล่าวถึงว่าลิงวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร โดยกล่าวถึงพื้นที่จุดกำเนิดมนุษย์คือ The East African Rift ช่องเขาแคบๆ ที่อยู่แถบประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน มีภูมิประเทศพิเศษเป็นรูปตัว Y มีภูเขาสูงกันความชื้นที่ลอยมาจากมหาสมุทรอินเดีย มีร่องรอยของภูเขาไฟ เมื่อเจอกับสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากร้อนเป็นเย็น จากเย็นเป็นร้อน จากฝนตกเป็นแห้งแล้ง ช่วยเร่งให้วิวัฒนาการของลิงเร็วขึ้นจนกลายเป็นเผ่า Homo Sapiens และภายหลังเดินทางออกนอกแอฟริกาไปทั่วโลก (อ่านแล้วอยากไปเห็นของจริงเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร)

บทนี้ยังพูดถึงอารยธรรมโบราณต่างๆ ในยูเรเชีย ว่าสอดคล้องกับรอยต่อของเปลือกโลก เพราะมีขี้เถ้าจากภูเขาไฟทำให้เพาะปลูกได้ดี มีอาหารมากพอสำหรับชุมชนมนุษย์ที่อยู่กันเป็นหลักแหล่ง

บทที่ 2: Continental Drifters

ต่อจากบทแรก พูดเรื่องประวัติศาสตร์ภูมิอากาศของโลกที่มีช่วงยุคน้ำแข็ง (glacial) กับช่วงอากาศอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง (interglacial) ที่เกิดจากวัฏจักรการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ (Milankovitch cycle) และมีผลต่อระดับน้ำทะเล ช่วงอากาศอุ่น น้ำแข็งละลาย น้ำทะเลขึ้นสูง ท่วมแผ่นดินบางจุด มีผลต่อสิ่งมีชีวิต และทำให้มนุษย์ในอดีตต้องเดินทางหนีน้ำ ไปหาแหล่งอาหารใหม่ๆ จนกระจายตัวไปทั่วโลก

บทที่ 3: Our Biological Bounty

บทนี้พูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคโบราณ ที่โชคดีมาเจอยุคอากาศอุ่น (interglacial) ที่เรียก Holocene ช่วงประมาณ 11,000 ปีก่อน จึงเริ่มก่อสร้างอารยธรรมตามจุดต่างๆ เช่น Fertile Crescent (เมโสโปเตเมียไล่มาจนถึงอียิปต์) และจีน เริ่มการเพาะปลูกพืชหลายชนิด เช่น wheat (ข้าวสาลีในเมโสโปเตเมีย), rice (ข้าวในจีน), maize (ข้าวโพดในอเมริกา) และจับสัตว์หลายชนิดมาเลี้ยงเพื่อบริโภค-ใช้งาน พอมีอาหารเลี้ยงประชากรจำนวนมากขึ้นได้ ก็ขยายชุมชนไปเรื่อยๆ กลับไปใช้ชีวิตเร่ร่อนไม่ได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ยังพูดถึงข้อได้เปรียบของยูเรเชียในเรื่องภูมิศาสตร์-ชีววิทยา ทำให้สังคมมนุษย์วิวัฒนาการเร็วกว่าฝั่งอเมริกามาก และปัจจัยเรื่องทรัพยากรแม่น้ำในอียิตป์-จีน ที่กลายเป็นแหล่งอารยธรรม

บทที่ 4: The Geography of the Seas

บทนี้กล่าวถึงการจัดการทรัพยากรน้ำ จนทำให้ฮอลแลนด์ที่ถูกบีบคั้นจากการเป็นพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล พัฒนาตัวเองเรื่องเทคโนโลยีกังหันน้ำ และเทคโนโลยีการเงิน การระดมทุน สร้างระบบทุนนิยมยุคแรกได้

จากนั้นพูดถึงบทบาทของทะเล โดยเฉพาะทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นจุดศูนย์กลางของยุโรปยุคโบราณ คาแรกเตอร์ของดินแดนสองฝั่งทะเลที่ต่างกัน (ยุโรปเป็นภูเขา ชายฝั่งเว้ามีเกาะแก่ง แอฟริกาเป็นที่ราบ ชายฝั่งเรียบตรง) ทำให้อารยธรรมสองฝั่งทะเลต่างกันมาก

ข้ามมายังมหาสมุทรอินเดีย เส้นทางเดินทะเลโบราณ ความสำคัญของช่องแคบ Aden, Hormuz, Malacca ในเชิงยุทธศาสตร์การยึดครองเป็นเจ้าทะเลในอดีต

บทที่ 5: What We Build With

บทนี้เกี่ยวกับ “วัสดุ” ที่มนุษยชาติใช้งานสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ มาตั้งแต่โบราณ เช่น หิน limestone & หินอ่อน, ไม้ & โคลน ที่นำมาสร้างเป็นอิฐ, ดินสอพอง (chalk) & หินเหล็กไฟ (flint), หินแกรนิต โดยกล่าวถึงวัสดุแต่ละประเภทว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร (ในเชิงธรณีวิทยา) เกิดขึ้นในยุคสมัยไหน ซ้อนกันเป็นชั้นๆ อย่างไร และมนุษย์ค่อยๆ ขุดดินและหินเหล่านี้มาใช้งานได้อย่างไร

บทที่ 6: Our Metallic World

แนวเดียวกับบทที่ 5 แต่เป็นเรื่องโลหะต่างๆ ที่มนุษยชาตินำมาใช้ทำเครื่องมือในแต่ละยุคสมัย เช่น บรอนซ์/สำริด (bronze) ดีบุก (tin) ทองแดง (copper) เหล็ก (iron) และวิธีเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้า (steel) โดยพูดถึงจุดกำเนิดของโลหะเหล่านี้บนโลก วิธีการที่มนุษย์นำมาใช้งาน ความหายาก แยกสกัดโลหะต่างชนิดกันได้ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น

บทนี้มีความเป็นวิชาเคมีสูง (ในหัวข้อย่อยหนึ่งยังตั้งชื่อว่า The Periodic Table in Your Pocket) ค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง มาติดที่บทนี้อยู่นานกว่าจะมีกำลังใจอ่านต่อ

บทที่ 7: Silk Roads and Steppe People

บทนี้พูดเรื่องการบุกเบิกเส้นทางสายไหม ที่เชื่อมอาณาจักรจีนทางตะวันออก กับเอเชียกลาง-ยุโรปเข้าด้วยกัน โดยเป็นเส้นทางที่หลบเลี่ยงทิเบต ซึ่งเป็นทางตันในเชิงภูมิศาสตร์โลก (เทือกเขาสูง ที่ราบสูง) คนโบราณใช้วิธีลัดเลาะตามช่องเขาและทะเลทรายทางเหนือของทิเบตเพื่อให้เดินทางนำสินค้ามีค่าสูง (ผ้าไหมในยุคแรก และสินค้าอื่นในยุคต่อมา) ไปขายในต่างแดนได้ แต่จริงๆ แล้วเส้นทางเหล่านี้คืออยู่บนรอยของเปลือกโลกที่พุ่งชนกัน และเกิดเป็นจุดโอเอซิสหลายๆ จุดต่อกัน คนและสัตว์จึงมีน้ำและอาหารช่วยให้มีชีวิตอยู่รอดได้ในพื้นที่ทุรกันดารขนาดนั้น

ครึ่งหลังของบทพูดถึงชาวเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้าสเต็ปป์ ที่อยู่ตอนเหนือของเส้นทางสายไหมอีกที ว่าเป็นภัยคุกคามต่ออารยธรรมเมืองเกษตรกรรมใกล้เคียง ทั้งฝั่งจีนและยุโรปมาตลอดประวัติศาสตร์ เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในตอน Steppe: Eurasia Highway

บทที่ 8: The Global Wind Machine and the Age of Discovery

บทนี้คือสิ่งที่ตามหาจากหนังสือเล่มนี้ เล่าเรื่องการทำงานของ “ลม” ในโลกว่าเป็นอย่างไร เคยเขียนสรุปเรื่องลมไว้แล้วในโพสต์ ว่าด้วยการพัดของลมในโลก และ ทะเลไร้ลม Calm Belt มีอยู่จริงในโลก

หลังจากเข้าใจระบบการทำงานของลมบนโลกแล้ว เนื้อหาครึ่งหลังของบทนี้เป็นการสรุปว่า กะลาสีเรือชาวโปรตุเกสค่อยๆ เรียนรู้การทำงานของลมในมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างไร และกะลาสีแต่ละรุ่นค่อยๆ เรียนรู้ แก้ปัญหาไปทีละส่วน จนสุดท้าย Bartolomeu Dias เดินทางไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปได้สำเร็จในปี 1487 และ Vasco da Gama เดินทางไปถึงอินเดียได้ในปี 1498 (เดี๋ยวจะเขียนถึงเรื่องนี้ต่อไป)

บทที่ 9: Energy

บทสุดท้ายพูดเรื่องพลังงานได้น่าสนใจมาก เล่าถึงวิวัฒนาการเรื่องการใช้พลังงานของมนุษยชาติ เริ่มจากการเปลี่ยนพลังงานแสง (solar) ในพืช กลายมาเป็นอาหารของสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นกำลัง (muscle) ทั้งคนและสัตว์ในการลากจูงสิ่งต่างๆ มาสู่ยุคกังหันน้ำ-กังหันลม มาสู่ยุคเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้พลังจากการเผาไม้ จนไม้หมดประเทศอังกฤษ ก่อนมาขุดพบพลังงานชนิดใหม่คือ ถ่านหิน (coal) และน้ำมัน (oil) ที่เกิดจากการสะสมโดยบังเอิญของชั้นหินในโลกเพียงยุคเดียว ซึ่งมนุษย์เรากำลังสูบของสะสมเก่ามาใช้ ที่โลกไม่สามารถผลิตขึ้นมาใหม่โดยง่ายด้วย

สรุป

ผู้เขียนได้รวมประเด็นด้านวิทยาศาสตร์หลายสาขา ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฯลฯ มาเรียงร้อยเข้ากันเป็นเรื่องเดียวได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลและข้อจำกัดของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติได้ชัดเจนมาก ดีถึงระดับเกิดความรู้สึกว่า ทำไมเราไม่สอนเรื่องเหล่านี้ในระดับโรงเรียน

ผมได้คำตอบของสิ่งที่อยากรู้มานาน และได้ความรู้พื้นฐานในศาสตร์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันว่าโลกเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร และเป็นพื้นฐานสำหรับการไปต่อยอดหาความรู้เพิ่มเติม เจาะลึกในด้านต่างๆ ได้อีกมาก