อ่านบทความอาจารย์ โกวิท แล้ว คิดออกมาได้ดังนี้ (ดูต่อด้านล่าง)
กรมพระยาดำรงราชานุาภาพทรงเคยดำรัสว่า อุปนิสัยคนไทยคือ การรักความเป็นไทย ปราศจากวิหิงสา รู้จักประสานประโยชน์
คนไทยทั่วไปเข้าใจตัวเองว่า อุปนิสัยคนไทยคือ ความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
แต่ รูธ เบเนดิกต์ ปรมาจารย์ของวิชามานุษยวิทยา ผู้เขียนหนังสือ "ดอกเบญจมาศกับดาบซามูไร" ที่ พลเอก แมคอาเธอร์ใช้เป็นตำราในการปกครองญี่ปุ่น ซึ่งถือว่า เป็น "การยึดครองประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างวิเศษที่สุดในประวัติศาสตร์" กลับบอกว่า ความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่น่าจะเป็นนิสัยเฉพาะของคนไทย เพราะว่า ทุกสังคมการเกษตรจะมีนิสัยแบบนี้
รูธ ได้ฟันธงว่า นิสัยเฉพาะของคนไทย คือ "คนไทยมีนิสัยชอบซ้ำเติมคนที่พลาดพลั้งจากการถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้าย แต่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าคนที่หลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่นนั้นมีความผิดแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยจะเห็นว่าการหลอกลวงหรือการทำร้ายบุคคลอื่นนั้นจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายอะไรนัก"
นี่ก็เป็นความเห็นฝรั่งคนหนึ่งเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า ปัจจุบัน ยังเป็นจริงไหม
ถ้าแค่สมน้ำหน้า คิดว่า มีทุกชาติ แต่ เอาหนักๆแบบนี้ อาจจะมีที่จีน กับ อินเดีย ที่อินเดียน่าจะใช่เลย แบบ กรณี ข่มขืน ผญ บนรถบัสประจำทาง คนในสังคมก็มีกระแสคิดแบบเดียวกัน
---------------------------------------------
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433313206
รูธ เบเนดิกต์ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
ที่มา:มติชนรายวัน 3 มิ.ย.2558
รูธ เบเนดิกต์
เป็นปรมาจารย์ของวิชามานุษยวิทยา (Anthropology)
ที่จัดว่าเป็นวิชาการสาขาใหม่ที่ศึกษาทำความเข้าใจมนุษย์
เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามต่างๆ
ในเรื่องของมนุษยชาติในประเด็นของวิวัฒนาการของมนุษย์
และสังคมวัฒนธรรมมนุษย์เริ่มปรากฏตัวบนโลกครั้งแรกเมื่อไหร่
ไปจนถึงประเด็นที่ว่าทำไมมนุษย์ในแต่ละสังคมทั่วโลกจึงแตกต่างกันทั้งทาง
พัฒนาการและวัฒนธรรม
รูธ เบเนดิกต์ เขียนหนังสือเรื่อง Patterns of Culture (1934)
ซึ่งหัวใจของหนังสือเล่มนี้คือ "วัฒนธรรม
(วิถีการดำเนินชีวิต-ไม่มีดีไม่มีเลว เช่น คนไทยกินข้าว ฝรั่งกินขนมปัง
หรือคนไทยเผาศพ คนจีนฝังศพ เป็นต้น)
มีแบบแผนสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมนั้น"
หรือจะเน้นให้ชัดเจนก็คือ "วัฒนธรรมก็คือบุคลิกภาพของคนในสังคมนั่นเอง"
รูธ เบเนดิกต์
เป็นสุภาพสตรีผู้ที่ทำการศึกษาเรื่องลักษณะนิสัยประจำชาติของไทยและของ
ญี่ปุ่น สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื่องจากทั้งประเทศญี่ปุ่นและไทยนั้นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา
ทางกระทรวงกลาโหมอเมริกันก็เลยอยากรู้จักศัตรูของเขาให้ถ่องแท้ เข้าทำนอง
"รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะทั้งร้อยครั้ง" นั่นแหละ
ผลงานรูธ เบเนดิกต์
เกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของญี่ปุ่นนั้นเป็นที่แพร่หลายรู้จักกันดี
ทั่วโลก โดยถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเรื่องคือ The Chrysanthemum and the
Sword-ดอกเบญจมาศกับดาบซามูไร
ซึ่งหนังสือเล่มนี้กองทัพสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายพลแมคอาเธอร์
ยึดถือเสมือนคัมภีร์ไบเบิลในการปกครองชาวญี่ปุ่นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่ถือว่าเป็นการยึดครองประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างวิเศษที่สุดในประวัติ
ศาสตร์เลยทีเดียว
ส่วนงานของรูธ เบเนดิกต์
เกี่ยวกับประเทศไทยนั้นไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก
เพราะไม่ได้ถูกตีพิมพ์เป็นเล่มในภาษาอังกฤษ
แต่ทางเมืองไทยได้แปลออกมาพิมพ์เป็นภาษาไทยแล้ว โดยพรรณี ฉัตรพลรักษ์
ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2524 โน่น ยังพอหาอ่านได้ตามห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆ
ชื่อเรื่องคือ Thai Culture and Behavior ส่วนชื่อหนังสือภาษาไทยคือ
"วัฒนธรรมและพฤติกรรมของไทย"
งานวิจัยเกี่ยวกับนิสัยประจำชาติคนไทยนี้ รูธ
เบเนดิกต์ทำเสร็จแล้วส่งให้กระทรวงกลาโหมอเมริกันตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน
พ.ศ.2486 เธอเสียชีวิตในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2491 รวมอายุได้ 61 ปี
สิ่งที่จะต้องระลึกไว้ตลอดเวลาก็คือองค์ประกอบของเวลา
เพราะทั้งคนที่ศึกษาและผู้ที่ถูกศึกษาก็เสียชีวิตหมดแล้ว บริบท
(Context-สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศทั้งหมดในขณะหนึ่ง)
ของประเทศไทยก็เปลี่ยนไปเยอะแยะแล้ว
อาทิ เมื่อสมัยก่อน (ช่วงที่รูธ เบเนดิกต์ วิจัยนั่นแหละ)
ถือว่าโรงแรมเป็นสถานที่อโคจร ผู้หญิงดีๆ เขาไม่เข้าโรงแรมกัน
แต่ปัจจุบันนี้ต้องจัดงานแต่งงานในโรงแรมถึงจะโก้ แม้แต่ในแวดวงการศึกษา
เช่น พวกมหาวิทยาลัย ยังนิยมจัดงานประชุมทางวิชาการกันที่โรงแรมเลยครับ
ดังนั้น เรื่องที่ว่ารูธ เบเนดิกต์
ค้นพบความจริงเกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทย
และสิ่งที่ค้นพบความจริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก
จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาพิจารณากันอย่างจริงจัง
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความแปลกในการมองและมุมมองสังคมไทยของ
นักวิชาการตะวันตก และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่น่าศึกษา พูดง่ายๆ
ก็คือเทคนิควิธีการวิจัยของเขาน่าจะมีประโยชน์ในการศึกษาวิจัยของบ้านเรา
ด้วย เพราะปัจจุบันนี้เราเน้นเฉพาะเทคนิควิธีวิจัยเชิงประมาณมากจนเกินไป
แทบจะเรียกได้ว่าเอะอะอะไรก็ต้องเป็นเชิงประมาณไปเสียหมด
พวกที่วิจัยเชิงคุณภาพกลับถูกมองข้ามไปหมดทีเดียว
ที่ว่าน่าสนใจนั้นก็เพราะการมองของนักวิชาการต่างชาติแบบเป็นระบบ
นั้นได้ให้ข้อคิดที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากรูธ เบเนดิกต์
ตัดเรื่องที่เป็นสากลออกไป เช่นที่ว่าคนไทยเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้น
ก็เป็นเรื่องปกติของคนในสังคมเกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ ที่ไหนๆ
ที่เป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ผู้คนก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
ทั้งนั้นแหละ
ส่วนเรื่องไม่ตรงต่อเวลาก็ไม่ต้องพูดถึง
เพราะในสังคมเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
ซึ่งจะไปเร่งรัดนักก็ไม่ได้
ไม่เหมือนการทำงานในโรงอุตสาหกรรมที่ต้องแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ ดังนั้น
การตรงต่อเวลาแบบเป๊ะๆ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับสังคมเกษตรกรรม
สังคมเกษตรกรรมที่ไหนๆ ในโลกก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการตรงต่อเวลาทั้งนั้น
สิ่งที่รูธ
เบเนดิกต์มองเห็นและวิเคราะห์สรุปออกมาเป็นลักษณะนิสัยประจำชาตินั้น
ต้องเป็นลักษณะที่เด่นและแจ้งชัดจริงๆ แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
ไม่ใช่เรื่องสากล
ที่น่าพิศวงที่สุดที่รูธ เบเนดิกต์
สรุปว่าเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติของไทยก็คือ
"คนไทยมีนิสัยชอบซ้ำเติมคนที่พลาดพลั้งจากการถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้าย
แต่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าคนที่หลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่นนั้นมีความผิดแต่
อย่างใด
มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยจะเห็นว่าการหลอกลวงหรือการทำร้ายบุคคลอื่นนั้นจะเป็นการ
กระทำที่เลวร้ายอะไรนัก"
ดูเหมือนคำพูดที่ติดปากคนไทยที่ว่า "สมน้ำหน้า"
จะเป็นแคปซูลที่บรรจุลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทยเอาไว้ทั้งหมด
ซึ่งตรงข้ามกับพวกฝรั่งที่เขามีความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติที่เป็นบรรทัด
ฐานว่าต้องช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือผู้ที่ถูกทำร้าย
เพราะเหยื่อที่ถูกหลอกลวงหรือถูกทำร้ายเป็นผู้ที่ควรแก่ความสงสาร
สำหรับผู้ที่หลอกลวงหรือทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย
สำหรับการมองโลกของไทยนั้น
ถ้าหากผู้หญิงถูกข่มขืนก็มักจะถูกคนไทยสมน้ำหน้า
โดยถูกหาว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย ยั่วผู้ชาย
หรือไม่ก็หาเรื่องใส่ตัวโดยไปในที่ไม่ปลอดภัยเอง
สรุปก็คือเป็นความผิดของเหยื่อเองที่โง่
ส่วนผู้ชายที่ข่มขืนผู้หญิงดูจะถูกยกย่องว่าเก่งเสียด้วยซ้ำไป
ส่วนถ้าใครถูกหลอกให้เสียเงินเสียทอง เช่น เรื่องตกทอง
(ลูกไม้ของการหลอกลวงที่เก่ากะลาแต่ยังใช้ได้ผลอยู่จนทุกวันนี้
คือนักต้มมนุษย์ มักจะหลอกคนที่มีทองคำเป็นเครื่องประดับ
ว่าเก็บสร้อยทองคำหนัก 5-10 บาทได้ ให้เอาไปขายเอาเงินมาแบ่งกัน
แต่ฝากให้ถือเอาไว้ก่อนจะไปตามเพื่อนอีกคน
แต่ขอแหวนทองหรือกำไลทองหรือสร้อยทองของเหยื่อที่หนักสัก 2-3 สลึง หรือ 1-2
บาท ไปเป็นประกันก่อน แล้วก็หายไปเลย
ส่วนสร้อยทองที่ให้ถือไว้ก็เป็นของเก๊) หรือเล่นไพ่สามใบ
(การหลอกให้เล่นไพ่สามใบนั้นจะมีหน้าม้าเล่นกับเจ้ามือ แล้วก็เล่นได้เอาๆ
แบบรวยกันง่ายๆ แล้วจึงชักชวนให้เหยื่อเล่นด้วย ก็หมดเนื้อหมดตัวทุกที)
ก็จะถูกสมน้ำหน้าว่าโง่เอง ดังนั้น
คนไทยที่ถูกใครโกงหรือถูกหลอกลวงจะปิดปากตัวเองเงียบเพราะกลัวจะถูกซ้ำเติม
แบบว่ากลืนเลือดเงียบๆ นั่นแหละ
ถ้าจะแปลงจากที่รูธ เบเนดิกต์ เขียนมาตรงๆ
แบบมีกลิ่นนมกลิ่นเนยแรงหน่อยก็ได้ดังนี้ คือ "พฤติการณ์ที่เป็นการหลอกล่อ
อาจนำมาใช้ได้โดยไม่มีข้อตำหนิติเตียน และเป็นสิ่งที่ใครๆ
ก็อาจใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ความไม่รู้ ความละโมบของฝ่ายตรงข้าม
เช่นเดียวกับภาษิตของคนไทยที่ว่า หนามยอกให้เอาหนามบ่ง
และเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม
ความสนใจของคนไทยมุ่งไปที่การเยาะเย้ยคนที่ถูกหลอกล่อ
ไม่ใช่การตำหนิวิธีการ"
ครับ! พอมาทบทวนงานวิจัยเก่ากะลาของคนที่ตายไปแล้วร่วม 70 ปี
ก็เลยไม่มีข้อกังขาอะไรกับการที่คนไทยจำนวนมากแสดงออกถึงความโกรธ เกลียด
เคียดแค้นชาวโรฮีนจาอพยพและผู้สื่อข่าวชาวไทยที่รายงานข่าวเรื่องนี้