https://www.facebook.com/kornkitd/posts/pfbid0ydpSfDc7m99u6B8Fdwmb2amUXWat75ak8QiZpzvvoftAQ4wKeF5bS1eH2JEiEF4Ql
by Kornkit Disthan
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ผมอ่านงานของ สตีเฟน ไมรัน (Stephen Miran) ที่ปรึกษาของทรัมป์ ซึ่งเขียนรายงานชิ้นหนึ่งที่เป็นพิมพ์เขียวในการขึ้นภาษีอย่างบ้าระห่ำในครั้งนี้
รายงานชิ้นนั้นตกผลึกเป็น 'ข้อตกลงมาร์อาลาโก' (Mar-a-Lago Accord) แล้วข้อตกลงนี้ก็นำไปสู่การปฏิบัติจริงเมื่อไม่กี่วันก่อน
เป้าหมายโดยผิวเผินคือการอ้างว่า ขึ้นภาษีประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า แต่ที่จริงแล้วมีเป้าใหญ่ที่ใหญ่กว่า คือ "การปรับสมดุลระบบการเงินดอลลาร์ที่นำโดยสหรัฐฯ"
สมมติฐานทั้งหมดมาจากการที่ สตีเฟน ไมรัน เห็นว่า สหรัฐฯ ในตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะลักลั่นของทริฟฟิน (Triffin dilemma) นั่นคือการที่ประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินที่ประเทศอื่นใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศและเป็นสกุลเงินของการค้าโลก "จะต้องเผชิญกับการขาดดุล" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลไกที่ว่านี้เกิดจากการที่ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลกมันจะแข็งค่าอยู่ตลอด ทำให้สหรัฐฯ นำเข้าได้ถูกลงแต่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขาดดดุลยืดเยื้อ ในเวลาเดียวกันเพราะดอลลาร์แข็ง ทำให้การลงทุนย้ายออกไปยังประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่า ผลก็คือ เศรษฐกิจของสหรัฐฯ แย่ลงเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังคงเป็น "เจ้าโลก" ในฐานะเจ้าของเงินดอลลาร์ก็ตาม
สหรัฐฯ จึงขาดดุลการค้าหนักขึ้น และกลายสภาพจากเจ้าหนี้เป็นลูกหนี้ แต่ลูกหนี้ก็ยังครองโลกด้วยดอลลาร์ และอ้างว่าประเทศที่ใช้ดอลลาร์ได้รับการคุ้มครอง (ทางการเงินและความมั่นคง) จากสหรัฐฯ
นี่คือความลักลั่นยอกย้อนของมัน
และนี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อคุณต้องการจะเป็น "จักรวรรดิ" หรือ "มหาอำนาจเดี่ยว" เพราะการเป็นจักรวรรดินั้นไม่ได้เอาแต่ขูดรีดอย่างเดียว แต่จะต้อง "เลี้ยงดู" ประเทศใต้อำนาจด้วยการที่ตัวเองยอมเสียบางอย่าง เพื่อให้มีอำนาจควบคุมโลกต่อไป
อำนาจของการครองโลกด้วยดอลลาร์นั้นมันเย้ายวนใจมากจนสละไม่ได้
บวกกับการที่ทุนนิยมอเมริกันกลายเป็น "คณาธิปไตย" (Oligarchy) เข้าไปทุกที แทนที่รัฐบาลจะรีบแก้ปัญหานี้เพื่อรักษาอำนาจของจักรวรรดิ แต่นักการเมืองก็ถูกพวกคณาธิปไตยล็อบบี้ไม่ให้รัฐแทรกแซงทุนนิยม ในขณะเดียวกันพวกคณาธิปไตยก็โยกย้ายทุกหนีออกไปประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่า
ผลก็คือสหรัฐฯ ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แต่ในเวลาเดียวกัน พวกอีลีทอเมริกันก็โทษนานาประเทศว่าเป็นตัวการความเสื่อมนี้ หนึ่งในนั้นคือ สตีเฟน ไมรัน (ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ) สก็อต เบสเซนต์ (รัฐมนตรีคลัง) และโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งๆ ที่มันมีวิธีแก้ปัญหาโดยไม่ต้องโยนบาปให้ใคร นั่นคือการลดอำนาจนำของเงินดอลลาร์ แล้วไปใช้ระบบทุนสำรองของโลก คล้ายๆ กับระบบ SDRs ของ IMF ที่ประกอบด้วยตะกร้าเงินสกุลต่างๆ ไม่ได้มีแค่ดอลลาร์
ถึงที่สุดแล้วก็ไม่สามารถเอาระบบอื่นมาแทนที่ได้
ในเมื่อไม่มีการแก้ไขระบบ มันจึงรอวันพัง แต่การพังของมันทำให้อเมริกันมองว่า "เป็นเพราะประเทศอื่นเอาเปรียบดุลการค้ากับเรา" ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าการเอา "ดอลลาร์เป็นพระเจ้า" ของตัวเองนั้นเป็นเหตุความเสื่อมสลายแท้ๆ
แต่สหรัฐฯ ไม่ยอมลดสถานะนำของดอลลาร์ และไม่ยอมให้ตัวเองเสียดุลการค้าอีกด้วย พูดสั้นๆ คือ อยากเป็นจักรวรรดิที่เอาแต่ได้
การโยนความผิดแบบนี้เท่ากับทำให้ประเทศอื่นซวยไม่เข้าเรื่อง แต่มีคนเห็นเค้ารางของมันมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น โจวเสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน ที่เสนอให้เสริมความแข็งแกร่งของ ระบบ SDRs ของ IMF เพราะเขามองว่า ภาวะลักลั่นของดอลลาร์คือต้นเหตุของ "ความโกลาหลทางเศรษฐกิจ"
โจวเสี่ยวชวน เสนอไว้เมื่อปี 2009 โดยตอนนั้นสหรัฐฯ ยังไม่มองจีนเป็นภัยคุกคามมากเท่าตอนนี้ แต่โจวคงมองเห็นว่าในอนาคตมันจะต้องเป็นปัญหากับจีนและโลกแน่นอน
แล้วก็เป็นปัญหาจริงๆ เพราะ ไมรัน และ ทรัมป์ มองว่าต้นเหตุของ Triffin dilemma คือการค้าขาดดุล วิธีแก้คือการขึ้นภาษีทั่วโลกเพื่อสหรัฐฯ ได้ดุลอีกครั้ง จากนั้นจะมีการ "เชิญ" (หรือบังคับ) ให้ประเทศที่ยอมศิโรราบกับสหรัฐฯ มาตกลงอัตราค่าเงินกันใหม่ให้ดอลลาร์ยังแข็งต่อไป แต่เป็นภัยกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลง
พูดง่ายๆ ก็คือ บังคับให้ประเทศต่างๆ ลดค่าเงินตัวเอง ส่วนการขึ้นภาษีนั้นโดยผิวเผินเหมือนกับหวังจะให้การผลิตกลับมายังสหรัฐฯ อีก แต่ผมดูแล้วว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างเพราะในทางปฏิบัติทำแทบไม่ได้ เป้าหมายจริงอาจเป็น "การทำลาย" การผลิตในประเทศคู่แข่งด้วยซ้ำ
ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์ เลือกที่จะไม่ให้สหรัฐฯ เป็น "จักรรวรรดิ" ที่เอื้ออารีกับรัฐมิตรสหายและรัฐบริวารอีก จึงเลือกวิธี "ล้างไพ่" แบบที่กำลังทำอยู่ เพราะเป้าหมายของเขาคือจีน ไม่ใช่คอยช่วยมิตรอื่นที่กำลังหากินกับจีน
และ "อ้างว่าประเทศที่ใช้ดอลลาร์ได้รับการคุ้มครอง (ทางการเงินและความมั่นคง) จากสหรัฐฯ" มีต้นทุนที่จะต้องจ่ายเช่นกัน นั่นคือต้นทุน "ภาษี" ที่ขึ้นไปล่าสุด
ในรายงานของ ไมรัน เน้นย้ำว่า เรื่องนี้เป็น "ความมั่นคง" และย้ำคำนี้หลายครั้ง การขึ้นภาษีและดัดแปลงค่าเงินตามใจชอบจึงไม่ใช่แค่การ "ฟื้นฟู" เศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ต้องทำลายศัตรูด้วย นั่นคือ จีนที่ไม่เพียงเป็นประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสูงเท่านั้น แต่ยังเริ่มสร้างระบบการเงินที่ปลอดจากดอลลาร์ และยังช่วงชิงพันธมิตรจากสหรัฐฯ
ดังนั้น การขึ้นภาษีจึงไม่ใช่แค่การปรับ Triffin dilemma ให้สมดุล (แบบผิดๆ ) เท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายคู่แข่งทางการเมืองด้วย เอาเข้าจริง ผมได้วิเคราะห์ว่า เรื่องนี้ใช้แนวคิดของไมรัน เป็นข้ออ้างเพื่อทำสงครามทางการเมืองด้วยซ้ำไปเพระาเหตุผลและสมการการคำนวณภาษีต่างๆ นานาล้วนแต่ไร้เหตุผลสิ้นดี
ส่วนประเทศที่ถูกใช้เป็น "ตัวแทนสงคราม" คือ พวกท็อป 5 ที่ถูกขึ้นภาษีสูงสุด รวมถึง ไทย
แง่มุมการเมืองในรายงานของไมรัน, การขึ้นภาษีทรัมป์จึงละเลยไม่ได้
ในทัศนะของผม สภาพของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้คือ "จักรวรรดิ" ที่กำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อเอาตัวรอดจากความยอกย้อนของระบอบทุนนิยม
การดิ้นรนนี้ต้องมีสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่สงครามแบบที่เรารู้จักก็ตาม
หมายเหตุ - บทความนี้เขียนโดยสรุปจากสิ่งที่ผมเขียนมาตลอดหลายวันมานี้ เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดมากขึ้น ผมขอแนะนำให้อ่านบทความเหล่านี้
1. มันสมองของการขึ้นภาษีและการแก้ระเบียบโลก รู้จัก Stephen Miran กับแผนการ Mar-a-Lago Accord
2. 'ไทย'ต้องเตรียมตัวไว้ นี่ไม่ใช่แค่สงครามการค้า แต่เป็นการเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่
3. ประเทศที่ช่วยจีน "สมควรตุe" นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการขึ้นภาษีทรัมป์