Sunday, December 09, 2007

ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ

ข่าวล่ามาเร็ว วานนี้(๘ ธ.ค. ๕๐) งานวิจัยใหม่พบว่า เด็กที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้กับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าปกติ แต่สาเหตุยังไม่ค้นพบ ซึ่งคาดว่าไม่ได้มาจากปริมาณรังสีจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
งานวิจัยโดย สถาบันมะเร็งในเด็กแห่งเยอรมันนี (Deutschen Kinderkrebsregister) แห่งเมืองไมน์ซ เปิดเผยต่อคณะทำงานป้องกันรังสีแห่งชาติ(Bundesamt für Strahlenschutz (BfS)) ว่า ระหว่างปี ๒๕๒๓ ถึงปี ๒๕๔๖ เด็กจำนวนสามสิบเจ็ดคน ที่อาศัยในรัศมีห้ากิโลเมตรจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์สิบหกแห่งในเยอรมันนีมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ถึงยี่สิบคน
อย่างไรก็ตามอัตราการป่วยที่สูงขึ้นอาจไม่ได้มีสาเหตุชัดเจนมาจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะรังสีบริเวณรอบๆโรงไฟฟ้านั้นต่ำเกินกว่าที่จะก่อมะเร็งได้ ผลศึกษาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากโรงไฟฟ้า ส่วนสิ่งใดเป็นสาเหตุที่แท้จริงต้องรอการศึกษาต่อไป

ย่อความมาจาก http://www.heute.de/ZDFheute/inhalt/12/0,3672,7131788,00.html
Studie: Nahe Atommeilern öfter Leukämie bei Kindern
Minister Gabriel will Ergebnisse überprüfen
Erschreckende Studie: Kinder, die nahe eines Atomkraftwerks leben, erkranken häufiger an Krebs. Das haben Wissenschaftler in einer Studie nachgewiesen. Aber eines bleibt rätselhaft: An der Strahlenmenge liegt das angeblich nicht.

Die Untersuchung wurde vom Deutschen Kinderkrebsregister in Mainz durchgeführt, teilte das Bundesamt für Strahlenschutz (BfS) als Auftraggeber der Studie am Samstag mit. Bundesumweltminister Sigmar Gabriel (SPD) kündigte umgehend eine Überprüfung der Ergebnisse der Studie durch die Strahlenschutzkommission an. Nach Vorliegen der Prüfergebnisse werde sein Ministerium über das weitere Vorgehen entscheiden.

Die Studie hatte ergeben, dass im Fünf-Kilometer-Umkreis der 16 deutschen Kernkraftwerke 37 Kinder im Untersuchungszeitraum von 1980 bis 2003 neu an Leukämie erkrankt sind. Im statistischen Durchschnitt wären nach Darstellung der Wissenschaftler 17 Fälle zu erwarten gewesen. Etwa 20 Neuerkrankungen seien also allein auf das Wohnen in diesem Umkreis zurückzuführen. Über die Studie hatte die "Süddeutsche Zeitung" zuerst berichtet.

Strahlenbelastung für Fälle zu niedrig
Ob das erhöhte Krebsrisiko für Kinder tatsächlich durch die Reaktoren verursacht wird, steht laut Bundesamt für Strahlenschutz und Bundesumweltministerium aber nicht fest. Nach dem derzeitigen wissenschaftlichen Kenntnisstand sei die Strahlenbelastung der Bevölkerung durch den Betrieb der Kernkraftwerke zu niedrig, um den beobachteten Anstieg des Krebsrisikos zu verursachen, erklärte das BfS. Das Ergebnis könne also nicht plausibel mit den tatsächlichen Ableitungen aus den Reaktoren erklärt werden.

Auch andere mögliche Risikofaktoren, die im Zusammenhang mit Leukämien bei Kindern in Betracht zu ziehen seien, "können den entfernungsabhängigen Risikoanstieg derzeit nicht erklären", heißt es in der Erklärung weiter. Umweltminister Gabriel erklärte: "Die statistische Untersuchung und bekannte Ursachenzusammenhänge zwischen Krebsrisiko und Strahlung stehen damit nicht im Einklang miteinander."

Wednesday, September 19, 2007

จดหมายจากเพื่อนรัก

บังเอิญได้อ่านจม. เมลล์ ที่เขียนหา อาจารย์ จากเพื่อนที่ดีคนหนึ่งที่เรียนวิทยา ชีวะ เหมือนกัน
เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาลงบล๊อก แม้จะดูดัดจริตไปหน่อย

ตามนี้เลย

------------

หนูเขียนจดหมายมาบ่น มีเรื่องมากมายแต่หนูไม่รู้จะส่งไปหาใคร
เลยขอส่งมาคุยกับอาจารย์นะคะ หุหุ
ถ้าอาจารย์จะเอาไปส่งต่อ หนูก็ยินดีค่ะ จะได้มีคนมาคุยกับหนูบ้าง
ลองอ่านดูนะคะ

--------

ก่อนอื่น ฉันขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินไถลนอกรันเวย์ที่ภูเก็ตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และขอสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจพิเศษ คือแผ่บุญ-แผ่กุศลให้ "ทุกท่าน" ทุกชาติ-ทุกภาษา-ทุกศาสนา ที่เสียชีวิตไป นั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้เพียงเท่านี้ โชคชะตาช่างเล่นตลก ขนาดเครื่องถึงพื้นแล้วยังไม่วายมีอุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าให้อุบัติภัยร้ายแรงใดๆ เกิดกับไทยและกับทุกคนในประเทศไทยอีกเลย! สังคมเราบอบช้ำกันมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพี่น้องชาวภูเก็ตที่เกิดแต่เรื่องร้ายแรงอย่างสึนามิ หรือ เครื่องบินตกแบบนี้

ที่ฉัีนเลือกเรียนชีวะ ก็ต้องย้อนมาก่อนว่าทำไมฉันเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ ฉันเลือกเรียน วิทยาศาสตร์ เพราะฉันอยากเข้าใจโลกอยากเข้าใจธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสงสัย และ ตื้นตัน มานานแล้ว ฉันคิดว่าโลกนี้เป็นเรื่องของเหตุของผล (แต่เหตุผลบางอย่างอาจพิสูจน์ไม่ได้) และวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องของเหตุของผล(ที่พิสูจน์ได้เท่านั้น:-) มันก็น่าจะเข้ากันได้ และมันน่าจะทำให้เราเข้าใจอะไรๆในโลกนี้ได้ จึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์ มากกว่าคณะอื่นที่เน้นไปในทางสายอาชีพอย่าง ครู หมอ หรือ วิศวกร ที่เขาฮิตกัน ซึ่งก็โชคดีที่ทางครอบครัวก็ไม่ได้กดดันให้เลือกไปตามกระแสของสังคม (ขอบคุณปาป๊า หม่าม้า และญาติๆ ตรงนี้มากๆ อิอิ)

เมื่อเข้ามาเรียนวิทยา ก็รู้สึกดี กับทุกวิชา ปีหนึ่งเหมือนได้ทวนของ ม ปลาย สามปี ก็รู้สึกดี เหนื่อยดี และได้เห็นภาพของวิทยาศาสตร์ในภาพรวมของความสัมพันธ์ของแต่ละวิชา รวมทั้งวิชาสายศิลป์ด้วยนะ (ต้องขอบคุณมหิดลที่บังคับให้ฉันเรียนสายศิลป์) แต่แล้วทำไมถึงเลือกชีววิทยา ก็เหตุผลเดิม เหตุผลที่อยากจะเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ชีวะเป็นผลรวม เป็นผลลัพธ์ของทุกสาขาวิชาในโลก ไม่ว่าจะทางสายวิทย์ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ผลลัพธ์จากสมการ ทฤษฏีต่างๆสุดท้ายก็ออกมารวมที่ชีวะ หรือว่าจะเป็นสายศิลป์ ภาษาศาสตร์สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา และแม้แต่ ดนตรี สุดท้ายก็ไม่ได้ไปพ้นจากชีวะเลย ทุกปรัชญา ทุกศาสตร์ และ ศิลป์ ออกมาแสดงตน เล่นละครความรู้ ที่ไร้ความตายตัว และ สดใหม่ ในเวที ที่ชื่อชีววิทยา นี้

หรือ อาจเป็นไปได้ว่า เพราะ ชีวะ คือ ชีวิต อีกทั้งยังรวมถึงสิ่งที่ไ่ม่มีชีวิตด้วย ไม่มีัตัวตนด้วย (บางทีนี่คือ ชีวะในความหมายของฉันเท่านั้น) และด้วยความที่ฉันเป็นพวกโลภมากก็คิดว่าจะได้เรียนทุกอย่างในหนึ่งแพ๊กเกจคือชีวะ ถ้าเรียกหรูๆก็บูรณาการ ไม่ตัดอะไรออกไป (ตัวอย่างวิชาอื่นที่เป็นอย่างนี้เช่น เกมลูกเเก้ว) อีกทั้ง ยังโดนไซโค จากพี่ๆที่แสนดีในคณะอีกด้วยหุหุ เป็นภาคที่ looks cool ไฮโซ ใช้เครื่องมือใหม่ๆ เทคนิกใหม่ๆ ได้เล่นกับดีเอ็นเอ ได้หนังสือภาพสวยๆ กระดาษดีๆไว้อ่าน และยังมีอะไรให้ค้นพบใหม่ๆเสมอ ส่วนทางสายอื่น อย่างฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ก็ถูกค้นพบปรุโปร่งหมดแล้ว ยังมีพื้นที่ให้เราคนน้อยๆได้เพ้อฝัน

ฉันจึงคิดว่าชีวะ มันต้องเจ๋งมากๆแน่นอนจึงเลือก

แต่สุดท้่ายด้วยเหตุและผลมากมายแบบนี้ เมื่อเข้ามาในภาคชีววิทยาของจริง ฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะในภาคนั้นมันช่างน่าเบื่อและคับแคบเหลือเกิน อย่างที่ว่า โลกในฝัน กับ โลกความจริง มันก็ต่างกันเสมอ ยิ่งฝันไว้ใหญ่ ความเจ็บปวดก็ทวีตามความใหญ่นั้น และเมื่อยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น ยิ่งรู้ว่า ชีวะแบบ ใน ม. มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอะไรเลย วิชาต่างๆใน ม. ก็เช่นกัน ไปในทางบ้าสาระ หาแก่นสารที่ศักดิ์สิทธิ์แต่กินไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ (มั้ง)

ฉันก็เลยเรียนๆไป ทำตามหน้าที่ของนักเรียน บ้างก็เอามันกับวิชาที่มันพอมีความหวังที่จะได้ตามฝันอย่างที่หวัง บ้างก็เรียนแบบสำเร็จความใคร่ทางสมอง บ้างก็เบื่อๆไม่อยากเรียน ไม่ชอบเเล็บ ไม่ชอบอาจารย์ ไม่ชอบสังคม พอเบื่อๆ ก็ไปทำอย่างอื่น ที่มันสุนทรีย์ ที่มันกรี๊ดกร๊าด ที่มันตรงกับความชอบตัวเองมากกว่า เกรดเลยไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ มันมีค่าแค่เปื้อนกระดาษเท่านั้น ฉันว่านะ

แต่อย่างว่าแหละเธอ ฉันใจง่ายอยู่ อยู่ด้วยกันตั้งสามปีเลยตกหลุมรักมันเข้าไปแล้ว (ประมาณโดนชีวะตื๊อ, ตื๊อ เท่านั้นที่ครองโลก อิอิ หนุ่มๆจำเอาไว้นะ) อันที่จริงมันก็ไม่ได้เเย่อะไรมากหรอก แต่ฉันนั้นสร้างภาพไว้สวยงามเกินไป ระหว่างสามปี ฉันได้พบอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าชีิวะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้อ้าปากค้าง ร้อง Ohhhh! บางประสบการณ์มันก็เป็นเรื่องมิตรภาพ บางทีก็เป็นเรื่องความรัก บางครั้งก็เป็นเรื่องความฝัน เรื่องเลวๆก็มีอยู่เยอะ มันสอนอะไรได้เยอะ

ชีวิตที่ได้ใช้จริงนั่นแหละ ชีวะที่แท้จริง ฉันขอขอบคุณช่วงเวลาที่มีค่านั้นจริงๆ

เมื่อคนมันรักไปแล้วอย่างนี้ ฉันตอนนี้ก็เลยเรียนชีวะอยู่ ก็เพราะ ตกหลุมรักมันไปแล้ว ก็มีหน้าที่ที่ควรจะทำให้เสร็จ ไม่งั้นไปทำอะไรมันก็ทำครึ่งๆกลางๆทั้งนั้น ส่วนชีวะในความหมายของฉันนั้น ฉันก็ได้เเต่เล่นเกมซ่อนหากับมันตลอดเวลา สุดท้ายก็ไปพบมันจริงๆแหละ (หุหุ ไม่บอกหรอกว่าเจออะไร)

แต่ที่เลือกเรียนชีวะไปก็มีเรื่องที่กังวลอยู่เหมือนกันหละ อย่างที่เขาว่ากันแหละ ชีวะต้องฆ่าสัตว์ ผิดศีล ฉันก็กลัวเหมือนกัน รับไม่ได้จริงๆที่จะผิดศีล สำหรับเรื่องศีล ผู้รู้ นักปราชญ์ทุกคนยกย่องการมีศีล แต่ศีลคืออะไร ทำไมเราต้องปฏิบัติในศีลในธรรม เราเคยตั้งคำถามกันไหม อยู่ดีๆ ไ่ม่อยาก ฆ่าสัตว์เพราะผิดศีลที่เขาบอกๆกันมา มันก็แปลกๆนะ ฉันว่าปล่อยศีลเป็นเรื่องที่เรารู้สึกกันดีไหม อย่างฆ่าสัตว์ใหญ่อย่างหนู ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน รู้สึกแย่มาก ตั้งแต่หนอนหรือแมลงขึ้นมา ฉันก็ฆ่าไม่ได้แล้ว ทำแล้วรู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ถ้าต้องทำ ก็ทำไปให้สำเร็จตามหน้าที่ที่ควรทำ แต่ทำไมไม่รู้ พอให้ฆ่าพวกแบกทีเรีย พวกเชื้อรา พวกเซลล์ ฉันกลับฆ่ามันได้หน้าตาเฉย ทุกวันก็ฟอกสบู่ฆ่ามันอีกด้วย หุหุ มันไม่ค่อยจะเศร้าเท่าไหร่ ก็แปลกดี กับความรู้สึกของตัวเอง

เเล้วพอไ้ด้รุ้ว่าการศึกษาหรือทำงานทาง ชีวะ มีสองทาง แบบรีวิว ทำทฤษฏี อ่านเปเปอร์ หรือว่า เล่นกัับคอม กับแบบ ทำแล็บสด ฉันก็อยากจะหนีการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองไปทำแบบรีวิว แต่วิทยาศาสตร์มันก็ต้องอาศัยของจริง ไม่ใช่เพ้อๆเอามาเขียน ฉันเลยว่าทำแล็บสดจะดีกว่า เห็นผลได้จริง แม้ต้องฆ่า แต่ก็จะพยายามอุทิศส่วนกุศลไปใ้ห้พวกมันละกัน และเท่าที่เห็น พอนานๆไป เขาก็ส่งไม้ต่อให้รุ่นต่อไปทำ แก่ๆไป ก็จะอัพไปเป็น ศาสตราจารย์ นั่งสอน คุมแล็บ และก็เขียนเปเปอร์ แทน ไม่ได้ฆ่าเอง แต่สั่งคนอื่นฆ่า ระยะห่างเพิ่มขึ้นคงสบายใจมากกว่าเดิม แม้ว่าบาปคงมีเต็มกระบุง

สุดท้ายนี้ อยากถามว่าใครเชื่ออย่างที่ฉันเชื่อบ้าง เชื่อในเสียงเรียกของตัวเอง ถ้าเชื่อนะ หรือ แค่สนใจ ก็ขอให้เธอได้ลองใช้ความรู้สึกดู รู้มากๆ คุยกับตัวเองแบบเงียบๆ ฟังดีๆข้างในมันส่งเสียงเรียกเราตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ยิน ทางที่ดี ลองหยุดเรียน หรือหยุดงานแล้วอ่านหนังสือที่หลากหลาย ออกเดินทาง ภายใน หรือ ภายนอก พบปะคนหลากหลาย ทำไปสักสองปี น่าจะได้รู้กันไปว่าเราจะทำำอะไร เกิดมาเพื่ออะไร (ฉันว่ามันช่วยได้แน่ๆ ลองดูสักครั้งสิ)

...ต่างคนต่างมีหนทางของตัวเอง มีแสงสว่างเป็นของตนเอง.. ศรัทธาของเราเป็นของเรา ศรัทธาของท่านก็เป็นของท่าน...

ขอบคุณที่ให้ฉันรบกวนเวลาของพวกเธอนะ มาฟังฉันคุยๆบ่นๆ ก็ขอรบกวนเวลาเธอแต่เพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีในหนทางที่เลือก

ด้วยรัก

Saturday, August 25, 2007

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส
ส.ศิวรักษ์

นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในระดับชาติของคนไทย ซึ่งไม่เคยมีใครเทียบเท่าได้ในรอบ ๑ ศตวรรษ ความสำคัญของท่านอยู่ในระดับเดียวกับ เมาเซตุงของจีน โอจิมินห์ของเวียดนาม และบัณฑิตยวาหระราล เนห์รูของอินเดีย แต่เหตุไฉนท่านจึงต้องไปตายต่างแดนดังผู้ลี้ภัย ในขณะที่รัฐบุรุษอีก ๓ ท่านนั้น ได้รับการปลงศพอย่างใหญ่ยิ่งในนามของรัฐ และมีอนุสรณ์สถานไว้อย่างมโหฬารในครหลวงนั้น ๆ ด้วย

ทั้งนี้เป็นเพราะนายปรีดี ได้เคยกระทำความผิดพลาดทางการเมืองมากระนั้นหรือ ? คำตอบก็คือ ใช่ โดยที่รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของระเทศอื่น ๆ ก็เคยทำความผิดพลาดมาไม่น้อยไปกว่าเช่นกัน เพราะสามัญมนุษย์ที่ไม่เคยทำผิด ย่อมไม่ใช่มนุษย์ แต่ในบ้านอื่น เมืองอื่น ชนชั้นปกครองมีดวงตา ที่มีแวว ที่รู้จักบวกลบคูณหาร หักประโยชน์ท่านแล้ว เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกซึ่งกตเวทิตาธรรม(ทั้งๆที่ผู้นำของประเทศส่วนมากไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา) ต่อรัฐบุรุษผู้เคยทำบุญคุณมากับประเทศชาติเพื่อประชาราษฎรจะได้รู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจไว้ที่คุณธรรมอันเป็นแกนนำของบ้านเมือง แม้ขนาดอูนุศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองที่ฉกาจของเนวิน ยังได้รับนิรโทษกรรมและอโหสิกรรมจากเนวิน ให้กลับมาใช้บั้นปลายแห่งชีวิตในสหภาพพม่าอย่างมีเกียรติ

ที่กล่าวมานี้ ออกจะชัดเจนแล้วว่า ชนชั้นำ ที่ปกครองบ้านปกครองเมือง ตลอดจนที่คุมสื่อสารมวลชน ทางด้านสร้างค่านิยมอยู่ในประเทศไทย ในบัดนี้ มิได้นำพาต่อปัญหาขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ สัจจะความยุติธรรม สันติธรรมและความเป็นไท กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชนชั้นนำรังเกียจประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานอันมวลชนหรือประชาราษฎร์ต้องเป็นใหญ่ ในทางความชอบธรรมเหนืออภิสิทธิ์ชนคนส่วนน้อยซึ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปด้วยความสับปรับ จอมปลอมและหลงละเมอไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทางไสยศาสตร์ตลอดจนของปลอมอื่น ๆ ในทางยศักดิ์อัครฐานและกามสุขาลิกานุโยคอันแสดงออกทางการเสพวัตถุเกินพอดีในวิถีชีวิตของเขาเหล่านั้น

พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็คือ ชนชั้นนำของเราที่ควบคุมเศรษฐกิจ การเมืองการและการทหาร ตลอดจนข้าราชการพลเรือนและภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์สูงเป็นจำนวนไม่น้อย พากันนับถือพระพุทธศาสนาที่ริมฝีปาก หรือประยุกต์ใช้ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หาไม่ก็มิได้นำพระพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ให้ถึงแก่น ให้เหมาะกับปัญหาของสังคมและการเมืองร่วมยุคร่วมสมัย หากไม่ไหนเลย เราจะสอนศิษย์ของเราให้แสดงกตัญญกตเวทีโดยเราเองไม่เคยถึงแก่น หากแสดงกันตามรูปแบบพิธีกรรม และใครแสดงเข้าอย่างจริงจังและจริงใจ เราก็เกลียดและโกรธดังกรณีที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงมาแล้วกับนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยการที่เขาเป็นคนไทยที่ไปแสดงความเคารพต่อท่านที่ปารีสเป็นคนแรกอย่างเปิดเผย ผลก็คือนั่นเป็นจุดเริ่มที่นายป๋วยถูกผลักดัน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ให้ออกพ้นสังเวียนชนชั้นนำของไทยไป

ยิ่งเรื่องประชาธิปไตยด้วยแล้ว ชนชั้นนำของเราแทบทุกระดับไม่มีศรัทธาปสาทะเอาเลย หลายคนยังอยู่ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นตัวนำความหายนะมาให้ประเทศไทยในทุก ๆ ทาง.. ทั้ง ๆ ที่กำพืดของสฤษดิ์ก็เป็นไพร่ และเรามีอนุสาวรีย์ของไพร่ที่ไหนบ้างไหม เว้นไว้เสียแต่คนนั้น ๆ จะถูกฆ่าตาย หรือใช้ประโยชน์ในการการเมืองจากคนนั้น ๆ ได้ต่างหาก

แม้ที่สุดจนชื่อเขื่อน ชื่อมหาวิทยาลัย เราเคยนำชื่อของไพร่และขุนนาง ที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองมาตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติบ้างหรือเปล่า ยิ่งราษฎรตาดำ ๆ ด้วยแล้ว อย่าได้พึงหมายว่าจะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างจริงจังเลย เว้นไว้แต่เพียงในฐานะสมุหนาม เพียงแค่ริมฝีปาก เพื่อผู้สรรเสริญนั้น ๆ จะได้ยศศักดิ์อัครฐานหรือ เงินตรายิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้นเอง เพื่อเขาจะได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมและหลงอำนาจวาสนาบารมีของตนเองต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ที่จริงสมัยนี้เราไม่ได้ถอยไปสู่สมัยสฤษดิ์เท่านั้น หากเราพยายามถอยไปสู่สมัยราชาธิปไตยเสียซ้ำ ดังที่เราเน้นที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีการคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ หรือฐานอำนาจที่ทวยราษฎร์กันเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ละอายอะไรกันเลยกับประชาธิปไตยครึ่งใบเสี้ยวใบ หรือแม้ที่สุดจนจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสียอีกเมื่อไรก็ได้

คำตอบของเราเวลานี้ดูจะมุ่งไปที่สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ ไปที่อำนาจอันแฝงเร้น และไปที่ผู้กุมอำนาจทางทหาร เราไม่เชื่อเลยว่าราษฎรมีความสามารถและเป็นพลังอันมหาศาล ที่เมื่อผนวกกับความชอบธรรมเข้าแล้วสามารถต้านกระแสอธรรมใด ๆ ก็ได้ มิใยว่าฝ่ายนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงใดก็ตาม เราพยายามทำลายพลังของผู้นำกรรมกร เราพยายามบั่นทอนการรวมตัวกันของผู้นำกสิกร ดังเราได้พิฆาตฆ่าลูกหลานของเราในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ด้วยเลือดอันเย็นไม่แพ้เดรัจฉาน

ชนชั้นนำของเราเวลานี้ ถ้าอ่านคำแถลงการของคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ซึ่งประกาศออกมา ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ แล้ว หลายต่อหลายคน ยังมีโลหิตฉีดแรง และเดือดพล่านอยู่ เพราะแถลงการณ์ฉบับนั้นท้าทายสถาบันเจ้า โดยถือว่า ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็ต้องโง่เช่นกัน ถ้าเรายังรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เรายังเป็นประชาธิปไตยกันไม่ได้ และคนอย่างท่านปรีดีฯ ก็จะได้รับอโหสิกรรมไม่ได้

ท่านปรีดี พนมยงค์จะได้รับเกียรติยศอย่างแท้จริงจากประชาราษฎร ก็ต่อเมื่อราษฎรได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน !

และแถลงการณ์ของท่านปรีดีฉบับนี้ กลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เยาวชนของเราทุกคนต้องนำมาอ่านกันในชั้นเรียน ดังที่รุ่นพ่อของเราเคยเรียนเรื่อง “สมบัติผู้ดี” ของเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดีมานั้นเอง

ชนชั้นนำทางการศึกษาของเราหลายต่อหลายคนยังต้องการกลับไปหาหนังสืออย่าง “สมบัติผู้ดี” โดยที่เราควรแสดงหาหนังสือเช่น สมบัติไพร่ และเราควรฝึกผู้นำในอนาคตของเราให้เป็นไพร่ ให้เป็นกสิกร ให้เป็นกรรมกร กล่าวคือให้ภูมิใจในศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน ซึค่งไม่เอารัดเอาเปรียบใครและไม่ยอมให้ใครเอารัดเอาเปรียบ หากให้มีการเกื้อกูลกันอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ให้เลิกการหมอบกราบคลาน ดังสัตว์เลื้อยคลานอีกต่อไป ซึ่งเราเห็นได้ชัดตามโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่มอมเมาต่างๆ รวมทั้งนวนิยายน้ำเน่าทั้งหลายด้วย ทั้ง ๆ ที่พระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงประกาศให้เลิกการกระทำเช่นนี้มาก่อน ท่านปรีดี พนมยงค์เกิดเสียด้วยซ้ำ

อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ต้องการนำพระราชปณิธานของพระจุลจอมเกล้าฯ ในเรื่องปาเลียเมนท์และคอนสติติวชั่นให้สัมฤาธิ์นั้นเอง แต่เผอิญท่านปรีดีเป็นไพร่ และหาญไปท้าทายสถาบันเจ้าเข้า เจ้าที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และพวกที่หาผลประโยชน์จากเจ้าจึงรุมกัดลอบกัด จนท่านปรีดีต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปจนตราบอายุขัย มิใยว่านายปรีดีจะทำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้าเพียงใด โดยที่นิทานชาวนากับงูเห่านั้นเองควรเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับคนอย่างท่านปรีดี พนมยงค์

ก็ใครเล่า ที่ปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนอกจากจะข่มขู่เจ้านายและองค์พระประมุขแล้ว ยังเคยคิดตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเองด้วยซ้ำ ใครเล่าที่ถวายอารักขาสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอย่างใกล้ชิดและห่วงใย ใครเล่าที่ช่วยบันดาลให้เกิดหอสมุดดำรงราชานุภาพ (ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าอิฐปูนใด ๆ ที่มักนิยมสร้างถวายเจ้าในสมัยหลัง) ใครเล่าที่ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักโทษชายรังสิต ประยูรศักดิ์ แล้วถวายพระราชอิสสริยายศคืนขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรทร และที่สำคัญอันสุดท้ายนั้นก็คือ..

ถ้าท่านปรีดี พนมยงค์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เคยสั่งสอนอาชญากรรมวิทยามาแต่วัยรุ่น บอกให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชันสูตรพระบรมศพตามกระบวนการกฎหมายอาญาแต่เมื่อแรกสวรรคต และจับกุมผู้ที่กล้าบังอาจพลิกพระศพ เย็บพระศพ นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับพระศพไปซัก ไปฝัง ฯลฯ เพื่อปิดบังความพิรุธ ป่านนี้ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษอาวุโสอยู่ในประเทศไทย และการอสัญกรรมของท่านจะเป็นงานศพอันมีเกียรติยิ่งสำหรับราษฎรชาวสยาม โดยที่ผู้นำของรัฐบาลและชนชั้นนำอื่น ๆ จะไม่กล้านิ่งเงียบดังอมสากอยู่ในปากดังเช่นในบัดนี้ หากทุกคนจะเอ่ยถึงวีรกรรมของท่าน ในฐานะผู้นำทางด้านประชาธิปไตย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือท่านปรีดีเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย ในสงครามโลกครั้งที่ ๒

วีรกรรมชิ้นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินเลยทีเดียว !!!

โดยที่อีกร้อยปีข้างหน้า เราไม่อาจปฏิเสธคุณค่าอันวิเศษข้อนี้ของเขาได้ แม้ในบัดนี้เราจะปล่อยให้อคติครอบงำสัจจะไว้ก็ตาม ดังที่พระเจ้าตากสินก็เคยเผชิญชะตากรรมมายิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ เมื่อสองศตวรรษมานี้เอง

บทความนี้พิมพ์ครั้งแรกใน ไทยแลนด์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มหาวิทยาลัยราคำแหงอัดโรเนียวแจกในวันอภิปรายคล้ายวันปลงศพนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖

Friday, June 15, 2007

Love compass

I love you without knowing how, or when, or from where.
I love you straightforwardly, without complexities or pride;
so I love you because I know no other way
--Pablo Neruda

From so much loving and journeying, books emerge.
And if they don't contain kisses or landscapes,
if they don't contain a man with his hands full,
if they don't contain a woman in every drop, hunger, desire, anger, roads,
they are no use as a shield or as a bell:
they have no eyes and won't be able to open them ...
-- Pablo Neruda

"เพราะความรักที่แท้จริงน่ะมันจะมองทะลุรูปโฉมภายนอกเข้าไปจนเห็นรูปโฉมภายใน"
จาก ดวงตาที่สาม โดย แดนอรัญ แสงทอง

Die Blumen blühen überall gleich

Die Menschen sind alle verschieden

Die Menschen sind hart oder weich

Aber überall hofft man auf Frieden

Und die Blumen blühen überall gleich

Reist Toshi von Japan nach Schweden, betritt er ein anderes Reich

Doch die Sonne wärmt überall



Jeden Und die Blumen blühen überall gleich



Sehr dunkel sind Ibrahims Brauen

Die Brauen von Gunnar sind bleich

Doch ins Licht kann man überall schauen

Und die Blumen blühen überall gleich

Dem Vater von Pepe gehts bitter

Der Vater von Henry ist reich

Doch ein Käfig hat überall Gitter



Und die Blumen blühen überall gleich



Kein Mensch gleicht auf Erden dem anderen

Die Welt ist an Sprachen so reich

Aber wo wir auch gehen oder wandern



Die Blumen blühen überall gleich....



von Suntariya Muanpawong

Thursday, May 31, 2007

พร่ำเพ้อในคืนวันเพ็ญเดือน ๖

"สัญญาต้องเป็นสัญญา" "ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ" เป็นคำปลอบใจของคนดีๆ
ทั้งที่การพูดให้ดูดี ทำเป็นใจกว้าง การโกหก การตอแหล เป็นธรรมชาติของมนุษย์
เป็นเราก็เถอะ ก็คงลืมคำเหมือนกัน ฉะนั้น ใครจะลืมบ้างก็ควรปล่อยเขาได้ระบายตามกาล-ตามกรอบอันควร
อีกทั้ง ความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งต้องมีในสังคมโลกมนุษย์ เพราะสิ่งนั้นคือพลังงานนำไปสู่การค้นหา นำไปสู่ปฏิบัติการใหม่ๆ อย่างที่เรียกว่า "นวัตกรรม"
ยังไม่มีอะไรที่ "ใช่" ไม่มีอะไรที่ "จริงแท้" เพียงแต่ "ยึดถือ" ว่าใช่กันไปตามกฎเกณฑ์กติกาหนึ่งๆ เท่านั้น วันนี้-ใช่ พรุ่งนี้-อาจไม่ใช่ กลายเป็นอีกอย่างตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ก็ได้
เพราะที่พูดกันว่ามนุษย์ "มีปัญญา" นั้น จริงๆ แล้วความชาญฉลาดของมนุษย์ทุกวันนี้ เป็นแค่ "สัญญา" ไม่ใช่ "ปัญญา"
สัญญา คือความรู้ ความเข้าใจ ความทึกทัก ในสิ่งจำนั้น ฉะนั้น สิ่งที่จำจนถึงขั้นได้ปริญญากันนั้น เป็นแค่การ "เรียนจำ" กันมาเป็นทอดๆ จำเท่าอาจารย์ โง่-ฉลาดเท่าอาจารย์
ก็เอากระดาษไปแผ่นหนึ่งที่เรียกว่า..ใบปริญญา!
ความรู้จำนั้น สิ่งที่จำ "ไม่จริง" ยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือวิทยาการทางแพทย์ ซึ่งมีการค้นพบใหม่ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เก่าอยู่ตลอด เป็นความรู้ที่ยัง "ไม่นิ่ง" ยังเอาชีวิตไม่รอด อันเป็นแกนหลักของสังคมตะวันตก เขาจึงต้องค้นหากันตลอดเวลา
ฉะนั้น พวกนกแก้วนกขุนทองนั้นก็ทำให้อยู่รอดตัวได้ไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
"ปัญญา" สิ คือความรู้จริง-แจ้ง และสิ่งนั้นอีกกี่ร้อย-กี่ล้านปี ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อย่างเช่น รู้ว่าทุกอย่างไม่คงที่ รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เราก็พัฒนาตัวตนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ถ้าใครมองเห็นอีกว่าการพัฒนาทำตนให้ตามติดไปกับการเปลี่ยนแปลงอันสากลนั้นมันเจ็บปวดทรมานและเป็นไปไม่ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่อะไรที่บอกได้ว่าให้ตามติดไปได้ ใครไปยึดว่าคงที่ก็เป็นทุกข์ เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นแค่ "สิ่งยึด" สิ่งที่ยึดก็เป็นแค่อาการของจิตเข้าไป "นึกยึด" เอาเอง อาจจะหลงว่าที่ "ตา" เห็นนั่นไงคือตัวตน มันก็เป็นตัวตนแค่หลงเอาชั่วกาลเวลาระยะหนึ่ง อันเป็นอดีตไปแล้ว ณ วินาที ที่ยึด แล้วในที่สุดไอ้ที่หลงยึดมันก็สูญสลาย ไม่มีตัวตนอะไรเหลือให้ยึดได้ดังใจอยากตลอดไปเลย!
ยึด-ทุกข์, ไม่ยึด-ไม่ทุกข์ ในโลกนี้ไม่มีตัว "สุข" ดอก สหาย
หาให้ตายก็ไม่พบ แต่ขณะใดที่ใจ "ไม่ทุกข์"
ขณะนั้น สุข จาก สงบ ปรากฏทันที!
ผู้ใดเข้าถึง "สัมโพธิ" ผู้นั้นมีปัญญา
สัม มากจาก"สํ" อุปสัค แปลว่า พร้อม
โพธิ คือ รู้
สัมโพธิ คือ รู้พร้อม รู้ทัน รู้รอบ รู้รอด รู้พ้น พ้น-วนออกจากทุกข์ รู้อย่างนี้ รู้ด้วยปัญญา รู้ว่าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เพราะมีอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่มี เพราะมีสิ่งนี้ตะหาก สิ่งนั้นถึงมี
โลกนี้คือ "วงกลม" แห่งการเชื่อมโยงแห่งเหตุ และการนำไปสู่ผล ผลที่สร้างเหตุต่อเนื่องกันไป "ไม่สิ้นสุด"
การ "รู้พ้น" ไม่ได้หมายถึงเป็น "คนหนีโลก"
แต่หมายถึงเป็น "คนเหนือโลก" เพราะเข้าใจ-เข้าถึงในเหตุการณ์ ในปัญหาที่เชื่อมโยงกัน ในความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเปลี่ยนแปลงไป
เข้าใจ-เข้าถึง ก็จะเห็นมัน อยู่กับมัน รับรู้มัน เล่นกับมัน ด้วยใจเบิกบาน ที่มันย้อมไม่ติด
เหมือนการออกกำลังกาย ไม่ใช่การเสียกำลัง-เสียแรง แต่เป็นการเพิ่มพลังใจที่สดใส ได้พลังกายที่สดชื่น!

Thursday, May 10, 2007

The total perdition of the education system in Thailand

The modern education system in Thailand was introduced more than 50 years ago. It is long enough to claim that the education system in Thailand has been totally failure. The recent crisis in particular shows that we are completely unable to deal with the problem created by both the bureaucrats and the citizens. In fact, this crisis has its root in the rotten education system. What has happened?


First of all, the problem lies with the distribution of education, as only the rich, strictly speaking the people in Bangkok and the big cities, can get a good education, go to a better school. But the people in the other provinces lack good schools, and effective educational tools. Moreover, the people who live in the country, where there is no electricity and water supply, even lack schools. They have to walk for 10 kilometer across mountains to go to bad schools where they can only learn how to read and write Thai.


Second, even though the rich in the big cities can go to school and have better facilities, the quality of the education is still bad. A recent survey about the IQs of teenagers showed that the average IQ is only 87, worse than the average of the normal IQ, which is 90. Furthermore, these teenagers prefer to go shopping and seeing movies or playing games to studying. You can see Thai teenagers staying at the shopping centers all day and, of course, at night in discotheques.


In addition, the teaching methods are old-fashioned because the teachers teach students to memorize knowledge only for the examination. Accordingly, students lack self esteem and self-motivation and cannot think and work independently by themselves. Thus, they are very emotional and study because they are frightened on base of fear, not because they want knowledge. As a result, clever politicians who can manipulate public opinion will rule them. Besides, Thailand cannot invent anything high-tech. They have to import it from developed countries. This leads to economic dependence; i.e., and a situation similar to colonization.


However, there is hope from the fringe of the society. It is the alternative education, which is based on the wisdom root of the society, Buddhism. Thais can learn from temples or from some alternative school; for instance, in Chiang Rai with the Jitwiwat group (the new consciousness group, see more at jitwiwat.org). If this alternative education blooms in Thailand, Thailand will change for the better because it teaches children to grow up independently with social responsibilities. It would be a promising future of Thai education.

Political crisis in Thailand

After the military junta, the council for national security (CNS), overthrew the government of Thaksin Shinnawatr in September 2006. Its aim was to solve the national adversities, or so it claimed, yet still nothing has been solved. The four accusations against Thaksin have not been attested in the legal process and the economic situation is deteriorating.

While it is clear that Thaksin was corrupt and lead the nation in the wrong direction namely that of extreme liberalism and capitalism with corruption, gathering evidence is difficult. In addition, he still has the advantages of money. Through money laundries he bought a mansion in London after the coup d’etat and now he is going to take over “Manchester City FC”.

What is peculiar is that the military junta lets him get away with it. Sonthi Boonyaratglin, the head of the coup, behaves in a gentlemanly way, which no other junta in the world has done. Additionally, five years of the Thaksin regime have taken firm root in the state bureaucracy. Thus, the regulatory system does not function such as the court or election commission of Thailand.

In my opinion, the military junta and the appointed government must be much more assertive with Thaksin and his remained power. They must deter Thaksin’s transactions as soon as possible and should sequestrate his assets in Thailand at least transiently.

Other countries may consider this to be totally non-democratic, but if the situation continues, blood will be shed in Thailand soon. I predict this may happen this month (May 2007) because the first judgement will be declared towards the end of this month. Of course, Thaksin will use all of his money to influence the judgement. Indeed, this gentlemanly dictatorship is still a dictatorship, not democracy as the junta would prefer to see it.

Sunday, March 25, 2007

Soulmate

มันมีคำพูดที่พูดกันต่อๆกันมานานหลายชั่วอายุคน "เรามาคนเดียว แล้วก็ไปคนเดียว"
และคำพูดนี้ก็เป็นความจริง
การมีคู่ครองมันเป็นเรื่องมายาไร้สาระ
ไอ้ความคิดเช่นนี้มันเกิดมาเพราะเราต้องอยู่คนเดียว และ การที่ต้องอยู่คนเดียวนี้เองที่ทำให้เราเจ็บปวด
เราจึงต้องการกำจัดมันด้วยการมีสัมพันธ์ มีคู่ครอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราหมกมุ่นในเรื่อง "ความรัก"
ยกตัวอย่าง เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคนเพราะเธอนั้นสวย หรือว่า เขาช่างหล่อเหลา
มันไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
คุณตกหลุมรักเพราะคุณไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวได้ ดังนั้นคุณจึงตกหลุมกับดักนี้ไป
แน่นอน มันมีคนที่ไม่ตกหลุมรักคนอื่น แต่พวกเขาก็ติดกับดักในอย่างอื่น เช่น เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แล้วก็เป็นนักการเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ยกตัวเป็นกษัตริย์กดขึ่ผู้อื่นจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวทั้งนั้น
และถ้าคุณลองหันมาดูตัวเองเทียบกับคนอื่น คุณจะพบว่ามันมาจากสาเหตุเดียวกันทั้งสิ้น
ความจริงคือคุณไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ส่วนสาเหตุอื่นที่เหลือเป็นเพียงข้ออ้าง
คุณพบว่าตัวคุณช่างเหงา อ้างว้าง และเดียวดาย

เพราะความเหงานี้ บางคนจึงบอกว่า โซลเมทมีจริง
(วิญญาณคุณถูกแบ่งเป็นสองบนโลกนี้ คุณต้องตามหาเขาหรือเธอที่เป็นครึ่งที่หายไปบนโลกนี้)
คู่คนนั้นจะเป็นคู่ที่เข้ากับคุณได้ดี เติมเต็มคุณได้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์
แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน
ความฝันที่นักกวี นักแต่งเพลง รจนาจากในอารมณ์พร่ำเพ้อ
สาเหตุของการค้นหาคู่ครองคือ
เรายังความทรงจำในครรภ์ ที่ที่คุณเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณแม่ของคุณ เหลืออยู่
มันไม่แปลกเลยที่เราจะถวิลหาถึงสิ่งนั้น เฝ้าค้นหาที่มาของตน
แต่ถ้าจะเรียกให้อย่างโหดร้าย มันเป็นแค่ความฝันแบบเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
และมันช่างน่าตกใจ เรายึดถือมันเป็นสรณะโดยไม่สนใจต่อความจริงที่เราได้พบ
ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองของคุณในขณะนี้หรือจะเป็นเพียงภาพฝัน
ที่สามารถให้ความสุขกับคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามก็เถอะ
ความสุขที่แท้มันคือรักแท้
และรักแท้ ไม่ได้ขึ้นกับความพยายามจะแต่งเติมฝันนั้นด้วยการพึ่งพาคนอื่น
แต่มันขึ้นกับการพัฒนาความเอิบอิ่ม ปริ่มเปรมของจิตใจภายในของตัวเราเอง
แล้วเราจะมีความรักมหาศาลที่มีแต่ให้ ที่จะดึงดูดคู่รักของเรามาเอง
หรืออย่างง่ายที่สุด เพียงแค่คุณลองดูคน คนธรรมดา คนที่คุณต้องเจอทุกวันนี่แหละ อย่างลึกซึ้งเปี่ยมความรู้สึก
คุณจะประหลาดใจ ทุกอย่างที่คุณทำ ทุกอย่างที่คุณติดต่อสัมพันธ์กับ"คนธรรมดา"นี้
มันก็สามารถเติมช่องว่างในจิตใจของคุณที่หายไปได้
ด้วยรักที่ฉับพลัน

เรียบเรียงจาก โอโช Take it Easy, Volume 2 Chapter 1

Like a rolling stone

You've gone to the finest school all right, Miss Lonely
But you know you only used to get juiced in it
And nobody has ever taught you how to live on the street
And now you find out you're gonna have to get used to it
...
When you got nothing, you got nothing to lose
You're invisible now, you got no secrets to conceal

How does it feel
To be on your own
With no direction home
Like a complete unknown
Like a rolling stone?

from www.bobdylan.com

Sunday, March 18, 2007

บทเพลงแห่งป่าดำ

ให้บทเพลงแห่งป่าดำร่ายรำท่วงทำนองแห่งมัน
ให้เห็นถึงความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่แห่งเรา
สามหมื่นวิญญาณแม่มด ผู้ถูกบูชายัญ
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ครูแห่งป่า
เปิดรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ทุกชั่วขณะ
สั่งสอนข้าพเจ้าทุกส่วนสรรพางค์
ผจญภัยไปในการรับรู้
นี่แหละคือ ผู้แสดงและ ผู้ชมในจักรวาลแห่งรอยยิ้ม

Saturday, March 03, 2007

mirror neuron เธอคือฉัน ฉันคือเธอ

"เราเป็นเพียงเงาสะท้อนของกันและกัน"
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉากนั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาทอื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคนเรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาทนี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคนพวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคนที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน

Eight Verses for Training the Mind บทสวดฝึกโพธิจิตแปดประการ

I found a good thing and want to share it with you. ได้เจอของดีเลยเอามาเเบ่งปันกัน
Eight Verses for Training the Mind
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. May I always cherish all beingsWith the resolve to accomplish for themThe highest good that is more preciousThan any wish-fulfilling jewel.
2. Whenever I am in the company of others,May I regard myself as inferior to allAnd from the depths of my heartCherish others as supreme.
3. In all my actions may I watch my mind,And as soon as disturbing emotions arise,May I forcefully stop them at once,Since they will hurt both me and others.
4. When I see ill-natured people,Overwhelmed by wrong deeds and pain,May I cherish them as something rare,As though I had found a treasure-trove.
5. When someone out of envy does me wrongBy insulting me and the like,May I accept defeatAnd offer the victory to them.
6. Even if someone whom I have helpedAnd in whom I have placed my hopesDoes great wrong by harming me,May I see them as an excellent spiritual friend.
7. In brief, directly or indirectly,May I give all help and joy to my mothers,And may I take all their harm and painSecretly upon myself.
8. May none of this ever be sulliedBy thoughts of the eight worldly concerns,May I see all things as illusionsAnd, without attachment, gain freedom from bondage.

บทสวด 8 ประการสำหรับการฝึกโพธิจิต
By Kadampa Geshe Langritangpa

1. ขอให้ข้าพเจ้ามีใจรักแก่สรรพสัตว์ทั้งมวลด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นนี้เป็นความดีอันสูงสุดที่มีค่ามากกว่าความปรารถนาใดๆ
2. เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยู่กับผู้อื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักถ่อมตนและเห็นตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่นและจากก้นบึ้งของหัวใจนี้ ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของผู้อื่นเหนือตัวข้าพเจ้า
3. ในการกระทำทุกอย่าง ขอให้ข้าพเจ้ามีสติรู้เท่าทันจิตตนเองทันทีที่อารมณ์ขุ่นมัวก่อตัวขึ้น ขอให้ข้าพเจ้าขจัดออกได้โดยพลันเพราะจะก่อทุกข์ให้ทั้งตนเองและผู้อื่น
4. คราใดที่ข้าพเจ้าพบคนที่จิตใจมีอกุศลและถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวดและการกระทำไม่ดี ขอให้ข้าพเจ้ารักเขาได้และเห็นว่าคนอย่างเขานั้นหาได้ยากมากเสมือนว่าข้าพเจ้าได้พบของล้ำค่า
5. คราใดที่มีบุคคลมีจิตอิจฉากระทำความไม่ดีต่อข้าพเจ้า โดยการกล่าวร้ายอื่นๆ ขอให้ข้าพเจ้ายอมเป็นผู้แพ้และยกความเป็นผู้ชนะให้แก่เขา
6. แม้ผู้ที่ข้าพเจ้าเคยให้การช่วยเหลือ และเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ในตัวเขาแต่เขากลับมาทำผิดโดยการทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าเขาเป็นมิตรในทางธรรมที่ดีเลิศ
7. ขอให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมารดาทั้งมวลของข้าพเจ้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และขอรับเอาความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดของท่านในตัวข้าพเจ้า
8. ขอให้ทั้งมวลที่ข้าพเจ้ากล่าวมาอย่าได้มัวหมองด้วยความทุกข์ทางโลกแปดประการขอให้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งเป็นของลวงตาและด้วยจิตที่ปล่อยวางขอให้ข้าพเจ้าเป็นอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล

At International Women’s Partnership Center, Chiangmai, Thailand.

ที่มา http://awakeningmind.blogspot.com/ และ http://primordialawareness.blogspot.com/

ฝากกลอนไว้เอาไว้อ่านเสริมแรงศรัทธา ฉลองจัทรคราสวันมาฆบูชา

องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่น มิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้าขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ ญภาพนั้นนิรันดร ฯ

ที่มา http://www1.mod.go.th/heritage/religion/relceremony/relcer3.htm

Thursday, March 01, 2007

Das wilde Leben: Das Leben ist zu kurz.

Der Film "Das wilde Leben" ist von der Autobiographie von Uschi Obermaier gedreht. Sie war eine beruehmte Sex-Symbol des 70er Jahre. Ihre Fotos wurden auf viele erste Seite von Magazine, z.B., Playboy, Stern, Spiegel aufgezeigt. In Politik hatte sie eine bedeutende Rolle, weil sie in Kommune 1, die erste politische Wohngemeinschaft in Deutschland, war. Kommune 1 war als die Reaktion gegen der Gesellschaft nach der 2. Weltkrieg. Obermaier ist ein Faktor, der fuer die Scheitern der Kommune 1 verantwortlich ist.

Sie hatte auch Beziehung mit 2 Mitgliede von Rolling Stone, Mick Jacker und Keith Richard. An diesem Zeitpunkt war ihr Leben so wild mit Droge, Sex, und viele illegale Dinge. Doch ist sie nicht zufrieden, und wollte mehr. Dann traf sie mit dem Prinz Hamburgs, Dieter Bockhorn. Mit ihm heiratete sie und reiste zusammen durch Asia, USA, und Mexiko. Die Reise endet im 1983 nach dem Bockhorns Unfall. Auch endet der Film hier, wo diese Szene schon am Anfang gezeigt wird.

Der Film zeigt allmaehlich ihr Leben von einem Maedchen zu dem Tod Dieters. Das ist langsam wie ein Dokumentar. In dem Film sollte mehrere Frage und Spannung nach meiner Meinung gestellt, weil ihr Leben echt wild ist. Besonders der Grund warum sie so machte, und warum sie aufhoerte. Es gibt viele Themen, die die Zuschauer anziehen, z.B., Politik, oder Philosophie. Ich finde das nicht so kraftvoll, obwohl die Hauptdarstellerin, Natalia Avelon, viele von ihrem Body ausstellt. Es fehlt noch ein Spicygeschmack, der diesen Film erfuellt. Sowieso ist der Film wie ein Lebensbeschreibung: Das Leben ist zu kurz. Macht was ihr wirklich wollt. Sei wild!!!

Tuesday, February 27, 2007

การปฏิบัติภาวนา โภวา

ในธรรมเนียมปฏิบัติของพุทธศาสนาสายทิเบต การภาวนาโภวา ถือเป็นการปฏิบัติภาวนาที่คุณค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับความตาย คำว่า “โภวา (Phowa)” หมายถึง การเคลื่อนย้าย ส่งต่อ หรือ ปลดปล่อยจิตวิญญาณ เข้าสู่สภาวะแห่งสัจธรรม หลักการปฏิบัติที่สำคัญที่จะทำให้การภาวนานี้ เป็นผลสำเร็จ คือ การอัญเชิญองค์พระพุทธเจ้า หรือองค์แห่งความปัญญาตื่นรู้ มาผนวกกับการอุทิศตนและการเปิดรับอย่างกว้างขวางของเรา โดยจะต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติเป็นประจำจนชำนาญ ตลอดชีวิตของเรา
การภาวนาโภวานี้ เป็นหนึ่งในหกของคำสอนหลัก ของท่าน นาโรปะ (Naropa) เมื่อประมาณพันปีมาแล้ว ท่านโซเกียล รินโปเช (Sogyal Rinpoche) อธิบายว่า การภาวนาโภวานี้ ไม่ใช่เป็นการภาวนา สำหรับในกรณีของความตายอย่างเดียว แต่สามารถใช้ชำระล้างความเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกทางลบของเราได้ และสามารถใช้ช่วยเยียวยาทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย การปฏิบัติภาวนาโภวา เป็นการปฏิบัติที่ใช้ได้สำหรับทั้งในการดำเนินชีวิตตลอดชีวิตของเราและในเวลาที่เรากำลังจะตาย และเป็นการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญที่เราจะใช้ได้ ในการช่วยเหลือผู้อื่นในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่เขากำลังจะตาย และหลังจากนั้น
ถ้าเราปฏิบัติภาวนาโภวาบ่อยๆ แรงจูงใจแห่งความรักความเมตตา และความมั่นใจในการอุทิศตนทางจิตวิญญาณของเรา จะยิ่งลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จิตใจของเราจะเปิดออกอย่างกว้างขวางขึ้น ถ้าเราเตรียมตัวสำหรับการตายของเราด้วยการภาวนาซึ่งเต็มไปด้วยการอุทิศตนและความวางใจเช่นนี้จนคุ้นเคย เราจะได้รับผลที่ดีตอบแทนในภายหลัง เช่น ความกลัวตายของเราจะลดน้อยลง และแม้ว่า เราจะต้องประสบอุบัติเหตุ และจะต้องเผชิญความตายที่กะทันหัน เราจะรู้ว่า จะปล่อยวางชีวิตอย่างไรโดยอัตโนมัติ โดยอาศัยความคุ้นเคยและชำนาญในการปฏิบัติภาวนาโภวานี้
หากเราปฏิบัติภาวนาโภวาอย่างสม่ำเสมอ และจริงจัง เราจะพบว่า ในยามที่คนที่เรารักกำลังมีความทุกข์หรือกำลังจะตาย เราจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยความรักและความเมตตากรุณาทั้งหมดของเรา ด้วยการปฏิบัติภาวนาโภวานี้ให้แก่เขา ในเวลาที่เราได้ยินข่าวร้ายหรือหายนภัยทางธรรมชาติ เราจะตระหนักว่า เราสามารถจะช่วยเหลือเขาได้และไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ และเศร้าหมองเท่านั้น ด้วยการภาวนาโภวาเพื่อประโยชน์ทางจิตวิญญาณให้แก่ผู้ที่ประสบทุกข์ภัยนั้น
แม้ว่าท่านจะปฏิบัติภาวนาโภวาได้ในทุกขณะตลอดชีวิต แต่การปฏิบัติสำหรับสภาวะที่ใกล้จะตาย เป็นการภาวนาที่มีพลังมากที่สุด โดยควรจะปฏิบัติให้แก่ผู้ที่กำลังจะตาย ในขณะที่เขากำลังจะสิ้นใจ หรือทันทีที่ท่านได้ทราบข่าวการตายของเขา หากท่านไม่สามารถจะอยู่ใกล้ๆ เขาได้ในขณะนั้น ให้ท่านจินตนาการว่า ตนเองกำลังภาวนาอยู่ข้างๆ กายเขา ทั้งนี้ การภาวนาโภวา จะช่วยนำทางให้วิญญาณของผู้ตาย ให้เข้าสู่สภาวะของจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์สว่าง ได้ดียิ่งขึ้น

วิธีการปฏิบัติภาวนาโภวา ให้ตนเอง
ให้เริ่มต้นด้วยการนั่งเงียบๆ กลับมาอยู่กับกายและใจของตัวเอง ผ่อนคลายอยู่ในปัจจุบันขณะ ก่อนจะเริ่มการภาวนา ให้บ่มเพาะความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาขึ้นในใจของท่าน ดังที่แนะนำไว้ในหนังสือ คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต (The Book of the Dead) ของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช โดยอธิษฐานว่า “โดยอาศัยความตายนี้ ข้าพเจ้าจะน้อมนำสภาวะจิตแห่งการตื่นรู้ และแห่งความรักความเมตตาเข้ามาสู่ตน และจะมุ่งสู่การบรรลุหลุดพ้น เพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิต ที่มากหลายไม่รู้จบสิ้น”

v จากนั้น ด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน ให้ท่านอัญเชิญพระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ซึ่ง
มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือศรัทธา มาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าตรงเบื้องหน้าของท่าน โดยพระองค์นั้น ปรากฏมาในรูปของแสงสว่างที่ส่องรัศมีโชติช่วง ให้ท่านตระหนักเห็นคุณสมบัติแห่งปัญญาที่สมบูรณ์ ความรักความเมตตาที่ไร้ขอบเขต และพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เป็นคุณสมบัติ ที่ไม่แตกต่างจากคุณสมบัติแห่งปัญญาที่ท่านมีอยู่โดยธรรมชาติ
ให้ท่านจินตนาการว่า องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ อยู่ต่อหน้าท่านบนท้องฟ้าในขณะนี้ โดยมีชีวิต มีลมหายใจ และมองลงมายังท่านด้วยความรักและความเมตตากรุณา ถ้าท่านไม่สามารถจะคิดภาพพระพุทธองค์หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดได้อย่างชัดเจน ก็ขอให้ท่านจินตนาการ องค์แห่งปัญญาและความรัก ผู้ซึ่งเป็นองค์แห่งความจริงแท้ ดำรงอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าท่านในรูปของแสงสว่าง ขอให้ท่านผ่อนคลายกายและใจอย่างลึกซึ้ง และให้แสงสว่างขององค์ท่านผู้นั้น มาสัมผัสกับตัวท่าน

v ให้ท่านเปิดตัวเองออกเต็มที่ และตระหนักเห็นส่วนที่ต้องการชำระล้างให้
บริสุทธิ์ การให้อภัย และการให้พร ในตัวของท่าน ให้ท่านตระหนักเห็นความเศร้าเสียใจของท่าน ความรู้สึกด้านลบ อารมณ์ที่บั่นทอนทำลาย ที่ท่านต้องการปลดปล่อยออกไปหรือชำระให้บริสุทธิ์ ให้ท่านตระหนักถึงส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของท่าน ที่เจ็บป่วยไม่สบาย อ่อนแอ หรือเกรงว่าจะเจ็บป่วย รวมทั้งตระหนักถึงความรู้สึกสงสัย ไม่มั่นใจ ความกลัว หรือบาดแผลเก่าๆ ในหัวใจที่ท่านต้องการการเยียวยาและความรัก จากนั้น ให้ท่านขอจากหัวใจของท่าน ให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ช่วยเหลือท่าน

v ทันใดนั้น พระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ได้ตอบสนองต่อคำอธิษฐาน
ของท่าน โดยได้ส่งความรักและความเมตตาจากดวงใจของพระองค์ลงมายังท่าน เป็นลำแสงที่สว่างโชติช่วง ให้ท่านเปิดรับให้ลำแสงดังกล่าว แทรกเข้ามาในตัวท่านอย่างเต็มที่ และชำระท่านให้บริสุทธิ์ ทำให้ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย พลังแห่งการเยียวยา ความเชื่อมั่น และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้ท่านเห็นว่า ลำแสงสว่างเจิดจ้าแห่งความรักความเมตตานั้น สลายความกลัว และการพยายามปกป้องตนเองของท่าน ไปจนหมดสิ้น จนกระทั่งท่านหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนั้นอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ ตัวของท่าน ในรูปของแสง ค่อยๆ ลอยขึ้นและหลอมรวมผสานเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เหมือนดั่งแสงสว่าง ที่ผสานรวมเข้ากับแสงสว่าง
ให้ท่านดำรงอยู่ในสภาวะที่สงบสุขเช่นนี้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ตัวท่านนั้น คือ ความเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นอทวิลักษณ์ และ คือ การเปิดรับอย่างกว้างขวาง หากมีความคิดใดเกิดขึ้น หรือ “ความรู้สึกของการมีตัวตน” เริ่มที่จะก่อตัวขึ้น ให้ท่านเพียงแต่ปล่อยให้มันสลายกลับเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า ปล่อยวางทุกสิ่งลง และดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนั้น
เมื่อจะจบการภาวนา ให้ท่านกลับมาตระหนักรู้ตัวอยู่กับร่างกายของตนเองอีกครั้ง ให้ท่านยังคงรักษาสภาวะของความบริสุทธิ์ และการตระหนักรู้ที่แจ่มชัดเช่นนี้ ในปัจจุบันขณะต่อไป ในทุกกิจกรรมที่ท่านทำในชีวิตประจำวัน และเมื่อใด ที่ท่านสูญเสียมันไป ให้ท่านค่อยๆ ดึงจิตของท่านกลับมาที่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันอีกครั้ง
เมื่อการภาวนาสิ้นสุดลง ให้ท่านอุทิศการภาวนาของท่าน โดยแบ่งปันกุศลบุญแห่งพรและปัญญาที่เกิดขึ้น แก่สรรพชีวิต และอธิษฐานว่า ท่านจะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ และมีความสุข ในทุกวิถีทางที่ท่านจะกระทำได้ และเหนืออื่นใด ท่านจะช่วยให้สรรพชีวิตตระหนักถึงความสงบสุขแห่งธรรมชาติของจิตที่แท้ของตน ซึ่งเป็นนิรันดร์

วิธีการปฏิบัติภาวนาให้ผู้อื่น
ท่านสามารถภาวนาโภวาให้กับผู้ที่กำลังเจ็บปวด หรือกำลังจะตาย ด้วยวิธีการทำนองเดียวกับที่ท่านภาวนาให้กับตัวเอง โดยเพียงแต่ต้องจินตนาการภาพขององค์พระพุทธเจ้า หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น เหนือศีรษะของบุคคลนั้น และอธิษฐานแทนตัวเขา ขอให้พระองค์ช่วยเหลือเขา แล้วจินตนาการภาพองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ส่งลำแสงที่ส่องสว่างลงมายังบุคคลผู้นั้น เพื่อชำระเขาให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนสภาวะในตัวเขาทั้งหมด จากนั้น ให้ท่านจินตนาการภาพบุคคลผู้นั้น ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่างนั้น อย่างแยกไม่ออกจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยปัญญาแห่งการตื่นรู้นั้น

v การภาวนาโภวาสำหรับการตายแบบปัจจุบันทันด่วน (sudden death)
หากมีใครที่เพิ่งจะตายอย่างปัจจุบันทันด่วน และท่านไม่มีเวลามากนัก เช่นในกรณีของการเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่านสามารถจะภาวนาโภวาแบบสั้นๆ ให้กับเขาได้ โดยขณะที่ท่านอยู่ข้างกายของเขา ให้ท่านอัญเชิญองค์พระพุทธเจ้าหรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีรัศมีส่องสว่างจ้ามาปรากฏอยู่เบื้องบนต่อหน้า และให้จินตนาการว่า รัศมีแห่งความรักความเมตตาที่แผ่ออกมาจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น ฉายสว่างไปทั่ว ล้อมรอบตัวผู้ที่ตายและตัวท่านเพื่อปกป้องและให้พร
ให้ท่านเห็นภาพว่า จิตของผู้ที่เพิ่งจะเสียชีวิต ลอยพุ่งขึ้นจากร่างของเขา เป็นมวลของแสงสว่างเล็กๆ เหมือนดาวตก และพุ่งหายเข้าไปในดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นสุดการภาวนา ในการกล่าวอุทิศการภาวนานี้ ให้ท่านอธิษฐานให้บุคคลผู้นั้น เป็นอิสระจากความทุกข์หรือความวุ่นวายใจ เพราะการตายของเขา ให้เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เข้าสู่แสงสว่างแจ่มจ้า และธรรมชาติที่แท้ของจิตของเขาที่ดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่เขาทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง หลังจากนั้น ให้ท่านทำภาวนาโภวาอย่างเต็มรูปแบบให้กับเขาอีกในภายหลัง ในวันต่อๆ มา และในสัปดาห์ต่อๆ มา ด้วย



(ข้อมูลส่วนใหญ่ จาก http://spcare.org/practices,
และบางส่วน จาก http://ayangrinpoche.org/archives/an-introduction-to-phowa/ ข้อมูลส่วนใหญ่ เขียน โดย Chistine Logaker แปลและเรียบเรียง โดย ชลลดา ทองทวี)

Monday, February 19, 2007

เรื่องไทยที่เพิ่งรู้จัก

จากกระแสหนังตำนานพระนเรศวรมหาราช ทำให้กระแสความรักชาติ ชาตินิยม เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว วงการหนังสือก็ออกบทความมากมายเกี่ยวกับไทยแลนด์แดนสยามมาให้อ่าน ทำให้ได้เห็นความเป็นไทยที่ไม่รู้จักมากมาย

อย่างแรกที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องตำนานพระนเรศวร เป็นตำนานทั้งนั้น ในพงศาวดารจริงๆแทบไม่มีเรื่องราวใดๆเลย อย่างฉากชนไก่กับพระมหาอุปราชแห่งพม่า หรือ การที่พระเจ้าบุเรงนองทรงชุบเลี้ยงพระองค์เป็นอย่างดี รวมถึง เรื่องของพระสุพรรณกัลยาที่ยอมถวายตัวเพื่อแลกตัวกับพระองค์ดำกลับประเทศไป เรื่องราวพวกนี้ เริ่มมาจากสมัยรัชกาลที่ห้าที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ศิลปินเขียนกลอนวาดภาพด้วยจินตนาการจากพงศาวดารสมัยอยุธยา (ที่ไม่ใช่ประวัติของคนไทย แต่เป็นของคนสยาม) และต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงทำการศึกษาเพิ่มเติมและนิพนธ์ ประวัติสมเด็จพระนเรศวร โดยอิงจากภาพวาดและกาพย์กลอนที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้า (อ้างจาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ) แต่ในความเป็นจริงหลักฐานเกี่ยวกับตัวพระองค์มีน้อยมาก ที่ชัดเจนก็คือจากบันทึกของชาวต่างชาติที่มาค้าขายกับอยุธยาในสมัยของพระองค์หรือหลังพระองค์ ที่บันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่รบเก่ง มีพระปรีชาสามารถ เพียงมีพระชนพรรษา ยี่สิบ พรรษา ก็เป็นที่เลื่องลือพระนาม ทรงสามารถกอบกู้เอกราชได้ อย่างไรก็ตามตลอดเวลาประมาณยี่สิบปีที่ทรงครองราชย์ ก็ได้สังหารผู้คนไปมากกว่าแปดหมื่นคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นผลของสงครามที่มีการรบพุ่งตลอดรัชกาล

ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมประเพณี พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่บังคับให้พวกเจ๊กต้องทำตามอย่างประเพณีไทยเรื่องการหมอบคลานเข้าเฝ้าที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน แต่กับพวกชาวตะวันตกแล้ว พระองค์ทรงยกเว้นให้เพราะเป็นเรื่องการทูตที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะเปลี่ยนแปลงประเพณีของพวกเขา พวกฝรั่งที่พระองค์ทรงคบค้าด้วยเป็นพิเศษคือพวกดัตช์ และพวกดัตช์นี้เองได้รับราชการด้วยและได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้

เยเรเมียส ฟาน ฟลีต ชาวดัตช์ซึ่งคนไทยเรียกว่านาย วันวลิต หัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาได้เขียนพงศาวดาร พรรณาเรื่องอาณาจักรสยาม โดยเฉพาะได้วิจารณ์นิสัยคนไทยไว้อย่างละเอียด และเจ็บแสบ เอาที่เฉพาะแย่ๆคือ "การทหาร โดยทั่วไปชาวสยามรักความสงบ รักการค้าขาย และกสิกรรม ...ตามที่กล่าวมาแล้ว พวกสยามเป็นพวกที่ขี้ขลาด ไม่มากก็น้อย และไม่ใช่พวกนักรบมาโดยกำเนิด แต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์มาก ทำให้สามารถโจมตีได้ทั้งทางน้ำและทางบก ในเรื่องความกล้าหาญ ทหารที่ขลาดและกลัว...แต่โหดร้ายกับข้าศึกที่ปราบได้แล้ว ต่อพวกที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ยอมรับ และคนที่ศาลพบว่ามีความผิด" ซึ่งสาเหตุนายวันวลิตได้กล่าวไว้ประมาณว่าเป็นเพราะผู้นำของคนไทย คนไทยจะดีจะเลวอย่างไร ขึ้นกับผู้นำเสมอ

นอกจากนั้น นายวันวลิตยังได้กล่าวว่าคนไทยเป็นคนหยิ่งและอวดดี "พวกเขาหยิ่งและคิดว่า ไม่มีชาติไหนๆ สามารถเท่าเทียมพวกเขาได้ กฎหมายขนบธรรมเนียมและความรู้ของพวกเขาดีกว่าที่ไหนๆ ในโลกนี้ ท่าทางและใบหน้าดุ หยิ่ง พวกเขาสุภาพในการสนทนา นิสัยพวกเขาร่าเริง ขลาดกลัว ไว้ใจไม่ได้ ปิดบังอำพราง หลอกลวง ช่างพูด และเต็มไปด้วยการโกหก...เราไม่สามารถเชื่อใจในประเทศนี้ และไม่มีใครเป็นที่ไว้วางใจ หรือเชื่อถือได้เลย" แม้ภาพลักษณ์ของคนไทยในสายตาของนายวันวลิตจะดูแย่แค่ไหน แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นกันทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่พวกตน ย่อมต้องถูกกีดกันออกไปเป็นธรรมดา เราคงได้แต่นำมันมาเป็นบทเรียนอีกบทนึงกระมัง

นอกจากเรื่องสมัยพระนเรศวร เรายังได้ไปพบเรื่องแปลกๆในสมัยรัตนโกสินทร์ว่า คนสมัยก่อนที่อยู่อย่างเรียบง่าย สบายๆ มี กลับมีการละเล่นที่แปลก พิศดาร อย่าง การล่อช้างตกมันที่ชอบวิ่งไล่แทงคน ทุกปีในหน้าหนาว โดยให้ช้างตกมันออกมาวิ่งบนถนนหน้าพระลาน ให้ชาวบ้านมาล่อ ช้างให้วิ่งไล่ไป วิ่งไล่มา ให้มันมาไล่แทง จนมันเหนื่อย ซึ่งเป็นเกมกีฬาที่สนุกสนานของทั้งชาวบ้านและชาววัง เกมกีฬานี้มีประจำทุกปีจนถึงรัชกาลที่เจ็ดจึงยกเลิก นับว่าเป็นที่น่าเสียดายนักกับความบันเทิงรุ่นคุณปู่คุณย่าที่น่าหวาดเสียวเช่นนี้ พอมีเรื่องแบบนี้ก็ชวนให้คิดถึงพวกเพื่อนต่างชาติที่ชอบถามว่าคนไทยสมัยนี้ยังขี่ช้างไปทำงานหรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่และเล่าเรื่องนี้ให้ฟังคงจะเป็นที่ชวนหวัวพิลึก (บางทีเราก็เห็นพวกฝรั่งขี่ม้าไปโรงเรียนเช่นกัน แต่ไม่ยักกะมีใครว่าอะไร)

หลังจากอ่านเรื่องโบราณๆพวกนี้ เรายังได้ไปอ่านเจอบทความของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในบล๊อกของอาจารย์ เรื่องเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่แปด ซึ่งยังเป็นความลับมาจนถึงวันนี้ ที่พอสรุปได้คือ สาเหตุการสวรรคตยังไม่กระจ่าง แต่ จำเลยสามคนที่ถูกประหารชีวิตคือ นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน เป็นเพียงแพะที่ถูกกระบวนการศาลแบบมั่วๆตัดสิน และที่เสริมไปเสริมมาจากบทความจนทำให้คิดเอาเองว่า คนที่ทำเป็นคนที่ไม่สามารถพูดถึงได้ ทั้งการฆาตกรรมและการปรักปรำจำเลยทั้งสาม รวมทั้ง รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์แกมีความมั่นใจแค่ไหนกับหลักฐานที่แกมีซึ่งก็มีส่วนขัดเเย้งกันตลอด แต่จากการเขียนก็พอให้ทราบว่าแกมีความในใจว่าอย่างไร อยากรู้ก็ชวนให้อ่านเอง ใน http://somsakwork.blogspot.com

ทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่องไทยๆที่เพิ่งรู้และน่าสนใจ ตลก เสียดสี เจ็บปวด ก็ขอแบ่งปันในวันนี้

สวัสดี

อ่านมาจาก
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร โดย Subhatra Bhumiprabhas ในหนังสือพิมพ์ the Nation (จำวันที่ไม่ได้)
คอลัมน์ สโมสร โดย จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ใน ศิลปวัฒนธรรม เดือน มกราคม ๒๕๕๐
http://somsakwork.blogspot.com

Sunday, February 04, 2007

GMOs

"คนยากจนไม่ได้ต้องการวิตามิน แต่พวกเขาต้องการผืนดินทำกินเท่านั้น"
เสียงก้องจาก เดชา ศิริภัทร ประธานเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกแห่งประเทศไทย

จีเอ็มโอหรือพืชสวรรค์ของบรรษัทอุตสาหกรรมการเกษตรข้ามชาติที่ว่าจะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและสารอาหารไม่เพียงพอของคนยากจนทั่วโลก อย่าง ข้าวสีทอง ที่อุดมด้วยวิตามินเอ หรือ กล้วยพันธุ์พิเศษที่บรรจุวัคซีนป้องกันโรคอยู่ภายใน หรือ ฝ้ายบีที ที่ทนแมลงได้มากมาย
การที่ประชาชนยากจน ขาดแคลนอาหาร หรือแม้กระทั่งขาดแคลนสารอาหาร ไม่สามารถแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างการสร้างพืชประหลาดพวกนี้ขึ้นมาทดแทน
แต่คือการมองไปที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างเด็ดขาด
พวกเขา(ชาวนา) ขาดสารอาหารเพราะอะไร เพราะขาดอาหารที่ครบถ้วน
แล้วพวกเขาขาดอาหารเพราะอะไร เพราะพวกเขายากจน
ทำไมพวกเขายากจน เพราะพวกเขาไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้
แล้วทำไมเขาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่ที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
ถูกผู้ได้เปรียบทางสังคมยึดเอาที่ทำกินไปอย่างถูกกฎหมาย
แต่ตัวพวกเขาเองต้องเป็นลูกจ้างนายทุนพวกนั้น
ทั้งที่พวกเขาเป็นคนปลูกข้าว พวกเขากลับไม่ได้แม้แต่จะกินสิ่งที่พวกเขาปลูก
ระบบสังคมไม่ได้แจกจ่ายทรัพยากรสำคัญให้กับเขาอย่างทั่วถึง
อย่าง โอกาส และ ความรู้ที่ถูกต้อง
ที่ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียดินแดนบรรพบุรุษให้กับนายทุนเกษตรกรรมทั้งหลาย

ปัจจุบันอาหารมีล้นโลก โลกไม่ได้ขาดแคลนอย่างที่บรรษัททั้งหลายกล่าวอ้าง
เพียงแต่คนยากจนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทรัพยากรนั้นอย่างเท่าเทียม
เช่น มันสำปะหลังที่เป็นอาหารหลักของคนแอฟริกา ประเทศยากจนเหล่านั้นผลิตมันสำปะหลังไปขายให้ประเทศที่ร่ำรวยเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ แล้วนำผลิตภัณฑ์นั้นมาเป็นอาหารของคนรวย
ขณะที่เด็กที่แอฟริกาต้องอดตายเพราะไม่มีเงินซื้อกิน

นอกจากจะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดแล้ว การใช้พืชตัดต่อพันธุกรรมยังมีปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์พันธุ์
ที่บริษัทผู้คิดค้นจะเป็นเจ้าของทั้งหมด แม้ว่าบริษัทนั้นจะทำเพียงแค่เสริมยีนของไวรัสบางตัวเข้าไปเท่านั้น โดยไม่สนใจยีนที่เหลือที่เป็นต้นพืชนั้นอันเป็นสมบัติของส่วนรวมแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนจน ชาวนา ยังต้อง หักเงินรายได้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นค่าสายพันธุ์อีกด้วย
ถ้าพบว่าพืชที่ชาวนานำไปขายมีพันธุกรรมตัดต่อปนไป แม้ว่านั่นจะเป็นการปนเปื้อนตามธรรมชาติที่ชาวนาไม่ได้ต้องการอีกด้วย

นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องความปลอดภัยที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ทางชีววิทยา
ทั้งต่อร่างกาย และต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม
แต่จากเวลาที่ผ่านมามีแต่รายงานความเสียหายของสิ่งแวดล้อมจากพืชพันธุกรรมเข้ามาทั้งนั้น
นั่นก็พอจะพิสูจน์ได้ว่า พืชตัดแต่งพันธุกรรมไม่เหมาะสมกับโลกนี้จริงๆ

ปล ชาวนา กับ แรงงานกรรมาชีพ ก็คือ กลุ่มคนเดียวกัน ที่ถูกเอาเปรียบเพียงแต่แต่งตัวคนละแบบ