Monday, October 11, 2010

เป็นคนหรือไม่? อยู่ที่ความหมายไม่ใช่ที่สมอง

ผมเพิ่งอ่านบทความ อาจารย์ หมอ ประสาน ต่างใจ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2553 แล้วพบว่าน่าสนใจ แต่พบว่าอ่านยากมากเลยลองเรียบเรียงใหม่ให้กระชับขึ้น ตัดบางอย่างออก และเติมคำบางคำเพิ่มเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ก็ลองอ่านกันดูนะครับ:-)

ที่มา http://www.thaipost.net/sunday/101010/28515

เราคงไม่ชอบ หรือบางคนอาจจะโกรธเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าถูกดูถูก-หากใครมาพูดใส่หน้าตรงๆ ว่า “คุณเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับใครๆ เลย-รู้มั้ย?” เพราะเราคิดว่า เรา-และจริงๆ แล้วทุกคนในโลกเลย ต้องมีความหมายไม่อะไร-ก็อะไรซักอย่างกับคนที่รักเรา เช่น แม่ของเราคนนั้นๆ ความหมายจึงเหมือนเป็นคู่กับความรักในกรณีนี้ แต่ในกรณีทั่วๆ ไป ทั้งความหมายกับความรักเป็นเรื่องของจิตคนละอย่างและคนละส่วนของวิวัฒนาการกัน ความหมายจึงเป็นจุดมุ่งหมาย (purpose)

มนุษย์หลายคนจึงคิดว่า ความหมาย เป็นเรื่องที่สมองกำหนดมาให้มี แต่จากงานวิจัยของวิทยาศาสตร์ใหม่ พบว่า แม้สมองจะเหมือนกับ
อวัยวะอื่นๆ เช่นเดียวกับหัวใจ ตับ ไต ปอด ฯลฯ ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปตามนั้น โดยประสานงานกันเพื่อให้เราและสัตว์เหล่านั้นอยู่รอด บนโลกนี้จักรวาลนี้ เช่นกัน - โดยแต่ละอวัยวะก็มีหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นอิสระ แม้ว่าจะประสานกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน

ผู้เขียนและนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งจึงคิดและเชื่อว่าสมองก็มีหน้าที่ที่เป็นอิสระเหมือนกับอวัยวะอื่นที่ยกมาเช่นเดียวกัน นั่นคือ สมองมีหน้าที่หลักในการบริหาร (carried out order) จิตไร้สำนึกของจักรวาล ให้เป็นจิตสำนึกใหม่และใหม่ๆ ตลอดเวลาไปตามความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ส่วนคำถามที่บางคนอาจจะถามว่า “แล้วใครหรือสิ่งอะไรล่ะ? ที่เป็นผู้บัญชาให้จิตไร้สำนึกโดยรวมของจักรวาลเข้ามาอยู่ในสมองคนแต่ละคนเป็นปัจเจก แล้วสั่งให้สมองนั้นบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก?” ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า อาจจะตอบว่า “มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง” ซึ่งวิทยาศาสตร์ใหม่ของมาตาเรลลาจะบอกว่า มันคือระบบจัดองค์กรให้กับตนเอง (self-organizing system) แต่ศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลายที่เชื่อตามความเคยชินของมนุษย์ว่า ถ้าไม่มีเหตุแล้วจะมีผลได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น จักรวาล โลกและทุกๆ อย่างจึงต้องมีผู้สร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมา และผู้สร้างที่อยู่ข้างนอกการสรรค์สร้างนั้น ก็คือ พระเจ้านั่นเอง ดังนั้นสมองก็เป็นเช่นอวัยวะที่อยู่ในร่างกายทั้งหลาย นั่นคือ มันจะมีหน้าที่หลักเช่นเดียวกับหัวใจ ซึ่งมีหน้าที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกาย จิตไร้สำนึกจักรวาลจึงไม่ใช่สมองและไม่ใช่กาย แต่มาจากจักรวาลนอกรูปกายของตัวตนคนนั้นๆ ดังนั้นใคร่ขอบอกอีกครั้ง ไม่ว่าใครจะเชื่อเป็นตรงกันข้ามถ้าหากเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และคิดอย่างมีเหตุผลบนหลักฐานของงานวิจัยแล้วไม่ใช่เชื่อแบบที่ไม่ฟังอะไร ทั้งไม่ยอมอ่านดูหลักฐานอะไรทั้งนั้น “ข้าจะเชื่อของข้าอย่างนี้ มีอะไรมั้ย? ถ้าพูดกันอย่างนั้นก็จนปัญญา จิตที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย เช่น จอห์น เอคเคิลส์ วิลลิส ฮาร์แมน จอร์จ วอลด์ ฯลฯ และแม้แต่นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษคนหนึ่ง เซอร์ คาร์ล ป๊อปเปอร์ ก็เชื่อว่าการวิจัยหลากหลายในปัจจุบัน ต่างล้วนแลัวแต่ชี้บ่งไปทางเดียวกัน นั่นคือ จิตไม่ใช่สมอง วิลเดอร์ เพ็นฟิลด์ ศัลยแพทย์สมองที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดของแคนาดา ผู้ที่ทีแรกไม่เชื่อว่าจิตกับสมองแยกจากกันเป็นคนละเรื่องในทีแรก ดังที่ได้เคยเล่าไปแล้วที่นี่เมื่อวันก่อน วิลเดอร์ เพ็นฟีล์ดได้บอกกับจอร์จ วอลด์ - หลังจากเขาใช้เวลาผ่าตัดสมองผู้ป่วยจนแทบนับไม่ถ้วนเพื่อหาตำแหน่งของจิตในสมอง - ว่า “จะบอกอะไรให้ จิตมันไม่ได้อยู่ในสมองอย่างแน่นอน” แต่สมองมีความสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ เพราะมันให้ตัวรู้ที่รู้ว่าฉันเป็นผู้ที่รู้นั้น


เมื่อสมองไม่ใช่จิต ไม่ได้เป็นตัว "ให้" ความหมาย แก่แต่ละอย่างที่เรารับรู้แล้ว แล้วจริงๆ ความหมาย (meaning) ที่เราพูดถึงอยู่มันคืออะไร

ความหมาย (meaning) ในที่นี้หมายความถึง “ความสำคัญของความหมายอันละเอียดที่สุดแสนละเอียดที่ซ่อนไว้จากสิ่งที่เรารู้ตามปกติ”

แล้วมันมาจากไหน

มาจากสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เรารู้ตามปกติจะต้องประกอบด้วย 3 อย่างคือ
1.เราต้องมีสติที่จะรับรู้
2.การรู้ต่างๆ ของเรานั้นต้องอาศัยตัวรู้หรือจิตรู้หรือจิตสำนึก
3.รู้ว่าสิ่งอันสำคัญนั้นคืออะไร? และรู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร?

แต่สิ่งพวกนี้นั้นปกติเราไม่รู้ ที่เราสามารถจะทำได้คือ รอคอยให้สิ่งที่สุดแสนจะละเอียดนั้น-ออกมาจากที่ซ่อน เพื่อที่เราจะได้รู้ด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึกปกติของเรา ถ้าหากมันไม่ออกมาจากที่ซ่อนและไม่มีทางที่จะให้มันออกมาได้ตามปกติธรรมดา เราก็ไม่มีทางรู้ ยกเว้น 2 กรณีอันไม่ปกติเลยคือ 1.เราเป็นผู้วิเศษ เป็นฤๅษี 2.เราอาจรู้ได้ด้วยจิตจักรวาลซึ่งเป็นจิตไร้สำนึก (unconsciousness continuum AS consciousness) เช่น คนที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่เกิดใหม่ หรือ “ชีวิตระหว่างภพ (life between life)”

ถ้าหากเราแปลคำว่าความหมาย (meaning) อย่างหนึ่งเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เดวิด โบห์ม นักควอนตัมฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ คนหนึ่งของโลก - เพื่อนต่างวัยกันของกฤษณามูรติ ปราชญ์แห่งพุทธศาสนาที่ตายไปไม่นานนัก (1986 A.D.) ความเห็นของทั้ง 2 คน ก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูก เพราะมันใกล้เคียงกับพุทธศาสนาในเรื่องที่มาของจักรวาล

เดวิด โบห์ม บอกว่า จักรวาลเป็นองค์รวมที่เป็นทั้งหมด (wholeness) ซึ่งเป็นความจริงทางควอนตัมฟิสิกส์ โดยเดวิด โบห์ม บอกต่อไปว่าในรายละเอียดนั้น จักรวาลจะเคลื่อนตัวเองโดยการเคลื่อนที่เป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา (holomovement) ด้วยลักษณะเหมือนกับหยดหมึกลงไปในถังน้ำเชื่อมที่เหนียวข้น ซึ่งเมื่อกวนน้ำที่เหนียวข้นนั้นไปทางหนึ่ง หยดหมึกนั้นจะละลายหายไปในน้ำเชื่อมนั้น แต่ถ้าเรากวนน้ำเชื่อมนั้นในทางกลับกัน หยดหมึกที่หายตัวไปโดยละลายในน้ำเชื่อมหรือ “เป็นองค์กรที่ซ่อนตัวเอง” (enfold) อยู่ในน้ำเชื่อมนั้นก็จะโผล่ปรากฏออกมาเป็นหยดหมึกเหมือนเดิม คือเป็นเสมือน “องค์กรที่คลี่ออกมาจากที่เคยซ่อนตัวเองอยู่นั้น” (unfold หรือ implicate order ก็ได้) และหยดหมึกหรือองค์กรที่ “ซ่อนตนเอง” และ “คลี่ขยายตนเอง” (enfold and unfold) จะเคลื่อนตัวเองเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ว่าง อวกาศ (space) ของจักรวาลก็จะเป็นประหนึ่งน้ำเชื่อมที่ข้นนั้น

ส่วนองค์กรที่จะ unfold แล้วแทนที่หยดหมึกที่อยูในน้ำเชื่อมที่ข้นเหนียวหนืด มี 3 องค์กรคือ
1. ความหมาย (meaning) ที่ผู้เขียนคิดว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น
2. พลังงาน (energy)
3. สสารวัตถุ (matter)
ทั้งหมดจะผลัดกันซ่อนเร้นตัวเองแล้วก็ผลัดกันคลี่ขยายตัวเองออกมาเรื่อยๆ

ที่ผู้เขียนพูดว่ามีความใกล้เคียงกับพุทธศาสนาก็เป็นดังได้อธิบายไว้ในคอลัมน์นี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือพุทธศาสนาในระยะแรกๆ บอกว่า ที่ว่างหรืออวกาศนั้นเป็นต้นตอที่กำเนิดของจิตไร้สำนึกก่อนจะมีจักรวาล หรือก่อนมีบิกแบ็งเสียอีก นั่นคือก่อนมีจักรวาลจะมีที่ว่างหรืออวกาศ จิตไร้สำนึกที่แยกออกจากกันไม่ได้กับพลังงานจะปรากฏขึ้นมาจากที่ว่าง อวกาศนั้น ตอนนี้ก็คล้ายๆ องค์กรซ่อนตัวเองที่คลี่ขยายออกมาจากองค์กรที่ซ่อนเร้นตนเอง (unfold ออกมาจากที่มันซ่อนเร้นตัวอยู่ enfold or implicate order) ในที่ว่างอวกาศ - นั่นคือ ความหมายที่ผู้เขียนว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น พอมีจักรวาลขึ้นมาแล้ว จิตไร้สำนึกก็เข้าไปอยู่ในทุกๆ ที่ว่าง (infiltrate and permeate) เรียกว่าจิตร่วมจักรวาลตามนักควอนตัมฟิสิกส์และเซอร์อาร์เธอร์ เอดดิงตัน บอก ซึ่งตรงกับที่ชวนจื่ออธิบายเต๋าไว้ หรือ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ปราชญ์บนรถเข็นก็กล่าวว่า จักรวาลออกมาจากสิ่งที่ไม่อะไรเลย ซึ่งองค์กรซ่อนตัวเองของโบห์มนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาขององค์การสหประชาชาติ (Erwin Laszlo) เรียกว่าควอนตัมสุญญากาศ (quant um vacuum) - ที่เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้ว่ามีจริง (Casimir’s effect) นั่นคือความว่างเปล่าที่เป็นความเต็มที่พุทธศาสนาบอก ที่ผิดไปก็ตรงที่พุทธศาสนาบอกว่าจิตปฐมภูมิแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้หนึ่ง กับสสารวัตถุรุปกายที่แยกออกมาจากที่ว่างอวกาศ “หลัง” ที่มีจักรวาลแล้ว ซึ่งเดวิด โบห์ม ไม่ได้บอกเช่นนั้นอีกหนึ่ง
ไม่ว่าจะเชื่อเดวิด โบห์ม ตามนักควอนตัมฟิสิกส์มีชื่อหลายคนเชื่อ หรือเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องจักรวาลหรือไม่? แต่ผู้เขียนเชื่อ ความหมายไม่ใช่เรื่องของสมองแน่ๆ.