Saturday, September 26, 2020

ความมั่นคงของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

 ที่มาจาก 

https://www.facebook.com/Bossficial/posts/2736298859981405

เมื่อวานโทรคุยกับกรรมการบอร์ดท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการเงิน การลงทุน
[คำเตือน : บทความยาว]
คุยไปคุยมาตั้งแต่เรื่องหุ้น นโยบายการเงิน ไปจนถึงเรื่องดอลลาร์สหรัฐ ที่มักจะมีประเด็นมาตลอดชาติตั้งแต่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ว่าดอลลาร์จะล่มสลายหรือไม่
ตามความเห็นผมนะ เงินดอลลาร์ในระยะสั้นจะยังคงเป็นเหมือนเดิม นับจากนี้ไปสัก 4-5 ปี มันก็ยังจะเป็นสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ของโลก
แต่ในระยะยาวแบบเกิน 10 ปีเป็นต้นไป อาจจะไม่แน่ว่ามันจะลดบทบาทและความสำคัญลง ซึ่งจะเป็นลักษณะใครมามีบทบาทนั้น คงตอบไม่ได้ แม้ว่าทุกคนจะเอียงไปทางหยวนของจีนก็ตาม
จริงๆมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโบราณที่เรื่องเงินตราของโลกนั้นมีการเปลี่ยนผ่านเรื่องอิทธิพลมาตลอด
ช่วงที่เราเห็นมากที่สุดในระยะหลังก็คือในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่เงินปอนด์ของอังกฤษ คือเงินตราที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลก เพราะปอนด์นั้นหนุนมูลค่าด้วยทองคำแล้วพิมพ์เป็นกระดาษ
นั่นคือจุดรุ่งเรืองของยุค Gold Standard ที่กระดาษเงินปอนด์มีคุณค่าเสมือนทองคำ เพียงแค่พิมพ์ออกมาใช้ให้สะดวกสบาย และเป็นยุคทองของเงินปอนด์อย่างแท้จริง
แต่นั่นก็อยู่กับอิทธิพลด้วยเช่นกันที่อังกฤษนั้นมีเมืองขึ้นทั่วโลก จนมีนามที่รู้กันคืออาณาจักรซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ตกดิน เพราะดินแดนที่อยู่ทั่วโลกเริ่มตั้งแต่เกาะเล็กน้อยในมหาสมุทรแปซิฟิค
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ปากีสถาน บางประเทศในตะวันออกกลางเช่นโอมาน คูเวต อิรัค ในแอฟริกาก็ตั้งแต่อียิปต์แล้วผ่ากลางลงมาจนถึงแอฟริกาใต้ ไปจนถึงแคนาดา และสหรัฐโซนตะวันออกตั้งแต่เหนือจรดฟลอริดา
นึกภาพตามละกันว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน และนั่นจึงเป็นที่มาของความยิ่งใหญ่และแสนยานุภาพของอังกฤษ ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่าเป็นผลทำให้เงินปอนด์นั้นมีอิทธิพลสูงที่สุด
ในขณะที่จบ Gold Standard ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐพยายามวางตัวเป็นกลางแต่ก็สนับสนุนพันธมิตรมาเรื่อยๆ และจนกระทั่งเพิร์ลฮาร์เบอร์เริ่มต้นทำให้สหรัฐต้องเข้าสู่สงครามเต็มตัว จบลงที่นิวเคลียร์ฮิโรชิมา และนางาซากิ
ในเวลานั้นเองที่สหรัฐก้าวขึ้นมาสู่ผู้นำโลกอย่างแท้จริง และอิทธิพลหลังยุคอาณานิคมของอังกฤษก็สิ้นสุดลง พร้อมกับความระส่ำระสายของสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ ที่ยุคนั้นพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ที่สละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สันกลับเป็นการสร้างความร้าวฉานอย่างหนัก
พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ทรงสนับสนุนนาซีอย่างไม่ลับ กับพระเจ้าจอร์จที่ 6 (น้องชาย / พระชนกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2) เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร มีการล็อบบี้อย่างลับๆหากชนะสงครามโลก พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 จะถูกฟื้นให้กลับมาเป็นคิงอีกครั้ง
สามารถหาข้อมูลดูเพิ่มเติมเรื่อง Marburg Files เรื่องนี้พอไว้แค่นี้ ยิ่งเล่าจะยิ่งยาว
หลังจากนั้นสหรัฐก็สถาปนาอำนาจขึ้นมา องค์กรต่างๆเช่น สหประชาชาติ, ธนาคารโลก, IMF อะไรต่างๆ ก็เริ่มมาจากตอนนั้น และโลกก็เข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มตัวหลัง Bretton Woods ที่ยกเลิก Gold Standard ออกไป
คือมาตรฐานทองคำยังไงมันก็เอากลับมาอีกไม่ได้แน่นอน ทองคำในโลกที่ขุดขึ้นมาทั้งหมดมีอยู่ราว 160,000 ตัน คือมันจะไปหาทองคำมาจากไหนที่จะหนุนหลังมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนและทรัพย์สินบนโลกเราที่มีการซื้อขายนับ Trillion Dollar ต่อวัน
ดังนั้นบทสรุปที่แท้จริงคือ อำนาจอยู่ที่ใคร คนนั้นคือคนกำหนดชะตาโลก ดังเช่นอังกฤษยุคหนึ่งที่เคยกำหนดชะตานี้มาแล้ว
ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อผมไม่แน่ใจ แต่เรื่อง bitcoin จะเข้ามากำหนดชะตาตรงนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน Supply ไม่มีความเพียงพออารมณ์แบบทองคำนั่นแหละ
นอกจากนี้ระบบการเงินของโลก เราใช้เงินที่ราคา Par นั่นคือทรัพย์หนุนหลังเท่าไหร่ก็ผลิตเงินจำนวนเท่านั้น
แม้ว่าเราจะเห็นระยะหลัง ธนาคารกลางสหรัฐใช้นโยบายพิมพ์เงินก่อนแล้วไปซื้อทรัพย์สินทีหลัง แต่ท้ายที่สุดมันก็มี Asset back อยู่ดี ในขณะที่ bitcoin ที่ซื้อขายกัน ก็ Quote ราคาด้วย US Dollar เป็น Main Instrument
และมูลค่าที่เปลี่ยนแปลงสูง มีความผันผวนยิ่งทำให้ส่วนนี้เห็นทีจะลำบาก และอิทธิพลดอลลาร์นั้นอยู่บนโลกโดยไขว้กับทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยน และระบบเงินตราทั่วโลก
หากดอลลาร์ล่มสลาย ทั้งโลกก็ล่มสลาย แม้กระทั่งจีนที่มีทุนสำรองสกุลดอลลาร์สูงที่สุดในโลกกว่า 3 Trillion ดอลลาร์ ก็จะล่มสลายตามกันไป ไทยเองก็เช่นเดียวกัน และมันก็จะล้มครืนลงไปทั้งหมด
คือจริงๆกว่า 80% ของการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนโลกนี้ที่เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศนั้นถูกไขว้ด้วย US Dollar กันเป็นหลัก
น้ำมันก็อ้างอิง US Dollar ตะวันออกกลางเองซึ่งเป็นผู้กำหนดชะตาพลังงานโลก ก็ยังต้องอาศัยใบบุญสหรัฐ เพราะในตะวันออกกลางก็ยังแทบจะตีกันตายห่ามาตลอดระยะ 40 ปีที่ผ่านมา
ทองคำในไทยเองก็เห็นกันชัดเจน ราคาที่กำหนดการซื้อขายแม้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดค้าทองคำที่สำคัญอันดับต้นของโลก แต่เราก็ยังต้อง Quote ราคาผ่าน Gold Spot ด้วย US Dollar เป็นไทยบาทอยู่ดี
คือนึกออกปะว่า ทุกอย่างถ้าในเมื่อมันต้องผ่าน US Dollar มันก็จะเป็นกลไกว่าดอลลาร์จะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่สุดอยู่ดี
ลองสมมติง่ายๆแค่ว่าถ้าเราซื้อทองคำ 1 ออนซ์ 2,000 ดอลลาร์ แต่อีกตลาดหนึ่งสมมติว่ายุโรป 1 ออนซ์ขายแค่ 1,500 ยูโร ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ยูโร/ดอลลาร์ 1.19 หรือเท่ากับทองควรจะมีราคาที่ 1,680 ยูโร
นั่นจะทำให้เกิดแรงเก็งกำไรด้วย Arbitrage ด้วยการซื้อทองด้วยยูโรและขายทองด้วยดอลลาร์ ท้ายที่สุดราคาทั้งสองตลาดนี้จะวิ่งเข้าหากันสู่จุดดุลยภาพ
ถ้าให้พูดแบบสรุปคือระยะสั้นยังไม่มีใครมีอำนาจเหนือดอลลาร์สหรัฐ แต่ในระยะยาวก็ไม่แน่ หยวนก็มีความเป็นไปได้ แต่ลักษณะการปกครองแบบคอมมิวนิสต์นั้นคือฝ่ายตรงข้ามกับทุนนิยม
การที่จะเปิดให้หยวนเป็นค่าเงินเสรี มีความโปร่งใส มีการจัดการที่ดี มันเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เป้าหมายคือการ "ควบคุม" ไม่ใช่การปล่อยให้เป็นกลไกเสรี
ซึ่งถ้าจีนค่อยๆปรับส่วนนี้ได้ เข้าสู่ทุนนิยมได้โดยลดบทบาทความเป็นคอมมิวนิสต์ลงไปพร้อมๆกัน ผมเชื่อว่าจะค่อยๆเป็นไปได้ "อย่างช้าๆ" เพราะเรื่องพวกนี้มันเปลี่ยนชั่วข้ามคืนไม่ได้
แม้กระทั่งอังกฤษที่ถูกลดบทบาทลงก็ยังใช้เวลาในการ Transition อยู่หลายทศวรรษ
ส่วนนโยบายการเงินของ Fed เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมองว่า Fed ยังคงให้สัญญาณเล่นเกมแรง โดยไม่ได้กำหนดเป้าหมายทางตรงด้วยเงินเฟ้อ
และ JP (ประธานธนาคารกลางสหรัฐ) ก็ยังให้ความเห็นว่าหากเงินเฟ้อสูงขึ้น Fed ก็จะปล่อยให้เศรษฐกิจ Hot Longer หรือก็คือปล่อยให้เศรษฐกิจ ร้อนแรงยาวนานขึ้นโดยที่จะยังไม่ไปควบคุมเรื่องการดึงสภาพคล่องกลับหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าดอกเบี้ยจะ 0% จากเดิมที่ 2022 จะพิจารณาเรื่องนี้ ตอนนี้อาจจะนานถึง 2023-2024 และพยายามที่จะดันเงินเฟ้อให้ไกลกว่าเป้าหมายเดิมในระยะเวลานานขึ้น
สิ่งนี้จะกระทบอย่างไรบ้าง?
ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นจะเข้าสู่ยุค "A normal that we never used to" ขอให้ฉีกคำว่า New Normal ทิ้งไปซะ เพราะตำราใหม่นี้ ด้วยสภาพคล่องมหาศาล + อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อไปอีกหลายปี
ตลาดหุ้นที่เราเคยมองว่า P/E TTM เหมาะสมที่ 12-20 เท่า คงไม่ใช่อีกต่อไป และเราควรเลิกดู P/E TTM เนื่องจาก Q2 ที่ผ่านมามันสร้าง "หลุม" ของ Earnings ลงไป ซึ่งนั่นไม่ว่าจะมองยังไงตอนนี้ P/E TTM ทะลุไปไกลแน่นอน
ตัวที่ต้องไปดูแทนคือ Estimate P/E และหุ้นราคาถูก Est. P/E ที่ 20 เท่าก็อาจเป็นไปได้ว่านี่ก็ถือว่าราคาถูกแล้ว และ P/E ที่สูงจากคนที่เป็น Winner หลังวิกฤตก็จะยิ่งแพง เพราะคู่แข่งที่อยู่ไม่ได้นั้นตายลงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า
"Premium Price to Pay" หรือก็คือผู้ชนะในเกมธุรกิจนี้จะยิ่งดีและยืนยงคงกระพันต่อไปเพราะคู่แข่งที่ตายลงทำให้บริษัทที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก
ราคาหุ้นของ "The Best" จึงมีมูลค่าที่นักลงทุนต้องจ่ายแพงขึ้นโดยเฉพาะในยุคที่เงิน 1 ล้านบาทฝากแบงค์ได้ดอกแค่ "ไม่กี่พันบาท" ต่อปี
ส่วนทองคำผมมองว่ามีแนวโน้มที่ดี การที่ Fed ให้ความเห็นว่าจะปล่อยให้เศรษฐกิจร้อนแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น นั่นแปลว่า Fed จะปล่อยให้เงินเฟ้อเดินหน้าไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม
นั่นคือสิ่งที่มองได้ว่าทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักนอกจากเป็นตัวสร้างความปลอดภัย แต่ถึงยังไงก็หนีไม่พ้นว่านี้คือโลหะชนิดหนึ่งที่เก็บแบบเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะค่อยๆกลับมา ในสหรัฐเห็นชัดจากยอดซื้อขายบ้านดีมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้บ้านสหรัฐตอนนี้ต่ำเวอร์แบบสุดๆ
แต่ไม่ว่าจะตลาดหุ้นหรือทองคำหรืออสังหา ส่วนตัวผมเชื่อว่าการวิ่งต่อไปเรื่อยๆ น่าจะเริ่มไปแบบไร้เหตุผลขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งใดก็ตามที่มันวิ่งไกลจากพื้นฐานของมันไปมากๆ และเริ่มวิ่งแบบ Exponential เกิน 50 ดีกรี โดยเริ่มไม่มีคำอธิบายนอกจาก "ความโลภ" ของคนนับร้อยนับพันล้านในตลาด ที่กำลัง Enjoy Party
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "ฟองสบู่"
ส่วนมันจะไปจบที่ตรงไหนนี่ผมไม่รู้ ตอบไม่ได้ แล้วมันก็จะกลับไปสู่ประโยคเดิมที่พูดมาประมาณพันล้านครั้ง "ซื้อมันได้ ก็ต้องขายมันเป็น"
คหสต, ยสตน

Friday, July 03, 2020

เสวียนจ้าง : มหาสมณะแห่งต้าถัง

เสวียนจ้าง : มหาสมณะแห่งต้าถัง
from  คุยสามก๊ก ถกไซ่ฮั่น

https://www.facebook.com/3KingdomsXihan/posts/989298494850684?__xts__[0]=68.ARCT6NCEPMzpLeCoH0tRWvjXq8HaK-OsC5ALSpC-W_uStiOQaDNZhE_KLFxicutKAAeLdTuAEKj4e-HxJ8v750BXWG8NXOOZjFp22fMZI7A38FQsCPgTCO-IaVPiKOtPmXyEzLo9SKUUW59S9bS8ewsztBJG3jQGCNu8wmWhCRLJWemJrLUSt51X5wOXtyRaffy60YoBmOK-7hk5vDCinUWg7IZKUFzE-rjPfS0zZzBLqnN1aRNdQCSG3hD07XZAhqKsnmstj7hdL7blvyspVXKxFC2QfR7fUNE1ErztPLLVASORIQOb1sIC7J8HExGxaXslaTxSqMvEWuD7gvcQLY0&__tn__=K-R

เสวียนจ้าง : มหาสมณะแห่งต้าถัง
.
พระเสวียนจ้าง หรือ ที่ชาวไทยคุ้นชื่อในสำเนียงว่าก พระถังซำจั๋ง เป็นพระเถราจารย์คนสำคัญของจักรวรรดิถัง ในสมัยของถังไท่จง และสืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยถังเกาจง การเดินทางผจญภัยสู่ชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกสู่แผ่นดินถัง เป็นหมุดหมายสำคัญที่สร้างความรุ่งเรืองให้แก่พุทธศาสนาในแผ่นดินจีนและเอเชียตะวันออกตราบจนปัจจุบันนี้ แม้ว่าเมื่อตัดเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ที่เราคุ้นชินกันจากเรื่องไซอิ๋วออกไปแล้วก็ตาม เรื่องราวความมุ่งมั่นของพระเสวียนจ้างก็ยังคงตระการตาลึกล้ำอยู่ไม่น้อยกว่าเรื่องราวปาฏิหารย์ในเทพนิยายไซอิ๋วเลย
.
● เล่าเรียนทั่วแผ่นดิน ไม่อาจสิ้นสงสัย
.
พระเสวียนจ้าง นามเดิม เฉินฮุ้ย (Chen Hui/ 陳褘) หรือ เฉินอี (Chen Yi/ 陳禕) ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวปัญญาชน รับราชการและเป็นอาจารย์ในสถานศึกษาของรัฐมาหลายชั่วอายุคน เฉินฮุ่ย (Chen Hui/ 陈惠) บิดาของเขานั้นเป็นบัณฑิตที่สมาทานลัทธิขงจื๊ออย่างเข้มข้น ต่อมาจึงหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ส่วนพี่ชายคนที่สองของเฉินฮุ้ยก็ออกบวชที่วัดจิ้งถูในเมืองลั่วหยาง ในวัยเด็กเขามักไปวิ่งเล่นวัดจิ้งถูอยู่เสมอ เมื่อวัย 13 ปี จึงได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา ได้สมณนามว่า “เสวียนจ้าง” มีความหมายว่าเป็นผู้ลึกซึ้งในคัมภีร์ พระเสวียนจ้าง เป็นคนฉลาดหลักแหลม ประกอบการปลูกฝังในครอบครัวนักคิดมาแต่เยาว์วัย จึงมักศึกษาพระธรรมจนลืมกินลืมนอนอยู่เสมอ จนเมื่ออายุได้ 15 ปี ก็สามารถท่องพระคัมภีร์ “เนี่ยตั้งจิง” ได้อย่างแตกฉาน
.
ช่วงปลายราชวงศ์สุยต้นราชวงศ์ถัง พระเสวียนจ้างและพี่ชายเดินทางไปศึกษาธรรมกับพระเถระหลายรูปแถบเสฉวน โดยพำนักอยู่ที่วัดคงฮุ่ย เพื่อศึกษาให้แตกฉานยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยิ่งเรียนก็ยิ่งอยากรู้เพิ่มเติม พระเสวียนจ้างบอกลาพระพี่ชาย เดินทางสู่ดินแดนเจียงตง ใช้เวลาพำนักอยู่ที่วัดเทียนหวงเมืองจิงโจวครึ่งปี จากนั้นเดินทางขึ้นเหนือไปยังเหอหนาน เหอเป่ย ซานตง ยิ่งศึกษาเท่าไหร่ก็ยิ่งพบว่าการศึกษาพระธรรมคัมภีร์ในแผ่นดินถัง ยิ่งมีข้อจำกัด ทั้งเรื่องเนื้อหาที่ไม่เคลียร์ และผู้รู้ที่ยังไม่แตกฉานในธรรมได้หมดจดอย่างที่พระเสวียนจ้างกระหายใครรู้ ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเดินทางออกจากแผ่นดินต้าถังสู่ชมพูทวีป เพื่อศึกษาพระธรรมจากต้นกำเนิดที่แท้จริง
.
● ท่องแดนตะวันตก สู่ชมพูทวีป
.
พระเสวียนจ้างได้เดินทางไปศึกษาภาษาจากชาวต่างประเทศในนครฉางอาน และตระเตรียมความพร้อมเรื่องปัจจัยก่อนที่จะออกเดินทางไกล ในเวลานั้นจักรวรรดิถังมีปัญหากับเผ่าทูเจวี๋ยทางชายแดนตะวันตก การจะเดินทางออกจากต้าถังไปยังตะวันตกจึงเป็นเรื่องเข้มงวด พระเสวียนจ้างไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ท้ายที่สุดจึงลักลอบออกเดินทางไปกับคณะพ่อค้า ในเดือน 8 ค.ศ. 627
.
พระเสวียนจ้างออกเดินทางด้วยความยากลำบาก ระหว่างทางม้าที่ขี่มาก็ตายลง พระที่เดินทางมาด้วยกันก็ท้อใจเดินทางกลับเสีย เมื่อถึงด่านอวี้เหมินกวนสุดเขตแดนทางตะวันตกของแผ่นดินต้าถัง ด้วยความช่วยเหลือของหลี่ชางเจ้าเมืองกวาโจว ที่ยอมฉีกหมายจับ ปล่อยตัวพระเสวียนจ้างไป ทำให้ท่านได้ออกจากด่านอวี้เหมินกวนโดยสวัสดิภาพ
.
พระเสวียนจ้างได้รับม้าจากชายชรา และได้ชายชาวซีอวี้ผู้หนึ่งชื่อสวีจื้อถงนำทาง (คาดกันว่าสวีจื้อถงเป็นแรงบันดาลใจให้อู๋เฉิงเอินเขียนตัวละคร ซุนหงอคง ขึ้นมา) แต่กระนั้นสวีจื้อถงก็หลบหายไประหว่างทาง พระเสวียนจ้างต้องเดินทางต่อเพียงลำพัง ผ่านแว่นแคว้นและอุปสวรรคมากมาย เช่น ม้าที่ใช้ขี่มาระหว่างทางเกิดตายลง ต้องเดินเท้าผ่านทะเลทราย ประสบภาวะขาดน้ำจนเกือบมรณภาพ ถูกโจมตีจากทหารที่เฝ้าป้อม ถูกกษัตริย์แห่งแคว้นเกาชางกักตัวไว้เพราะต้องการให้พระเสวียนจ้างอยู่สั่งสอนธรรมที่แคว้นของตนเองตลอดไป และอื่น ๆ อีกมากมาย
.
● ศึกษาธรรม ณ นาลันทา
.
พระเสวียนจ้างเดินทางสู่ชมพูทวีปอย่างยากลำบาก จนในที่สุดก็บรรลุถึงชมพูทวีปในฤดูร้อน ปี ค.ศ. 628 นอกจากสภาพแวดล้อมที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเขาแล้ว การได้มาศึกษาที่วัดนาลันทา ที่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของโลก ณ เวลานั้น สามารถบำบัดความกระหายใคร่รู้ของเขาได้เป็นอย่างดี
.
ในวันแรกที่พระเสวียนจ้างเดินทางไปถึงนาลันทา พระสงฆ์นับพันรูป ต่างเดินทางมารอต้อนรับเขา เนื่องจากทราบข่าวว่ามีภิกษุชาวถังที่เดินทางดั้นด้นจากดินแดนอันไกลโพ้น เพื่อมาศึกษาพระธรรมจากดินแดนต้นกำเนิด เสวียนจ้างคำนับพระศีลภัทร พระเถราจารย์ผู้มีอายุ 100 กว่าปีเป็นพระอาจารย์ พระศีลภัทรซึ่งชราภาพและไม่ออกสั่งสอนศิษย์นานแล้วรับพระเสวียนจ้างเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ
.
พระศีลภัทรใช้เวลา 15 เดือน ถ่ายทอดโยคะสูตรซึ่งเป็นพระสูตรที่เข้าใจยากที่สุดต่อพระเสวียนจ้าง นอกจากพระศีลภัทรแล้ว พระเสวียนจ้างใช้เวลาศึกษากับพระอาจารย์และภิกษุผู้รู้ท่านอื่น ๆ อยู่ในนาลันทาเป็นเวลา 5 ปี จากนั้นจึงเดินทางสู่ทางตอนใต้ของอินเดียเพื่อศึกษาพระธรรมเพิ่มเติม
.
● จาริกทั่วชมพูทวีป เป็นพระอาจารย์ที่นาลันทา
.
ภายหลังจากการศึกษาจากนาลันทา พระเสวียนจ้างออกจาริกทั่วแผ่นดินชมพูทวีปอีกเป็นเวลา 6 ปี ผ่านแว้นแคว้นใหญ่น้อยนับร้อยแคว้น ไปคำนับยังสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา จึงวนกลับมาที่นาลันทาอีกครั้ง พระอาจารย์ศีลภัทรมอบหมายให้พระเสวียนจ้างสอนคัมภีร์มหายานสัมปริครหศาสตร์แก่พระรูปอื่น ๆ
.
ในครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง มาเขียนทฤษฎี 10 ประการแปะไว้ที่ประตูนาลันทา ท้าทายบรรดาภิกษุทั้งหลายที่ศึกษาในนาลันทาว่าหากใครล้มทฤษฎีเหล่านี้ได้ เขาจะยอมตัดศีรษะตัวเอง ทว่าก็ไม่มีใครสามารถโต้งแย้งทฤษฎีของพราหมณ์คนนี้ลงได้ พระเสวียนจ้างอาสาโต้แย้งทฤษฎีดังกล่าวของพราหมณ์ โดยมีพระอาจารย์ศีลภัทรเป็นพยานในการโต้กถาธรรมในครั้งนี้ ท้ายที่สุดพราหมณ์เป็นพ่ายยอมแพ้ พระเสวียนจ้างไม่ลงโทษเอาชีวิตพราหมณ์ตามที่เขาประกาศไว้ พราหมณ์จึงติดตามรับใช้ท่าน
.
คำสอนของพระเสวียนจ้างเป็นที่เลื่องลือในยุคนั้น กษัตริย์หรรษาวรรธนะและกษัตริย์กุมารราชาทรงเลื่อมใสมาก ทั้งสองพระองค์ทรงร่วมกันจัดงานชุมนุมพระพุทศาสนาครั้งใหญ่ขึ้นที่เมืองกันยากุพชะ ในปี ค.ศ. 642 กษัตริย์ 18 แคว้นมาร่วมงาน รวมทั้งมีพระสงฆ์ชั้นสูงกว่า 3,000 รูป พระสงฆ์ที่ศึกษาอยู่ที่นาลันทากว่า 3,000 รูป และนักบวชในศาสนาอื่นอีกกว่า 2,000 คน เป็นการรวมตัวบุคคลสำคัญด้านวัฒนธรรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อินเดีย
.
พระเสวียนจ้างได้รับเชิญให้แสดงธรรมซึ่งส่วนมากเป็นคำสอนทางมหายาน และได้เขียนคัมภีร์มหายานสมปริตรศาสตร์ติดไว้ที่นอกงาน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้ามาถกเถียงได้ แต่ตลอดระยะเวลา 18 วัน ของการจัดงาน ไม่ปรากฏว่ามีใครโต้แย้งข้อเขียนของพระเสวียนจ้างเลย ถือได้ว่าในงานนี้พระเสวียนจ้างนำเสนอทั้งแบบปากเปล่าและแบบโปสเตอร์อย่างครบถ้วน กษัตริย์หลายแคว้นและผู้เข้าร่วมงานหลายคนศรัทธาในตัวเขามาก มอบรางวัลจำนวนมากให้แก่เขา แต่พระเสวียนจ้างก็แจกจ่ายทรัพย์เหล่านั้นให้แก่ผู้ยากจนทั้งหมด ทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วทั้งชมพูทวีป
.
● คืนสู่จักรวรรดิถัง มุ่งมั่นแปลพระไตรปิฎก
.
แม้จะอุดมไปด้วยชื่อเสียงในชมพูทวีป และมีข้อเสนอจากกษัตริย์อินเดียหลายแคว้นที่ต้องการให้พระเสวียนจ้างไปถ่ายทอดธรรมแก่ราษฎรของตน บางแคว้นจึงกับเสนอจะสร้างวัดให้ถึง 10 แห่ง แต่ในใจของพระเสวียนจ้างยังคงคิดถึงแผ่นดินถังบ้านเกิดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกษัตริย์หรรษาวรรธนะพยายามรั้งตัวเขาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเมื่อไม่อาจรั้งต่อไปได้แล้ว กษัตริย์หรรษาวรรธนะจึงจัดขบวนคาราวานส่งพระเสวียนจ้าง บรรดาคนที่มาส่งพระเสวียนจ้างต่างหลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยรัก
.
ต้นปี ค.ศ. 645 พระเสวียนจ้างนำพระไตรปิฎกกว่า 650 เล่ม กลับสู่ดินแดนถัง เมื่อขาไป เขาออกไปอย่างคนผิดกฎหมาย แต่เมื่อกลับมาเขาได้รับการต้อนรับอย่งเอิกเกริกจากจักรพรรดิถังไท่จงและประชาชนชาวถัง พระเสวียนจ้างเล่าเรื่องการเดินทางและการศึกษาของเขาให้ถังไท่จงฟัง ถังไท่จงชักชวนให้เขาสึกมาช่วยราชการ แต่เขาปฏิเสธ
.
พระเสวียนจ้างทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีน ถังไท่จงได้จัดวัดต้าฉือเอิน (วัดมหาการุณยาราม) ให้เป็นที่สำหรับทำงานแปลของพระเสวียนจ้าง จนล่วงมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิถังเกาจง ก็ได้สร้างเจดีย์ห่านป่าใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บรักษาพระไตรปิฎกไว้ที่วัดแห่งนี้ ภายหลังการทุ่มเทให้กับงานแปลและเผยแพร่ศาสนามายาวนา พระเสวียนจ้างก็มรณภาพลงใน เดือน 2 ปี ค.ศ. 664
.
พระเสวียนจ้างได้บันทึกการเดินทางไปทางตะวันตกและการจาจิกไปทั่วชมพูทวีป เป็นหนังสือในชื่อว่า “ต้าถังซีอวี้จี้” หรือ “บันทึกเรื่องอัสดงคตประเทศแห่งมหาราชวงศ์ถัง” ให้ข้อมูลแว่นแคว้นที่พระเสวียนจ้างได้จาริกไปรวม 111 แคว้น และที่ได้ยินมาอีก 28 แคว้น ส่วนเรื่องราวประวัติของพระเสวียนจ้างได้รับการท่ายทอดจากภิกษุฮุ่ยลี่ ศิษย์เอกคนหนึ่งของท่านต่อมา ในหนังสือชื่อ “ต้าถังต้าฉือเอินซื่อซันจั้งฝ่าซือจ้วน” หรือ “ประวัติพระเสวียนจ้างแห่งมหาการุณยารามในมหาราชวงศ์ถัง” หนังสือทั้งสองเป็นต้นเค้าให้นักประพันธ์ยุคราชวงศ์หมิง นาม อู่เฉิงเอิน นำมาต่อเติมเสริมแต่ง เพิ่มอิทธิปาฏิหารย์ สอดแทรกคติธรรม จนกลายเป็นเรื่อง “ซีโหยวจี้” (ท่องแดนตะวันตก) ที่เรารู้จักกันในชื่อเรื่อง “ไซอิ๋ว” 1 ใน 4 วรรณกรรมเอกของจีน ที่เลื่องลืออยู่ตราบจนทุกวันนี้
.
เรียบเรียงจาก
เกร็ดประวัติศาสตร์จีน 5,000 ปี, ไอรีน แป
https://www.matichonweekly.com/column/article_267897

Friday, February 14, 2020

ถ้าไม่ถึงฝั่ง ก็ยังอยู่ในมหาสมุทรแห่งสงสาร

from https://www.facebook.com/kornkitd/posts/10156834392541954

ชั่วขณะหนึ่งเหมือนความฝัน

ในคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์กล่าวว่า แม้คนๆ หนึ่งได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ มีความกรุณาอันยิ่งใหญ่ คิดจะเกิดแล้วเกิดอีกเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็ได้อย่าได้ประมาทไป ท่านเตือนว่า "เป็นเรื่องไม่ฉลาด" ที่หวังจะทำแบบนั้น
เพราะหากยังไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ชั้น "อนุปัตติกธรรมกษานติ" (無生法忍) คือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่อการเกิดแล้ว เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งจะต้องตกเป็นทาสของรูปและเสียง ทาสของลาภยศสวรรเสริญเอาง่ายๆ
กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ทำกุศลช่วยเหลือสรรพสัตว์ แม้แต่ตัวเองยังช่วยให้พ้นอบายไม่ได้
ต่อให้เกิดมาแล้วพบครูบาอาจารย์ช่วยชี้นำ แต่หลงในโลกียะ หลงในอำนาจ อิทธิพล ก็จะก่อกรรมชั่วตกสู่อบายไปอีกหลายโกฏิภพชาติ
ดังนั้นหากยังอินทรีย์ยังไม่แก้กล้าต่อกิเลส ต่อให้เป็นนักบุญในชาติภพนี้ ก็อาจหลงแสงสีกลายเป็นมารได้ในชาติภพหน้า
ท่านฮะคุอิน อาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า
ท่านหยุนเหมิน อาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่ ชาติก่อนเคยได้สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์บนเขาคิชฌกูฏ ด้วยกุศลนั้นทำให้เกิดเป็นราชาถึง 3 ชาติ แต่กลับลืมอภิญญาที่ฝึกฝนได้มาครั้งพุทธกาลไปหมดสิ้น
พระเถระอู๋จู่ เป็นผู้ปราดเปรื่องในธรรมมีสมณศักดิ์สูงส่ง แต่ตายแล้วไม่ได้ไปไหน กลับมาเกิดใหม่เป็นซูตงพอ กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง
พระวินยาจารย์ต้าวเซวียน แห่งหนานเยว่ แม้มีเชี่ยวชาญในพระธรรมคนเคารพนับถือมากมายในประเทศจีน เมื่อตายแล้วมิได้บรรลุธรรมแต่กลับมาเกิดใหม่เป็นโชกุนชาวญี่ปุ่น คือ มินาโมโตะ ซาเนโตโมะ วนเวียนกับเรื่องทางโลกจนสิ้นชีวิตไป
พระเถระไรโชโบ ผู้ธุดงค์ไปทั่วญี่ปุ่นในยุคโบราณ เป็นผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรม ตายแล้วไม่พ้นสังสารวัฏ กลับมาเกิดเป็นโชกุนมินาโมโตะ โยริโตโมะ สิ้นโอกาสที่จะบำเพ็ญบารมีไป
และในสมัยโบราณมีพระรูปหนึ่งแห่งเทือกเขาฮิเออันศักดิ์สิทธิ์ ตายแล้วมาเกิดใหม่เป็นไทระ คิโยโมริ ผู้เรืองอำนาจในยุคเฮอัน
เมื่อเกิดเป็นคิโยโมริ มิได้เหลือเค้าสันดานพระแต่ชาติก่อน สิ้นมหากรุณาไปหมด ทั้งยังกำราบศัตรูอย่างเหี้ยมโหด สั่งให้เผาวัดโทไดจิ ทำลายหลวงพ่อโตจนพินาศ วิหารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหลือแต่เถ้าถ่าน พระศอและพระกรของหลวงพ่อโตหลอมเพราะไฟจนถล่มลงมา น่าเวทนายิ่ง
เพราะกรรมเผาหลวงพ่อโตโทไดจิ ก่อนจะตายคิโยโมริต้องทุรนทุรายเพราะไอร้อนจากไข้นานหลายสิบวัน ร้อนขนาดคนเข้าไปใกล้ๆ ไม่ได้ เมื่อหย่อนลงน้ำไป น้ำยังเดือดจนกลายเป็นไอจนหมดสิ้น
ร้อนปานนรกขนาดนันแต่คิโยโมริไม่ตาย
คืนหนึ่งคุณหญิงของคิโยโมริฝันไปว่า มีรถม้าที่ไฟลุกโชนเข้ามาในประตูคฤหาสน์ของนางโดยไม่มีคนขับและด้านหน้ากับด้านหลังมีอสุรกายสองตนยืนอยู่มีศีรษะเป็นวัวอีกตนหนึ่งศีรษะเป็นม้า ที่ด้านหน้ารถม้าปรากฏป้ายเหล็กจารึกด้วยอักขระตัวเดียวว่า "มู" (無) แปลว่า "ไม่มี"
ยมทูตกล่าวว่า "เพราะกรรมอันชั่วร้ายของอัครมหาเสนาบดีพรตสกุลเฮเกะนั้นใหญ่หลวงนัก รถม้านี้จึงมารับเขาไปยังพระราชวังแห่งพญายมราชผู้น่าสะพรึง"
นางถามต่อว่า "แล้วแผ่นป้ายนั้นมีความหมายว่าอะไร?"
ยมทูต ตอบว่า "เนื่องจากความผิดมหันต์จากการเผาพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อันมหึมาแห่งองค์ไวโรจนะสูงหนึ่งร้อยหกสิบศอก พญายมราชจึงมีโองการว่าจะส่งเขาไปลงนรกขุมอเวจีที่ร้อนที่สุดจักต้องตายแล้วเกิดใหม่ที่นั่นไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นจึงเขียนอักขระ "ไม่มี" เอาไว้ก่อน แล้วจึงตามด้วยอัขระคำว่า "หยุด" ในภายหลัง
ในบันทึก "เฮเกะโมโนกาตาริกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "เขาตายอย่างเจ็บปวดในที่สุด"
ผมจำไม่ได้ว่าอ่านพบที่ไหน คิโยโมรินั้นอาจบำเพ็ญวิถีโพธิสัตว์จึงเกิดเป็นภิกษุบำเพ็ญธรรม แต่เพราะยังไม่ถึงที่สุดของความเป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันแห่งกิเลส บุญจึงนำพามาเกิดมาเป็นผู้มีบารมี
เมื่อเป็นใหญ่ในชาติภพนี้ลืมความดีที่ได้ทำ เสวยบุญเก่าพร้อมกับทำบาปกรรมจนบุญเหือดแห้งไป ในที่สุดก็ต้องไปอยู่ในนรก "ไม่มีหยุด"
ท่านฮะคุอิน อาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่สอนว่า มหากรุณาเปรียบดังน้ำมันหล่อเลี้ยงโพธิจิตไม่ให้ดับ ตราบใดที่ยังมีน้ำมันนี้ ต่อให้อยู่ท่ามกลางคนชั่วนับหมื่น ประทีปก็ไม่มีวันดับ แต่หากสิ้นซึ่งน้ำมันแล้ว ต่อให้ไม่มีลมมันก็ดับ
เมื่อดับแล้วก็จะพาให้จิตที่เคยมุ่งมันในกุศล หลงไหลในแสงสี มัวเมาในอำนาจ ก่อกรรมทำเข็ญ หลงในสังสารวัฏชั้นต่ำไปอีกนาน
ใดๆ ในโลกนี้ไม่เที่ยง ดังวรรทองจากบันทึกเฮเกะโมโนกาตาริ กล่าวว่า
"เสียงระฆังของวัดเชตวันวิหาร (กิองโชจา) สะท้อนถึงความไม่จีรังของสรรพสิ่ง เลื่อมสีสันของดอกสาละประกาศว่าผู้ใดที่เบ่งบานได้ก็มีวันที่จะโรยราได้ ผู้มีความภาคภูมิก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเหมือนความฝันยามสายัณฑ์ของวสัตฤดู ผู้เรืองอำนาจถูกทำลายในท้ายที่สุด กลายเป็นธุลีเบื้องหน้าสายลม"

Monday, January 27, 2020

ทำไม ค้างคาวจึงเป็นแหล่งสะสมโรคต่างๆ ได้

ทำไม ค้างคาวจึงเป็นแหล่งสะสมโรคต่างๆ ได้

ที่มาจาก
https://www.facebook.com/selfcircled/posts/10100159891130623



มีคนเสนอว่า

"จากลักษณะทางนิเวศวิทยา และวิวัฒนาการ นะครับ

ค้างคาวนี่ แบบ เป็นสัตว์ที่เป็นเป้าหมายของโรคมาก
ประการแรก เป็น mammal ที่มีอายุยืน มีช่วงการสืบพันธุ์ที่ยืนยาวมากขึ้นอีกต่างหาก (trade off ของการเลี้ยงลูกได้น้อย )ดังนั้นไวรัสสามารถถ่ายทอดผ่านค้างคาวข้า
มรุ่นได้ และสามารถอาศัยได้อย่างยาวนาน
ประการทีสอง ค้างคาวเป็นสัตว์สังคม อยู่กันเป็นโคโลนี ขนาดใหญ่ และยิ่งในถ้ำใหญ่ๆ อาจมีค้างคาวหลายชนิด ซึ่งเชื้อโรคcross infection และเกิดการ recombination ได้ดี
และ เป็น mammal ที่บินได้มีโอกาส พาเชื้อโรคกระจายไปได้ไกล

ดังนั้น ค้างคาวจึงต้องวิวัฒนาการตัวเองในการต่อต้านเชื้อโรคขึ้นมาบ้าง ไม่งั้นก็จบเห่ ซึ่งในบางกรณีไม่ทำลายเชื้อ อาจทำให้แค่เชื้อหยุดเจริญและเก็บกักไว้
เช่นมีการศึกษาการวิวัฒนาการเกี่ยวกับการบิน กับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน โดยการบินเป็นวิธีการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้metabolism สูง ดังนั้นเมื่อค้างคาวบิน ทำให้ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเป็นการยับยั้งเชื้อไปในตัว(วิธีการเดียวกับการเกิดไข้ในมนุษย์) ซึ่งกลไกลนี้ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้นด้วย แต่ก็มีเชื้อโรคบางตัวพัฒนาต่อสู้ขึ้นมา(บางเชื้ออาจต้องการสิงอยู่ในร่างเฉยๆก็ adapt ตัวเองให้อยู่แค่บางเนื้อเยื่อ หลบๆซ่อนๆ รอวันประกาศศึก หรือหนีไป โฮสต์อืน) ก็ต้องวัดกันไปเรื่อยๆ
หรืออีกกรณี มีการวิวัฒนาการ การทำงานของ protein บางอย่างขึ้นมาเพื่อหยุดการแบ่งตัวของไวรัส

สรุปค้างคาว ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย คือดึงดูดโรค สัตว์อื่นโดน infect ก็ซวยไป แต่มีวิธีการต่อสู้กับโรคที่ดี จึงน่านำมาศึกษาต่อยอด"

ขณะที่อีกคนเสนอว่า เพราะความเครียดที่เกิดจากการบิน ทำให้ได้สารต่างๆที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน จนทนต่อ การติดไวรัสได้ ซึ่งก็มีผลกลับกัน ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกันไม่วิวัฒนาการเท่าไหร่ คือ จะไม่ฆ่าเชื้อจนเชื้อหาย

"
we think largely it's due to flight. Flight stresses the body and makes a lot of metabolic byproducts. These byproducts essentially give the body the same signals as vitals to trigger the immune system. To deal with the constant stress of flight bats have turned down their response to these signals.. which makes them tolerant of viral infections. The viruses don't seem to hurt the bats too much but it means they can carry more viruses compared to other mammals. Other mammals also carry lots of viruses as we start to explore so it s not just bata that can carry viruses. Bats just seem to carry more viruses so I guess the chance of exposure is higher."
"อาจจะกลับกันด้วยซ้ำครับ ภูมิคุ้มกันค้างคาวหลายชนิดมีความ primitive มาก ๆ จนแทบจะไม่ทำงานต่อต้านเชื้อเลย เชื้อบางกลุ่มจึงอาศัยค้างคาวเป็นที่พึ่งพิงมาแต่โบราณกาล และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการน้อยมาก
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6410205/"

"มาคิดอีกทีก็น่าคิดเรื่องค้างคาวมีโรคเยอะ ทำให้สัตว์อื่นไม่อยากล่า ก็เป็นการ protect เผ่าพันธุ์ได้ดีเหมือนกันนะครับ เอาข้อเสียมาเป็นข้อดี"

ก็น่าสนใจดี