Friday, October 11, 2013

same same but different วลีไทยไปไกลระดับโลก

ในโลกสมัยใหม่ ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาสากลที่คนยอมรับใช้กันทั่วโลก เนื่องด้วย หนึ่งคือการเป็นมหาอำนาจต่อเนื่องยาวนานของประเทศที่ใ้ช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ อย่าง อังกฤษเมื่อร้อยปีที่แล้ว มาจนถึง สหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน และสองคือ ความค่อนข้างง่ายของภาษาที่จะใำห้คนสื่อสารเข้าใจกันได้ในเรื่องที่ไม่ซับซ้อนมาก

การที่ภาษาอังกฤษได้ถูกนำไปใช้มาก โดยเฉพาะในประเทศที่่มีรากภาษา รากวัฒนธรรมอย่างอื่นทำให้การใช้ภาษาอังกฤษเปลี่ยนไปตามประเทศที่ใช้ เช่น ภาษาซิงกลิช ของสิงคโปร์ ที่เป็นภาษาอังกฤษผสมกับภาษาจีนกลาง เวลาคนพูดก็จะมีสำเนียง และ ศัพท์แสลงติดมาเช่น le ลงท้ายคำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อไปดูในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเอง ก็มีสำเนียง ศัพท์ต่างกันไปตามถิ่นฐานเลย เช่น อังกฤษลอนดอน ก็ใช้ภาษาต่างกับ อังกฤษสก๊อตเเลนด์ ต่างกับ อังกฤษเท็กซัส อังกฤษแคนาดา เป็นต้น (ตัวอย่าง ความแตกต่างของสำเนียง http://www.youtube.com/watch?v=dABo_DCIdpM) ความแตกต่างแบบนี้นักวิชาการเรียกว่า Language interferece ดูเพิ่มได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Language_transfer

และแน่นอน ในประเทศไทย ก็มีการใช้ภาษาอังกฤษตามใจชอบของคนท้องถิ่นที่พูดภาษาไทย ที่มีโครงสร้างภาษาต่างจากอังกฤษมาก เช่น ไม่มี tense และชอบซ้ำคำ ภาษาอังกฤษที่ใช้ในประเทศไทยจึงแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์จากที่อื่น จนคนเขาเรียกว่าเป็นภาษา tinglish แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถนำมาใช้ในทางการได้ เป็นแค่เพียงภาษาพูดเท่านั้น ดูเพิ่มได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Tinglish

แต่เมื่อวัฒนธรรมมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ชาวตะวันตกที่เป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์ของภาษา เริ่มเข้าใจและยอมรับภาษาถิ่นแบบนี้มากขึ้น หลักไมล์ที่สำคัญของเรืืองนี้สำหรับภาษา tinglish คือ การตั้งชื่อภาพยนตร์เยอรมันที่พูดภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่งว่า same same but different http://www.imdb.com/title/tt1368443/ แม้ว่าในเรื่องจะเป็นเรื่องที่เกิดในกัมพูชา แต่นักแสดงนำเป็นชาวไทยและใช้ทีมงานไทยส่วนหนึ่ง

สำำหรับคนไทยวลีนี้เป็นวลีที่คุ้นหูและติดปากของทุกคน แต่ถ้าถามฝรั่งอังกฤษ คงจะงงกันใหญ่  ที่คนไทยพูดแบบนี้เพราะ คนไทยชอบพูดซ้ำๆ และเหมือนจะเป็นวลีที่ใช้ขายของแก่ฝรั่งนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า มันเหมือนๆกันนั่นแหละ แต่ก็ต่างกันนิดนึง วิธีคิดแบบนี้ คนไทยใช้บ่อย ฝรั่งก็คงเห็นดีด้วยเลยนำมาใช้เลย และล่าสุดที่น่าตกใจคือ แม้แต่วารสารวิชาการที่เคร่งครัดอย่าง molecular cell ของสำนักพิมพ์ cell ยังนำมาใช้ในการตั้งชื่อบทความปริทัศน์สำหรับการอธิบาย โครงสร้างคริสตัลของ โปรตีน-อาร์เอ็นเอ CRISPR-Cas complex ว่า ระหว่างการวิวัฒนาการ โครงสร้างของ complex นี้ เหมือนกันตลอดแทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความแตกต่างของรหัสของ โปรตีนและ ดีเอ็นเอ เพียงเล็กน้อยก็ทำให้หน้าที่และรูปร่างของมันต่างกันมาก http://www.cell.com/molecular-cell/abstract/S1097-2765(13)00715-6?utm_source=ECE001&utm_campaign=&utm_content=&utm_medium=email&bid=EW9GE5F:I2SVF1F

เมื่อไปดูชื่อผู้เขียนบทความวิชาการนี้ ผู้เขียนบทความนี้เป็นคนเยอรมัน จึงสันนิษฐานได้ว่า ผู้เขียนคงจะได้ดูภาพยนตร์เรื่อง same same but different ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศเยอรมนี หรือ อาจจะเคยได้มาเที่ยวเมืองไทยบ้างแล้วเจอกับวลีนี้ จึงทำให้ประทับใจจนนำมาตั้งชื่อบทความวิชาการแบบนี้ นี่ก็น่าจะเป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นการยอมรับวัฒนธรรมที่ด้อยกว่าเข้ามาสู่ความเป็นทางการ แม้จะเป็นเพื่อลดบรรยากาศขึงขังตึงเครียดในวงวิชาการก็ยังดี


ปล 1 same same แปลเป็นอังกฤษว่า similar, as usual และ same same but different แปลว่า seems similar but different in some ways
ปล 2 บล๊อกนี้เีขียนเพื่อให้เห็นการสื่อสารแลกเปลี่ยนระหว่างวัฒนธรรมจนเกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมา การแช่แข็งวัฒนธรรมอย่างที่รัฐไทยจะออกกฏหมายออกมาจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
ปล 3 ผู้เขียนไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ เป็นเพียงแค่ผู้สนใจที่มีข้อสังเกตต่อภาษาเท่านั้น หากมีความผิดพลาดประการใดได้โปรดชี้แจง จะเป็นพระคุณอย่างมาก
ปล 4 CRISPR-Cas complex เป็นระบบภูมิคุ้มกันตัวเองของสิ่งมีชีวิตพวก โปรคาริโอต (ไม่มีนิวเคลียส) นักวิทยาศาสตร์นำมาประยุกต์ใช้ในการ knock down ยีนในสิ่งมีชีวิตพวก ยูคารีโอต (มีนิวเคลียส) เหมือน RNAi ดูเพิ่มได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/CRISPR

Thursday, May 02, 2013

ทำไมบาเยิร์นฤดูกาลนี้โหดจริง

หลังจากความขมขื่นทริปเิปิ้ลรองแชมป์เมื่อปีที่แล้ว ยักษ์ใหญ่วงการฟุตบอลเยอรมันอย่างบาเยิร์นก็รีบวิเคราะห์และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น โดยเริ่มตั้งแต่

1 เปลี่ยน Sport director คนใหม่ ที่มีหน้าที่จัดการงานในสโมสรเหมือนเป็นแม่บ้านสโมสร จาก คริสเตียน แนร์ลิงเก้อ เป็น มัธเธียส ซามเมอร์ ที่มีการสื่อสารกับผู้ร่วมงานดีกว่า มียีนความเป็นผู้ชนะมากกว่า ประสบการณ์การเป็นแชมป์มากกว่า (แชมป์เปี้ยนลีก97 + บุนเดสลีก้า หลายสมัย+ ยูโร96) มีระเบียบวินัยมากกว่า มีเป้าหมายชัดเจนและทะเยอทะยานกว่า และมีความถ่อมตนสูง ทุกๆครั้งที่ใ้ห้สัมภาษณ์จะบอกความสำคัญของทุกคนในสโมสร ตั้งแต่ประธาน นักเตะตัวจริง ตัวสำรอง ยันจนทุกฝ่าย แม้กระทั่ง แม่บ้านทำความสะอาด โดยบอกว่าตนเองเป็นแค่คนเล็กๆในสโมสรเท่านั้น

2  จัดการซื้อนักเตะขนานใหญ่ แม้ว่านักเตะที่มีอยู่จะดีแล้ว แต่ตัวสำรองไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้ เลยซื้อไล่มาตั้งแต่กองหน้า มานซูคิด นักเตะโครเอเชีย จาก โวฟบวร์ก ฆาเวียร์ มาร์ติเนซ มิดฟิลด์ตัวรับ จาก แอตเลธิก บิลเบา ที่ถือว่าแพงสุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีก้า (40 ล้านยูโร) และ กองหลัง ดันเต้ ชาวบราซิล จาก โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัก ที่เป็นหัวหน้าแผงรับคนใหม่ของทีม นอกจากนี้ยังซื้อตัวสำรองดีๆ ที่ช่วยกดดันตัวจริงใ้ห้เล่นเต็มที่ทุกนัดด้วย อย่าง แซร์ดาน ชาคิรี่ จาก เอฟซี บาเซ่ล  ที่ทำให้ รอบเบน และ ริเบรี่ ต้องคั้นฟอร์มตัวเอง ออกมาให้เต็มที่ หรือ ทอม สตาร์ก โกลล์มือดีจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ ที่ช่วยกดดันนอยเออร์ให้เล่นดีขึ้น ที่บาเยิร์นมีเงินใช้จ่ายเต็มที่ เพราะ เน้นนโยบายไม่ใช้จ่ายเกินตัว สะสมกันมาหลายปีทำให้มีเงินเหลือ

3 และที่สำคัญคือ การได้ซามเมอร์มา บวกกับความพ่ายแพ้ในฤดูกาลก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้น สามัคคีมากขึ้น มี Teamgeist ไม่มีความเป็นสตาร์ ทุกคนเล่นเพื่อทีม ไม่มีข่าวทะเลาะกันในค่ายฝึกซ้อมหลุดมาเลย และ เมื่อมีรูปหลุดจะมีแต่รูปทุกคนกลมเกลียวกัน

4 เมื่อมาดูที่แผนการเล่น ก็ใช้ของเก่า 4-2-3-1 ที่วานกาล วางแผนไว้ และ เรียนรู้จากคู่แข่ง อย่าง บาเซโลน่า และ ดอร์ตมุนด์ ที่เล่นบอลด้วยความเร็ว และ เป็นทีมเวิร์ก และ passion แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบางส่วนให้ดีขึ้น และ เหมาะกับผู้เล่นทีมีอยู่ในทีม เช่น
- การขึ้นบอลทางปีกอย่างรวดเร็ว ทำชิ่งทีเดียวหลุด
- การเปลี่ยนรับเป็นรุก รุกเป็นรับ ทั้งทีมช่วยกันรุก ช่วยกันรับ โดยเฉพาะ มานซูคิด ที่วิ่งไล่บอลทั้งสนามทำให้กองหลังไม่ต้องทำหน้าที่หนักมาก และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ มาริโอ โกเมซ ต้องตกเป็นแค่ตัวสำรอง ด้วยแผนนี้ ตอนต้นฤดูกาลรอบเบน ปฏิเสธ ก็เลยโดนดรอป พอมาตอนนี้ ถ้าจะลง ก็ต้องลงมาช่วยไล่ตลอด ซึ่งผิดวิสัยปกติของรอบเบน
- การเผด็จศึกหน้าเขตโทษที่รวดเร็วเด็ดขาดกว่าของต้นฉบับอย่างบาซ่าที่จ่ายไปจ่ายมาจนว่าง และ สามารถเล่นลูกโด่ง โหม่ง และ ยิงไกล ได้ดีกว่า

5 มีระเบียบวินัย ไม่ประมาท ไม่กินเหล้า เบียร์ ไม่ฉลอง เพื่อรักษาสภาพร่างกาย โฟกัส และ มีสมาธิทุกนัดที่เล่น ไม่ว่าจะเป็นทีมระดับไหน ให้เกียรติทุกทีมอย่างสูง ข้อนี้คึงเป็นอะไรที่คงทำได้เฉพาะทีมจากเยอรมัน

ผลของการพัฒนาแบบนี้ ทำให้เป็นทีมที่ดีทีสุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีก้า ได้แชมป์เร็วที่สุด ได้แต้มมากที่สุด ยิงเยอะที่สุด เสียประตูน้อยที่สุด ถล่มทีมที่ดีที่สุดในยุโรปอย่างบาเซโลน่า และยังมีลุ้นสามแชมป์ของฤดูกาลนี้ด้วย ถ้าเป็นไปตามแผนน่าจะทำได้ ยกเว้นจากโดนความมหัศจรรย์ของดอร์ตมุนด์ ส่วนบอลถ้วย เดเอฟเบโพคาลที่เจอสตุ๊ตการ์ตคงจะผ่านได้สบายๆ เพราะสตุ๊ตการ์ตฟอร์มแย่มาก และ เป้าหมายมีแค่ไปเล่นถ้วยยุโรป้าซึ่งทำได้ตามหวังแล้ว

นี่คือ ที่ตอนนี้คิดได้ อาจมีมากกว่านี้ ใครเห็นอย่างไรก็แนะนำกันได้ครับ

Sunday, February 10, 2013

ถอดเทปบางส่วน วาระประเทศไทย กับอาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี

http://www.youtube.com/watch?v=hB2G0m74RmY
บทสัมภาษณ์สั้นๆของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ผู้บรรเทาความพร่องทางจิตวิญญาณของมนุษยชาิติ

นาทีที่ 4.07
ผมต้องการความรู้สึก ผมไม่ต้องการความเข้าใจ ถ้าความเ้ข้าใจเป็นเรื่องของทฤษฏี...เป็นอีกซีกสมองด้านหนึ่ง ผมเป็นสุนทรียารมณ์ของมนุษยชาติ ผมเป็นลมหายใจของมนุษยชาติ ผมเป็นจิตวิญญาณของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นผมต้องการความเข้าใจแต่น้อย แต่ผมต้องการความรู้สึก


นาทีที่ 5.26
อย่าเพิ่งคลั่งชาิติ อย่าเพิ่งหลงชาติว่า ความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นปัจเจกของศิลปะไทยนั้นเป็นยังไง ศิลปะไทยเนี่ยเพิ่งแย้มกลีบบาน เพิ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะเอาไว้ อย่าพึงไปติดยึดกับรูปแบบหรือเนื้อหา ให้เข้าใจปรัชญาและเนื้อแท้ของจิตวิญญาณนั้นก่อนว่า อะไรคือความเป็นไทย เพราะถ้าเราคลั่งชาติ เราหลงชาิติ เราบ้าชาิติ เราก็จะหาตัวเองไม่พบ

นาทีที่ 5.58
ก่อนวงแหวนยังไม่้ล้อมดาวพระเสาร์ ภาษาสากลของมนุษยชาิิติคือ ศิลปะ เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่มีความคิดว่าเป็นไทยหรือไม่เป็นไทยอย่างไร เพียงแต่ว่า ผมเกิดเติบโต และ ดื่มกินอุทกธารา หรือ ผมเอิบเปรมไปด้วยสุนทรียารมณ์ของการเป็นตะวันออก และผมนำความเป็นตะวันออกของผมออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ว่า ผมเป็นเอกราชนะ ผมบรรลุนิติภาวะนะ ผมไม่ทำแบบฝรั่งนะ ขณะเีดียวกันผมก็ไม่ได้ลอกเลียนแบบ เก็บเศษคนโบราณ ลอกตำรานะ ผมสร้างสรรค์ ผมหายใจ ผมคือปัจจุบัน ผมไม่ใช่เมื่อวานนี้ ผมก็ไม่ใช่พรุ่งนี้ ผมเป็นวันนี้ ผมเป็นเดี๋ยวนี้ ของเมืองไทย และของมนุษยชาติ และของโลก

นาทีที่ 6.52
ตอนผมเล็กๆนะ ผมจะไม่กลับเมืองไทย...แต่ไปเจออาจารย์คึำกฤทธิ์ ท่านถามว่า "คุณจะกลับบ้านไหม" ผมตอบว่ายังไม่กลับ จะอยู่ที่นี่เลย อาจารย์คึกฤทธิ์ท่านบอกว่า "หมาดี มันไม่ไปไกลเจ้าของหรอก" แล้วผมก็นึกแย้งในใจ หนึ่ง ผมไม่ใช่หมา สอง ผมไ่ม่มีเจ้าของ แต่พอผมโตขึ้นมาแล้วถึงรู้ว่า เจ้าของของผมนั้นคือประเทศไทย และผมเป็นหมาที่ดี และผมกลับบ้าน เพราะรู้ว่า ความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคือวัฒนธรรมของผม คือศาสนาของผม คือประเทศชาิติของผม คือในหลวงของผม คือแผ่นดินของผม

นาทีที่ 10.02
ผมก็ทำสิ่งที่ยิ่ิงใหญ่เหลือเกิน ผมหายใจอยู่ หายใจเนี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลมหายใจเป็นสิ่งที่แผ่วเบา แต่เป็นอย่างเดียวที่ทำให้คุณรู้ได้ตระหนักได้ว่า คุณเป็นมนุษย์อยู่ (คุณจะเป็นอะไรอันนัั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ) ลมหายใจต่างหากที่เป็นของที่บางเบาทำให้เรารู้ว่าเรามีชีวิตอยู่ แล้วเมื่อเรามีชีวิตอยู่นั้นแหละ เราก็จะมีจิตสำนึกว่าเราควรจะทำอะไร เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตหรือการดำรงชีวิต ก็แค่นี้ ยังไม่พออีกเหรอ พอแล้ว เท่านี้ พอแล้ว หายใจอยู่

ที่โดนผมมากที่สุด คือ นาทีที่ 6.52 มันตอบโจทย์ของคนที่มาอยู่เมืองนอกนานๆอย่างผมเลย แม้ว่าผมจะปรับตัวได้แล้ว สามารถเข้าใจ และ เข้าพวกกับคนแถวนี้ได้ แต่บางส่วนของผมมันหายไป คำพูดของอาจารย์ถวัลย์ มันเลยมาตอบตรงนี้กับผมได้ เพราะ เจ้าของผมคือวัฒนธรรมของผม คือศาสนาของผม คือ ประเทศชาติของผม คือ ในหลวงของผม คือ แผ่นดินของผม และยิ่งได้ฟังอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม http://www.youtube.com/watch?v=o1Ym2VJqFwA พูดในเรื่องรากทางจิตวิญญาณแล้ว ยิ่งภูมิใจที่ได้บอกกับใครๆว่า ผมคือคนไทย ใช้ภาษาไทย ใช้วัฒนธรรมไทย แม้จะรู้ถูกๆผิดๆก็ตาม

กฏหมายที่จะเปลี่ยนไปในเยอรมันในปี 2013

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ครับ
ปีหน้า 2013 ที่เยอรมัน จะมีการเปลี่ยนแปลงกฏหมายหลายๆอย่างครับ ที่นี่จะรวบรวมบางข้อที่น่าสนใจครับ
1. ค่าประกันสุขภาพ รวมถึงประกันต่างๆ จะใช้ unisex tarif ที่ต้องผู้ชายและผู้หญิงต้องจ่ายเท่ากัน ทำให้ค่าประกันสุขภาพผู้ชายจะจ่ายแพงขึ้น แต่ประกันอย่างอื่นก็เป็นผู้หญิงที่จ่ายมากขึ้นแทน

2. Praxisgebühr สำหรับผู้ใช้ประักันของรัฐบาล ที่ปกติต้องจ่ายค่าหมอ 10 ยูโร/การพบแพทย์ทุกสามเดือน ก็จะยกเว้นค่าธรรมเนียมนี้ในปี 2013

3. Rundfunkgebühr ทุกคนที่ลงทะเีบียนบ้านในเยอรมันต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคลื่นโทรทัศน์และวิทยุแม้ว่าจะไม่มีโทรทัศน์หรือวิทยุก็ตาม เป็นจำนวนเงิน 17.98 ยูโร ต่อเดือน

4. Minijobs สำหรับนักศึกษาที่ฝึกงานตามมหาวิทยาลัย หรือ คนที่ทำงานพิเศษ ปีหน้าลิมิตของรายได้จากการทำงานที่ไม่เสียภาษีจะเพิ่มจาก 400 ยูโรต่อเดือน เป็น 450 ยูโรต่อเดือน

5. ค่าไปรษณีย์เเพงขึ้นครั้งแรกในรอบ 15 ปี เช่น จากที่เคยส่งจดหมายปกติ 55 เซนต์ ต่อจดหมาย จะเพิ่มเป็น 58 เซนต์

6. ด้านการขนส่งมวลชน กฏหมายห้ามรถบัสทางไกลจะถูกยกเลิก ทำให้มีรถบัสระหว่างเมืองมากขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นได้แล้วในปี 2012 ในปีหน้าจะมีบริษัทเดินรถมากขึ้นและเพิ่มเส้นทางมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสทำให้ไฟร์บวกเป็น Bus hub ของเยอรมันไ้ด้ ตอนนี้ก็เริ่มเห็นบริษัทเดินรถบัสมากขึ้นในไฟร์บวกแล้ว

เรามาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงจะกระทบชีวิตเราแค่ไหนในปีหน้า ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมกับทุกๆการเปลี่ยนแปลงนะครับ
สวัสดีปีใหม่ 2013

เผยแพร่ครั้งแรกใน เพจ thai student club in Freiburg, Germany