Sunday, March 25, 2007

Soulmate

มันมีคำพูดที่พูดกันต่อๆกันมานานหลายชั่วอายุคน "เรามาคนเดียว แล้วก็ไปคนเดียว"
และคำพูดนี้ก็เป็นความจริง
การมีคู่ครองมันเป็นเรื่องมายาไร้สาระ
ไอ้ความคิดเช่นนี้มันเกิดมาเพราะเราต้องอยู่คนเดียว และ การที่ต้องอยู่คนเดียวนี้เองที่ทำให้เราเจ็บปวด
เราจึงต้องการกำจัดมันด้วยการมีสัมพันธ์ มีคู่ครอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราหมกมุ่นในเรื่อง "ความรัก"
ยกตัวอย่าง เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคนเพราะเธอนั้นสวย หรือว่า เขาช่างหล่อเหลา
มันไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
คุณตกหลุมรักเพราะคุณไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวได้ ดังนั้นคุณจึงตกหลุมกับดักนี้ไป
แน่นอน มันมีคนที่ไม่ตกหลุมรักคนอื่น แต่พวกเขาก็ติดกับดักในอย่างอื่น เช่น เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แล้วก็เป็นนักการเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ยกตัวเป็นกษัตริย์กดขึ่ผู้อื่นจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวทั้งนั้น
และถ้าคุณลองหันมาดูตัวเองเทียบกับคนอื่น คุณจะพบว่ามันมาจากสาเหตุเดียวกันทั้งสิ้น
ความจริงคือคุณไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ส่วนสาเหตุอื่นที่เหลือเป็นเพียงข้ออ้าง
คุณพบว่าตัวคุณช่างเหงา อ้างว้าง และเดียวดาย

เพราะความเหงานี้ บางคนจึงบอกว่า โซลเมทมีจริง
(วิญญาณคุณถูกแบ่งเป็นสองบนโลกนี้ คุณต้องตามหาเขาหรือเธอที่เป็นครึ่งที่หายไปบนโลกนี้)
คู่คนนั้นจะเป็นคู่ที่เข้ากับคุณได้ดี เติมเต็มคุณได้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์
แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน
ความฝันที่นักกวี นักแต่งเพลง รจนาจากในอารมณ์พร่ำเพ้อ
สาเหตุของการค้นหาคู่ครองคือ
เรายังความทรงจำในครรภ์ ที่ที่คุณเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณแม่ของคุณ เหลืออยู่
มันไม่แปลกเลยที่เราจะถวิลหาถึงสิ่งนั้น เฝ้าค้นหาที่มาของตน
แต่ถ้าจะเรียกให้อย่างโหดร้าย มันเป็นแค่ความฝันแบบเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
และมันช่างน่าตกใจ เรายึดถือมันเป็นสรณะโดยไม่สนใจต่อความจริงที่เราได้พบ
ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองของคุณในขณะนี้หรือจะเป็นเพียงภาพฝัน
ที่สามารถให้ความสุขกับคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามก็เถอะ
ความสุขที่แท้มันคือรักแท้
และรักแท้ ไม่ได้ขึ้นกับความพยายามจะแต่งเติมฝันนั้นด้วยการพึ่งพาคนอื่น
แต่มันขึ้นกับการพัฒนาความเอิบอิ่ม ปริ่มเปรมของจิตใจภายในของตัวเราเอง
แล้วเราจะมีความรักมหาศาลที่มีแต่ให้ ที่จะดึงดูดคู่รักของเรามาเอง
หรืออย่างง่ายที่สุด เพียงแค่คุณลองดูคน คนธรรมดา คนที่คุณต้องเจอทุกวันนี่แหละ อย่างลึกซึ้งเปี่ยมความรู้สึก
คุณจะประหลาดใจ ทุกอย่างที่คุณทำ ทุกอย่างที่คุณติดต่อสัมพันธ์กับ"คนธรรมดา"นี้
มันก็สามารถเติมช่องว่างในจิตใจของคุณที่หายไปได้
ด้วยรักที่ฉับพลัน

เรียบเรียงจาก โอโช Take it Easy, Volume 2 Chapter 1

Like a rolling stone

You've gone to the finest school all right, Miss Lonely
But you know you only used to get juiced in it
And nobody has ever taught you how to live on the street
And now you find out you're gonna have to get used to it
...
When you got nothing, you got nothing to lose
You're invisible now, you got no secrets to conceal

How does it feel
To be on your own
With no direction home
Like a complete unknown
Like a rolling stone?

from www.bobdylan.com

Sunday, March 18, 2007

บทเพลงแห่งป่าดำ

ให้บทเพลงแห่งป่าดำร่ายรำท่วงทำนองแห่งมัน
ให้เห็นถึงความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่แห่งเรา
สามหมื่นวิญญาณแม่มด ผู้ถูกบูชายัญ
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ครูแห่งป่า
เปิดรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ทุกชั่วขณะ
สั่งสอนข้าพเจ้าทุกส่วนสรรพางค์
ผจญภัยไปในการรับรู้
นี่แหละคือ ผู้แสดงและ ผู้ชมในจักรวาลแห่งรอยยิ้ม

Saturday, March 03, 2007

mirror neuron เธอคือฉัน ฉันคือเธอ

"เราเป็นเพียงเงาสะท้อนของกันและกัน"
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉากนั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาทอื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคนเรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาทนี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคนพวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคนที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน

Eight Verses for Training the Mind บทสวดฝึกโพธิจิตแปดประการ

I found a good thing and want to share it with you. ได้เจอของดีเลยเอามาเเบ่งปันกัน
Eight Verses for Training the Mind
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. May I always cherish all beingsWith the resolve to accomplish for themThe highest good that is more preciousThan any wish-fulfilling jewel.
2. Whenever I am in the company of others,May I regard myself as inferior to allAnd from the depths of my heartCherish others as supreme.
3. In all my actions may I watch my mind,And as soon as disturbing emotions arise,May I forcefully stop them at once,Since they will hurt both me and others.
4. When I see ill-natured people,Overwhelmed by wrong deeds and pain,May I cherish them as something rare,As though I had found a treasure-trove.
5. When someone out of envy does me wrongBy insulting me and the like,May I accept defeatAnd offer the victory to them.
6. Even if someone whom I have helpedAnd in whom I have placed my hopesDoes great wrong by harming me,May I see them as an excellent spiritual friend.
7. In brief, directly or indirectly,May I give all help and joy to my mothers,And may I take all their harm and painSecretly upon myself.
8. May none of this ever be sulliedBy thoughts of the eight worldly concerns,May I see all things as illusionsAnd, without attachment, gain freedom from bondage.

บทสวด 8 ประการสำหรับการฝึกโพธิจิต
By Kadampa Geshe Langritangpa

1. ขอให้ข้าพเจ้ามีใจรักแก่สรรพสัตว์ทั้งมวลด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นนี้เป็นความดีอันสูงสุดที่มีค่ามากกว่าความปรารถนาใดๆ
2. เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยู่กับผู้อื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักถ่อมตนและเห็นตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่นและจากก้นบึ้งของหัวใจนี้ ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของผู้อื่นเหนือตัวข้าพเจ้า
3. ในการกระทำทุกอย่าง ขอให้ข้าพเจ้ามีสติรู้เท่าทันจิตตนเองทันทีที่อารมณ์ขุ่นมัวก่อตัวขึ้น ขอให้ข้าพเจ้าขจัดออกได้โดยพลันเพราะจะก่อทุกข์ให้ทั้งตนเองและผู้อื่น
4. คราใดที่ข้าพเจ้าพบคนที่จิตใจมีอกุศลและถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวดและการกระทำไม่ดี ขอให้ข้าพเจ้ารักเขาได้และเห็นว่าคนอย่างเขานั้นหาได้ยากมากเสมือนว่าข้าพเจ้าได้พบของล้ำค่า
5. คราใดที่มีบุคคลมีจิตอิจฉากระทำความไม่ดีต่อข้าพเจ้า โดยการกล่าวร้ายอื่นๆ ขอให้ข้าพเจ้ายอมเป็นผู้แพ้และยกความเป็นผู้ชนะให้แก่เขา
6. แม้ผู้ที่ข้าพเจ้าเคยให้การช่วยเหลือ และเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ในตัวเขาแต่เขากลับมาทำผิดโดยการทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าเขาเป็นมิตรในทางธรรมที่ดีเลิศ
7. ขอให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมารดาทั้งมวลของข้าพเจ้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และขอรับเอาความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดของท่านในตัวข้าพเจ้า
8. ขอให้ทั้งมวลที่ข้าพเจ้ากล่าวมาอย่าได้มัวหมองด้วยความทุกข์ทางโลกแปดประการขอให้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งเป็นของลวงตาและด้วยจิตที่ปล่อยวางขอให้ข้าพเจ้าเป็นอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล

At International Women’s Partnership Center, Chiangmai, Thailand.

ที่มา http://awakeningmind.blogspot.com/ และ http://primordialawareness.blogspot.com/

ฝากกลอนไว้เอาไว้อ่านเสริมแรงศรัทธา ฉลองจัทรคราสวันมาฆบูชา

องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่น มิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้าขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ ญภาพนั้นนิรันดร ฯ

ที่มา http://www1.mod.go.th/heritage/religion/relceremony/relcer3.htm

Thursday, March 01, 2007

Das wilde Leben: Das Leben ist zu kurz.

Der Film "Das wilde Leben" ist von der Autobiographie von Uschi Obermaier gedreht. Sie war eine beruehmte Sex-Symbol des 70er Jahre. Ihre Fotos wurden auf viele erste Seite von Magazine, z.B., Playboy, Stern, Spiegel aufgezeigt. In Politik hatte sie eine bedeutende Rolle, weil sie in Kommune 1, die erste politische Wohngemeinschaft in Deutschland, war. Kommune 1 war als die Reaktion gegen der Gesellschaft nach der 2. Weltkrieg. Obermaier ist ein Faktor, der fuer die Scheitern der Kommune 1 verantwortlich ist.

Sie hatte auch Beziehung mit 2 Mitgliede von Rolling Stone, Mick Jacker und Keith Richard. An diesem Zeitpunkt war ihr Leben so wild mit Droge, Sex, und viele illegale Dinge. Doch ist sie nicht zufrieden, und wollte mehr. Dann traf sie mit dem Prinz Hamburgs, Dieter Bockhorn. Mit ihm heiratete sie und reiste zusammen durch Asia, USA, und Mexiko. Die Reise endet im 1983 nach dem Bockhorns Unfall. Auch endet der Film hier, wo diese Szene schon am Anfang gezeigt wird.

Der Film zeigt allmaehlich ihr Leben von einem Maedchen zu dem Tod Dieters. Das ist langsam wie ein Dokumentar. In dem Film sollte mehrere Frage und Spannung nach meiner Meinung gestellt, weil ihr Leben echt wild ist. Besonders der Grund warum sie so machte, und warum sie aufhoerte. Es gibt viele Themen, die die Zuschauer anziehen, z.B., Politik, oder Philosophie. Ich finde das nicht so kraftvoll, obwohl die Hauptdarstellerin, Natalia Avelon, viele von ihrem Body ausstellt. Es fehlt noch ein Spicygeschmack, der diesen Film erfuellt. Sowieso ist der Film wie ein Lebensbeschreibung: Das Leben ist zu kurz. Macht was ihr wirklich wollt. Sei wild!!!