Saturday, September 26, 2020

ความมั่นคงของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

 ที่มาจาก 

https://www.facebook.com/Bossficial/posts/2736298859981405

เมื่อวานโทรคุยกับกรรมการบอร์ดท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการเงิน การลงทุน
[คำเตือน : บทความยาว]
คุยไปคุยมาตั้งแต่เรื่องหุ้น นโยบายการเงิน ไปจนถึงเรื่องดอลลาร์สหรัฐ ที่มักจะมีประเด็นมาตลอดชาติตั้งแต่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ว่าดอลลาร์จะล่มสลายหรือไม่
ตามความเห็นผมนะ เงินดอลลาร์ในระยะสั้นจะยังคงเป็นเหมือนเดิม นับจากนี้ไปสัก 4-5 ปี มันก็ยังจะเป็นสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ของโลก
แต่ในระยะยาวแบบเกิน 10 ปีเป็นต้นไป อาจจะไม่แน่ว่ามันจะลดบทบาทและความสำคัญลง ซึ่งจะเป็นลักษณะใครมามีบทบาทนั้น คงตอบไม่ได้ แม้ว่าทุกคนจะเอียงไปทางหยวนของจีนก็ตาม
จริงๆมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโบราณที่เรื่องเงินตราของโลกนั้นมีการเปลี่ยนผ่านเรื่องอิทธิพลมาตลอด
ช่วงที่เราเห็นมากที่สุดในระยะหลังก็คือในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่เงินปอนด์ของอังกฤษ คือเงินตราที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลก เพราะปอนด์นั้นหนุนมูลค่าด้วยทองคำแล้วพิมพ์เป็นกระดาษ
นั่นคือจุดรุ่งเรืองของยุค Gold Standard ที่กระดาษเงินปอนด์มีคุณค่าเสมือนทองคำ เพียงแค่พิมพ์ออกมาใช้ให้สะดวกสบาย และเป็นยุคทองของเงินปอนด์อย่างแท้จริง
แต่นั่นก็อยู่กับอิทธิพลด้วยเช่นกันที่อังกฤษนั้นมีเมืองขึ้นทั่วโลก จนมีนามที่รู้กันคืออาณาจักรซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ตกดิน เพราะดินแดนที่อยู่ทั่วโลกเริ่มตั้งแต่เกาะเล็กน้อยในมหาสมุทรแปซิฟิค
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ปากีสถาน บางประเทศในตะวันออกกลางเช่นโอมาน คูเวต อิรัค ในแอฟริกาก็ตั้งแต่อียิปต์แล้วผ่ากลางลงมาจนถึงแอฟริกาใต้ ไปจนถึงแคนาดา และสหรัฐโซนตะวันออกตั้งแต่เหนือจรดฟลอริดา
นึกภาพตามละกันว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน และนั่นจึงเป็นที่มาของความยิ่งใหญ่และแสนยานุภาพของอังกฤษ ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่าเป็นผลทำให้เงินปอนด์นั้นมีอิทธิพลสูงที่สุด
ในขณะที่จบ Gold Standard ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐพยายามวางตัวเป็นกลางแต่ก็สนับสนุนพันธมิตรมาเรื่อยๆ และจนกระทั่งเพิร์ลฮาร์เบอร์เริ่มต้นทำให้สหรัฐต้องเข้าสู่สงครามเต็มตัว จบลงที่นิวเคลียร์ฮิโรชิมา และนางาซากิ
ในเวลานั้นเองที่สหรัฐก้าวขึ้นมาสู่ผู้นำโลกอย่างแท้จริง และอิทธิพลหลังยุคอาณานิคมของอังกฤษก็สิ้นสุดลง พร้อมกับความระส่ำระสายของสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ ที่ยุคนั้นพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ที่สละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สันกลับเป็นการสร้างความร้าวฉานอย่างหนัก
พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ทรงสนับสนุนนาซีอย่างไม่ลับ กับพระเจ้าจอร์จที่ 6 (น้องชาย / พระชนกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2) เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร มีการล็อบบี้อย่างลับๆหากชนะสงครามโลก พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 จะถูกฟื้นให้กลับมาเป็นคิงอีกครั้ง
สามารถหาข้อมูลดูเพิ่มเติมเรื่อง Marburg Files เรื่องนี้พอไว้แค่นี้ ยิ่งเล่าจะยิ่งยาว
หลังจากนั้นสหรัฐก็สถาปนาอำนาจขึ้นมา องค์กรต่างๆเช่น สหประชาชาติ, ธนาคารโลก, IMF อะไรต่างๆ ก็เริ่มมาจากตอนนั้น และโลกก็เข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มตัวหลัง Bretton Woods ที่ยกเลิก Gold Standard ออกไป
คือมาตรฐานทองคำยังไงมันก็เอากลับมาอีกไม่ได้แน่นอน ทองคำในโลกที่ขุดขึ้นมาทั้งหมดมีอยู่ราว 160,000 ตัน คือมันจะไปหาทองคำมาจากไหนที่จะหนุนหลังมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนและทรัพย์สินบนโลกเราที่มีการซื้อขายนับ Trillion Dollar ต่อวัน
ดังนั้นบทสรุปที่แท้จริงคือ อำนาจอยู่ที่ใคร คนนั้นคือคนกำหนดชะตาโลก ดังเช่นอังกฤษยุคหนึ่งที่เคยกำหนดชะตานี้มาแล้ว
ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อผมไม่แน่ใจ แต่เรื่อง bitcoin จะเข้ามากำหนดชะตาตรงนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน Supply ไม่มีความเพียงพออารมณ์แบบทองคำนั่นแหละ
นอกจากนี้ระบบการเงินของโลก เราใช้เงินที่ราคา Par นั่นคือทรัพย์หนุนหลังเท่าไหร่ก็ผลิตเงินจำนวนเท่านั้น
แม้ว่าเราจะเห็นระยะหลัง ธนาคารกลางสหรัฐใช้นโยบายพิมพ์เงินก่อนแล้วไปซื้อทรัพย์สินทีหลัง แต่ท้ายที่สุดมันก็มี Asset back อยู่ดี ในขณะที่ bitcoin ที่ซื้อขายกัน ก็ Quote ราคาด้วย US Dollar เป็น Main Instrument
และมูลค่าที่เปลี่ยนแปลงสูง มีความผันผวนยิ่งทำให้ส่วนนี้เห็นทีจะลำบาก และอิทธิพลดอลลาร์นั้นอยู่บนโลกโดยไขว้กับทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยน และระบบเงินตราทั่วโลก
หากดอลลาร์ล่มสลาย ทั้งโลกก็ล่มสลาย แม้กระทั่งจีนที่มีทุนสำรองสกุลดอลลาร์สูงที่สุดในโลกกว่า 3 Trillion ดอลลาร์ ก็จะล่มสลายตามกันไป ไทยเองก็เช่นเดียวกัน และมันก็จะล้มครืนลงไปทั้งหมด
คือจริงๆกว่า 80% ของการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนโลกนี้ที่เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศนั้นถูกไขว้ด้วย US Dollar กันเป็นหลัก
น้ำมันก็อ้างอิง US Dollar ตะวันออกกลางเองซึ่งเป็นผู้กำหนดชะตาพลังงานโลก ก็ยังต้องอาศัยใบบุญสหรัฐ เพราะในตะวันออกกลางก็ยังแทบจะตีกันตายห่ามาตลอดระยะ 40 ปีที่ผ่านมา
ทองคำในไทยเองก็เห็นกันชัดเจน ราคาที่กำหนดการซื้อขายแม้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดค้าทองคำที่สำคัญอันดับต้นของโลก แต่เราก็ยังต้อง Quote ราคาผ่าน Gold Spot ด้วย US Dollar เป็นไทยบาทอยู่ดี
คือนึกออกปะว่า ทุกอย่างถ้าในเมื่อมันต้องผ่าน US Dollar มันก็จะเป็นกลไกว่าดอลลาร์จะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่สุดอยู่ดี
ลองสมมติง่ายๆแค่ว่าถ้าเราซื้อทองคำ 1 ออนซ์ 2,000 ดอลลาร์ แต่อีกตลาดหนึ่งสมมติว่ายุโรป 1 ออนซ์ขายแค่ 1,500 ยูโร ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ยูโร/ดอลลาร์ 1.19 หรือเท่ากับทองควรจะมีราคาที่ 1,680 ยูโร
นั่นจะทำให้เกิดแรงเก็งกำไรด้วย Arbitrage ด้วยการซื้อทองด้วยยูโรและขายทองด้วยดอลลาร์ ท้ายที่สุดราคาทั้งสองตลาดนี้จะวิ่งเข้าหากันสู่จุดดุลยภาพ
ถ้าให้พูดแบบสรุปคือระยะสั้นยังไม่มีใครมีอำนาจเหนือดอลลาร์สหรัฐ แต่ในระยะยาวก็ไม่แน่ หยวนก็มีความเป็นไปได้ แต่ลักษณะการปกครองแบบคอมมิวนิสต์นั้นคือฝ่ายตรงข้ามกับทุนนิยม
การที่จะเปิดให้หยวนเป็นค่าเงินเสรี มีความโปร่งใส มีการจัดการที่ดี มันเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เป้าหมายคือการ "ควบคุม" ไม่ใช่การปล่อยให้เป็นกลไกเสรี
ซึ่งถ้าจีนค่อยๆปรับส่วนนี้ได้ เข้าสู่ทุนนิยมได้โดยลดบทบาทความเป็นคอมมิวนิสต์ลงไปพร้อมๆกัน ผมเชื่อว่าจะค่อยๆเป็นไปได้ "อย่างช้าๆ" เพราะเรื่องพวกนี้มันเปลี่ยนชั่วข้ามคืนไม่ได้
แม้กระทั่งอังกฤษที่ถูกลดบทบาทลงก็ยังใช้เวลาในการ Transition อยู่หลายทศวรรษ
ส่วนนโยบายการเงินของ Fed เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมองว่า Fed ยังคงให้สัญญาณเล่นเกมแรง โดยไม่ได้กำหนดเป้าหมายทางตรงด้วยเงินเฟ้อ
และ JP (ประธานธนาคารกลางสหรัฐ) ก็ยังให้ความเห็นว่าหากเงินเฟ้อสูงขึ้น Fed ก็จะปล่อยให้เศรษฐกิจ Hot Longer หรือก็คือปล่อยให้เศรษฐกิจ ร้อนแรงยาวนานขึ้นโดยที่จะยังไม่ไปควบคุมเรื่องการดึงสภาพคล่องกลับหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าดอกเบี้ยจะ 0% จากเดิมที่ 2022 จะพิจารณาเรื่องนี้ ตอนนี้อาจจะนานถึง 2023-2024 และพยายามที่จะดันเงินเฟ้อให้ไกลกว่าเป้าหมายเดิมในระยะเวลานานขึ้น
สิ่งนี้จะกระทบอย่างไรบ้าง?
ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นจะเข้าสู่ยุค "A normal that we never used to" ขอให้ฉีกคำว่า New Normal ทิ้งไปซะ เพราะตำราใหม่นี้ ด้วยสภาพคล่องมหาศาล + อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อไปอีกหลายปี
ตลาดหุ้นที่เราเคยมองว่า P/E TTM เหมาะสมที่ 12-20 เท่า คงไม่ใช่อีกต่อไป และเราควรเลิกดู P/E TTM เนื่องจาก Q2 ที่ผ่านมามันสร้าง "หลุม" ของ Earnings ลงไป ซึ่งนั่นไม่ว่าจะมองยังไงตอนนี้ P/E TTM ทะลุไปไกลแน่นอน
ตัวที่ต้องไปดูแทนคือ Estimate P/E และหุ้นราคาถูก Est. P/E ที่ 20 เท่าก็อาจเป็นไปได้ว่านี่ก็ถือว่าราคาถูกแล้ว และ P/E ที่สูงจากคนที่เป็น Winner หลังวิกฤตก็จะยิ่งแพง เพราะคู่แข่งที่อยู่ไม่ได้นั้นตายลงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า
"Premium Price to Pay" หรือก็คือผู้ชนะในเกมธุรกิจนี้จะยิ่งดีและยืนยงคงกระพันต่อไปเพราะคู่แข่งที่ตายลงทำให้บริษัทที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก
ราคาหุ้นของ "The Best" จึงมีมูลค่าที่นักลงทุนต้องจ่ายแพงขึ้นโดยเฉพาะในยุคที่เงิน 1 ล้านบาทฝากแบงค์ได้ดอกแค่ "ไม่กี่พันบาท" ต่อปี
ส่วนทองคำผมมองว่ามีแนวโน้มที่ดี การที่ Fed ให้ความเห็นว่าจะปล่อยให้เศรษฐกิจร้อนแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น นั่นแปลว่า Fed จะปล่อยให้เงินเฟ้อเดินหน้าไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม
นั่นคือสิ่งที่มองได้ว่าทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักนอกจากเป็นตัวสร้างความปลอดภัย แต่ถึงยังไงก็หนีไม่พ้นว่านี้คือโลหะชนิดหนึ่งที่เก็บแบบเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะค่อยๆกลับมา ในสหรัฐเห็นชัดจากยอดซื้อขายบ้านดีมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้บ้านสหรัฐตอนนี้ต่ำเวอร์แบบสุดๆ
แต่ไม่ว่าจะตลาดหุ้นหรือทองคำหรืออสังหา ส่วนตัวผมเชื่อว่าการวิ่งต่อไปเรื่อยๆ น่าจะเริ่มไปแบบไร้เหตุผลขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งใดก็ตามที่มันวิ่งไกลจากพื้นฐานของมันไปมากๆ และเริ่มวิ่งแบบ Exponential เกิน 50 ดีกรี โดยเริ่มไม่มีคำอธิบายนอกจาก "ความโลภ" ของคนนับร้อยนับพันล้านในตลาด ที่กำลัง Enjoy Party
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "ฟองสบู่"
ส่วนมันจะไปจบที่ตรงไหนนี่ผมไม่รู้ ตอบไม่ได้ แล้วมันก็จะกลับไปสู่ประโยคเดิมที่พูดมาประมาณพันล้านครั้ง "ซื้อมันได้ ก็ต้องขายมันเป็น"
คหสต, ยสตน