Monday, July 06, 2009

ไทยโพสต์ แทบลอยด์: สิทธิบัตรข้าวหอม GMO ได้หรือเสีย

from Thaipost.net 5.07.2009
http://www.prachatai.com/journal/2009/07/24973

ข่าว สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในอเมริกาสำเร็จ ทำให้คนเข้าใจว่าข้าวหอมมะลิจะเป็นของคนไทยตลอดไป จากนั้นอลงกรณ์ พลบุตร รีบสั่งให้รับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในไทย และรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี....แต่นี่คืออีกด้านหนึ่งของเหรียญ



"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน"

"สวทช.จดอาจไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000 ทุกอย่าง ยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น"


ข่าวสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในสหรัฐอเมริกา ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ท่ามกลางความปลาบปลื้มภาคภูมิของคนไทย ซึ่งเข้าใจว่าการจดสิทธิบัตรจะทำให้ข้าวหอมมะลิเป็นของคนไทยตลอดไป ไม่มีนักวิจัยฝรั่งต่างชาติที่ไหนมาลักขโมยเหมือนที่เคยพยายามเมื่อหลายปีก่อน

อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ สั่งการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารีบรับจดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิในประเทศไทยพร้อมให้นโยบายรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ทุกชนิด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีอีก
เช่นกัน ทั้งยังมีคำถามว่าเหตุใดกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงไม่รีบจดให้ สวทช.

อย่างไรก็ดี นักวิชาการกลุ่มเล็กๆ ในนามเครือข่ายวิชาการเพื่อคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพไทยได้ออกมาแถลงคัดค้านการจดสิทธิบัตรดังกล่าวในประเทศไทย โดยชี้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเปิดทางให้มีการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ เปิดช่องให้ "โจรสลัดชีวภาพ" เข้ามาปล้นทรัพยากรพันธุกรรมของคนไทย

นอกจากนี้ นักวิชาการกลุ่มนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การจดสิทธิบัตรในต่างประเทศก็ไม่ได้มีแต่ผลดีอย่างเดียว แต่มีผลเสียผลข้างเคียงที่ สวทช.ไม่ได้พูดถึง นี่คือการมองต่างมุมที่ต้องตามติดคิดใคร่ครวญ

ที่แท้ GMO จดแค่กระบวนการ

เรานัดสนทนากับ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี(BioThai) ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และรศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ แห่งคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วิฑูรย์เล่าให้ฟังก่อนว่า จริงๆ แล้ว สวทช.ยื่นขอจดสิทธิบัตรยีน (gene) ควบคุมความหอมของข้าวใน 10 ประเทศ คืออเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย จีน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฝรั่งเศส สหภาพยุโรป และประเทศไทย ในคำขอจดได้ยื่นขอให้มีการผูกขาดในเรื่องยีนควบคุมความหอม เมล็ดพันธุ์ต้นข้าวดัดแปลงพันธุกรรม และกรรมวิธีที่เกี่ยวข้อง

แต่ได้รับอนุมัติเฉพาะที่สหรัฐเท่านั้น โดยได้รับอนุมัติในแง่กรรมวิธีเพียง 4 ข้อถือสิทธิ์ คือ 1)วิธีการเพิ่มสารหอม Os2AP (2- acetyl-1-pyrroline) เพื่อผลิตข้าวจีเอ็มโอ 2) วิธีการทำให้ระดับ mRNA ของยีนควบคุมความหอมทำงานลดลง 3) การทำให้ลดลงคือการแสดงออกของโครงสร้างที่รบกวนการทำงานของ mRNA 4) การรบกวนดังกล่าวทำ ณ ตำแหน่งนิวคลีโอไทด์ที่ 609 -867 ของยีนความหอม

ทั้งนี้ ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 โดย สวทช.เป็นเจ้าของสิทธิบัตร หัวหน้าคณะวิจัยคือ รศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ม.เกษตรศาสตร์ และนักประดิษฐ์อื่นอีก 4 คน เป็นโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับศูนย์พันธุและวิศวกรรมแห่งชาติ

นี่คือข้าว GMO! หรือ
"กระบวนการสร้างข้าว GMO" อ.สุรวิชบอก
"มันชัดเจนอยู่ในชื่อสิทธิบัตรเลย the method วิธีการ transgenic นี่คือข้อถือสิทธิที่เขาส่งไป(เอาเอกสารให้เราดู) ชื่อสิทธิบัตรคือ transgenic rice plant ก็คือสิทธิบัตรข้าว GMO ที่มีความหอมแบบเดียวกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งในงานวิจัยทั้งหมดเขาไม่ได้ใช้ข้าวหอมทำการทดลองเลย เขาไปเอาข้าวอื่นมาแล้วไปหยุดการทำงานของยีนตัวหนึ่ง"

อ.สมชายอธิบายว่าสิทธิบัตรที่ไปจดในอเมริกา เป็นเพียงกระบวนการควบคุมยีนตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับความหอมของข้าวหอมะลิ

"อธิบายง่ายๆ คือ เขาไปพบว่าในข้าว ถ้าเราไปทำอะไรบางอย่างให้ยีนตัวหนึ่งมันไม่เปลี่ยนสภาพไป ปกติข้าวทั่วไปยีนตัวนี้มันแปรสภาพไป มันจะทำให้ไม่หอม นี่คือธรรมชาติของมัน แต่ข้าวหอมมะลิของเรายีนตัวนี้มันกลายพันธุ์ มันไม่แปรสภาพไปตามปกติเหมือนข้าวพันธุ์อื่นๆ มันเลยยังคงความหอมอยู่"

"เขาวิจัยพบว่า อ๋อ กระบวนการอย่างนี้ถ้าเราไปหยุดยั้งไม่ให้มันแปรสภาพไปตามปกติ มันก็จะยังคงความหอมได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยไปจดกระบวนการนี้ว่าเข้าไปลดการเปลี่ยนแปลงของยีนตัวนี้ให้น้อยลง ให้มันยังคงสภาพเดิมอยู่ ความหอมก็ยังคงมีได้"

"วิธีการที่เขาทดสอบคือ เขาเอาข้าวนิปปอนบาร์เลย์ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่หอม เอายีนตัวนี้ใส่เข้าไปแล้วลดกระบวนการลง ไม่ให้มันเปลี่ยนตามปกติ ข้าวก็หอมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเอายีนตัวนี้ไปตัดต่อกับข้าวพันธุ์ไหนก็ได้ ควบคุมอย่าให้มันแปรสภาพ มันก็หอมหมด นี่คือสิ่งที่เขาจดได้ สหรัฐอเมริการับ
จด ณ ขณะนี้"

"ผลที่เกิดขึ้นคือ ต่อไปใครก็ตามถ้าจะทำให้ข้าวหอมโดยใช้วิธีการอย่างเดียวกัน เหมือนที่ สวทช.จดไว้ ทำไม่ได้ นั่นคือการตัดต่อพันธุกรรมโดยใช้ยีนนี้และใช้วิธีไปยับยั้งมันอย่างนั้น-อย่างที่เขาจดไว้แล้ว คุณทำซ้ำเขาไม่ได้แล้ว แต่สิทธิบัตรฉบับนี้เป็นสิทธิบัตรเฉพาะกระบวนการ เพราะฉะนั้นถ้าหากผมไม่ใช้กระบวนการอย่างเดียวกับ สวทช. ผมไปคิดกระบวนการอื่นขึ้นมาได้ ผมก็สามารถจดได้เหมือนกัน วิทยาการก้าวหน้าในอนาคต นักวิจัยอาจจะเจออะไรเพิ่มขึ้นอีกได้"

"ถ้าเป็นวิธีการอย่างนี้ ข้าว 2 พันธุ์ทำให้หอมเหมือนกันด้วยวิธีการที่ต่างกัน ต่างคนต่างจะไม่ละเมิดสิทธิบัตรกันและกัน สุดท้ายมันหอมออกมาเหมือนกันนะ แม้ว่าผมจะเอาข้าวพันธุ์นิปปอนบาร์เลย์แต่ผม
ใช้วิธีการอื่นออกมาหอมเหมือนกัน คุณจะมาว่าผมละเมิดสิทธิบัตรคุณไม่ได้"

"เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้นก็ต้องเริ่มตั้งแต่จดยีนตัวนี้เลย จดให้ได้เลยว่ายีนตัวนี้เราค้นพบ ถ้าคุณคุมยีนตัวนี้ได้คุณจะคุมเรื่องความหอมได้ ถ้าคุณจดเป็นเจ้าของได้ใครจะเอายีนตัวนี้ไปทำก็ละเมิดสิทธิบัตร เห็นไหมว่าขอบเขตความเป็นเจ้าของมันจะเริ่มใหญ่ขึ้น ใครก็ตามไม่สามารถผลิตข้าวที่มียีนตัวนี้เหมือนของ สวทช.เด็ดขาด"

แล้วทำไมอเมริกาไม่รับจด
"ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสหรัฐอเมริกาไม่รับจดตัวนี้ เพราะที่ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรฉบับก่อนหน้า
นี้ สวทช.ขอไปหมด ซึ่งรวมทั้งที่เขายื่นขอในสหภาพยุโรป ก็ขอไปหมด ตั้งแต่ตัวต้นข้าวที่เป็นจีเอ็ม ตัว
ยีนความหอม สิทธิบัตรนี้ชื่อสิทธิบัตรข้าวตัดต่อพันธุกรรมให้มีความหอม เขาขอตัวเมล็ดด้วย และกระ
บวนการด้วย ขอใน 4 เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งคลุมทั้งหมด แต่ออกมาเฉพาะกระบวนการเท่านั้น"


สิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เหยื่อบรรษัท

อย่างไรก็ดี วิทูรย์ชี้ว่าแนวทางของเครือข่ายนักวิชาการคุ้มครองชีวภาพคือ คัดค้านการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เพราะการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต เป็นการแปรรูปทรัพยากรชีวภาพให้กลายเป็นทรัพย์สินผูกขาดของเอกชนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ระบบกฎหมายสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต จะกลายเป็นโอกาสให้
บรรษัทและประเทศอุตสาหกรรมเข้ามายึดครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศกำลังพัฒนา ที่ผ่านมา มหาอำนาจพยายามผลักดันให้มีข้อตกลงเรื่องนี้ในองค์กรการค้าโลก แต่ยังไม่สำเร็จ จึงพยายามผลักดันผ่าน FTA เช่น FTA ไทย-สหรัฐ ก็มีข้อตกลงเรื่องนี้ซึ่งได้คัดค้านกันอย่างหนักมาแล้ว

อ.สมชายยกตัวอย่างว่า ถ้า สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมมะลิได้จะเกิดอะไรขึ้น

"ถ้าสมมติเขาสามารถจดเป็นเจ้าของยีนตัวนั้นได้ ไปตรวจแล้วพบยีนที่เหมือนกับยีนตัวนี้อยู่ในข้าวต้นไหน นั่นหมายความว่าคุณกำลังใช้ยีนที่เขาเป็นเจ้าของ การที่เขาจดยีน ถ้าดูที่คำขอเขาไม่ได้จดเฉพาะที่มันเหมือนกันเป๊ะๆ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาขอยีนที่ใกล้เคียงกับยีนของเขา 70 เปอร์เซ็นต์ 80 เปอร์เซ็นต์ 90 เปอร์เซ็นต์ เขาขอหมดเลยนะครับ ถ้าหากว่าได้ไปหมายความว่ายีนที่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์โดนแน่นอน ยีนที่เหมือน 90 เปอร์เซ็นต์ก็โดน 80 ก็โดน 70 ก็โดน หรือถ้าเขาวินิจฉัยว่าอย่างนี้เหมือนมาก ก็โดนอีกเหมือนกัน"

"ผลมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาได้สิทธิบัตรกระบวนการแต่ผมได้ข้าวหอมเหมือนกันโดยกระบวนการคนละอย่าง เขาว่าผมไม่ได้ แต่ถ้าได้สิทธิบัตรยีน เป็นยีนเดียวกัน คุณจะใช้วิธีต่างกันอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้ายีนออกมาเหมือนกัน ยีนนี้ผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นคุณละเมิดสิทธิบัตรผม มันต่างกันแล้ว ขอบเขตการคุ้มครองสิทธิของเขาเยอะขึ้น"

"ในประเทศไทยตอนนี้กรมทรัพย์สินฯยังไม่ให้จด สมมติเขาไปจดที่อเมริกาได้ ประเทศไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปประเทศอเมริกา เข้าไปที่กรมศุลที่ท่าเรือแล้วเขาบอกว่าข้าวล็อตนี้มียีนที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตร ผลจะเกิดอะไรขึ้น เท่ากับคุณละเมิดสิทธิบัตรเขา ห้ามนำเข้า อะไรจะเกิดขึ้น และถ้าเขาตามไปจดทั่วโลกล่ะ ประเทศไหนที่อนุญาตให้จดยีนมีสิ่งมีชีวิตเป็นสิทธิบัตรได้ เวลาเราส่งไปขายประเทศนั้นๆ เขาก็ตามไปอ้างว่ายีนแบบนี้ในประเทศนี้ผมเป็นเจ้าของ คุณส่งเข้ามาไม่ได้"

"จะบอกว่าโชคดีก็นับว่าโชคดี ที่คนที่ได้สิทธิบัตรค้นพบเรื่องยีนหอมเป็นคนไทย บังเอิญเป็น สวทช. ขณะนี้ สวทช.ยังจดยีนที่สหรัฐไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาคงพยายามที่จะจด สมมติก็แล้วกันว่าถ้า สวทช.ไม่ใช่คนพบ เป็นฝรั่งพบ ระเนระนาดเลยธุรกิจเรื่องข้าวหอมมะลิ"

วิทูรย์ยกตัวอย่าง "เคยเกิดขึ้นแล้วกรณีถั่วอีโนล่าของเม็กซิโก ซึ่งนักวิจัยสหรัฐตั้งบริษัทคอทเนอร์ และจดสิทธิบัตรอีโนล่าซึ่งเป็นถั่วของเม็กซิโกที่เคยส่งมาขายที่อเมริกา ผลคือส่งเข้าไม่ได้ ถูกกันไว้ที่ท่าเรือ เขาบอกว่าถ้ามาขายเมื่อไหร่เขาจะฟ้อง ส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะเขาอ้างว่าถั่วที่ส่ง
มามียีนซึ่งเขาจดสิทธิบัตรอยู่ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น"

เขาบอกว่าตอนนี้ก็เกรงจะเกิดขึ้นเพราะออสเตรเลียกำลังยื่นขอจดสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิในยุโรป

"ถ้าสมมติเป็นยีนตัวเดียวกันแล้วคนออสเตรเลียไปจดได้ในสหภาพยุโรป เราส่งข้าวหอมมะลิไปในสหภาพยุโรป เขาตรวจแล้วบอกว่ามียีนเดียวกับที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอยู่ ฉะนั้นเราละเมิดสิทธิบัตรห้ามนำเข้าในสภาพยุโรป" อ.สมชายชี้ผลทางกฎหมาย

"นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบนี้ ระบบสิทธิบัตรมีมาตั้งนานแล้ว ทำไมมันไม่มีปัญหาอย่างนี้ เพราะเดิมสิทธิบัตรใช้คุ้มครองการประดิษฐ์อะไรก็ตามที่มันไม่มีชีวิต มันไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือมาก่อน ใครสักคนคิดขึ้นมา อย่างนี้ให้เขา แต่คุณจดสิทธิบัตรยีนตัวหนึ่งที่อยู่ในต้นข้าว ข้าวนี้ออกมาเป็นเม็ด ถามว่าในเมล็ดข้าวมียีนอันนี้หรือเปล่า มี เอาเมล็ดข้าวนี้ไปปลูกมันงอกเป็นต้นข้าวขึ้นมาอีก ถามว่ามียีนอันนี้หรือเปล่า มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าตรวจส่วนไหนก็จะเจอ แต่ถามว่าเขาเป็นคนสร้างยีนในต้นข้าวนี้รุ่นที่ 2 รุ่น ที่ 3 หรือเปล่า คุณแค่ค้นพบยีนตัวนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องโทรศัพท์ คุณมีสิทธิบัตรในโทรศัพท์ซึ่งโทรศัพท์มันออกลูกเองไม่ได้ เจ้าของต้องผลิตออกมาเป็นเครื่องที่ 2 3 4 มันต่างกันเยอะเลย"

ข้าวพันธุ์อื่นมันก็มียีนที่คล้ายๆ กันมานานแล้ว
"ถูกต้อง ซึ่งไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของมาก่อน มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่เราใช้กันมา และกว่าที่จะเป็นข้าวหอมมะลิที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเกษตรกรกี่รุ่นแล้วที่ค่อยๆ เก็บ เริ่มต้นมันอาจจะไม่หอมก็ได้ อาจจะใครสักคน รุ่นต่อรุ่นค่อยๆ สอนกันมา จนกระทั่งมาเป็นพันธุ์นี้ ถามหน่อยอยู่ดีๆ ใครสักคนบังเอิญเก่งทางวิทยาศาสตร์ ผมไปเจอว่ายีนตัวนี้มันมีความหอม แล้วผมก็อ้างสิทธิเป็นเจ้าของหรือ อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมยหรือเปล่า ของที่ทุกคนไม่เคยมีใครสามารถอ้างได้คุณเอามาอ้างว่าเป็นเจ้าของ"

คนไทยอาจจะบอกว่า สวทช.ไปจดก่อนที่จะมีฝรั่งจด ไม่ดีกว่าหรือ
อ.สมชายบอกว่ามีสองมุมเหมือนกัน

"ในกรณี สวทช.ตอนนี้คือคุ้มครองเฉพาะกระบวนการ มันไม่ได้คุ้มครองอะไรเท่าไหร่เลยนะ เพราะคนอื่นสามารถใช้วิธีการอื่นเพื่อให้ได้ของอย่างเดียวกัน ซึ่ง สวทช.ไม่สามารถไปกีดกันเขาได้ แต่ถ้า สวทช.สามารถเป็นเจ้าของยีน ถามว่าได้สิทธิอะไรบ้าง แน่นอนคุ้มครองได้อย่างหนึ่งก็คือตลอดระยะเวลา 20 ปีนี้ใครก็ตามไม่สามารถจะใช้ยีนที่ สวทช.เป็นเจ้าของได้ แต่หลังจากนั้นล่ะ จะตกเป็นสมบัติสาธารณะทันที"

"และเวลาที่คุณยื่นจด คุณจะต้องบอกเขาว่ายีนตัวไหน ใช้วิธีการอย่างไรในการทำให้มันยังคงสถานะอย่างนั้นอยู่ได้ ฉะนั้นคนไม่รู้ก็จะรู้ทันที นักวิทยาศาสตร์ที่เขาเก่งๆ อ๋อ ยีนตัวนี้เอง วิธีการแบบนี้เอง ถ้าเขาสามารถเพิ่มเติมอะไรลงไปได้ เขาทำให้ข้าวหอมมะลิหอมเป็น 3 เท่าเลย ถามว่ามีความใหม่ มีขั้นการผลิตที่สูงขึ้นไหม มี เขาสามารถจดสิทธิบัตรได้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำไป"

วิฑูรย์เสริมว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่มีความสามารถที่จะวิจัยได้มากกว่า สวทช.หลายเท่า

"ความสามารถในการวิจัยของไทยกับของโลกเทียบกันไม่ได้ นี่คือประเด็นสำคัญ นักวิจัยกลุ่มนี้เก่งไหม เก่ง แต่น้อยมากเมื่อเทียบกับบรรษัททั้งหลาย ขนาดรัฐบาลสหรัฐตั้งโครงการ Human Genome Project ใช้เงินมหาศาล ใช้เวลาหลายปี แต่ปรากฏว่าบริษัทเซเรล่าจีโนมิค ใช้เวลาไม่กี่เดือนเอง แล้วก็ทำ mapping เกือบเสร็จ จนบิล คลินตัน ต้องรีบมาแถลงว่าเขาทำเสร็จแล้วทั้งที่ตอนนั้นทำเสร็จแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะบริษัทบริษัทเซเร่ล่าจีโนมิคจะประกาศผลสำเร็จตัดหน้า นั่นขนาดรัฐบาลอเมริกามีงบประมาณมหาศาล มีทรัพยากร นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ยังไม่สามารถแข่งกับบริษัทเอกชนได้เลย ในกรณีนี้การที่เราเปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตร เราอาจจะจดได้ตัวนี้ตัวหนึ่ง แต่ว่าทรัพยากรทั้งหมดของเราล่ะ"


เปิดช่องต่างชาติ

อ.สมชายบอกว่า การที่ สวทช.จะไปจดเมืองนอกก็เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญคือทำไมจะต้องมาจดเมืองไทย ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรไทย มาตรา 9(1) ไม่อนุญาตให้จดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญายอมให้ สวทช.จดได้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้บริษัทต่างชาติจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน

"ผมอยากพูดอย่างนี้ว่า สวทช.ไปจดที่เมืองนอกก็ดี แน่นอนครับมันกันคนอื่นได้ ประเทศไหนที่เขาเปิดให้จด สวทช.จะไปจด ผมก็ไม่ว่าหรอก แต่ปัญหาที่กำลังจะตามก็คือมีคนเสนอว่าทำไมประเทศไทยไม่รับจดด้วยล่ะ"

"คำถามก็คือ วิธีการคุ้มครองของประเทศไทยทำไมจำเป็นต้องเท่าอเมริกา ถามว่าที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ผิดกติกาโลกอะไรตรงไหนหรือเปล่า ไม่ผิดเพราะเราทำตามข้อตกลง TRIPS ภายใต้ WTO ครบถ้วนแล้วของสหรัฐเขาคุ้มครองสูงกว่า ประเทศไทยควรคุ้มครองสูงเท่าเขาหรือเปล่า เรื่องการคุ้มครองแบบนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุ้มครองแล้วได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ แน่นอนสหรัฐเขาคุ้มครองแล้วเขาได้ประโยชน์ เพราะเขามีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี เขาค้นพบอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมดเลย ยิ่งมีการคุ้มครองเยอะเท่าไหร่เขายิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น แต่ในทางกลับกับสหรัฐอเมริกา ความหลากหลายทางชีวภาพเทียบกับประเทศไทยไม่ได้เลย เรามีเยอะกว่ามาก เพราะฉะนั้นถ้าอเมริกาเปิดให้จดแล้วเราก็ข้ามไปจดบ้านเขา นั่นประเด็นหนึ่ง แต่จะเปิดประเทศไทยให้รับจดได้ แน่นอน สวทช.จดไม่เป็นไร แต่พอเราเปิดปัง เท่ากับว่าเราต้องรับจดของทุกคน ต่างชาติก็จะเข้ามาทันที เราไม่สามารถบอกว่ารับจดเฉพาะ สวทช. แต่ฝรั่งมาเราไม่รับ ไม่ได้ เท่ากับเราต้องแบตลอด ปัญหาคือเราวิจัยแข่งกับเขาทันหรือเปล่า สุดท้ายแล้วเราจดได้ 1 เขาจดได้ 100 เราจดได้ 2 เขาไป 1,000"

นั่นคือพันธุ์พืชทุกอย่าง สมุนไพร
"ทุกอย่าง เพราะถ้าเปิดจดยีน คือยีนอะไรก็ได้ เชื้อราก็ได้ พืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมียีนทั้งนั้น มันห้ามได้ไหม"

"จริงๆ แล้วระบบกฎหมายสิทธิบัตรมันเป็นเรื่องที่กฎหมายจะให้สิทธิมากน้อยแค่ไหนก็ได้ การประดิษฐ์อะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ถามว่าห้ามได้ไหม ห้ามได้ไม่ขัดอะไรเลย ในสหรัฐอเมริกาเขาไม่รับจดสิ่งประดิษฐ์เรื่องนิวเคลียร์ มันมีกฎหมายห้ามไว้เลย เพราะเขากลัวเรื่องความมั่นคง และของเรา ผมอยากถาม ความมั่นคงทางอาหารเราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่เราจะตัดสินใจเปิดอะไร เพราะเปิดไปแล้วแก้ไม่ได้ มันจะเป็นปัญหาตามมา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะรั่วไหลไปแค่ไหน"

การต่อสู้ 2 แนวทาง

วิฑูรย์บอกว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพหรือสิ่ง
มีชีวิต

"มันมี 2 ชุดความคิด ตอนนี้มันสับสน แม้กระทั่งเราอ่านข่าวดูข่าวก็ดี ก็คือคนเข้าใจว่าถ้าจดสิทธิบัตรจะเป็นคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศ แต่เรากำลังจะบอกว่าไม่ใช่นะ การจดสิทธิบัตรมันเป็นการจดสิ่งประดิษฐ์มีความใหม่ ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ มีนวัตกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งถ้าใช้เกณฑ์นี้ในการจดเพื่อคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทรัพยากรชีวภาพ มันจะให้สิทธิผูกขาดแก่บริษัทหรือนักวิจัยหรือประเทศที่มีความสามารถที่จะเอาของที่มีอยู่ไปจดเพื่อใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม และในภายหลังมันขยายมาถึงขั้นที่ว่าแค่ค้นพบ function ว่าทำให้ข้าวเกิดความหอมมันก็จดได้"

"แต่มีกติกาของโลกอีกชุดหนึ่ง คืออนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งให้สิทธิอธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งเรายังใช้ประโยชน์น้อยไป เพราะดันไปเข้าใจว่าสิทธิบัตรจะคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ"

อ.สมชายกล่าวว่านี่คือแนวทางที่เราควรจะเลือกใช้มากกว่าการเปิดให้จดสิทธิบัตร

"อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศตัวเดียวที่พูดถึงเรื่องการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ แต่สหรัฐอเมริกากลัวเสียเปรียบ ก็เลยไม่ยอมเข้าไปเป็นภาคี เพราะเขาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพเยอะ ถ้าเข้าเป็นภาคีเขาต้องทำตามกติกานี้ คือใครก็ตามที่จะไปใช้ทรัพยากรชีวภาพ เอาไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า ต้องบอกเจ้าของเขาก่อน ขออนุญาตเจ้าของเขา ถ้าเจ้าของเขาไม่ยอมก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าเขายอมเขามีสิทธิที่จะขอแบ่งผลประโยชน์ กระบวนการนี้กำลังถูกสร้างขึ้นอยู่บนเวทีโลก ในประเทศไทยมีแม่แบบแล้วคืออยู่ใน พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชปี 2542 แม้กฎหมายลูกยังไม่ทำงานดีนัก แต่เริ่มเห็นทิศทางของมัน"

"ต่อไปสมมติกติกาโลกอันนี้ได้รับการยอมรับ ทุกประเทศเอาไปใช้ในกฎหมายภายใน สหรัฐอเมริกาจะเอายีนข้าวหอมมะลิของเราไปวิจัยเพื่อดูว่ายีนตัวไหนทำให้หอม เขาจะต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งภายใต้ พรบ.คุ้มครองพันธ์พืชของไทย เขาจะต้องขออนุญาตกรมวิชาการเกษตร และก็ทำข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ด้วย การที่เขาจะเข้ามาใช้ต้องขออนุญาตเรา ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องธรรมดาปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ คือเท่ากับเขายอมรับว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิ เท่ากับเขายอมรับอำนาจอธิปไตยของประเทศที่มีอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ นี่คือข้อกฎหมายที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่เขาไม่อยาก เพราะนั่นเท่ากับยอมรับว่าเราเป็นเจ้าของ เขาอยากได้ใช้ฟรีๆ ซึ่งถามว่ามันใช้ฟรีได้ง่ายไหม ง่ายมากเลย เดินเข้ามาหยิบข้าวไปกำหนึ่ง เด็ดใบไม้ไปใบหนึ่ง เขาก็สามารถวิจัยได้ เดิมเขาก็ทำกันมาอย่างนี้ แต่กติกาโลก ณ ขณะนี้ไม่ใช่แล้ว เพียงแต่ว่าอเมริกายังไม่ยอมเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ นี่เป็นการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แน่นอน สหรัฐอเมริกาพยายามจะผลักดันให้ประเทศไทยขยายสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในเวที WTO เขาก็พยายามผลักดัน แต่ว่ายังไม่สำเร็จเพราะประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศจับมือกัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพราะ ณ ปัจจุบันข้อตกลง TRIPSบอกไว้ว่าจะจดสิทธิบัตรคุ้มครองสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่แต่ละประเทศ มันเปิดช่องอยู่ เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ใช้สิทธิอันนี้ เราไม่คุ้มครองสิ่งมีชีวิต ตอนนี้เขากำลังพยายามจะให้คุ้มครองทุกอย่าง"

เราบอกว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ คิดว่าจดสิทธิบัตรน่าจะดีกว่า
"ขณะนี้ถามว่าประเทศไทยเป็นเจ้าของข้าวหอมมะลิอยู่หรือเปล่า เป็นอยู่ กติกาในการเข้าถึงพันธุ์พืชในบ้านของเราเองที่อ่อนด้อย จนให้ใครก็ตามสามารถเอาไปใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว แต่จริงๆ แล้วเรื่องของพันธุ์พืชมันแพร่หลายไปทั่ว อย่างอีรี มันกระจายไปทั่ว เพราะฉะนั้นในหลายองค์กรเขาบอกว่าคุณเอาไปใช้ได้ คุณเอาไปวิจัยแต่คุณห้ามหวงกันห้ามเป็นเจ้าของแต่เพียงคนเดียว แต่พอเอาระบบสิทธิบัตรมาใช้ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของมันจะหวงกันคนอื่นได้ตลอดเลย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก"

"ประเทศไทยได้ร่วมกับหลายประเทศ บราซิล อินเดีย เข้าไปในเวที WTO ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงTRIPS ว่าต่อไปนี้ใครก็ตามที่ยื่นขอสิทธิบัตรซึ่งเกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพ จะต้องบอกด้วยว่าคุณเอาทรัพยากรชีวภาพนั้นมาจากที่ไหน และแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของประเทศหรือเปล่า ประเทศไทยยื่นเสนอเข้าไปแล้วนะครับ แต่ยังอยู่ในระหว่างเจรจา สหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่อยากเปิดเผย เพราะจริงๆ แล้วสิ่งประดิษฐ์ที่เริ่มจากทรัพยากรธรรมชาติมันอาจจะแปรรูปได้หลายอย่าง จากยีนเขาไม่เพียงเอาไปตัดต่อเพื่อให้ข้าวพันธุ์อื่นหอม แต่เขาอาจจะเอายีนนั้นไปสร้างสารเคมีบางอย่างออกมาเป็นยา เป็นน้ำหอม มันคนละเรื่องแล้วนะครับ จากข้าวกลายมาเป็นน้ำหอมขวดหนึ่ง เวลาจดบอกว่าน้ำหอมผลิตจากจุลินทรีย์หรือยีนตัวนี้ เฮ้ยยีนนี้คุณเอามาจากไหน ตอนคุณหยิบมาคุณขโมยมาจากประเทศเขาหรือเปล่า หรือขออนุญาตเขาหรือเปล่า คุณแบ่งให้เขาหรือเปล่า นี่คือกติกาอีกชุดหนึ่งที่จะใช้ในการคุ้มครองตัวทรัพยากรชีวภาพ"

เมื่อมองจากกติกาใหม่แล้ว การที่ สวทช.ไปจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ แม้ถือว่าคุ้มครองแต่ก็คุ้มครองได้ระดับหนึ่งเท่านั้น

"การที่จะคุ้มครองไม่ให้สิ่งมีชีวิตถูกจดสิทธิบัตรเพื่อให้ใครสักคนเป็นเจ้าของ มันทำได้ 2 วิธี วิธีแรกก็คือเราจดตัดหน้าก่อน เพราะถ้าเราจดแล้วคนอื่นจดไม่ได้ อีกวิธีหนึ่งก็คือว่าคิดได้แล้วแบเลย ทำให้ความรู้นี้ไม่ใหม่อีกต่อไป เพราะฉะนั้นใครก็จดไม่ได้แล้ว ณ เวลานี้ประเทศไทย สวทช.ไปจดในต่างประเทศ คำถามคือคุ้มครองได้ไหม คุ้มครองได้ในระดับหนึ่ง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิธีการคุ้มครอง แต่หลังจาก 20 ปีมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะตกเป็นสมบัติสาธารณะ"

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการจดในประเทศไทย
"ประเด็นที่เรากำลังซีเรียสคือกำลังจะบอกว่าแม้แต่ประเทศไทยก็จดได้ด้วย นี่คนละเรื่องแล้วนะ คำถามคือจดในประเทศไทยดีไหม ถ้าจด ก็เท่ากับเราต้องแก้กติกาให้ประเทศไทยเปิดรับจด แน่นอน สวทช.จดในประเทศไทยได้ คนอื่นก็จะใช้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือถ้าเราเปิดกติกานี้แล้วมันต้องใช้กับทุกอย่าง นั่นหมายความว่าทรัพยากรชีวภาพไม่ใช่แค่ข้าว ทุกอย่างจะสามารถจดได้ภายใต้กติกาที่เราเปิดเอง"

"ถ้าเราจด เท่ากับเรายอมรับกติกาที่ต่างชาติเขียนให้เดิน ถามว่าเกมแบบนี้เราแข่งชนะเขาได้ไหม ไม่มีทางชนะ"

นี่คือทิศทางที่ประเทศไทยจะต้องเลือกว่าจะเดินตามเกมเปิดสิทธิบัตร หรือเลือกใช้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ อ.สมชายบอกว่ามี 2 ชุดความคิด

"ชุดความคิดแรกคือ ถ้าเราจดเองเท่ากับเรายอมรับในกติกาว่าเดินอย่างนี้และเราก็ลงไปเล่นในเกมของเขา แต่อีกชุดความคิดหนึ่งบอกว่าเนื่องจากโลกมันไปทางนี้ ถ้าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของเราในระดับหนึ่ง ก็ออกไปจดซะ ประเทศไหนเปิดให้จดออกไปจดหมดเลย ทีนี้ย้อนกลับมาว่าแล้วในประเทศไทยเอาอย่างไร นี่อีกประเด็นหนึ่ง"

แล้วถ้าไม่ให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอมในประเทศไทย คนอื่นจะมาจดได้ไหม วิทูรย์บอกว่าไม่ได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาตอยู่แล้ว

"ใครก็มาจดไม่ได้ คนไทยก็จดไม่ได้"

วิทูรย์ชี้ว่าปัจจุบันกติกาโลกชุดใหม่คืออนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเร่งพัฒนาขึ้น ประเทศไทยจึงต้องเลือกว่าจะเล่นในกติกาไหน "ตอนนี้มันมีกติกาที่เราเล่นได้แต่เราไม่เล่น เราไปเล่นในเกมเขา"

เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า ตอนนี้มีการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตหลายอย่างแล้วในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยยังไม่ยอมให้จด

"มันจดเกลี้ยงเลยนะเช่นสิทธิบัตรมะละกอ GMO ไวรัสต้านทานโรคมะละกอ เป็นไวรัสของไทย เอาไปวิจัยแล้วมันจดทั้งตัวยีนไวรัส ทั้งตัวมะละกอ กรรมวิธีทั้งหมด เมล็ดมะละกอ การจดยีนเป็นการผูกขาดเป็นเจ้าของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งสายพันธุ์ แล้วเอายีนนี้ไปไว้ในพันธุ์พืชไหน เช่นพืชตระกูลอื่นเพื่อให้ต้านทานโรค ก็คุ้มครองหมดเกลี้ยงเลย เพราะตรวจส่วนไหนของพันธุ์พืชต้นนั้นก็เจอยีนนั้นเสมอ"

การจดสิทธิบัตรมะละกอส่งผลกับเราไหม
"เขาไม่ได้จดในประเทศไทย และเรายังไม่ได้ส่งออกมะละกอจีเอ็มโอ ตลาดจำนวนมากก็ปฏิเสธมะละกอจีเอ็มโอ"

ผู้อำนวยการไบโอไทยย้อนให้ฟังว่า การคุ้มครองข้าวหอมมะลิ ที่จริงประเทศไทยก็ได้ต่อสู้มาตลอด

"การคุ้มครองข้าวหอมมะลิมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ครั้งแรกสุดคือปี 2540 เราพบว่าบริษัทไรซ์เทคที่เท็กซัสไปจดเครื่องหมายการค้าและอ้างว่าเป็นข้าวหอมมะลิ ตอนนั้นก็เป็นกระแสใหญ่พอสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ตอนกรรมการของ IRRI(สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ) มาเข้าเฝ้า พระองค์ท่านถามเลยว่ากรณีนี้ที่ IRRI เกี่ยวข้องกับการวิจัยเรื่องข้าวจะจัดการอย่างไร อีรีก็ตอบว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่มีการไปอ้างแบบนั้น IRRI จะสนับสนุนรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ นั่นเป็นครั้งแรก เป็นสัญญาณ"

"พอครั้งที่ 2 มีนักวิจัยอเมริกา คริส เดีย เรน สถาบันวิจัยข้าวแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่รัฐอาร์คันซอซึ่งเป็นรัฐปลูกข้าวใหญ่ที่สุดทำโครงการวิจัยข้าวหอมมะลิเพื่อปลูกในอเมริกา ครั้งนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจดสิทธิบัตรที่สุด เขาเอาข้าวหอมมะลิไป โดยที่ไม่ได้ลงนามในข้อตกลง เขาอ้างว่าได้มาจากอีรี เราก็เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทักษิณว่าเรื่องนี้คุณต้องคุยกับอเมริกา ในที่สุดอเมริกาก็รับว่าจะไม่จดสิทธิบัตร"

"ระหว่างนั้น กฎหมายไทยพยายามออกมาคุ้มครองข้าวหอมมะลิ เราเสนอว่าต้องคุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิด้วย เพราะชื่อข้าวหอมมะลิอิงกับแหล่งทางภูมิศาสตร์ เวลาพูดถึงข้าวหอมมะลิทุกคนก็นึกถึงประเทศไทย นึกถึงทุ่งกุลาฯ เหมือนอินเดียเขาก็คุ้มครองข้าวจัสมาติ ในที่สุดรัฐสภาเห็นด้วยกับเราก็มีบทบัญญัติเปิดทางให้คุ้มครองชื่อข้าวหอมมะลิ แต่ในทางปฏิบัติยังต้องดำเนินการต่อ"

"ที่ผ่านมา เราก็เคลื่อนไหวมาโดยตลอดในเรื่องเอฟทีเอ ว่าคุณไม่มีสิทธิผลักดันให้เราแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เราผลักดันกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้มีภาคที่ว่าด้วยการเปิดเผยที่มาของทรัพยากรชีวภาพ ใครก็ตามจะจดสิทธิบัตรถ้าคุณไม่แสดงที่มาก็ไม่ชอบ"

เขาย้ำว่านี่คือสิ่งที่ประเทศไทยได้ต่อสู้มาตลอด เพื่อคัดค้านการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต

"กรณีข้ามหอมมะลิของคริส เดียเรน ปี 2545 อเมริกาไม่เป็นภาคีในอนุสัญญานะ ในทางกฎหมายเขาไม่ยอมรับว่าประเทศไทยมีสิทธิเหนือข้าวหอมมะลิ แต่เมื่อมีการพัฒนาโครงการวิจัยนั้นและจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร เราค้าน เราบอกว่าข้าวหอมมะลิเป็นทรัพยากร เป็นมรดกของประเทศ คุณจะจดสิทธิบัตรไม่ได้ ในทางการเมืองเขาเลยไม่ทำ ยุโรปส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกในอนุสัญญาเกือบหมดแล้ว ดังนั้นการที่เราส่งสัญญาณว่าเราเห็นด้วยกับการจดสิทธิบัตร มันเท่ากับเรายอมรับกติกาของสหรัฐ คือเรายอมไปเล่นในเกมเขา ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันมีกติกาที่เจรจาต่อรองกันอยู่ แต่เหมือนกับเราไปส่งสัญญาณว่าเราจะเลือกใช้เครื่องมือสิทธิบัตรในระหว่างประเทศเพื่อจะคุ้มครองข้าวหอมมะลิของเรา"


สวทช.ไม่ใช่ประเทศไทย

อ.สุรวิชกล่าวว่าการให้ข่าวขณะนี้สร้างความสับสน

"ที่เขาไปจดสิทธิบัตรในอเมริกาเป็นกระบวนการสร้างข้าวแปลงพันธุ์ ข้าวตัดแต่งพันธุกรรมให้มันหอม จากข้าวที่ไม่เคยหอมให้มันหอม นั่นคือสิ่งที่เขาไปขอรับสิทธิมา เขาไม่ได้จดตัวยีนข้าวหอม แต่เขาพยายามจะมาเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดยีน ทั้งๆ ที่โดยกฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบันสิ่งที่เขาไปขอจดที่อเมริกามาขอจดที่เมืองไทยได้ เพราะกฎหมายสิทธิบัตรของเรายอมให้จดคุ้มครองกระบวนการทางชีววิทยา ของเขาเป็นกระบวนการทางชีววิทยา จดได้อยู่แล้ว รัฐมนตรีไม่ต้องไปเรียกกรมมาสั่งหรอก เพราะกฎหมายทุกอย่างเอื้ออยู่แล้ว แต่เขาไม่ประสงค์ ที่เขาออกข่าวมาเพราะเขาไม่ประสงค์จะทำอย่างเดียวกับที่เขาได้ที่อเมริกา เขาต้องการมากกว่านั้น ถ้าให้ผมวิเคราะห์ ผมวิเคราะห์ว่าเขาน่าจะมีความคิดแอบแฝง hidden agenda ที่จะพยายามเอาเรื่องนี้นำไปสู่การอนุญาตให้ทดลองจีเอ็มโอในไร่นา คือเขาจะเล่นเรื่องจีเอ็มโอ แต่เขาไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะมติครม.ครั้งแรกก็ห้ามทดลองในไร่นา ครั้งที่สองให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เขายิ่งตายหนักยิ่งไปกว่านี้ หน่วยงานที่ไปยื่นขอรับสิทธิบัตรเขาทำเรื่องจีเอ็มโออยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะดิ้นมาก เขาจะใช้ตรงนี้เป็นหอกที่จะทะลวงทางออกไป"

ในฐานะนักวิชาการเกษตร อ.สุรวิชบอกว่า สวทช.ทำเรื่อง GMO มานาน

"เขาให้นักวิจัยทำเรื่องนี้ มีทั้งข้าว มะละกอ พริก ฝ้าย มะเขือเทศ แต่รัฐบาลไทยห้ามทดลองในไร่นา ทำได้เฉพาะในโรงเรือน เพราะฉะนั้นตอนนี้เขามีข้อจำกัดอยู่ ซึ่งเขาอยากแก้ไขข้อจำกัดตรงนี้ เขาพยายามที่จะให้ข่าวคลาดเคลื่อน ให้ข่าวว่าเขาไปจดยีน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ เขาออกข่าวว่าเขาต้องการได้รับการปฏิบัติเหมือนได้รับที่อเมริกา แต่ที่จริงแล้วเขาต้องการมากกว่าที่อเมริกาให้เขา นี่คือประเด็นคือวาระซ่อนเร้นของเขา"

ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญาให้จดยีน จะเกิดผลอย่างไร
"เขาต้องการเป็นเจ้าของ คำถามของผมก็คือ ปกติแล้วการขอรับสิทธิบัตรหรือขอรับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเขาจะขอในประเทศซึ่งเป็นตลาด หรือประเทศที่คิดว่าจะมีการละเมิด แต่เขาพยายามมาจดประเทศไทยก็แปลว่าเขามีความคิดอยู่ในสมองลึกๆ ใช่ไหมว่าเขาจะฟ้องคนไทย หรือคนที่อยู่ในประเทศไทย เพราะถ้าไม่คิดฟ้องเขาจะจดทำไม มันต้องพูดถึงหลักการก่อนนะครับ เขาไปจดอเมริกาไปจดจีนเพราะรู้ว่าจะมีคนเอาเข้าจีน เอาเข้าอเมริกา ไปดักที่ตรงโน้น ไม่จ่ายก็จับ แต่นี่คิดจะมาจดประเทศไทย"

"ผมถึงเรียกร้องให้เขาออกมาพูดให้ชัดว่าสิทธิบัตรอันนี้เขาให้กับคนไทยทั้งประเทศ เขายังไม่ได้พูดเลยนะ เขาไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงด้วยซ้ำ เขาถวายเหรียญเขาไม่ได้ถวายสิทธิบัตรนี้ให้ในหลวง เขายังไม่ได้ให้เป็นของประเทศไทย และเขาก็ไม่เคยพูดว่าเขาให้กับประชาชนไทย แต่เขาบอกว่าเป็นของหน่วยงานไทย"

"สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐแต่ไม่ใช่ราชการนะครับ เหมือนรัฐวิสาหกิจสามารถที่จะตัดมิเตอร์ หน่วยงานราชการที่ไม่จ่ายค่าไฟภายใน 7 วันได้ เขามีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ตามกฎหมาย และเขาก็ยังไม่เคยออกมาบอกกับประชาชนเป็น public commitment เป็นสัญญาประชาคม ว่าผมจะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนชาติไทยนะ ไม่เคย เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนต้องไปบอกให้เขาพูดอย่างนี้ ถ้าเขาบอกว่าเขาทำให้คนไทยจริงพูดออกมาให้ชัดเจนเลย"

สิทธิบัตรนี้เป็นของ สวทช.หรือนักวิจัย
วิทูรย์บอกว่าเป็นของ สวทช. แต่จะมีสัญญาให้นักวิจัยได้ประโยชน์

"สิทธิเป็นของสวทช. นักวิจัยก็แล้วแต่ สวทช.จะกำหนดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง กรณีคอร์เนล ที่กอนซาเลซ เป็นนักวิจัยไวรัสมะละกอ มันเขียนไว้ชัดว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จะต้องแบ่งให้ทีมวิจัย และ 20 เปอร์เซ็นให้หน่วยงาน อย่างนี้เป็นต้น"

อ.สุรวิชบอกว่าในเมืองไทยส่วนใหญ่จะให้ 50:50 เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักวิจัยทำงาน

วิทูรย์บอกว่าการที่ สวทช.เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นคำถามอีกเหมือนกันว่า สวทช.จะใช้สิทธิบัตรอย่างไรในอนาคต

"คนจะเข้าใจว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่ไม่ใช่ สวทช.ไม่ใช่หน่วยงานราชการ เป็นหน่วยงานของรัฐนอกระบบ ที่ผมกังวลอันหนึ่งคือบทบาทของ สวทช.ที่ผ่านมา กรณีแรกคือการที่ สวทช.ไปทำสัญญางานวิจัยร่วมกับบริษัทโนวาติส ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตร โดยตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย ตั้งแต่ปี 2548 โดยมี 2 เฟส เฟสละ 3 ปี ตอนนี้หมดเฟสแรกไปแล้ว การวิจัยนั้นเป็นการวิจัยเรื่องเชื้อราและทรัพยากรชีวภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในทางยา แต่รายละเอียดของตัวสัญญาไม่เป็นที่เปิดเผย"

"สวทช.เหมือนกับได้สถาปนามาเป็นหน่วยงานทำหน้าที่ในการจัดการเรื่องของการใช้ประโยชน์ในรัพยากร ผมตั้งคำถามต่อว่าในกรณีของสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิที่เขาจดอยู่ปัจจุบันนี้ ต่อไปเขาจะมีสัญญาแบบนี้ไหม กับบริษัทอื่น เช่น มอนซานโต หรือบริษัทอื่นก็แล้วแต่ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากตัวสิทธิบัตรนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นถามว่าเขามีสิทธิจะทำได้ไหม เขาทำได้ ในระยะยาวใครจะทำให้เกิดหลักประกันว่าสิทธิบัตรเหล่านั้นจะไม่เป็นประโยชน์ หรือไปสร้างผลกระทบต่อชาวนาที่ปลูกข้าวหอมะลิในประเทศไทย"

"กรณีที่สอง มันมีงานวิจัยบางชิ้น เช่น การพัฒนาข้าวหอมนิล ซึ่งได้ทุนจากรัฐบาล เมื่อพัฒนาเป็นข้าวมาได้เขาก็ขายสิทธินี้ให้กับบริษัทเอกชน ทั้งการผลิต จำหน่าย ข้าวหอมนิลนั้น โดยที่ไม่ได้เผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน แล้วก็มีการเอาข้าวหอมนิลมาผสมกับข้าวหอมมะลิ ได้ข้าวสีนิลซึ่งมีธาตุเหล็กสูง แล้วนักวิจัยกลุ่มนี้-กลุ่มเดียวกับที่วิจัยข้าวหอมมะลินี่แหละ ตั้งบริษัท สีนิล ไรซ์ ร่วมกับบริษัทไชโยเอเอ ที่ขายพันธุ์ยูคาลิปตัส โดยนักวิจัยเป็นผู้ก่อตั้ง"

"ในอนาคตถ้ามีการเอาสิทธิแบบนี้ไปทำสัญญากับบริษัท ค้าขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิทธิบัตรนี้ ถ้าไปทำข้ามประเทศ อย่างบริษัทโนวาติส ไปผลิตข้าวที่มีความหอมอย่างข้าวหอมมะลิ ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร ตรงนี้ยังไม่มีใครพูด ตอนนี้สังคมไทยไม่เข้าใจ คิดว่า สวทช.คือประเทศไทย แต่เราไม่รู้ว่า สวทช.จะทำอะไรได้บ้าง และที่ผ่านมาเขาทำอะไรไปบ้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เป็นคนกำกับ แต่แค่กำกับนะ หน่วยงานนี้เขามีระบบของเขา เหมือนกับเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างหนึ่ง สังคมไทยจะต้องจับตา ต้องตรวจสอบอย่างไรบ้างในกรณีนี้ เพราะกระบวนการจดสิทธิบัตรมันการเป็นการแปรรูปความหอมของข้าวหอมมะลิไปเป็นสิทธิของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แล้วแต่มติของคณะกรรมการ"

กรณีสีนิลไรซ์ผูกขาดข้าวพันธุ์นี้ไปเลยไหม
"เขาไม่ได้ไปจดคุ้มครอง แต่กระบวนการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมา เขาเก็บรักษาพันธุ์เอาไว้ เขาให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเผยแพร่ต่อ เพราะจะรักษาเชื้อพันธุ์ที่ดีเอาไว้ แล้วนักวิจัยก็ไปตั้งบริษัทร่วมกับเอกชน ทั้งที่ได้รับทุนจากรัฐบาล"

อ.สุรวิชกล่าวว่า ถ้าเกิดเรื่องในทำนองเดียวกัน ก็อาจเป็นได้ว่าวันหนึ่ง สวทช.หรือนักวิจัย จะบอกว่าอยากได้ทุน ก็อนุญาตให้บริษัทอเมริกาเอาสิทธิบัตรนี้ไปใช้

"ข้าวที่ผลิตมาจากกระบวนการนี้ไปปลูกที่ไหนก็หอม ไม่จำเป็นต้องปลูกที่ทุ่งกุลา ด้วยวิธีการนี้มันปลูกอเมริกาก็หอม คนได้ประโยชน์คือ สวทช.แบ่งกับอเมริกา แต่ถามว่าเกษตรกรไทยที่ขายข้าวไม่ได้ล่ะครับ ตรงนั้นคิดไหม เทียบเคียงกับข้าวหอมนิลก็คือเอาสมบัติของสาธารณะมาเป็นสมบัติของหน่วยงานของประเทศไทย ฟังดูดี แต่เฮ้ย เอาประโยชน์ของประชากรส่วนใหญ่มาให้หน่วยงานนี้ ถามว่าหน่วยงานนี้ทำไมต้องได้รับสิทธินั้น"

สมมติอเมริกาขอซื้อสิทธิปลูกเป็นล้านๆไร่
"เขาอยากขอใช้แน่นอน เพราะการทดลองนี้ทดลองกับข้าวเม็ดสั้น ซึ่งอเมริกาปลูกข้าวเม็ดสั้นเยอะแยะ เขาเปลี่ยนข้าวที่ปลูกในอเมริกาจากไม่หอมเป็นหอม เขาไม่ต้องทำข้าวเม็ดยาวอย่างของเรา คนอเมริกาก็อาจจะไม่ซื้อข้าวจากไทย ตลาดข้าวเราหด สวทช.ได้ประโยชน์ ฟังดูว่าประเทศไทยได้ประโยชน์ หน่วยงานประเทศไทยได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรไทยได้ประโยชน์หรือเปล่า น่าคิดนะ"

"คุณไปจดนี่คุณกะจะทำอะไร ต้องให้เขาแถลงให้ชัดเจน หนึ่ง เป็นของคนไทยใช่ไหม ให้สิทธิกับประเทศไทยทั้งหมดไหม สอง จดเพื่อการหวงกันถูกไหม แปลว่าจะไม่อนุญาตให้ใครในโลกนี้ใช้สิทธิในสิทธิบัตรนี้ถูกต้องไหม เอาแค่นั้นเลย เพราะถ้าคุณอนุญาตให้คนอื่นใช้สิทธิซึ่งไม่ใช่คนไทย คุณไม่ประสงค์จะหาเงินกับคนไทย แต่ให้ต่างประเทศใช้สิทธิ แล้วผลิตภัณฑ์ออกมาตีตลาดข้าวไทย คุณรับผิดชอบอะไร เกษตรกรไทยเดือดร้อน จดเพื่อหวงกันจริงหรือเปล่า จดหวงกันต้องไม่ให้คนอื่นใช้สิทธิ 20 ปีคนอื่นใช้ทำข้าวจีเอ็มด้วยวิธีนี้เพื่อให้เป็นข้าวหอม ไม่ได้ คุณพูดอย่างนั้นสิ ถ้าคุณจะทำเพื่อประเทศไทยต้องพูดอย่างนั้น แต่ผมว่าเขาไม่พูดหรอก"

สิทธิบัตร 20 ปีหมายความว่าเราจบเลยใช่ไหม อีก 20 ปีทุกคนก็ผลิตได้
"อีก 20 ปีเทคโนโลยีมันอาจจะเปลี่ยน ถ้าเขาพัฒนางานนี้ ทำให้มีสิทธิบัตรเกิดขึ้นใหม่ ก็ต่อได้อีก 20 ปีไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาไม่คิดว่าทำเพื่อประเทศ สมมติครั้งนี้เราไปบีบคอเขาห้ามอนุญาตให้ใครใช้สิทธิ เขาบอกฉันลงทุนเป็นสิบล้าน ไม่ให้ฉันหาเงินเลย เพราะฉะนั้นฉันไม่ทำแล้วงานวิจัยอย่างนี้ 20 ปีเราก็หมด"

วิทูรย์บอกว่าที่ อ.สุรวิชพูดเคยเกิดขึ้นแล้ว

"การวิจัยเรื่องกวาวเครือ ที่จุฬาฯ นักวิจัยที่เก่งเรื่องนี้วิจัยไปถึงจุดหนึ่ง อาจจะไม่มีงบมหาวิทยาลัย support เขาก็เอาสิทธิบัตรไปขายให้เกาหลีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มาจากกวาวเครือ แต่กระบวนการวิจัยเป็นการลงทุนโดยงบประมาณของรัฐ งานวิจัยและการจดสิทธิบัตรตอนแรกเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติของมหาวิทยาลัยของนักวิจัย แล้วก็ถูกแปรมาเป็นทางการค้า"

อ.สุรวิชกล่าวว่าเรื่องนี้ประเด็นสำคัญคือจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช ซึ่งบอกว่า ผู้ใดจัดหารวบรวมพันธุ์พืชป่าหรือพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษาทดลองวิจัย เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า จะต้องมาขออนุญาต และทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ก่อน แต่ปัญหาคือกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ออก

"ถ้าผู้บริหารประเทศบอกว่าจะปกป้องทรัพยากรของไทย ต้องผลักดันให้กฏกระทรวงตามมาตรา 52 ของพรบ.คุ้มครองพันธ์พืช 2542 ออกมาโดยเร็ว ตั้งแต่ 2542 นี่ 10 ปีแล้วกฎหมายลูกยังไม่ออกเลย"

ถ้าทำตามมาตรา 52 จะเป็นอย่างไร
"สวทช.ได้เงินมาเท่าไหร่ต้องแบ่งเข้ากองทุนฟื้นฟูทรัพยากรชีวภาพ ในกฎหมายระบุว่า เงินที่ได้ต้องเข้ากองทุนและกลับไปสู่ชุมชน"

"เขาอาจจะคิดว่าเข้ามาตรา 53 คือไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า ตอนที่วิจัยไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้า แต่ทันทีที่คุณจดสิทธิบัตรมันพูดถึงประโยชน์ทางการค้า เพราะถ้าไม่หวังประโยชน์ทางการค้าคุณจะไปจดสิทธิบัตรทำไม"

อ.สุรวิชกล่าวว่าการจดสิทธิบัตรข้าว GMO ก็จะมีผลข้างเคียงอีกแง่หนึ่ง

"รัฐไทยประกาศมาตลอดว่าเมืองไทยไม่มีการทดลองทำจีเอ็มโอข้าว ประกาศให้ทั่วโลกรู้เลย ประเทศคู่ค้าจะได้ไม่สุ่มตรวจข้าวเราว่าเป็นจีเอ็มโอติดมาหรือเปล่า ว่างๆ เอกสารฉบับนี้ก็โผล่ออกมาว่าสิทธิบัตรนี้ทำโดยการทำจีเอ็มโอข้าว ถ้าคุณเป็นคู่แข่งทางการค้า เช่นเวียดนาม ก็ต้องยกประเด็นนี้ไปบอกคู่ค้า สมมติไปบอกยุโรป เห็นไหมประเทศไทยเชื่อถือไม่ได้ บอกว่าข้าวไม่มีจีเอ็ม เอาเอกสารนี้ไปให้ดู รัฐไทยเชื่อได้อีกไหม ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากประเทศไทยไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว มันไม่ใช่กระทบแต่ข้าวนะ ผักผลไม้ทุกอย่างที่ส่งไป"

เราบอกว่าตอนแถลงข่าวไม่เห็นบอกว่า GMO
"เขาบอกว่าเขาจดยีน ไม่ใช่จดกระบวนการ อันนี้จะบอกว่าเขาพูดผิดไม่ได้หรอก โดยเจตนาบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดว่าเขาจดกระบวนการสร้างข้าวจีเอ็มให้หอม งานวิจัยจีเอ็มโอเขาได้ทุนมาเยอะและทำมานาน เขาต้องพยายามหาทางว่าทำอย่างไรให้งานวิจัยเขาไปแสดงผลให้ได้ ตีล้อมมาจากข้างๆ"

อย่างไรก็ดี อ.สุรวิชเห็นว่าการจดในต่างประเทศก็มีส่วนที่ดี
"เพราะถ้าเขาไม่จด เกิดจีนศึกษาโครงการจีโนมข้าว สมมติจีนค้นพบแล้วเอาไปจดก่อน จีนก็ทำข้าวหอมมะลิจีเอ็มโอได้"

แต่ไม่ควรที่จะต้องมาจดในประเทศไทย
"จะจดด้วยเหตุผลใด หาเหตุผลไม่เจอ ถามว่าประเทศไทยใครจะละเมิดได้ มาทำจีเอ็มในประเทศไทย ทำแล้วจะมาปลูกด้วย สมมติซีพีมาติดต่อ สวทช.ขออนุญาตใช้กระบวนการนี้ ปกติการอนุญาตให้ไปมักจะเป็นกินเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็ให้ล่วงหน้ามาสักส่วนหนึ่ง สมมติ 1 ล้าน จากนั้นเอาไปสักตันละ 1,000 บาทเป็นค่าใช้สิทธิ ถ้าสวทช.อนุญาตก็คงไม่มีสมอง เพราะซีพีจะไปปลูกที่ไหน ประเทศไทยปลูกข้าวจีเอ็มไม่ได้ ถ้าไปปลูกที่ลาว เขาไม่ต้องมาขออนุญาตใช้สิทธิที่เรา เพราะประเทศลาวไม่ได้รับสิทธิบัตรอันนี้ ก็ไปทำที่ลาวเลยสิ ไปตั้งแล็ปที่ลาวทำจีเอ็มเลย ผมจึงคิดไม่ออกว่าจะจดในประเทศไทยไปทำไม"

"อย่างที่ผมบอกเขาไม่ได้ประสงค์จะจดกระบวนการ ทุกครั้งที่เขาให้ข่าวคือเขาประสงค์จะจดยีน เขาประสงค์ที่จะนำไปสู่การแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร และยาวออกไปคือเรื่องของการปลูกจีเอ็มในประเทศไทย ผมเป็นนักวิชาการสายนี้ รู้ว่าเขาคิดอะไร ทำให้ผมกังวลในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิของคนไทย ถ้าจริงใจก็ประกาศออกมาสิ สวทช.ต้องการอย่างนี้ จะไม่บังคับใช้สิทธิกับคนไทย เป็นสมบัติของชาติ ณ วันนี้มันเป็นสมบัติของสวทช. หน่วยงานของรัฐ แต่สวทช.จะให้กับประชาชนทั้งประเทศ ประกาศออกมา ปีหน้าก็ได้วันข้าวไทย 6 มิ.ย. ปีนี้ผ่านไปแล้วจะประกาศย้อนหลังก็ได้ ทุกคนก็แฮปปี้ แต่ทุกวันนี้คุณพยายามสร้างความสับสน"

วิทูรย์บอกว่าที่อลงกรณ์กำลังผลักดัน ก็คือสิ่งที่อเมริกาเคยเรียกร้องในเอฟทีเอ

"เขาบอกว่าเป็นนโยบายที่จะให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาจดสิทธิบัตรในพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เพราะถ้าประเทศอื่นจดได้ กฎหมายไทยจะต้องอนุญาต"


"แต่มันขัดกับกฎหมายไทย กฎหมายของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากไม่อนุญาตจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต นี่คือจุดยืนของกฎหมายไทยที่มีมาในอดีตถึงปัจจุบัน แม้แต่รัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่มีใครแก้เรื่องนี้ แม้แต่สมัยทักษิณก็บอกว่าเรื่องนี้สำคัญเขาจะไม่แก้ แต่สิ่งที่อลงกรณ์พูดตอนนี้เหมือนกับคุณต้องจัดการกับกฎหมายภายใน เปิดโอกาสให้มีการจดสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต ซึ่งข้อเสนอนี้อยู่ในข้อเสนอที่อเมริกา ยุโรป ผลักดันรัฐบาลไทยผ่านข้อตกลงเอฟทีเอ ตีความได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะรองรับการเจรจาเอฟทีเอ เพราะถ้าคุณเจรจาเรื่องเอฟทีเอ คนอาจจะค้านเพราะเป็นผลประโยชน์ต่างชาติ แต่ตอนนี้บอกว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ของข้าวไทย แบบนี้ทักษิณเคยทำมาก่อนก็คือแก้กฎหมายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า พอเอฟทีเอมาเข้าสภาไม่ต้องแก้กฎหมาย ตอนที่ทักษิณจะเปิดเอฟทีเอเรื่องจีเอ็มโอ ทักษิณก็บอกว่าการเปิดเสรีเรื่องจีเอ็มโอไม่เกี่ยวกับเอฟทีเอ เป็นเพราะ สวทช.ต้องการเปิดให้วิจัย ตอนนี้อลงกรณ์มาคล้ายๆ กัน อลงกรณ์มาบอกว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องเปิดให้ใช้มาตรการทางกฎหมายแบบเดียวกับอเมริกา ให้มีการจดสิทธิบัตร เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยไทย"

มีข้อสงสัยอีกอย่างว่า สวทช.จดสิทธิบัตรได้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ทำไมเพิ่งประกาศ
"เขายื่นจดปี 2006 ได้ 2008 เขายื่นไปหลายฉบับนะ บางฉบับอเมริกาก็ไม่อนุมัติ"

อ.สุรวิช "สถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้นมันตีปี๊บไม่ได้หรอก เขาก็รอให้ไม่มีสถานการณ์การเมือง เรื่องนี้อยู่ที่ สวทช.เป็นคนดัน มีแผนเป็น step อยู่แล้ว ว่าจะดันในช่วงไหน หลังจากประกาศแล้วเขาจะดึงหมากต่อไปอย่างไรๆ"

วิทูรย์ "ตอนนี้กรมทรัพย์สินฯ ก็ถูกมองเป็นผู้ร้าย กรณีนี้เรายืนอยู่ข้างกรมทรัพย์สิน ในการที่ไม่ยอมให้จดสิทธิบัตร ที่ผ่านมาเราไม่เห็นด้วยกับกรมทรัพยืสินหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาถูกต้อง"




บทเรียนจากอดีต

ถามวิฑูรย์ว่ามีอะไรบ้างที่เกรงว่าต่างชาติจะเข้ามาเป็นโจรสลัดทางชีวภาพ ถ้ายอมให้ สวทช.จดสิทธิบัตรยีนข้าวหอม แล้วเป็นช่องให้ต่างชาติจดได้เช่นกัน

"ตอนนี้ญี่ปุ่นเขาเชี่ยวชาญเรื่องเชื้อรา เขามีทีมเยอะ ใช้ในยารักษาโรค อุตสาหกรรมอาหาร เขาเข้ามาศึกษาเชื้อราของไทยเยอะเลย ในญี่ปุ่นเขาประเมินว่าอุตสาหกรรมอะไรใหญ่ที่สุด ไม่ใช่รถยนต์นะแต่เป็นจุลินทรีย์ ที่เราเซ็น J-TEPPA ข้อเสนอเรื่องจุลินทรีย์เป็นเรื่องใหญ่ เราไม่รู้เรื่องเลยเราก็ยอมเขา สมัยสุรยุทธ์ จนต้องมาทำจดหมายแนบท้ายตอนหลัง"

"ผมเคยเจอศาสตราจารย์ญี่ปุ่น เขาบอกเขามีโครงการเต็มไปหมดกับมหาวิทยาลัยในเมืองไทย โดยเฉพาะราชภัฏ ราชมงคล เพราะเป็นมหาวิทยาลัยชุมชน เข้าถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นง่าย เพราะงานวิจัยด้านทรัพยากรชีวภาพ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือภูมิปัญญาคนท้องถิ่น เหมือนเปล้าน้อย เขาก็มาหานักวิชาการ ก็พาไปหาถึงที่เลยว่าที่ไหนได้สารเปลาโนทอลมากที่สุด ก็ไปเจอที่คลองวาฬ ประจวบฯ คนที่ไปด้วยก็เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้นี่แหละ คือเราไม่ทันเกมเขา ใสซื่อ คนไทยอัธยาศัยดี รับแขก"

"เขามาเปิดไร่ที่คลองวาฬแล้วสกัดสารส่งไป มันเริ่มจากโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับญี่ปุ่น แล้วงานวิจัย report ว่าตัวเปล้าน้อยมีสารที่สามารถรักษาโรคได้หลายอาการ โดยเฉพาะโรคกษัย ญี่ปุ่นไปทำวิจัยต่อในห้องแล็บ ก็พบสารเปลาโนทอลที่รักษาโรคกระเพาะได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาแหล่งเปล้าน้อยที่ไหนที่ออกฤทธิ์มากที่สุด เขาก็มาประสานกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้คนหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของนักวิชาการไทย อาจจะความไม่รู้เท่าว่าจะนำไปสู่การจดสิทธิบัตร ต่อมาญี่ปุ่นจดสิทธิบัตร จดในเมืองไทยด้วยนะ จดกรรมวิธีการผลิต เขาก็มาตั้งโรงงานที่คลองวาฬ จ้างชาวบ้าน บริษัทได้ยอดขายเป็นพันล้าน ขายเม็ดละ 30 กว่าบาท จะครบสิทธิบัตร 20 ปีในปีสองปีนี้แหละ"

"กวาวเครือนี่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นส่งนักศึกษาปริญญาเอกมาทำวิจัยกับนักวิจัยจุฬาฯ แล้วญี่ปุ่นก็จดสิทธิบัตร อีกอันนักวิชาการไทยจดสิทธิบัตร แต่ขายต่อให้เกาหลี ถามว่าผลการวิจัยเหล่านั้นมันได้กลับมาสู่ประเทศหรือเปล่า"

"เราผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยก็เพราะเหตุนี้ มันมีพวกที่มาฉวยไปโดยที่ไม่มีอะไรแบ่งเลย ภูมิปัญญาชาวบ้านกว่าจะได้เป็นองค์ความรู้ขึ้นมา ชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมาน อาจจะเสียชีวิตเพราะทดลองกันมาในบรรพบุรุษ ขณะที่เราไปให้เครดิตคนที่ทดลองในห้องทดลองเล็กๆ มันไม่เป็นธรรม ซึ่งกติกานี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ”

Saturday, June 27, 2009

จิตในพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์

ปกติตามอ่านมานานไม่เก็บ แต่คราวนี้รู้สึกเสียดายเพราะเป็นเรื่องที่กำลังตามอ่านอยู่
เลยอยากเก็บไว้จากลิงก์
http://www.thaipost.net/sunday/280609/6925
ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ จะได้เข้าใจ

ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตมานาน โดยเฉพาะจิตในพุทธศาสนา และจิตในจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ (spiritual psychology)-ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณที่จะไล่ต่อๆ ไปจนถึง นิพพาน-บนพื้นฐานของปรัชญาของพุทธศาสนาตามที่ผู้เขียนเข้าใจ พร้อมๆ กันนั้นก็ได้ศึกษาและเขียนเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยมีคนเชื่อตาม หลังคุณอนุช อาภาภิรมย์ มาตั้งแต่ร่วมยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เคยเขียนบทความที่เปรียบเทียบกันของทั้งสองวินัย ที่ใช้วิธีการเข้าถึงความรู้ที่ทางพุทธศาสนาแน่ใจว่าเป็นความจริงที่แท้ จริง ที่ได้จากการปฏิบัติสมาธิมาอย่างลึกซึ้ง กับความจริงทางควอนตัมที่ได้มาจากการสังเกตด้วยการทดลองและคณิตศาสตร์ของนัก ฟิสิกส์ ซึ่งทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เชื่อกันแทบเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า-ในความเห็นของผู้เขียนเช่นกัน-ทั้งสองวินัย พุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์ต่างนำไปสู่ความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล คือทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงความสอดคล้องแนบขนานกันตามที่ ฟริตจอฟ แคปรา เป็นคนแรกที่สังเกตไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี 1975 ซึ่งต่อมานักฟิลิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนกล่าวไว้เหมือนๆ กันเท่านั้น แต่ผู้เขียนไปไกลกว่านั้นคือ เชื่อว่าทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งทางด้านของทฤษฎีและทางด้านปฏิบัติ (experiments) จริงๆ แล้วเนื่องจากควอนตัมฟิสิกส์ก็เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) ที่รับรู้โดยบุคคลที่สามเหมือนกับวิทยาศาสตร์กายภาพทั่วๆ ไป แต่ควอนตัมเมคานิกส์ใช้ชี้วัด (measurement) สสารที่เล็กละเอียดที่สุดระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น สสารที่เรามองไม่เห็นและไม่มีทางที่เราจะมองเห็น-ไม่ว่าจะเมื่อใด-ด้วยความ รู้ของนักวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะฉะนั้นการชี้วัดที่ว่าจึงเป็นการชี้วัดทางอ้อม ด้วยการทำปฏิกิริยาระหว่างกันของสสารที่เล็กและละเอียดที่สุดเหล่านั้น (interface) หรือไปยังข้อสันนิษฐานที่นักฟิสิกส์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ รวมทั้งแพทย์หลายต่อหลายคนคิดว่าจิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียดยิ่ง-ละเอียดยิ่ง กว่าคลื่นอนุภาคในฟิสิกส์ใดๆ และทำงานด้วยกลไกคล้ายหรือเหมือนกับควอนตัม/ซูเปอร์ควอนตัมที่อยู่ในสภาพของ คลื่นตลอดเวลา เพราะจิตของผู้นั้นจะไปพังพาบสภาพคลื่นนั้น (wave function collapse)-เพราะในศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า (ที่อยู่ภายนอกจักรวาลทั้งหมด) ขึ้นมาอธิบายกลไกต่างๆ ใดๆ อันเป็นความลี้ลับตรงนี้ได้ ซึ่งหากไม่ต้องสร้างพระเจ้าเพื่ออธิบายความลึกลับเหล่านี้ แต่อธิบายว่าเป็นจิต (ไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่เข้าอยู่ในกายในสมองของบุคคลนั้นๆ) แล้วถูกบริหารโดยสมองของผู้นั้น สมองก็จะเป็นประหนึ่งกลไกคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผู้บริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล (quantum computer)-ที่นักคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์กายภาพบางคนคิด-ให้เป็นจิตสำนึก หรือจิตรู้นั้นๆ

แต่ขอพูดที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลยว่า ความเป็นเรื่องเดียวกันของพุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์-ศาสนากับวิทยา ศาสตร์ตามที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่นั้น-เป็นคนละเรื่องกับที่เราเข้าใจกัน หรือพูดว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ (เก่า) ซึ่งท่านผู้อ่านก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือในที่นี้กับวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ นั้น เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากัน คือมีหลักการและเหตุผลที่เข้ากันไม่ได้เลยมานับตั้งแต่เรามีวิทยาศาสตร์มา นับหลายๆ ร้อยปีมานี้ เพราะฉะนั้นที่มีคนพูดๆ กันว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ซึ่งคงหมายถึงวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม หรือวิทยาศาสตร์กายภาพเก่า) (materialistic or physical sciences) อย่างที่คนเขาพูดๆ กันนั้น ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? แม้แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เอง ที่มีคนอินเดียทำการวิจัยไว้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับพุทธศาสนา ก็แทบว่าจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเดียวกันเลย ยกเว้นความจริงที่พุทธศาสนาบอกว่า สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารับรู้ว่าดำรงอยู่ข้างนอก นั้น ไม่เคยเลยที่ดำรงอยู่จริงตามที่เรารับรู้นั่น ทั้งหมดที่เรารับรู้ว่ามีอยู่เป็นเพียงความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งไปตรงกับทฤษฎีความสัมพัทธ์พิเศษของไอน์สไตน์ เพราะฉะนั้นและในความเห็นของผู้เขียน จึงใคร่ขอร้องไม่ให้คนไทยเอาพุทธศาสนาไปเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) อย่างเด็ดขาด เพราะพุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งต่างออกไปและเป็นอกาลิโก ส่วนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพนั้น ให้ความจริงแต่เฉพาะทางโลกที่ไม่จริงแท้แก่เรา แถมบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ วิทยาศาสตร์เก่าที่ว่านั้นให้ความจริงได้แค่ 99.0% หรือไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของจักรวาล หรือเมื่อเราพูดกันถึงอะตอมหรืออนุภาคที่เล็กละเอียดยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ซึ่งเปรียบเทียบกับฟิสิกส์ใหม่ที่ให้ความจริงถึง 99.999%

การเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่เป็นนักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่มีชื่อเสียง-แทบว่าจะทุกคนกระมัง-พูด ลองคิดดูว่าพวกอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาร่วม 3,000 คนจะคิดอย่างไร? เมื่อเบิร์กเลย์ได้จัดประชุมใหญ่ในเรื่องศาสนากับวิทยาศาสตร์เมื่อเดือน พฤษภาคมในปี 1996 นักฟิสิกส์ควอนตัมจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี ผู้อภิปรายคนหนึ่งได้พูดว่า ในฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของปัจจุบัน ความจริงทางศาสนากับความจริงควอนตัมนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ (in complete agreement)

ในการประชุมในโครงการจิตกับชีวิตครั้งที่ 7 ที่เปรียบเทียบพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา (การประชุมมี 5 วันที่จัดให้มีขึ้นในทุกๆ 2 ปี) ระหว่างองค์ทะไล ลามะ ฝ่ายหนึ่ง กับนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ นักปรัชญาและศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วโลก (ซึ่งบางทีมีพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายต่างๆ แต่ส่วนมากมาจากนิกายวัชรญาณ พุทธศาสนาของทิเบต ซึ่งมักจะจัดขึ้นที่ธรรมศาลา อินเดีย (Arthur Zajonc, editor: The New Physics and Cosmology, dialogue with Dalai Lama, 2004)

ซึ่งมีแอนตอน ไซลิงเจอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำ (Anton Zeilingtr) ไซลิงเจอร์นั้นเป็นนักฟิสิกส์มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผู้หนึ่ง ในด้านพื้นฐานของการทดลองทางควอนตัมฟิสิกส์ ตอนนั้นยังอยู่ที่อินสบรูกในออสเตรีย (ในปี 2006 ไซลิงเจอร์ได้รับเลือกเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยเวียนนาที่ เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ เคยครอง) แอนตอน ไซลิงเจอร์ ตอนที่ยังอยู่ที่อินสบรูก เป็นผู้ที่แสดงในห้องทดลองได้ว่าเราสามารถส่งอะตอม-ตัวเดียวกันหรือเหมือน กันทุกประการ-จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป (quantum telecommunication) การทดลองที่จะนำไปสู่การย้ายคนจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งเหมือนในภาพยนตร์สตา ร์เทรก หรือด้วยเวทมนตร์ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ ได้ ซึ่งเป็นผลของความจริงทางควอนตัมอย่างหนึ่ง (quantum non-locality) ที่เป็นความลึกลับที่ปัจจุบันสามารถรู้ได้ด้วยทฤษฎีของจอห์น สจวต เบลล์ (Bells' Theorem) ซึ่งเกิดจากการพัวพันกันอย่างอีนุงตุงนังของคลื่นอนุภาคและอะตอมตามที่ ชโรดิงเกอร์เรียก (entanglement)

การประชุมที่มีถึง 5 วันในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้กับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัมและนักฟิสิกส์ดารา ศาสตร์ และนักวิชาการจำนวนมากที่ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ดังๆ ของโลก การสนทนากับความเข้าใจย่อมทำให้นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการทั่วไปที่ไม่ เชื่อหันมามองใหม่ ควอนตัม เมคานิกส์ เป็นการเฉพาะ กับจักรวาลวิทยาในสายตาที่ผิดจากเมื่อก่อน ซึ่งนักวิชาการทั่วไปมักจะคิดว่าควอนตัมฟิสิกส์ อย่างดีที่สุดเป็นเพียงทฤษฎี หรือคณิตศาสตร์ที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตประจำวัน ของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการที่อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นต่างก็พิศวงใจ ว่า องค์ทะไล ลามะ ที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์หรือจักรวาลวิทยา และนักฟิสิกส์นักวิชาการตะวันตกที่มาร่วมประชุมกันในครั้งนี้แทบทั้งหมดก็ ว่าได้ ต่างก็ไม่รู้เรื่องของพุทธศาสนาเลยสักนิดเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน เหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายได้พูดเรื่องเดียวกัน ซึ่งไม่เพียงแต่หลักการเท่านั้น แม้แต่รายละเอียดก็แทบว่าไปด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างในทางวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกย่างที่เห็นและคิดว่าจริง (objective)

เป็นวัตถุ-พลังงานที่เปลี่ยนกันไปมาได้พอดีเปี๊ยบ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยควอนตาเป็นเม็ดๆ เป็นอิสระต่อกันและกัน ปล่อยออกมาเป็นชุดๆ ที่ติดต่อกัน ที่เล็กละเอียดแยกจากกันไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดาๆ เมื่อเป็นเม็ดจะเรียกว่าอะตอม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กำลังลบ 8 ซม. ซึ่งเฉพาะในควอนตัมฟิสิกส์ (ในขณะที่ฟิสิกส์เก่าจะไม่เกี่ยวกับจิตเลย) เท่านั้นที่บอกว่าการชี้วัด (measurement) ต้องใช้จิตของผู้ที่กำลังชี้วัดอยู่นั้น ในทางพุทธศาสนาบอกไว้อย่างเดียวกันเปี๊ยบ แต่จะบอกว่าปรมาณูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ยกกำลังลบ 9 ซม.(เปรียบเทียบ) และบอกด้วยว่าจะเห็นได้ก็ด้วยจิตของผู้นั้นๆ สังเกตเสมอไป (Leo Pruder (แปลจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลจากวสุพันธ์อีกที):Ahidharmkosabhavasyam,1991) พุทธจักรวาลวิทยาบอกว่าจักรวาลมีบิ๊กแบงและมีบิ๊กครันช์ (วิวัตตา-สังวิวัตตา) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเหมือนกับรูปแบบหนึ่งในสองรูปแบบที่เชื่อกันในฟิสิกส์ใหม่โดยเกิดมาจาก ที่ว่าง (ultimate space) ที่ให้ลม (motility) ไฟ (heat) น้ำ (fluidity) ดิน (solidity) โดยโผล่ปรากฏออกมา (emerge) เองจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้านั้น

โดยควอนตัมฟิสิกส์ นักฟิสิกส์เคยคิดว่าเวลาก็เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง (โฟตอน) แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นักฟิสิกส์บางคนยังคิดว่าแรงโน้มถ่วงก็เป็นเม็ดๆ ได้ (แกรวิตรอน)-เรียกว่า โครนอน (chronon) โดยมีความยาวของเวลาราวๆ 10 ยกกำลังลบ 24 ถึงลบ 36 วินาที (David Fingelstein: Emptiness and Relativity, 2003) ซึ่งพุทธศาสนาทุกๆ นิกายย่อยของมหายานและวัชรญาณต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน (กษณะ) แต่ความเร็วของเวลากล่าวไว้ไม่เหมือนกันในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายคัมภีร์เหล่า นั้น ส่วนมากเป็นการเกิดและเปลี่ยนความคิด เช่น คิดว่าความคิดที่เปลี่ยนไปในคนนั้น จะมีความเร็วประมาณ 10 กำลังลบ 3 วินาทีเท่านั้น แต่บางตำราก็บอกว่าความคิดเปลี่ยนไปเร็วมาก คือเท่ากับ 16 หรือ 17 เท่าของความเร็วที่สุดในโลกกายโลกียกาม ซึ่งก็คือความเร็วของแสง แต่บางตำรายิ่งเร็วกว่านั้นไปอีก คือเร็วมากกว่าสายฟ้าแลบถึงพันล้านๆ เท่าทีเดียว

เช่นเดียวกับในควอนตัมเมคานิกส์ พุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นวัตถุหรือสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็น สิ่งที่ไม่จริง หรือเป็นมายาซึ่งเกิดจากศักยภาพความน่าเป็นไปได้ (Potentiality) ที่เป็นการเลือก (choices) ของจิตมนุษย์หรือมนุษยชาติ ส่วนความจริงที่แท้จริงเบื้องหลังคือแสงที่สว่างไสว (แสงในสภาพคลื่น) เช่นเดียวกับเวลา และการเลือก (choices) โดยจิตของผู้สังเกตที่ทำให้สภาพคามเป็นคลื่นพังพาบ (wave function collapse) กลายเป็นอนุภาคข้อมูล (Information) ที่เป็นพลังงานเป็นคลื่นก็ถูกจิตของมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุภาค (bits) ซึ่งพุทธศาสนาเรียกกว่า "อักษาระ" (อักษร) ที่เราเอามาใช้กันผิดๆ.

Sunday, May 31, 2009

เรื่องรักของสามัญชน ปรีดี พูนศุข

จากคุณ cele ในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
http://www.sameskybooks.org/board/index.php?s=ce3db72dacb539f829521f0595bcd996&showtopic=31333

ต้องขอเล่าที่มาที่ไปก่อนนะครับ เพราะจะไปพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่ยังมีชิวตอยู่ซึ่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ผมมีโอกาส ได้รู้จักกับ

ครู ตุ๊เล็ก( ท่าน เบญจางค์ มหานีรานนท์ )น้องสาวครูฉลบ (ภรรยาคุณ จำกัด พลางกูร ) ที่ท่านเปิด รร.ดรุโณทยาน ซึ่งปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วได้ซัก

3 ปี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ม.ธุรกิจบัณฑิต โดย อ.ฉลบ จะให้คุณดุษฎี ซึ่งเป็นลูกสาวของท่านปรีดี มาสอนดนตรีที่ รร. นี้ ทุกสัปดาห์ และได้

รู้จัก กับ คุณ ดุษฎีโดยผ่านทางครูตุ๊เล็ก และหลังจากได้รู้จักเธอ ( เคยแอบชอบเธอ ) จนกระทั่งช่วงปี 2531ที่ท่านผู้หญิงมากลับมาเมืองไทย จึง ได้

มี โอกาส รู้จัก ท่านผู้หญิงพูนศุข อีกที ซึ่งตัวของข้าฯ เป็นแฟนพันธ์แท้ท่านปรีดี อยู่ก่อนแล้ว ท่านฯพูนศุข ก็ประหลาดใจที่ว่าทำไมรู้เรื่องของท่านปรีดี

มากจัง ข้าฯ จึงหาเรื่องสนทนากับท่านฯ โดยส่วนมากจะเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา และท่านชอบที่จะพูดคุยและให้ข้อคิดในการดำรงชิวิตดีๆ ให้กับ

ข้าฯ ท่านเคยบอกว่าชีวิตคนเรารู้แต่วันเกิด ไม่รู้วันหมดอายุ สู้ปลากระป๋องก็ไม่ได้รู้ทั้งวันผลิตและวันหมดอายุเราต้องใช้ชิวิต ด้วยความไม่ประมาท



ท่านเป็นคนอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ สอนให้ทำตัวเหมือนต้นข้าวรวงสุก เพราะมันจะโค้ง และลู่ลม ไม่ทำตัวเหมือนกับต้นข้าว

เริ่มโต เพราะมันแข็งกระด้าง และต้านลม



ผมเคยถามท่านว่า ท่านไม่กลัวติดคุกหรือครับ ท่านตอบไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ท่านเคยว่าทหารที่จะมาจับ

ตัวท่านปรีดีว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนนายกทำไมไม่ไปสภา จะมาเปลี่ยนอะไรที่นี่ (หมายถึงบ้านนายกปรีดี)

ท่านเป็นคนดีมากๆ ส่วนรายละเอียดในเช้าวันนั้น ผมก็เคยได้ถามท่านนะ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังใน

รายละเอียดเท่าที่เล่าได้นะครับ


ผมจำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก น่าจะเป็นวันที่คุณแม่ ( ท่านฯ พูนศุข ซึ่งผมจะใช้เป็นสรรพนามในการเรียกท่านหลังจากที่เริ่มสนิท

กับท่าน) กลับมาจากงานวันเสรีไท ที่รพ. จุฬา ผมถามท่านว่า สมัยหนุ่มๆ ท่านปรีดีหล่อไหม โรแมนติกไหม เอาใจเก่งไหม ทำไมท่าน

genius จังเพราะพรสวรรค์ หรือความขยัน ท่านฯ ยิ้ม และตอบว่า นายปรีดี( สรรพนามที่ท่านฯ จะใช้เรียกถึงปรีดี ) ไม่หล่อดูเป็นชาวไทย

แท้ แต่ดูอบอุ่น เป็นคนไม่โรแมนติก ปากไม่หวานแต่จะแสดงออกด้วยการกระทำ โดยจะเขียนาร์ดมาให้ทุกปีเมื่อครบรอบวันแต่งงาน

ซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งแม่บอกว่า ได้การ์ดตั้งห้าใบ ผมถามว่าทำไมได้ตั้ง 5 ใบ ท่านตอบว่า

ก็เพราะไม่ได้เจอกัน 5 ปีเต็มๆ ขอย้ำว่าไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อด้วยเพราะกลัวโดนจับได้หลังท่านปรีดีหนีไปอยู่เมืองนอก ( ถ้าเป็นผมคง อก

แตกตายไปแล้ว และ ทำให้ผมมองเห็นถึงคำว่ารักแท้มันเป็นอย่างไร) นายปรีดีไม่เคยบอกรักพร่ำเพื่อ เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิงมาก ไม่เคย

ทะเลาะ กันแม้แต่ครั้งเดียว นายปรีดีเป็นคนมีความรู้ ความประพฤติดี และ ขยันมาก ผมเคยแหย่ท่านว่า ท่านเป็น ท่านผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนท่านผู้หญิง

อื่นๆ ( จะบอกว่าดู so plane) แต่ไม่กล้าพูด ซึ่ง

ท่าน ตอบว่า “แม่ไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยาน ไม่ตื่นเต้นกับเกียรติยศชื่อเสียง ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเราดำเนินชีวิตตามทาง

สายกลาง จะมีหรือไม่มี เราก็ไม่หวั่นไหว” ท่านกล่าว

ในใจผมอยากจะถามเรื่องเมื่อเช้าวันนั้นเป็นอย่างมาก คันปากทุกครั้งที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน แต่ก็ไม่กล้า กลัวท่านจะว่าเอา


ท่านเล่าต่อว่าเมื่อช่วงปี 2495-6 หลังจากพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฎ เพราะหลักฐานไม่มี ท่านได้เดินทางไปไม่แน่ใจว่าปักกิ่ง

หรือเปล่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คิดถึงนายปรีดีมากที่สุดเพราะตัวเองต้องติดคุกร่วม 3 เดือนแถมลูกชายก็ติดคุกด้วย สิ่งแรกทันทีที่ได้

พบหน้านายปรีดีที่เมืองจีน หลังจากที่พลัดพลากมานาน ตอนนั้นท่านบอกว่าดีใจมากที่สุด และท่านขอสัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะไม่จากนายปรีดี

ไปแม้แต่วินาทีเดียว ( สาบานว่าท่านพูดอย่างนั้นจริงๆ และสุดท้ายท่านก็ทำได้จริงๆ โดยท่านได้อยู่ข้างกายท่านปรีดีจนวินาทีสุดท้าย)

ท่านบอกว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็นน้ำตานายปรีดี ตลอดเวลาที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมานักต่อนักท่านบอกว่าไม่เคยเห็นน้ำตาแม้ซัก หยดของ

นายปรีดี และวันนี้เองก็เป็นวันที่ท่านฯ ร้องไห้มากที่สุดในชีวิต เช่นกัน....


สว้สดีคะคุณยาย เสียงเล็กๆ ดังออกมาขณะที่คุณแม่กำลังไหว้พระ อยู่ที่วัด ท่านรับไหว้และถามเด็กน้อยคนนั้นกลับว่า หนูชื่ออะไร

เรียน อยู่ที่ไหน เด็กน้อยตอบว่าหนูไม่มีชื่อเล่น หนูเรียนอยู่ รร.เซนโยเซฟคอนแวนต์ มันเป็นคำตอบที่ทำให้ท่านยิ้ม และท่านก็เล่าให้ผมฟัง

ต่อ ว่า สมัยเด้กๆ ท่านก็เรียนอยู่ที่นี่ เช่นกัน ได้เรียนถึง ม.ปลาย จึงได้ออกมาแต่งงานกับนายปรีดี ท่านเล่าย้อนให้ฟังว่า ท่านเรียนมา

น้อย เคยมีคนตราหน้าท่านว่า เป็นเมียนายก แต่เรียนแค่ ม.ปลาย ท่านเคยไม่โกรธ และเล่าว่าถึงแม้แม่จะเรียนมาน้อย แต่ก็ได้ความรู้ต่างๆก็ได้

มาจาก นายปรีดี นายปรีดีมักจะชอบหาความรู้ต่างๆ ให้เสมอ จนบางที่ท่านจะแซวนายปรีดีว่า พอได้แล้วท่านอาจารย์ ท่านเล่าต่อว่าสมัยนายปรีดี

เด็กๆจะซนมากชอบอยู่ในทุ่งนาทั้งวัน เล่นจับปลาโดยจะมีเบ็ดตกปลา และจะไปขุดหาไส้เดือน นายปรีดีเคยเล่าว่า


ที่บ้านพ่อ และน้าชายป็นพ่อค้าขายข้าว ที่ อ.วังน้อย จ. อยุธยา ซึ่งนายปรีดีมักจะถูกใช้ให้เก็บยุ้งฉาง และจูงควายมาเก็บที่บ้านเป็นประจำ ซึ่ง

มัน เป็นงานที่ไม่ชอบเอาเสียเลย ร้อนก็ร้อน คันก็คัน มีครั้งโดนพ่อตีเพราะ นายปรีดีขี้เกียจไปเก็บควาย จนนายปรีดีกลับมาบ่นกับน้องสาวว่า จะไม่

ยอมเป็นกรรมกรเด็ดขาด จะต้องเรียนให้สูงๆ จะได้สบาย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี จนอายุ 12 ปี เกิดกบฎ รศ130 (ซึ่งมันคงเป็นแรง

บันดาลใจที่ภายหลังนายปรีดีจึงได้เรียนกฏหมาย) ต่อมานายปรีดีได้ย้ายมาเรียนกรุงเทพที่ รร. สวนกุหลาบ และต่อมาได้ทุนไปเรียนเมืองนอก



ผมชอบช่วงที่ท่านฯ เล่าถึงความรักของปรีดีที่มีต่อและกันกัน ผมว่ามัน classic มากๆ

คุณพุนศุข พนมยงค์ เชิญพบแพทย์ ค่ะ เสียงของพยาบาลเรียกว่าถึงคิวตรวจแล้ว ผมเหลือบไปเห็นท่านกำลังมองดูนาฬิกา

ข้อมืออยู่นานสองนาน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่เพราะนั้นไม่ใช่ครั้ง

แรกที่ผมสังเกตุเห็น ผมจึงบอกท่านว่าถึงคิวตรวจแล้ว ( ท่านเป็น Hypertension และ Ischemic heart ) ท่านบอกขอเวลาเดี๋ยว

และถามผมกลับว่า นาฬิกานอกจาก จะบอก วัน เวลาแล้ว มันยังสามารถบอกอะไรเราได้อีก........



จะบอกเวลาแล้วยังสามารถบอกอะไรได้อีก ท่านให้ผมไปคิดวันหลังจะมาเฉลย เวลาผ่านไปอยู่หลายวันท่านจึงมาทวงคำตอบ

ผมก็ตอบว่าคิดไม่ออกครับท่านจึงอธิบายต่อไปว่า นาฬิกานอกจากจะบอกวันและเวลาแล้ว มันยังใช้บอกความคิดถึงแทนใครบางคนได้

ด้วยท่านขยายความต่อไปว่า วันสุดท้ายที่นายปรีดีได้อยู่เมืองไทย( น่าจะเป็นช่วงหลังกบฏวังหลวง และก็เป็นวันสุดท้ายในชิวิต ) แม่

ได้ไปส่งนายปรีดีในที่แห่งหนึ่งโดยตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม


ตอนนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น โดยนายปรีดีบอกว่า ไม่รู้ว่าจะได้เราเจอกันอีกไหม ขอให้เธอ( ท่านฯ พูนศุข ) จำไว้ว่าเธอจะไม่อยู่เดียวดาย

ถ้าเธอต้องการกำลังใจ ยามเธอไม่มีใครให้นึกถีงฉัน ( ท่านปรีดี ) โดยให้มองที่นาฬิกาเวลานี้ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็น และให้

คิดถึงฉัน และฉันก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกันที่คิดถึเธอ และช่วยสัญญาต่ออีกนะว่า.....


ก่อนแยกจากกันนายปรีดีได้ขอสัญญาแม่ 3 ข้อ

1. เวลาทานข้าวขอให้เธอกินข้าวให้หมดจาน

2. เวลานอนให้รีบนอนให้หลับทุกคืน

3. ทุกครั้งเวลานึกถึงฉัน อย่าร้องไห้ ทำหน้าที่เป็นพ่อให้ลูกๆ แทนฉันด้วย

แม่รับปาก และถามนายปรีดี กลับไปว่าถ้าวันนั้น( ก่อนอภิวัฒน์ 24 มิ.ย ) เธอเคยโกหกฉันว่าเธอ

จะไปบวชที่ อยุธยา ซัก 4 เดือน ถ้าวันนั้นเธอทำอย่างนี้จริงๆ เราคงจะไม่พลัดพลากกันแบบนี้ ใช่ไหม

นายปรีดี ตอบว่า อย่าคิดเช่นนั้นเลย ที่ฉันทำไปก็เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ คนเราเกิดมาหนเดียว ควรทำ

อะไรเพื่อประเทศชาติ ไม่ควรทำตัวเป็นคนหนักโลก ฉันไม่เสียใจเลยที่ได้ทำลงไป

หลังจากส่งนายปรีดีเสร็จ แม่ก็ได้เดินทางกลับเพียงลำพัง จำไม่ได้ว่าวันนั้นแม่เสียน้ำตาไปกี่ลิตร .....

นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่แม่เห็นนายปรีดีอยู่ในเมืองไทย เพราะหลังจากนั้นนายปรีดีก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย....


ไปจับตัวมาเข้าคุก ไปเอาลูกมันมาด้วย คุณจะรู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วต้องติดคุก

แม่โดนกล่าวหาว่าเป็นกบฏภายใน ภายนอกอะไรก็ไม่รู้ในราชอาณาจักร แม่บอกว่าขนาดเข้าประชุมยังไม่เคยเลย

เห็นยังไม่เคยเห็นด้วย แล้วจะไปเป็นกบฏได้อย่างไรแม่โดนจับไปขังในคุกระหว่างพวกเขาหาหลักฐานส่งฟ้อง ผมถามว่าทำไมไม่วิ่ง

เต้นละครับ เส้นสายก็น่าจะมี ท่านตอบว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะเป็นการยอมรับว่าเราทำผิด อยากจะจับก็จับไป

ชีวิตในคุกท่านเล่าต่อว่า เขาจับไปอยู่ในคุกในห้องมีโต๊ะเล็กๆ ขนาด 4*4 และเสื่ออีกหนึ่งผืน ชิวิตในตอนนั้นแม่คิดถึงนายปรีดี

เป็นอย่างมาก แต่แม่ไม่เคยร้องไห้เพราะแม่ได้เคยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ แม่อยากได้กำลังใจจากนายปรีดี อยากบอกว่าเป็น

ห่วงมากแต่ก็ก็ไม่สามารถทำได้ ผมถามต่อว่าทำไมละครับ แม่ตอบกลับมาว่า เพราะในห้องขังไม่มีนาฬิกา ทำให้ไม่รู้เวลาว่ากี่โมง

กี่ยามแล้ว ( เวลาที่ท่านคงอยากจะทราบมากที่สุดผมเดาว่าคงน่าจะเป็นช่วง 5 โมงเย็น นั่นเอง)


" เมื่อเพลงที่ไพเราะที่สุดยังไม่ถูกแต่ง

เมื่ออาหารที่อร่อยที่สุดยังไม่ถูกปรุง

เมื่อภาพวาดที่สวยงามที่สุดยังไม่ถูกวาด

ฉะนั้นชิวิตเราจึงมีโอกาสพบสิ่งเจอใหม่ที่ดีกว่าสิ่งเก่าเสมอ "


ข้อคิดดีๆ ที่ท่านเคยกล่าวไว้ ยามที่ท่านต้องการกำลังใจ

มีอยู่วันหนึ่งท่านถามผมว่าพรุ่งนี้ว่างไหมจะชวนไปทำบุญ ผมถามว่าเนื่องในโอกาสอะไรครับ

ท่านตอบว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ 9 มิ.ย ผมไม่กล้าถามต่อไปว่าเพราะอะไร แต่ได้ถามกลับไปว่า ตอนเด็กๆ องค์ 8

เป็นเด็กน่ารักไหม ท่านตอบว่า ท่าน (ร.8) เป็นเด็กที่น่าตาน่ารักมากๆ ตาโต ปากสีชมพู ผิวพรรณดีมากๆ

มีอยู่ครั้งขณะที่ร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกันกับนายปรีดี และแม่ด้วย องค์ 8 ซึ่งตอนน้นยังเป็นเด็กอยู่ เคยถาม

นายปรีดีขณะร่วมโต๊ะเสวยว่า ทำไม่ไม่กินแตงกวา ตัวโตซะเปล่า สู้ฉันก็ไม่ได้ นายปรีดียิ้ม และตอบท่านกลับไปว่า

ข้าฯ ไม่ได้เลือกกินผัก แต่หมอสั่งห้ามไม่ให้ข้าฯ กินแตงกวา เพราะหมอสงสัยว่าข้า ฯ เป็นโรคเก๊าท์ และท่านก็ถามกลับ

มาว่า โรคเก๊าท์ มันเป็นอย่างไร นายปรีดีรักพระองค์ท่าน (ร.8) เป็นอย่างมาก ไม่มีเหตุผลเลยที่ท่านจะไปคิดทำเช่นนั้น...


"ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริงท่านคงทราบดีวาใครเป็นนทำ" นั่นคือคำตอบที่ได้รับหลัง ที่ผมได้

ถามท่านว่าท่านปรีดีทราบใช่ไหมว่าความจริงมันเป็นเช่นไร และผมถามต่ออีกว่าทำไมไม่ทำความจริงให้ปรากฎ มันไม่ยุติธรรม

สำหรับคนที่ตายทั้ง 4 คนท่านตอบว่านายปรีดีอยู่ในสภาพที่ทำอะไรมากไม่ได้ ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า นายปรีดีเกือบเรียนไม่จบ

เพราะถูกเรียกตัวกลับไทย สมัยที่ได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศส หลังจากที่ไปทะเลาะกับฑูตที่นั่น แต่ด้วย ร.7 ให้โอกาสและให้เรียน

ต่อนายปรีดีจึงมีโอกาสเรียนจนจบ และกลับมารับราชการต่อภายหลัง นายปรีดีเทิดทูนสถาบันเป็นอย่างมาก ถึงเคยเปรยให้แม่

ฟังว่า คนไทยจะรักสถาบันมากขึ้นถ้าสถาบันหลุดพ้นจากการเมือง ท่านไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันเลย

แต่เหตุการณ์นี้ ท่านไม่มั่นใจว่าถ้าความจริงปรากฎจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสถาบัน ท่านจึงอยากให้สถาบันคงอยู่โดยการที่จะสรุป

ว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งจะเป็นทางที่ดีที่สุดกับ...... แน่นอนการสรุปเช่นนี้ย่อมทำให้บางคนในรัฐบาลไม่เห็นด้วยโดยต้องการให้

ทำคดีตามความป็นจริงโดยเสนอทางออกเกี่ยวกกับมือปืนตัวจริงดังต่อไปนี้ คือ......


"ทำแล้วอย่ากลัวจะชั่วหรือดี" คติพจน์ประจำตัวของนายปรีดี เพราะนี่คือคำขวัญของกบฎ รศ.130 ถึงแม้คราวนั้นผู้ก่อจะพ่ายแพ้ แต่มันก็ได้จุดประกายความหวัง และความฝัน ให้แก่นายปรีดีในการเปลี่ยนแปลงในอีก 20 ปีต่อมา

แม่เล่าให้ฟังต่อ ว่า นายปรีดี โชคดีที่มีโอกาสได้รู้จักกับ ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ อดีตผู้ก่อตั้ง และเลขาของคณะกบฏ รศ 130 ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการ อภิวัฒณ์ แม่ได้สังเกตเห็นว่า นายปรีดี มักจะชวนพี่เนตร มาพูดคุยทานข้าวที่บ้านเป็นประจำ นายปรีดีจะเรียก ร.ต.เนตรฯ ว่าพี่เนตร

นาย ปรีดีมักจะถามพี่เนตร ว่าชีวิตที่อยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากไหม ได้เจอลูกเมียบ้างไหม ต้องตีตรวนไหม ผมคิดเองว่าสงสัยท่านคงอยากจะถามเพื่อตัวเอง (ร.ต.เนตรฯ ถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ในข้อหากบฎ รศ.130) พี่เนตรเล่าให้ฟังว่าชีวิตในคุกลำบากมาก เพราะเป็นข้อหากบฎร้ายแรงที่จะลอบปลงพระชนม์ ร.6 ถูกนักโทษด้วยกันทำร้ายบ่อยครั้ง และที่จริงแล้วเกือบจะต้องถูกประหารชีวิตหลายครั้ง แต่ก้รอดพ้นมาได้ เพราะ ร.6 ทรงเมตตาแก่พวกกบฎ เพราะท่านคิดว่ามันคือแนว

ทางที่ต่างกันทาง การเมืองเท่านั้น แต่ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (น้าของ ร.6) ต้องการที่จะประหารชีวิตลูกเดียว และนายปรีดีเคยถามว่าความผิดพลาดของคณะ รศ.130 คืออะไร พี่เนตรตอบว่า เป็นการทรยศหักหลังของคนในคณะเอง ได้ปากโป้งเอาความลับไปแจ้งแก่ทางราชสำนัก พี่เนตรบอกว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ทรยศดังกล่าว มั่นใจว่าคณะ รศ.130 จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ต่อมาได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยที่นาย ปรีดี ได้ดำรงตำแหน่ง และได้เป็น สส. ประเภท 2 (วุฒิสมาชิก)


และ สิ่งนี้มันคงทำให้นายปรีดีต้องใช้บทเรียน จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะนายปรีดีเคยบอกแม่ว่า ถ้าวันนั้นพ่ายแพ้ คงไม่โชคดีเหมือนพี่เนตร คงต้องถูกประหราชิวิตตัดหัวเสียบประจานที่กลางท้องสนามหลวงเป็นแน่



อะไรกัน พี่เนื่องเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ นายปรีดีอุทานเสียงดังหลังจากทราบว่า พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุลย์ หรือ ท้าวอินทรสุริยา ( ที่เป็นเพื่อนสมเด็จย่า เรียนพยาบาลมาด้วยกัน เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกสมเด็จย่า ทั้ง 3 คน ) หลังจากไปดูที่เหตุ หลังจากเกิดเรื่องได้ราวเกือบ 2 ชั่วโมง ปรีดีได้ไปคุยกับพี่เลี้ยงเนื่องว่า พี่เป็นพยาบาล ต้องทราบอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรใน การตายโดยผิดธรรมชาติ แต่

นี่ เล่นไปทำลายพยานเสียหมด และนายปรีดียิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมารู้ว่ามี นางจรูญ ตะละภัฏ( น้องสาวสมเด็จย่า) ก็ได้ร่วมทำลาย หลักฐานด้วย (ผมขอขยายความเรื่องการทำลายหลักฐานหน่อย )

พระพี่เลี้ยงเนื่อง และ น.ส.จรูญ เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคตมาแต่ต้น เช่นนำพระเขนยก็นำเอาไปฝัง ปลอกพระเขนยที่รองรับพระวรกายไปซัก ทั้งยังตบแต่งบาดแผลที่พระนลาต ก่อนมีการชันสูตรพระศพโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เย็น วันนั้นตอนที่นายปรีดีกลับมาถึงบ้านก็เล่าให้แม่(ท่านพูนศุข) ว่าแก (พี่เลี้ยงเนื่อง และ นางจรูญ)ทำไปได้อย่างไร จะบ้าหรือเปล่าเอาหมอนไปซัก ไปหมอนไปฝังดิน เด็กมันยังคิดได้ แม่ว่าสิ่งที่นายปรีดีกังวล ไม่ใช่การจับฆาตกร แต่กลัวการที่จะจับฆาตกร ต่างหาก

เหตุการณ์ ทำให้นายปรีดีเครียดมาก ถึงกับกินไม่ได้ไปหลายวัน จำได้ว่าช่วงนั้นไม่สบายบ่อยมาก สุภาพไม่ดีเอา ทนอยู่ได้ประมาณราว 2 เดือนก็ต้องลาออก เพราะมันเครียดมากๆ ซึ่งตอนนั้นแม่เกือบจะพูดออกไปแล้ว ว่าก็บอกเธอตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าไปเป็น อย่าไปเป็น

หลังจากนายปรีดีลาออก ก็มีการตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่โดย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีครั้งหนึ่งนายปรีดีชวน นายดิเรก ชัยนาม(เป็นคนที่ปรีดี นับถือมากๆ เมื่อตอนกบฏวังหลวงถ้าทำสำเร็จก็กะจะให้ะเป็นนายก) มากินข้าวที่บ้านซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านบอกว่าท่านจะเสนอใน ครม.ให้จับพระพี่เลี้ยงเนื่องและ น.ส.จรูญ ฐานที่เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคต

ที่สำคัญถ้าจับพระพี่เลี้ยงเนื่อง ก็ควรต้องจับคนทีสั่งพระพี่เลี้ยงเนื่องต่อไปอีกทอดหนึ่งด้วยในอันดับต่อไป

(แต่เสียดายที่ท่านไม่มีโอกาสได้ทำเพราะมีการรัฐประหารเสีย มิเช่นเราคงได้เห็นฆาตกรตัวจริง)


วันนั้น (9 มิย.2489) คนที่นายปรีดีสงสัยมากที่สุดคือพี่เลี้ยงเนื่อง นายปรีดีเป็นนักกฎหมายมาก่อน มี sense ดูออกว่าอะไรเป็นอะไร ท่านฯ มาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า วันนั้นระหว่างที่นายปรีดีสนทนากับพี่เลี้ยงเนื่องเพื่อสอบถามเหตุการณ์ พี่เนื่องเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมสบตา จิบน้ำ และเดินเข้าห้องน้ำบ่อยมาก และท่านจะพยายามเรียกพี่เนื่องตลอดไม่ยอมให้พูดมากนัก

นาย ปรีดีเป็นคนช่างสังเกตุ และมาทราบทีหลังว่า วัสดุที่ใช้เย็บแผลเป็นลักษณะคล้าย chromic catgut มันไม่ใช่สิ่งที่น่าจะนำมาใช้เย็บศพ ซึ่งมันจะทำให้ tissue โดยรอบแผลเสียหาย และเข็ม suture ใช้เข็มก็ใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็น มันจะทำให้การตรวจสอบศพภายหลังทำได้ยากยิ่งขึ้น

และที่สำคัญสิ่งที่ ใช้ทำความสะอาดแผลใช้ hibiscrub+hibitane มันจะทำให้ไปกัด tissue ซึ่งมันจะมีผลต่อการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจคลาบเขม่าดินปืนในภายหลัง

ทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ มันมีนัยยะทุกอย่างที่ได้ทำลงไปเกี่ยวกับการจัดการศพ ท่านยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้นที่ได้ถามพี่เลี้ยงเนื่องว่าใครสั่งให้ทำ พี่เลี้ยงเนืองลำดับเหตุการณืให้ฟังว่า

ท่านมีรับสั่งให้ตาม พ.ต.นายแพทย์หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ แพทย์ประจำพระองค์มาตรวจพระอาการของในหลวง และท่านเองก็มีรับสั่งให้ทำความสะอาดและตกแต่งพระบรมศพ

Thursday, April 16, 2009

ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง

ในเวลานี้ มีแต่การแบ่งแยก ไม่ใช่พวกเรา ก็ต้องเป็นพวกเขา ไม่เป็นสีนี้ ก็ต้องเป็นสีโน้น
เราเห็นว่า การป้ายสีให้กับมนุษย์ ทั้งการป้ายให้แก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น นั้นเป็นอสัตย์
เพราะสีไม่ใช่สภาวะที่แท้จริงของมนุษย์
ธรรมชาิติมนุษย์ที่แท้ย่อมไม่มีสี แต่เป็นแสง
สว่างกับมืด ที่มีความถึ่ มีน้ำหนัก หนัก-เบาแต่ละที่ไม่เท่ากัน

สีคือการ "รับรู้" และ "ตีความ" แสง

คนโง่เท่านั้นที่ลุ่มหลงถกเถียงกันในนามของสีใดสีหนึ่ง และคนโง่เขลายิ่งกว่านั้นคือผู้ที่ปรามาสสีอื่นๆ
สีใดสีหนึ่งไม่เคยมีความหมายในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะแดงจะเหลือง จะม่วงหรือจะส้ม
หากแต่ทุกสีจะเปล่งประกายความหมายขึ้นมากมายเมื่ออยู่ร่วมกับสีอื่นๆ

สีที่แตกต่างเป็นสิ่งยืนยันของการดำรงอยู่ การพึ่งพาของกันและกัน

สุดท้ายนี้ มีบทกลอนของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ที่งดงามถ่ายทอดความรู้สึกอัดอั้นต่อสังคมไทยออกมาได้ดีเยี่ยม
กลอนนี้ ชื่อ ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง เชิญอ่าน

ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง


ความจริง ไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง

ไม่อาจแบ่งแยกข้างเป็นซ้ายขวา

ทั้งถีบผลักตบจูบไม่นำพา

ล้วนมายาโอ้โลมไม่โง่ตาม



ฝั่งโน้นมีเทวดามาวางขาย

มากมายบารมีให้เกรงขาม

จงรักภักดีต้องผ่านนิยาม

ตะกละตะกรามเหลือบริ้นไรเน่าเหลืองทอง



ฝั่งนี้มีประชาชนเป็นสินค้า

อุดมคติบ้าไวรัสขึ้นสมอง

เฮโรอีนทฤษฎีปี้ทำนอง

สยองเปลือกอุดมการณ์เนื้อเน่าแดง



เราไม่กลาง แต่ไม่ซื้อ ทั้งแดงเหลือง

ไม่เคี้ยวเอี้องรอสนตะพายสู่สายแสง

รู้เท่าทันลัทธิศาสดามารจำแลง

ที่แอบแฝงเป็นอคติอยู่ภายใน



งมโง่เพราะไม่รู้ยังพอว่า

แต่ปิดตาปิดหูยิ่งบ้าใหญ่

หายนะนั้นอยู่ที่ปิดหัวใจ

เป็นอาหารให้จัญไรได้ดื่มกิน



เกลียดกันเข้าไปเถิดมนุษย์น้อย

ค่อยจิบเลือดที่หลั่งรินให้หมดสิ้น

ระเบิดบ้านเผาเมืองให้พังภินทร์

ริ้นไรที่คิดต่างอย่าปรานี



ความจริง ไม่ใช่ไฟเขียวไฟแดง

แสงสุริยฉายใช่มีเพียงสองสี

อุณหภูมิร้อนเย็นลำดับมากมี

ชั่วดีใช่ศูนย์หนึ่งเลขสองตัว



ข้อมูลข้อเท็จจริงล้วนแตกต่าง

ทั้งกล่าวอ้างมุมมองน่าเวียนหัว

ดูไม่ครบรีบสรุปยิ่งน่ากลัว

คลุกเคล้ามั่วคั่วกระจายฟุ้งเท็จเทียม



"สิ่ิงสำคัญ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่เห็นได้ด้วยใจ"

Tuesday, October 14, 2008

ทั้งหมดนี้คือการโกหก และจะนำไปสู่ความรุนแรง

อ่านข่าว ดูข่าว บ้านเมืองทุกวันนี้แล้วรู้สึกอันตราย

แต่ละวันเหมือนพวกเราทำยาพิษ แล้วก็ดื่มเอง และก็ให้ผู้อื่นดื่มด้วย

เราก็เป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ แม้ว่าหลายครั้งจะทำไปด้วยเจตนาที่ดีก็ตาม

ในมุมมองของคุณ Lost Horizon เจ้าของสำนักพิมพ์หนังสือดี (มาก) Oh My God

เห็นว่า สิ่งพื้นฐานที่สุดที่ ปัญญาชน ผู้รักประชาธิปไตย และผู้รักความยุติธรรม

รวมถึงวิญญูชนทั่วไปไม่พึงกระทำ คือ

  • เจตนาที่จะพูดถึงลำดับเของเหตุการณ์ให้สลับไปจากความเป็นจริง
  • เจตนาที่จะพูดถึงลำดับของเหตุและผลของเหตุการณ์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
  • จงใจไม่พูดถึงเหตุและผลให้ครบถ้วน เลือกพูดเฉพาะบางส่วน
  • จงใจเลือกพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
  • จงใจเลือกพูดแบบเอาดีใส่ฝั่งที่ตัวเองชอบหมด และเอาชั่วใส่ฝั่งคนอื่นหมด ดยไม่ยอมพูดถึง "ความชั่ว" ของฝั่งตัวเองและ "ความดี" ของฝั่งคนอื่นไปตามความเป็นจริงให้ครบถ้วน
  • จง ใจไม่พูดเรื่องที่จะทำให้ฝ่ายตัวเองเสียหาย แม้เรื่องนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ทำให้ฝ่ายตัวเองชมชอบอยู่นั้นได้ประโยชน์

ทั้งหมดนี้คือรูปแบบหนึ่งของการโกหก ถือเป็นการกล่าวเท็จที่แนบเนียน

ซึ่งจะนำสังคม (และผู้กระทำเช่นนั้น) ไปสู่ความมืดบอด ความเกลียดชัง

ความมีอคติ ความคลั่ง ความสุดโต่ง ความคับแคบ

และการใช้ความรุนแรงทั้งแบบชัดแจ้งและแฝงเร้นได้ง่ายมากครับ

______

อาจเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่ผมคิดได้ถึงฉากหนึ่งใน "โรมิโอ แอนด์ จูเลียต" ที่โรมิโอไปซื้อยาพิษจากคนขายยา

คนขายยา: จงรับยานี้ไป ผสมในน้ำดื่มที่เจ้าต้องการและเมื่อท่านได้ดื่มจนหมด แม้ท่านมีพละกำลังดั่งชายฉกรรจ์ยี่สิบคน ก็ยังต้องม้วยมรณา

โรมิโอ: นี่คือเงินของท่าน ยาพิษที่เลวทรามยิ่งกว่าต่อจิตวิญญาณของมนุษย์ มันเป็นอาชญากรร้ายในโลกแสนทรามนี้ ร้ายยิ่งกว่ายาปรุงชั้นเลวที่ท่านได้ขายแก่เรา เราขายยาพิษที่แท้แก่ท่าน มิใช่ท่านขายมันแก่เรา ลาก่อน จงนำเงินไปซื้อข้าวปลาอาหาร ให้ท่านอิ่มหนำเถิด

มาเถิด สหายรัก มิใช่ ยาพิษ มากับเรา ไปสู่สุสานของจูเลียต ที่นั่น เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน

...

แปลจากต้นฉบับ

http://wiki.answers.com/Q/What_herb_poisoned_Romeo

______

บางที ถ้าลองขยายความ "เงินทอง" ที่โรมิโอกล่าวกับคนขายยา

มันอาจจะเป็น ตัวแทนของความลวงทุกอย่างทุกชนิด ก็เป็นได้

"ความลวง: อาชญากรใหญ่แห่งโลกมนุษย์"

Saturday, September 13, 2008

หมาก็เป็น ผู้ว่า กทม. ได้!

แม้วาการเมืองระดับประเทศจะเดือด แต่กทม.ก็กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่า
วันก่อนก็เพิ่งรับสมัครกันไป
เพิ่งได้ฟังรายการ ชูพิชญ์ทีวี เรื่องนี้ไปคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เลยถอดเทปสรุปมาให้อ่านกัน มีความคิดเห็นกันอย่างไรก็ว่ากันมาได้:-)

ถอดเทปสรุปจากรายการ บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา ครั้งที่ 33

หมาก็เป็นผู้ว่า กทม. ได้!

ชูพิชญ์ คิดตามวัน

ประเด็นของ กทม. เป็นเรื่องที่ควรรับรู้ การรับสมัครและการบริหาร กทม. กทม. เป็นองค์กรทางการเมืองที่ขาดการรับผิด คือ ขาดสิ่งที่เรียกว่า accountability สูงมาก โดย หนี่งคือโครงสร้างกฏหมายของ กทม.มันกว้างมาก จะให้กทม.ทำงานก็ได้ไม่ทำก็ได้ ตามพระราชบัญญัติฉบับล่าสุด 2542 ในมาตรา 89 มีอำนาจถึง 27 อย่าง ตั้งแต่บำรุงสถานที่ต่างๆ การศึกษา วัด สุสาน ความปลอดภัย การกีฬา และอื่นๆ ทำมันซะทุกอย่าง ในหลักวิชาแล้ว ความรับผิดชอบ (responsibility) กับ ความรับผิด (accountability) ต่างกัน ทำครบคือรับผิดชอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าทำได้ดี เช่น ข้อที่ว่าทำความสะอาด ถ้ามีคนกวาดถนนแค่สี่คน ก็ถือว่าทำแล้ว แต่ไม่มีการบอกว่าทำแล้วก็ได้ ไม่มีการควบคุม แม้ว่าจะมี สภากทม. ที่คนไม่สนใจ จะมีแค่สองสามอย่างที่ กทม. ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีปัญหาคือ น้ำท่วม กับ ขยะ สองเรื่องถ้าทำไม่ถูกใจต้องโดนด่าแน่ แต่เรื่องอื่น อย่างโรงเรียน หรือ ทางหลวง รถติด จะไม่โดนด่า ถ้าโดนจะเป็นทางอ้อมมากกว่า

อันนี้เป็นวัฒนธรรม ที่เกิดจากโครงสร้างทางการเมือง

เรามีนโยบายประเทศที่ให้โตเดี่ยว เลี้ยงลูกคนโต หวังว่าลูกคนโตที่เป็นเมืองหลวงนี้จะเลี้ยงเมืองอื่นได้ แต่แทนที่จะเลี้ยงน้องคนอื่นกลับมีปัญหามากขึ้น ต้องอัดฉีดเงินมากขึ้น ปัญหากทม.มีตั้งแต่ 2500 แต่เริ่มมีผู้ว่า 2528 หมาจึงเป็นผู้ว่าได้ เพราะทำหน้าที่แค่สองอย่างหลักๆคือขยะกับน้ำท่วม เวลาหาเสียงก็ทำแค่สองอย่างก็พอ แล้วก็มาขายฝัน ไม่สนใจเรื่องอื่น ซึ่งไม่เป็นปัญหาของคนจริงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณประภัส ลง ก็มาแค่เอาใจประชาชน โดยการให้มีรถไฟฟ้าถึงทุกที่เป็นตัวขาย ไม่ใช่ขายเรื่องอื่น ไม่สนใจการอยู่ร่วมกันของชุมชน คนจน คนรวยอยู่ด้วยกันยังไง การอยู่ร่วมกันของชุมชน เช่น ชุมชนแออัด 1700 แห่ง ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลไป

อีกอย่าง การแก้ปัญหาจราจร ไม่ใช่การซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าเมือง อย่างรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน แต่เขาแก้ปัญหาด้วยการปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจของคน เช่น รถเมลล์ด่วน เป็นการจัดพื้นที่ในเมือง เป็นการบอกว่า คนจนต้องไปก่อน คนจนที่ขึ้นรถเมลล์ ต้องได้หนี่งเลน เท่าเทียมคนชั้นกลางและรวยที่มีรถ นี่คือปัญหาที่เราไม่คุยกัน เราไปคิดว่า เราต้องไปซื้อของเล่นอย่างรถไฟฟ้า มันเป็นการจัดการความสัมพันธ์ทางอำนาจ การมีรถไฟฟ้าไม่ใช่การแก้ปัญหาจราจร มันเป็นการเพิ่มราคาที่ดินในเมือง ไม่ให้ราคาที่ดินตกลง ที่กำลังเสื่อม ก่อนมีรถไฟฟ้า ห้างโตนอกเมือง แต่พอมีรถไฟฟ้า ห้างเต็มในเมืองเหมือนเดิม ตัวอย่างชัดเจนคือ รถไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนีย ที่ห้างช่วยกันลงขันสร้างให้คนเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าไม่ดี แต่ไม่ได้แก้ปัญหาของคนจนที่ไม่มีเงิน ไม่มีปัญญาซื้อที่ดินติดถนนได้ ต่อไปจะมีการไล่รื้อที่คนจนเรื่อยๆ ตัวอย่างอย่างเช่น แถวพระขโนงถึงอุดมสุข ที่ตึกแถวสามชั้นเป็นยี่สิบชั้น ไล่คนจน ไม่ได้แก้ปัญหาเมือง แต่เพิ่มคนขึ้นเรื่อยๆ รถก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นคือว่า ปัญหาของ กทม. คืออะไร คนในกทม. กินชีวิตกัน เช่นเรื่องแอร์ บ้านผมไม่ติดแอร์ บ้านอื่นเปิด เราก็ร้อนเพราะเขา กทม. เราไม่มีการจัดพื้นที่ความร้อน ผมก็ได้รับผลกระทบ แล้วมาพูดว่าจะเลิกโลกร้อน ทำเมืองสีเขียว เมืองอัจฉริยะ

ต้องเริ่มที่การตั้งหลักว่า ยอมรับว่าใครอยู่ในกทม. บ้าง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ทำให้ความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งเป็นของคนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะคนจนในเมือง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นคนจำนวนมาก ปกปิดปัญหาด้วยการขายฝันไปวันๆ

ในเมืองนอก การบริหารเมืองจะเป็นหลายๆแบบ บางเมืองที่มีการจัดการที่ดี มีสภาท้องถิ่น บางเมือง ผู้ว่า ก็เป็นตลกได้ แต่ สภา กทม. กระจุก หรือ ในบางเมือง ผู้ว่า เป็นอัยการเก่า ก็มาเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม อย่างแบทแมน มาแก้ปัญหาได้ชัดเจน ไม่ได้มาขายฝัน อาจมีโครงการขายฝันบ้าง เพื่อ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องการจัดการขนส่งมวลชน เขามีหน่วยงานคุมเองของเมือง โดยที่ประชาชนในเมืองมีส่วนร่วมเสมอ ในละตินอเมริกาเขาไปไกลถึง Participatory budgeting ที่สภาไม่ได้จัดนโยบาย เขาแบ่งพื้นที่ย่อยให้คิดงบประมาณเอง ตามแยกตามโครงการหลักอย่าง การศึกษา หรือ สาธารณสุข ไม่ได้คิดจากบนลงล่าง ประชาชน เลือกคนมาเป็นสภาย่อยจัดการปัญหาให้เขา

ปัญหาใหญ่คือ ใครอยู่ในเมืองบ้าง ใครมีอำนาจในเมือง มีอย่างไร ถ้าไม่ถาม จะมีการปล่อยให้มีการขายฝัน ความฝันคนชั้นกลางจะบดบังความจริง ปัญหา ที่ว่าคนกินกัน เอาเปรียบกัน

ผมจึงบอกว่า หมาก็เป็นได้ เพราะ ไม่ต้องรับผิดอะไร คือทำตาม 27 ข้อ ก็รอดแล้ว แต่ไม่ได้ถามว่า โปร่งใส และทำพอไหม ไม่มีใครสนใจเรื่องจริงแบบนี้ การที่นักการเมืองมาลง กทม. ด้วยความเคารพ เพราะ เป็นการโปรโมทที่ถูกมาก ขายของดี ก็ได้ออนสปอตออกทีวี เป็นฐานเสียงตัวเอง

ปัญหากทม. ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการออกนโยบาย หรือ เฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่การคุยว่าคุณมีนโยบายอะไร แต่ต้องถามว่าได้มายังไง ด้วยความคิดแบบไหน จะออกมาจากไหน ไม่ใช่มาขายแพ็กเกจ ขายฝันแบบนี้ กทม.ไม่ใช่สินค้าของใครคนหนึ่ง

http://www.prachatai.com/tv/chupitchtv/?ep=33

Tuesday, July 22, 2008

Wissenschaft ist eine Kuh.

Wissenschaft ist eine Kuh.
Sie gibt muh.
Ich sitze im Hörsaal, und höre zu!!!

Monday, July 21, 2008

The lotus on the pond: meditation from my experience

Thank you for coming. Thank you for being here. It’s not an accident. This essay has arrived in your life at the right and perfect time.

Let’s start by taking a break in your messy life. Lie back on a comfortable couch, close your eyes softly, take a slow, deep breathe and relax your body. You are breathing in fresh clean air and breathing out the bad things that have entered you today.

Yes, this is an essay about meditation, the art of being idle. The aim of this essay is to give you a brief introduction to meditation from my own view, a friendly beginner as you are.

Why should we meditate?

We live in a chaotic society and are exhausted because of it. We all struggle for success, and strive for happiness. We think, we hate, we are anger, and we covet. Our emotions change throughout the day, are never the same, never take a rest. Could we ever achieve t any happiness with such a fluctuating mind? Could we grant ourselves a moment in life to escape from these emotions and thoughts?

I think you have also asked yourself the same questions I have mentioned above and have your own answers. Everyone knows happiness is easy. Generally, in this modern life we believe that our happiness is related to the extent of our material possessions. But in fact, it is not. This thought is based on greed. It is true that we might be happy if we get things we want but it is not true happiness. Our happiness does not come from our consumption, but from doing good things such as giving to others.

Here, I just want to share my experience with it. Doing good things is absolutely good but may not be enough because it does not deal directly with the problem we confront or with what we suffer. This world is full of problems and that’s the way it is. When we want it to be good, it is impossible. We want our lives to be good or want our hopes to be fulfilled (get rich, be successful, or get married etc.) because we think it will be good and we will be happy. At last, we are find happiness, and striving for it, using up all our energy day by day, endlessly chasing that goal which we never reach. In my opinion, of course, we can do good things and should do them but there is a great hindrance which we cannot overcome. What we can do without limitation is only to manage ourselves, directly speaking; manage our minds, our consciousness, our perception, because actually all the problems are in our minds, in our thoughts, and are the origin of our actions.

What I mean about managing is not to do something, just see and feel (realize) what is in your mind. What is your mind. Listen to your heart, move according to your heart. Our minds are very simple and natural like the soil. Thus, where the soil is good, good plants can be cultivated. And thus we are bio-farmers cultivating crops and watching them grow. To get good crops, we must follow and obey the rules of nature.. The main principle is that nature can heal and develop itself. We become aware of this and give something natural to assist the process when necessary. But one should not give something that is too strong, like chemical fertilizer, in our attempts to force immediate change.

In our minds, we are just try to be "mindful"in order to become aware of what is in our minds, good thoughts are healthy crops, and bad things are weeds. Both are growing in your mind. It’s all about keeping a balance. The weeds would not grow if you improved the quality of the soil. The bad weeds grow more profusely in damaged soil. It’s a part of nature's way to protect the soil before it finally turns into dessert. So we don’t have to fight the bad system directly, what we can do is to nourish a good environment where good things can grow. After that, there is only one thing to do. Just waiting and watch it grow like you bring up a child.

Yes, that’s it. Do nothing but be mindful. It is a powerful secret lodged in our fantastic minds. At first you have to observe your weeds, just that. When you see your weeds, you will not give them their food like greed or anger, and then they will rot. And at the same time, you also cultivate some good things in your mind such as thinking positively, or cultivating loving-kindness. And when you let it grow, the mind will be awake and grow automatically and later you can harvest the sweet and delicate fruit that is ripe in your mind.

Just realize what is in your mind. Actually, if you do that, you will not only be aware of what is in your mind but also in your body and in all the actions you perform. Clear awareness of the result, sometimes comes immediately, but sometimes not. Therefore, you have to be patient and give it time just like waiting fora train to arrive. We should not worry about time if we would get to our destination. What we should focus on is whether or not we are on the right train. If we’re on the right train, then we can be sure that we would arrive at the right destination, sooner or later. In other words, the path is the goal. You have to be aware at every moment of feelings in your mind. After all, your mind is awake and can be used for your daily life. And you will see the truth behind it (beauty, refinement, pleasure, as well as pain, misery and ugliness. They are all impermanent conditions.) Awareness will set you free.

You will see how incredible your mind behaves; you will come across the best state of your mind which is normal, clean, bright, and peaceful. It will show you the direction your life should follow. For example; sometimes we are confused when we think we did something good but the result was not.. This is the result of not having known your own mind. Whenever the mind strays from normality or equanimity, it is on the wrong track. No matter how good are the reasons that we may give to ourselves to justify our emotions and the reasons for our actions, it is still wrong. Being angry or revengeful is never right. Through With practice, you will see this condition of your mind and your mind can improve. .

I would like to give you one trick to empower you. My technique is to calm down the mind, so that you can easily "read" it mind. First, relax your body and mind. Then, be aware of each breath you take. Breathe in a relaxed manner and observe how you breathe. . Breathe in and breathe out. Follow the wind going through your respiratory tract. Count the steps or say something to help you recognize each breath by naming them “in/out" or peace-ful according to your breath. When you get the right system, your breathing will become more refined and you will calm down. You will feel the body sensation at your nose or other places the wind touches. This is a contact, this is a sensation and it is very real.

This experience of resting is not something that can be grasped or forced. It comes naturally, as we grow more and more in tune with the rhythms of our own inner silences. Let yourself be softer and more mindful now because an inexpressible joy is waiting for you just around the corner. Nobody else can point it out to you, and when you find it you won’t be able to find the words to express it to others. But it’s there, deep within your heart, ripe and already to be discovered.

However, if you cannot feel it, don’t be embarrassed. It depends on you whether you do it. You can decide by yourself. The methods I describe to you here come from Buddhism. It is called Samatha-Vipassana (tranquillizing mediation and insight meditation). If you want to understand it better, you should study Buddhism, its philosophy and culture.

All in all, it is the ancient art of non-doing but feeling/knowing yourself (your body and mind), descended from our ancestors more than thousands of years ago. There are thousands of other ways of meditation to practice but please remember that all meditation techniques should be practiced by a healthy man. A healthy man can practice and it will later help him when he gets into trouble, but when he is in trouble it is too late to learn how solve the problem through meditation. In this case, meditation cannot help him. It is like falling into the river. We have to learn to swim before we fall; otherwise, we will drown.

I hope you will enjoy your new form of breathing from now on.

I breathe; therefore, I am.


Peacefully yours,

Your Tim

PS If you have some questions, please contact me at timbarrel@hotmail.com

Saturday, July 19, 2008

Biometry: good or not

Since 911, the world has been shaken by the fear of terrorism. Leading countries like the USA are trying to control the situation. However, so far the situation continues to worsen. One way to manage this fear is to improve the techniques needed to identify terrorists. The more you know, the less you fear. Biometry offers some solutions.

Biometry is a new tool which can be used to identify an individual on the basis of his/her unique biological properties, such as fingerprints, DNA, etc. At first sight, biometry appears to be promising. Theoretically, if terrorists leave any traces, they can be identified and caught. Or better yet, they can be identified before they commit a crime.

In addition, daily life might be easier. It can deter people from stealing and stolen items can be matched with and returned to their proper owners. Thieves cannot use the items they have stolen. Border controls are simpler and more effective. This is a comfort to the tourist or businessman. And of course, this means better online protection of computer networks and financial transactions. Furthermore, users don’t need to remember a long password or to be careful that it is not stolen.

However, biometry use in public is still far from realization. It is very controversial because of its disadvantages. Biometry is a new technology that is not well established. Therefore, it is still expensive and there are many errors in the system. It is argued that there may be hygienic problems with touch systems. Pessimistically viewed, biometry could lead to a "big brother" society where all citizens are watched and controlled.

And in the worst-case scenario, biological data could be stolen. The German minister for internal affairs, Schäuble, wanted to legalize the use of biometry nationwide. During the following week, a group of hackers posted on the web that they had acquired Schäuble’s fingerprints at a meeting and they published them for all to see. Could this mean that biometry cannot help to keep us safe?

All in all, biometry is a new technology, one which uses biological characteristics to identify an individual. It is thought to be a means to identify terrorists. However, this technology is still in its early stages of development and fraught with problems. To use it properly, it must be improved. Moreover, its application in daily life is questionable and may require regulations to avoid damaging human dignity and the right to privacy.

Update from “the Economist” on 12th July 2008: Siemens, a German firm, and AXSionics, a Swiss firm, show a new fingerpritings scanning device that can scan all ten fingers of customer and detect the blood circulation, before allowing the transaction. But two big problems remain—convenience and cost. The customers must spend more time on device and this device is very expensive to put it in common. Furthermore, due to its high cost, the device can be stolen as well.

Sunday, December 09, 2007

ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ

ข่าวล่ามาเร็ว วานนี้(๘ ธ.ค. ๕๐) งานวิจัยใหม่พบว่า เด็กที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้กับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าปกติ แต่สาเหตุยังไม่ค้นพบ ซึ่งคาดว่าไม่ได้มาจากปริมาณรังสีจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
งานวิจัยโดย สถาบันมะเร็งในเด็กแห่งเยอรมันนี (Deutschen Kinderkrebsregister) แห่งเมืองไมน์ซ เปิดเผยต่อคณะทำงานป้องกันรังสีแห่งชาติ(Bundesamt für Strahlenschutz (BfS)) ว่า ระหว่างปี ๒๕๒๓ ถึงปี ๒๕๔๖ เด็กจำนวนสามสิบเจ็ดคน ที่อาศัยในรัศมีห้ากิโลเมตรจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์สิบหกแห่งในเยอรมันนีมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ถึงยี่สิบคน
อย่างไรก็ตามอัตราการป่วยที่สูงขึ้นอาจไม่ได้มีสาเหตุชัดเจนมาจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะรังสีบริเวณรอบๆโรงไฟฟ้านั้นต่ำเกินกว่าที่จะก่อมะเร็งได้ ผลศึกษาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากโรงไฟฟ้า ส่วนสิ่งใดเป็นสาเหตุที่แท้จริงต้องรอการศึกษาต่อไป

ย่อความมาจาก http://www.heute.de/ZDFheute/inhalt/12/0,3672,7131788,00.html
Studie: Nahe Atommeilern öfter Leukämie bei Kindern
Minister Gabriel will Ergebnisse überprüfen
Erschreckende Studie: Kinder, die nahe eines Atomkraftwerks leben, erkranken häufiger an Krebs. Das haben Wissenschaftler in einer Studie nachgewiesen. Aber eines bleibt rätselhaft: An der Strahlenmenge liegt das angeblich nicht.

Die Untersuchung wurde vom Deutschen Kinderkrebsregister in Mainz durchgeführt, teilte das Bundesamt für Strahlenschutz (BfS) als Auftraggeber der Studie am Samstag mit. Bundesumweltminister Sigmar Gabriel (SPD) kündigte umgehend eine Überprüfung der Ergebnisse der Studie durch die Strahlenschutzkommission an. Nach Vorliegen der Prüfergebnisse werde sein Ministerium über das weitere Vorgehen entscheiden.

Die Studie hatte ergeben, dass im Fünf-Kilometer-Umkreis der 16 deutschen Kernkraftwerke 37 Kinder im Untersuchungszeitraum von 1980 bis 2003 neu an Leukämie erkrankt sind. Im statistischen Durchschnitt wären nach Darstellung der Wissenschaftler 17 Fälle zu erwarten gewesen. Etwa 20 Neuerkrankungen seien also allein auf das Wohnen in diesem Umkreis zurückzuführen. Über die Studie hatte die "Süddeutsche Zeitung" zuerst berichtet.

Strahlenbelastung für Fälle zu niedrig
Ob das erhöhte Krebsrisiko für Kinder tatsächlich durch die Reaktoren verursacht wird, steht laut Bundesamt für Strahlenschutz und Bundesumweltministerium aber nicht fest. Nach dem derzeitigen wissenschaftlichen Kenntnisstand sei die Strahlenbelastung der Bevölkerung durch den Betrieb der Kernkraftwerke zu niedrig, um den beobachteten Anstieg des Krebsrisikos zu verursachen, erklärte das BfS. Das Ergebnis könne also nicht plausibel mit den tatsächlichen Ableitungen aus den Reaktoren erklärt werden.

Auch andere mögliche Risikofaktoren, die im Zusammenhang mit Leukämien bei Kindern in Betracht zu ziehen seien, "können den entfernungsabhängigen Risikoanstieg derzeit nicht erklären", heißt es in der Erklärung weiter. Umweltminister Gabriel erklärte: "Die statistische Untersuchung und bekannte Ursachenzusammenhänge zwischen Krebsrisiko und Strahlung stehen damit nicht im Einklang miteinander."

Wednesday, September 19, 2007

จดหมายจากเพื่อนรัก

บังเอิญได้อ่านจม. เมลล์ ที่เขียนหา อาจารย์ จากเพื่อนที่ดีคนหนึ่งที่เรียนวิทยา ชีวะ เหมือนกัน
เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาลงบล๊อก แม้จะดูดัดจริตไปหน่อย

ตามนี้เลย

------------

หนูเขียนจดหมายมาบ่น มีเรื่องมากมายแต่หนูไม่รู้จะส่งไปหาใคร
เลยขอส่งมาคุยกับอาจารย์นะคะ หุหุ
ถ้าอาจารย์จะเอาไปส่งต่อ หนูก็ยินดีค่ะ จะได้มีคนมาคุยกับหนูบ้าง
ลองอ่านดูนะคะ

--------

ก่อนอื่น ฉันขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินไถลนอกรันเวย์ที่ภูเก็ตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และขอสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจพิเศษ คือแผ่บุญ-แผ่กุศลให้ "ทุกท่าน" ทุกชาติ-ทุกภาษา-ทุกศาสนา ที่เสียชีวิตไป นั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้เพียงเท่านี้ โชคชะตาช่างเล่นตลก ขนาดเครื่องถึงพื้นแล้วยังไม่วายมีอุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าให้อุบัติภัยร้ายแรงใดๆ เกิดกับไทยและกับทุกคนในประเทศไทยอีกเลย! สังคมเราบอบช้ำกันมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพี่น้องชาวภูเก็ตที่เกิดแต่เรื่องร้ายแรงอย่างสึนามิ หรือ เครื่องบินตกแบบนี้

ที่ฉัีนเลือกเรียนชีวะ ก็ต้องย้อนมาก่อนว่าทำไมฉันเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ ฉันเลือกเรียน วิทยาศาสตร์ เพราะฉันอยากเข้าใจโลกอยากเข้าใจธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสงสัย และ ตื้นตัน มานานแล้ว ฉันคิดว่าโลกนี้เป็นเรื่องของเหตุของผล (แต่เหตุผลบางอย่างอาจพิสูจน์ไม่ได้) และวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องของเหตุของผล(ที่พิสูจน์ได้เท่านั้น:-) มันก็น่าจะเข้ากันได้ และมันน่าจะทำให้เราเข้าใจอะไรๆในโลกนี้ได้ จึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์ มากกว่าคณะอื่นที่เน้นไปในทางสายอาชีพอย่าง ครู หมอ หรือ วิศวกร ที่เขาฮิตกัน ซึ่งก็โชคดีที่ทางครอบครัวก็ไม่ได้กดดันให้เลือกไปตามกระแสของสังคม (ขอบคุณปาป๊า หม่าม้า และญาติๆ ตรงนี้มากๆ อิอิ)

เมื่อเข้ามาเรียนวิทยา ก็รู้สึกดี กับทุกวิชา ปีหนึ่งเหมือนได้ทวนของ ม ปลาย สามปี ก็รู้สึกดี เหนื่อยดี และได้เห็นภาพของวิทยาศาสตร์ในภาพรวมของความสัมพันธ์ของแต่ละวิชา รวมทั้งวิชาสายศิลป์ด้วยนะ (ต้องขอบคุณมหิดลที่บังคับให้ฉันเรียนสายศิลป์) แต่แล้วทำไมถึงเลือกชีววิทยา ก็เหตุผลเดิม เหตุผลที่อยากจะเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ชีวะเป็นผลรวม เป็นผลลัพธ์ของทุกสาขาวิชาในโลก ไม่ว่าจะทางสายวิทย์ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ผลลัพธ์จากสมการ ทฤษฏีต่างๆสุดท้ายก็ออกมารวมที่ชีวะ หรือว่าจะเป็นสายศิลป์ ภาษาศาสตร์สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา และแม้แต่ ดนตรี สุดท้ายก็ไม่ได้ไปพ้นจากชีวะเลย ทุกปรัชญา ทุกศาสตร์ และ ศิลป์ ออกมาแสดงตน เล่นละครความรู้ ที่ไร้ความตายตัว และ สดใหม่ ในเวที ที่ชื่อชีววิทยา นี้

หรือ อาจเป็นไปได้ว่า เพราะ ชีวะ คือ ชีวิต อีกทั้งยังรวมถึงสิ่งที่ไ่ม่มีชีวิตด้วย ไม่มีัตัวตนด้วย (บางทีนี่คือ ชีวะในความหมายของฉันเท่านั้น) และด้วยความที่ฉันเป็นพวกโลภมากก็คิดว่าจะได้เรียนทุกอย่างในหนึ่งแพ๊กเกจคือชีวะ ถ้าเรียกหรูๆก็บูรณาการ ไม่ตัดอะไรออกไป (ตัวอย่างวิชาอื่นที่เป็นอย่างนี้เช่น เกมลูกเเก้ว) อีกทั้ง ยังโดนไซโค จากพี่ๆที่แสนดีในคณะอีกด้วยหุหุ เป็นภาคที่ looks cool ไฮโซ ใช้เครื่องมือใหม่ๆ เทคนิกใหม่ๆ ได้เล่นกับดีเอ็นเอ ได้หนังสือภาพสวยๆ กระดาษดีๆไว้อ่าน และยังมีอะไรให้ค้นพบใหม่ๆเสมอ ส่วนทางสายอื่น อย่างฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ก็ถูกค้นพบปรุโปร่งหมดแล้ว ยังมีพื้นที่ให้เราคนน้อยๆได้เพ้อฝัน

ฉันจึงคิดว่าชีวะ มันต้องเจ๋งมากๆแน่นอนจึงเลือก

แต่สุดท้่ายด้วยเหตุและผลมากมายแบบนี้ เมื่อเข้ามาในภาคชีววิทยาของจริง ฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะในภาคนั้นมันช่างน่าเบื่อและคับแคบเหลือเกิน อย่างที่ว่า โลกในฝัน กับ โลกความจริง มันก็ต่างกันเสมอ ยิ่งฝันไว้ใหญ่ ความเจ็บปวดก็ทวีตามความใหญ่นั้น และเมื่อยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น ยิ่งรู้ว่า ชีวะแบบ ใน ม. มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอะไรเลย วิชาต่างๆใน ม. ก็เช่นกัน ไปในทางบ้าสาระ หาแก่นสารที่ศักดิ์สิทธิ์แต่กินไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ (มั้ง)

ฉันก็เลยเรียนๆไป ทำตามหน้าที่ของนักเรียน บ้างก็เอามันกับวิชาที่มันพอมีความหวังที่จะได้ตามฝันอย่างที่หวัง บ้างก็เรียนแบบสำเร็จความใคร่ทางสมอง บ้างก็เบื่อๆไม่อยากเรียน ไม่ชอบเเล็บ ไม่ชอบอาจารย์ ไม่ชอบสังคม พอเบื่อๆ ก็ไปทำอย่างอื่น ที่มันสุนทรีย์ ที่มันกรี๊ดกร๊าด ที่มันตรงกับความชอบตัวเองมากกว่า เกรดเลยไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ มันมีค่าแค่เปื้อนกระดาษเท่านั้น ฉันว่านะ

แต่อย่างว่าแหละเธอ ฉันใจง่ายอยู่ อยู่ด้วยกันตั้งสามปีเลยตกหลุมรักมันเข้าไปแล้ว (ประมาณโดนชีวะตื๊อ, ตื๊อ เท่านั้นที่ครองโลก อิอิ หนุ่มๆจำเอาไว้นะ) อันที่จริงมันก็ไม่ได้เเย่อะไรมากหรอก แต่ฉันนั้นสร้างภาพไว้สวยงามเกินไป ระหว่างสามปี ฉันได้พบอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าชีิวะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้อ้าปากค้าง ร้อง Ohhhh! บางประสบการณ์มันก็เป็นเรื่องมิตรภาพ บางทีก็เป็นเรื่องความรัก บางครั้งก็เป็นเรื่องความฝัน เรื่องเลวๆก็มีอยู่เยอะ มันสอนอะไรได้เยอะ

ชีวิตที่ได้ใช้จริงนั่นแหละ ชีวะที่แท้จริง ฉันขอขอบคุณช่วงเวลาที่มีค่านั้นจริงๆ

เมื่อคนมันรักไปแล้วอย่างนี้ ฉันตอนนี้ก็เลยเรียนชีวะอยู่ ก็เพราะ ตกหลุมรักมันไปแล้ว ก็มีหน้าที่ที่ควรจะทำให้เสร็จ ไม่งั้นไปทำอะไรมันก็ทำครึ่งๆกลางๆทั้งนั้น ส่วนชีวะในความหมายของฉันนั้น ฉันก็ได้เเต่เล่นเกมซ่อนหากับมันตลอดเวลา สุดท้ายก็ไปพบมันจริงๆแหละ (หุหุ ไม่บอกหรอกว่าเจออะไร)

แต่ที่เลือกเรียนชีวะไปก็มีเรื่องที่กังวลอยู่เหมือนกันหละ อย่างที่เขาว่ากันแหละ ชีวะต้องฆ่าสัตว์ ผิดศีล ฉันก็กลัวเหมือนกัน รับไม่ได้จริงๆที่จะผิดศีล สำหรับเรื่องศีล ผู้รู้ นักปราชญ์ทุกคนยกย่องการมีศีล แต่ศีลคืออะไร ทำไมเราต้องปฏิบัติในศีลในธรรม เราเคยตั้งคำถามกันไหม อยู่ดีๆ ไ่ม่อยาก ฆ่าสัตว์เพราะผิดศีลที่เขาบอกๆกันมา มันก็แปลกๆนะ ฉันว่าปล่อยศีลเป็นเรื่องที่เรารู้สึกกันดีไหม อย่างฆ่าสัตว์ใหญ่อย่างหนู ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน รู้สึกแย่มาก ตั้งแต่หนอนหรือแมลงขึ้นมา ฉันก็ฆ่าไม่ได้แล้ว ทำแล้วรู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ถ้าต้องทำ ก็ทำไปให้สำเร็จตามหน้าที่ที่ควรทำ แต่ทำไมไม่รู้ พอให้ฆ่าพวกแบกทีเรีย พวกเชื้อรา พวกเซลล์ ฉันกลับฆ่ามันได้หน้าตาเฉย ทุกวันก็ฟอกสบู่ฆ่ามันอีกด้วย หุหุ มันไม่ค่อยจะเศร้าเท่าไหร่ ก็แปลกดี กับความรู้สึกของตัวเอง

เเล้วพอไ้ด้รุ้ว่าการศึกษาหรือทำงานทาง ชีวะ มีสองทาง แบบรีวิว ทำทฤษฏี อ่านเปเปอร์ หรือว่า เล่นกัับคอม กับแบบ ทำแล็บสด ฉันก็อยากจะหนีการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองไปทำแบบรีวิว แต่วิทยาศาสตร์มันก็ต้องอาศัยของจริง ไม่ใช่เพ้อๆเอามาเขียน ฉันเลยว่าทำแล็บสดจะดีกว่า เห็นผลได้จริง แม้ต้องฆ่า แต่ก็จะพยายามอุทิศส่วนกุศลไปใ้ห้พวกมันละกัน และเท่าที่เห็น พอนานๆไป เขาก็ส่งไม้ต่อให้รุ่นต่อไปทำ แก่ๆไป ก็จะอัพไปเป็น ศาสตราจารย์ นั่งสอน คุมแล็บ และก็เขียนเปเปอร์ แทน ไม่ได้ฆ่าเอง แต่สั่งคนอื่นฆ่า ระยะห่างเพิ่มขึ้นคงสบายใจมากกว่าเดิม แม้ว่าบาปคงมีเต็มกระบุง

สุดท้ายนี้ อยากถามว่าใครเชื่ออย่างที่ฉันเชื่อบ้าง เชื่อในเสียงเรียกของตัวเอง ถ้าเชื่อนะ หรือ แค่สนใจ ก็ขอให้เธอได้ลองใช้ความรู้สึกดู รู้มากๆ คุยกับตัวเองแบบเงียบๆ ฟังดีๆข้างในมันส่งเสียงเรียกเราตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ยิน ทางที่ดี ลองหยุดเรียน หรือหยุดงานแล้วอ่านหนังสือที่หลากหลาย ออกเดินทาง ภายใน หรือ ภายนอก พบปะคนหลากหลาย ทำไปสักสองปี น่าจะได้รู้กันไปว่าเราจะทำำอะไร เกิดมาเพื่ออะไร (ฉันว่ามันช่วยได้แน่ๆ ลองดูสักครั้งสิ)

...ต่างคนต่างมีหนทางของตัวเอง มีแสงสว่างเป็นของตนเอง.. ศรัทธาของเราเป็นของเรา ศรัทธาของท่านก็เป็นของท่าน...

ขอบคุณที่ให้ฉันรบกวนเวลาของพวกเธอนะ มาฟังฉันคุยๆบ่นๆ ก็ขอรบกวนเวลาเธอแต่เพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีในหนทางที่เลือก

ด้วยรัก

Saturday, August 25, 2007

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส
ส.ศิวรักษ์

นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในระดับชาติของคนไทย ซึ่งไม่เคยมีใครเทียบเท่าได้ในรอบ ๑ ศตวรรษ ความสำคัญของท่านอยู่ในระดับเดียวกับ เมาเซตุงของจีน โอจิมินห์ของเวียดนาม และบัณฑิตยวาหระราล เนห์รูของอินเดีย แต่เหตุไฉนท่านจึงต้องไปตายต่างแดนดังผู้ลี้ภัย ในขณะที่รัฐบุรุษอีก ๓ ท่านนั้น ได้รับการปลงศพอย่างใหญ่ยิ่งในนามของรัฐ และมีอนุสรณ์สถานไว้อย่างมโหฬารในครหลวงนั้น ๆ ด้วย

ทั้งนี้เป็นเพราะนายปรีดี ได้เคยกระทำความผิดพลาดทางการเมืองมากระนั้นหรือ ? คำตอบก็คือ ใช่ โดยที่รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของระเทศอื่น ๆ ก็เคยทำความผิดพลาดมาไม่น้อยไปกว่าเช่นกัน เพราะสามัญมนุษย์ที่ไม่เคยทำผิด ย่อมไม่ใช่มนุษย์ แต่ในบ้านอื่น เมืองอื่น ชนชั้นปกครองมีดวงตา ที่มีแวว ที่รู้จักบวกลบคูณหาร หักประโยชน์ท่านแล้ว เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกซึ่งกตเวทิตาธรรม(ทั้งๆที่ผู้นำของประเทศส่วนมากไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา) ต่อรัฐบุรุษผู้เคยทำบุญคุณมากับประเทศชาติเพื่อประชาราษฎรจะได้รู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจไว้ที่คุณธรรมอันเป็นแกนนำของบ้านเมือง แม้ขนาดอูนุศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองที่ฉกาจของเนวิน ยังได้รับนิรโทษกรรมและอโหสิกรรมจากเนวิน ให้กลับมาใช้บั้นปลายแห่งชีวิตในสหภาพพม่าอย่างมีเกียรติ

ที่กล่าวมานี้ ออกจะชัดเจนแล้วว่า ชนชั้นำ ที่ปกครองบ้านปกครองเมือง ตลอดจนที่คุมสื่อสารมวลชน ทางด้านสร้างค่านิยมอยู่ในประเทศไทย ในบัดนี้ มิได้นำพาต่อปัญหาขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ สัจจะความยุติธรรม สันติธรรมและความเป็นไท กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชนชั้นนำรังเกียจประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานอันมวลชนหรือประชาราษฎร์ต้องเป็นใหญ่ ในทางความชอบธรรมเหนืออภิสิทธิ์ชนคนส่วนน้อยซึ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปด้วยความสับปรับ จอมปลอมและหลงละเมอไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทางไสยศาสตร์ตลอดจนของปลอมอื่น ๆ ในทางยศักดิ์อัครฐานและกามสุขาลิกานุโยคอันแสดงออกทางการเสพวัตถุเกินพอดีในวิถีชีวิตของเขาเหล่านั้น

พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็คือ ชนชั้นนำของเราที่ควบคุมเศรษฐกิจ การเมืองการและการทหาร ตลอดจนข้าราชการพลเรือนและภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์สูงเป็นจำนวนไม่น้อย พากันนับถือพระพุทธศาสนาที่ริมฝีปาก หรือประยุกต์ใช้ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หาไม่ก็มิได้นำพระพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ให้ถึงแก่น ให้เหมาะกับปัญหาของสังคมและการเมืองร่วมยุคร่วมสมัย หากไม่ไหนเลย เราจะสอนศิษย์ของเราให้แสดงกตัญญกตเวทีโดยเราเองไม่เคยถึงแก่น หากแสดงกันตามรูปแบบพิธีกรรม และใครแสดงเข้าอย่างจริงจังและจริงใจ เราก็เกลียดและโกรธดังกรณีที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงมาแล้วกับนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยการที่เขาเป็นคนไทยที่ไปแสดงความเคารพต่อท่านที่ปารีสเป็นคนแรกอย่างเปิดเผย ผลก็คือนั่นเป็นจุดเริ่มที่นายป๋วยถูกผลักดัน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ให้ออกพ้นสังเวียนชนชั้นนำของไทยไป

ยิ่งเรื่องประชาธิปไตยด้วยแล้ว ชนชั้นนำของเราแทบทุกระดับไม่มีศรัทธาปสาทะเอาเลย หลายคนยังอยู่ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นตัวนำความหายนะมาให้ประเทศไทยในทุก ๆ ทาง.. ทั้ง ๆ ที่กำพืดของสฤษดิ์ก็เป็นไพร่ และเรามีอนุสาวรีย์ของไพร่ที่ไหนบ้างไหม เว้นไว้เสียแต่คนนั้น ๆ จะถูกฆ่าตาย หรือใช้ประโยชน์ในการการเมืองจากคนนั้น ๆ ได้ต่างหาก

แม้ที่สุดจนชื่อเขื่อน ชื่อมหาวิทยาลัย เราเคยนำชื่อของไพร่และขุนนาง ที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองมาตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติบ้างหรือเปล่า ยิ่งราษฎรตาดำ ๆ ด้วยแล้ว อย่าได้พึงหมายว่าจะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างจริงจังเลย เว้นไว้แต่เพียงในฐานะสมุหนาม เพียงแค่ริมฝีปาก เพื่อผู้สรรเสริญนั้น ๆ จะได้ยศศักดิ์อัครฐานหรือ เงินตรายิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้นเอง เพื่อเขาจะได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมและหลงอำนาจวาสนาบารมีของตนเองต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ที่จริงสมัยนี้เราไม่ได้ถอยไปสู่สมัยสฤษดิ์เท่านั้น หากเราพยายามถอยไปสู่สมัยราชาธิปไตยเสียซ้ำ ดังที่เราเน้นที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีการคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ หรือฐานอำนาจที่ทวยราษฎร์กันเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ละอายอะไรกันเลยกับประชาธิปไตยครึ่งใบเสี้ยวใบ หรือแม้ที่สุดจนจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสียอีกเมื่อไรก็ได้

คำตอบของเราเวลานี้ดูจะมุ่งไปที่สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ ไปที่อำนาจอันแฝงเร้น และไปที่ผู้กุมอำนาจทางทหาร เราไม่เชื่อเลยว่าราษฎรมีความสามารถและเป็นพลังอันมหาศาล ที่เมื่อผนวกกับความชอบธรรมเข้าแล้วสามารถต้านกระแสอธรรมใด ๆ ก็ได้ มิใยว่าฝ่ายนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงใดก็ตาม เราพยายามทำลายพลังของผู้นำกรรมกร เราพยายามบั่นทอนการรวมตัวกันของผู้นำกสิกร ดังเราได้พิฆาตฆ่าลูกหลานของเราในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ด้วยเลือดอันเย็นไม่แพ้เดรัจฉาน

ชนชั้นนำของเราเวลานี้ ถ้าอ่านคำแถลงการของคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ซึ่งประกาศออกมา ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ แล้ว หลายต่อหลายคน ยังมีโลหิตฉีดแรง และเดือดพล่านอยู่ เพราะแถลงการณ์ฉบับนั้นท้าทายสถาบันเจ้า โดยถือว่า ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็ต้องโง่เช่นกัน ถ้าเรายังรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เรายังเป็นประชาธิปไตยกันไม่ได้ และคนอย่างท่านปรีดีฯ ก็จะได้รับอโหสิกรรมไม่ได้

ท่านปรีดี พนมยงค์จะได้รับเกียรติยศอย่างแท้จริงจากประชาราษฎร ก็ต่อเมื่อราษฎรได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน !

และแถลงการณ์ของท่านปรีดีฉบับนี้ กลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เยาวชนของเราทุกคนต้องนำมาอ่านกันในชั้นเรียน ดังที่รุ่นพ่อของเราเคยเรียนเรื่อง “สมบัติผู้ดี” ของเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดีมานั้นเอง

ชนชั้นนำทางการศึกษาของเราหลายต่อหลายคนยังต้องการกลับไปหาหนังสืออย่าง “สมบัติผู้ดี” โดยที่เราควรแสดงหาหนังสือเช่น สมบัติไพร่ และเราควรฝึกผู้นำในอนาคตของเราให้เป็นไพร่ ให้เป็นกสิกร ให้เป็นกรรมกร กล่าวคือให้ภูมิใจในศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน ซึค่งไม่เอารัดเอาเปรียบใครและไม่ยอมให้ใครเอารัดเอาเปรียบ หากให้มีการเกื้อกูลกันอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ให้เลิกการหมอบกราบคลาน ดังสัตว์เลื้อยคลานอีกต่อไป ซึ่งเราเห็นได้ชัดตามโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่มอมเมาต่างๆ รวมทั้งนวนิยายน้ำเน่าทั้งหลายด้วย ทั้ง ๆ ที่พระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงประกาศให้เลิกการกระทำเช่นนี้มาก่อน ท่านปรีดี พนมยงค์เกิดเสียด้วยซ้ำ

อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ต้องการนำพระราชปณิธานของพระจุลจอมเกล้าฯ ในเรื่องปาเลียเมนท์และคอนสติติวชั่นให้สัมฤาธิ์นั้นเอง แต่เผอิญท่านปรีดีเป็นไพร่ และหาญไปท้าทายสถาบันเจ้าเข้า เจ้าที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และพวกที่หาผลประโยชน์จากเจ้าจึงรุมกัดลอบกัด จนท่านปรีดีต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปจนตราบอายุขัย มิใยว่านายปรีดีจะทำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้าเพียงใด โดยที่นิทานชาวนากับงูเห่านั้นเองควรเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับคนอย่างท่านปรีดี พนมยงค์

ก็ใครเล่า ที่ปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนอกจากจะข่มขู่เจ้านายและองค์พระประมุขแล้ว ยังเคยคิดตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเองด้วยซ้ำ ใครเล่าที่ถวายอารักขาสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอย่างใกล้ชิดและห่วงใย ใครเล่าที่ช่วยบันดาลให้เกิดหอสมุดดำรงราชานุภาพ (ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าอิฐปูนใด ๆ ที่มักนิยมสร้างถวายเจ้าในสมัยหลัง) ใครเล่าที่ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักโทษชายรังสิต ประยูรศักดิ์ แล้วถวายพระราชอิสสริยายศคืนขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรทร และที่สำคัญอันสุดท้ายนั้นก็คือ..

ถ้าท่านปรีดี พนมยงค์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เคยสั่งสอนอาชญากรรมวิทยามาแต่วัยรุ่น บอกให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชันสูตรพระบรมศพตามกระบวนการกฎหมายอาญาแต่เมื่อแรกสวรรคต และจับกุมผู้ที่กล้าบังอาจพลิกพระศพ เย็บพระศพ นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับพระศพไปซัก ไปฝัง ฯลฯ เพื่อปิดบังความพิรุธ ป่านนี้ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษอาวุโสอยู่ในประเทศไทย และการอสัญกรรมของท่านจะเป็นงานศพอันมีเกียรติยิ่งสำหรับราษฎรชาวสยาม โดยที่ผู้นำของรัฐบาลและชนชั้นนำอื่น ๆ จะไม่กล้านิ่งเงียบดังอมสากอยู่ในปากดังเช่นในบัดนี้ หากทุกคนจะเอ่ยถึงวีรกรรมของท่าน ในฐานะผู้นำทางด้านประชาธิปไตย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือท่านปรีดีเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย ในสงครามโลกครั้งที่ ๒

วีรกรรมชิ้นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินเลยทีเดียว !!!

โดยที่อีกร้อยปีข้างหน้า เราไม่อาจปฏิเสธคุณค่าอันวิเศษข้อนี้ของเขาได้ แม้ในบัดนี้เราจะปล่อยให้อคติครอบงำสัจจะไว้ก็ตาม ดังที่พระเจ้าตากสินก็เคยเผชิญชะตากรรมมายิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ เมื่อสองศตวรรษมานี้เอง

บทความนี้พิมพ์ครั้งแรกใน ไทยแลนด์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มหาวิทยาลัยราคำแหงอัดโรเนียวแจกในวันอภิปรายคล้ายวันปลงศพนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖