http://www.thaipost.net/sunday/090809/8973
ในช่วงต้นเดือนตุลาคม  ปี  พ.ศ.2518  ร่วม  35  ปีมาแล้ว  เอกอัครราชทูตของประเทศสแกนดิเนเวียประเทศหนึ่ง   ส่งเจ้าหน้าที่สถานทูตชาติเดียวกันไปรับผู้เขียนถึงสถานที่หนึ่งที่นัดไว้   ไม่ไกลจากบ้านที่ผู้เขียนหลบไปซ่อนตัว   ตอนนั้นวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ได้ประกาศว่า  ผู้เขียนได้หนีไปที่ทุ่งไหหินไปแล้ว   สองเดือนหลังจากวันนั้น   หนังสือพิมพ์และแมกกาซีนที่พิมพ์เมืองนอกได้บอกว่า   นักการเมืองที่เป็น  "ลิเบอรัล"  คนหนึ่งได้หลบหนีภัยการเมืองไปอยู่ในสถานทูตของประเทศยุโรปตะวันตก   ซึ่งในตอนนั้นผู้เขียนคิดว่าผู้เขียนเป็นนักการเมือง  "ลิเบอรัล"  จริงๆ  เพราะไม่รู้  "ความรู้"  รอบตัวอะไรเท่าใดนัก   คิดแต่ว่าในทางการเมืองของประเทศไทยนั้น   ถ้าไม่เป็นเผด็จการทหารหรือเผด็จการทุกรูปแบบ   รวมทั้งคอมมิวนิสต์สุดโต่ง  เป็นรอยัลลิสต์หรืออนุรักษนิยมแล้ว   คำว่า  สังคมนิยม  รัฐสวัสดิการ  ก็ไม่ได้แตกต่างจาก  "ลิเบอรัล"  เท่าใดนัก   ทั้งที่ว่าไปแล้วผู้เขียนเกลียดหรืออย่างน้อยก็ไม่ชอบระบบเศรษฐกิจทุนนิยม   และกายวัตถุนิยมกับเทคโนโลยีที่ทำลายและทำร้ายธรรมชาติอย่างที่สุด   นั่นเป็นตอนนั้นเมื่อ  35  ปีมาแล้ว  ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า  "ลิเบอรัล"  นั้นหมายเฉพาะเสรีภาพของ  "มนุษย์"  เท่านั้น 
     ทำให้พลอยไม่ชอบ  "ความรู้"  ในทางกายภาพ   สิทธิมนุษยชน   และประชาธิปไตยตัวแทนแบบสหรัฐอเมริกา   ซึ่งไม่เป็นธรรมที่แท้จริง   เพราะมีฐานที่มีมนุษย์เป็นใหญ่  (anthropomorphic)  กว่าชีวิตทั้งหลายทั้งปวง   ที่แม้มนุษย์ด้วยกันเองก็ขึ้นกับความฉลาดแกมโกง  อำนาจ  เงินที่เจือจางด้วยกิเลสตัณหา   รวมทั้งสิ่งอะไรๆ  ที่มนุษย์คิดขึ้น-ที่ล้วนแล้วแต่ทำร้ายหรือผิดธรรมชาติแทบจะทั้งสิ้น-ไปด้วย
     ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร?  ผู้เขียนก็คิดว่าโลกและจักรวาลของเราอันนี้หรือแห่งนี้   มีชีวิตอย่างแน่นอน   การมีชีวิตคือการมีจิตที่เข้าไปอยู่   ดังที่ผู้เขียนได้เขียนเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว  คืออยู่  "ภายใน"  จักรวาลและ  "ภายใน"  หัวสมองของสัตว์โลก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เรา   และจิตจักรวาลส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ภายในหัวสมองของมนุษย์   ได้ถูกบริหารโดยสมองให้เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึก-ทั้งของปัจเจกบุคลและจิตร่วม โดยรวม   สำหรับหมู่คนชุมชนหรือสังคม-นั่นทั้งไม่ผิดไปจากศาสนาที่มีพระเจ้าและไม่มี พระเจ้า   สำหรับกลุ่มแรกเพียงแต่พระเจ้าอยู่ในจักรวาลนี้  (ไม่ใช่อยู่นอกจักรวาลนี้)  และเป็นผู้สร้างสรรค์จักรวาลอันนี้ขึ้นมาจาก  "ซิงกูลาริตีที่เป็นซูเปอร์ซิมเมตรี"  ซึ่งเป็นส่วนของจิตพระเจ้า  (mind  of  God)  สำหรับกลุ่มหลังเช่น ศาสนาพุทธที่บอกว่า  "เป็นไปของมันเอง"  ซึ่งสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง (non-linear  dynamicity  science)  ซึ่งทำงานด้วยระบบของการจัดองค์กรให้กับตนเอง   โดยมีทฤษฎีไร้ระเบียบเป็นเครื่องมือ  (self-organizing  system  and  chaos  theory)  ทั้งสองกลุ่มจึงผิดกันที่ลำดับก่อนหลัง   โดยกลุ่มแรกเกิดก่อนและกลุ่มหลังอธิบายหนักไปทางกลไก   แบบนี้ทั้งสองกลุ่มยังไปสอดคล้องกันกับความพ้องจองกัน  (coincidence) ที่มีนับร้อยนับพัน   ประหนึ่งทำให้จักรวาลเป็นเหมือนกับผลพวงของฤทธิ์เดชของปาฏิหาริย์มายากล   ดังที่นักฟิสิกส์ระดับนำของโลกหลายๆ  คนเชื่อในทุกวันนี้   นั่นคือพื้นฐานของจักรวาลวิทยาใหม่และฟิสิกส์ดาราศาสตร์
     ผู้อ่านทุกคนเลยคิดว่าตนรู้ดีว่าความรู้  (knowledge)  คืออะไร?   แต่ที่เราเข้าใจว่าเรารู้ดีนั้น   อาจจะเป็นความรู้กายวัตถุที่เป็นประหนึ่งสิ่งของที่ถูกแช่แข็งอยู่ตลอด เวลา   แน่นิ่งอยู่กับที่ดุจจะพูดได้ว่าเป็นก้อนหินที่ไม่มีชีวิตชีวา   เราเข้าโรงเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ  อายุยังไม่ถึงสามขวบ   เพื่อเรียนและรู้ซึ่งความรู้ที่ไม่มีชีวิตชีวานั้นๆ  โดยเข้าใจว่าความรู้คือความจริงหรือนำไปสู่ความจริง   และโดยทั่วไปของเด็กเล็กๆ  เหล่านั้นในเมืองใหญ่ของปัจจุบัน  เด็กเล็กๆ  ในวัยแค่นั้นยังไม่รู้จักโลกรอบตัว   หรือรู้จักตัวเองได้มากพอที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ของตัวตนต่อสิ่งแวดล้อม เหล่านั้น   นั่นคือความสัมพันธ์และความสำคัญของตัวเองกับสังคมและจิตวิญญาณ   หรือวัฒนธรรมที่แสดงออกของสังคมนั้น   เพราะฉะนั้นไปๆ  มาๆ  เราก็จะรู้หรือเรียนแต่เฉพาะความสำคัญของตัวเองกับความสัมพันธ์ของตัวเองกับ สิ่งแวดล้อมกายวัตถุ   ในที่นี้และในเมืองใหญ่คือสังคม   ตกลงสิ่งที่เราเรียน  เรารู้  และสิ่งที่เราใช้กำกับชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตาย   คือการเรียนเพื่อที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน   หรือความเกี่ยวเนื่องระหว่างสังคมกับตัวตนของตัวเองที่สำคัญที่สุด   เราเรียนเพื่อรู้แค่นั้น-สำหรับคนส่วนใหญ่-จริงๆ  แต่จริงๆ  แล้ว  ความรู้ไม่ใช่ทั้งสองอย่างสองประการที่กล่าวมานั้น   คือทั้งไม่ได้ถูกแช่แข็งตายซากอยู่เฉยๆ   และที่สำคัญกว่านั้นความรู้ไม่ใช่ความจริงแท้   แต่ตรงกันข้าม   ความรู้คือกระบวนการหรือเป็นกรรมวิธีของธรรมชาติ  (natural  process)  จึงไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาโดยเชื่อมโยงกันทั้งหมด   และความรู้ไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงเพราะว่าอธิบายเฉพาะแต่รูปธรรมวัตถุภาย นอก   ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยที่เป็นเรื่องของภายใน   ความรู้ในโลกของรูปธรรมวัตถุนิยมจึงไม่สมบูรณ์เลย   เพราะธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องของภายนอกกับภายในเป็นบูรณาการ    จริงๆ  แล้วแม้ว่าภายนอกจะสำคัญ   แต่ว่าภายในสำคัญยิ่งกว่า   อย่างไรก็ตาม  ทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดอย่างใดไปไม่ได้ในเรื่องของธรรมชาติแห่งองค์ รวม   นั่น-ก็เป็นการอธิบายอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนบอกว่าความรู้ไม่ใช่ความ จริง   เนื่องจากธรรมชาติของความจริงจะต้องเป็นองค์รวมซ้อนองค์รวม  ซ้อนๆ  องค์รวม...ฯลฯ  ภายนอกกับภายในเป็นบูรณาการ... แอดอินฟินิตัม
     ผู้เขียนใช้คำว่าจิตวิญญาณ  (spirituality)  ของสังคมหรือวัฒนธรรมในที่นี้   จริงๆ  แล้วเพียงเพื่อต้องการที่จะเน้นความสำคัญของคำว่าวัฒนธรรมเท่าที่ผู้เขียน เข้าใจ   ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากที่คนทั่วไปเข้าใจและใช้ๆ  กันอยู่ในทุกวันนี้มากนัก   ในความเห็นของผู้เขียนนั้น   ผู้เขียนเข้าใจว่าวัฒนธรรมคือจิตรวมทั้งจิตวิญญาณร่วมของสังคมด้วย   ในขณะที่สังคมคือรูปกายวัตถุโดยรวม   พูดง่ายๆ  สังคมมีบริบททางรูปธรรมหรือมีบริบทไปในทางพฤติกรรม   ขณะที่วัฒนธรรมเป็นเรื่องของจิตรู้กับจิตไร้สำนึก   คำว่าจิตนั้นกว้างมากที่สุดเลย   ที่ทำให้นักคิดนักปราชญ์เข้าใจไม่ตรงกัน   ผู้เขียนอาจเป็นคนที่ชอบคิด  จึงอาจจัดว่าเป็นนักคิดทั่วไปก็ได้   แต่เป็นถึงนักปราชญ์นั้นคงจะยาก   อย่างไรก็ตาม   ผู้เขียนได้อ่านและได้คิดเรื่องจิตนี้อย่างจริงจังและยาวนาน   ที่ทำให้ผู้เขียนสามารถจะเข้าใจมันได้บ้าง   ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน   หากว่าเรายอมรับกันว่าจักรวาลนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงประการเดียวคือ  วิวัฒนาการ-จากหนึ่งสู่ความหลากหลายที่ซับซ้อนมากขึ้นๆ  เป็นวัฏจักรเช่นล้อของเกวียน   เพื่อที่กลับมาหาหนึ่งใหม่ไปเช่นนั้นเรื่อยไปอย่างไม่รู้จบ-ของจิต   ฉะนั้น  จิตจะรวมทั้งหมดตั้งแต่จิตปฐมภูมิ  (primordial  mind)  ของจักรวาลที่เป็นจิตไร้สำนึก  (cosmic  unconsciousness)  ที่มีอยู่ทุกหนแห่ง
     และต่อมาส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในสมองของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์   และจะถูกบริหารโดยสมองไปเป็นจิตที่เรียกรวมๆ  ว่าจิตใจ   และมีวิวัฒนาการและถูกบริหารต่อไปเป็นจิตสำนึก  (consciousness  or  conscious  mind)  ที่รวมความรู้สึก  อารมณ์  ความจำ  หรือจิต  (ตื่นรู้  (cognition)  ไล่ต่อๆ  ไปตามสเปกตรัมของจิต   ไล่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ถึงจิตวิญญาณและนิพพาน   ปัจเจกบุคคลก็เช่นนั้น   โดยรวมหรือสังคมก็เช่นนั้น   นิพพานที่ผู้เขียนเข้าใจจึงเป็นทั้งลักษณะของปัจเจกพุทธและโพธิสัตว์   วัฒนธรรมจึงหมายความคล้ายๆ  กับจิตที่รวมจิตใจ  จิตสำนึก  รวมทั้งจิตวิญญาณไล่ไปถึงนิพพาน-ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นทั้งสภาวะและไม่ใช่ สภาวะ-ฉะนั้น  วัฒนธรรมที่สาธารณชนคนทั่วไปนำมาใช้ๆ  กันนั้น   ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงคำที่มักจะหมายถึงจิตใจของสังคม   จารีตประเพณีที่ดีงามและยั่งยืน   รวมถึงวิญญาณของเทพเทวดา  เจ้าพ่อเจ้าแม่   ผีหรือวิญญาณที่เราใช้กันจนเปรอะไปหมด   ซึ่งอย่างไรก็ตามทั้งหมดที่กล่าวมาหรือวัฒนธรรม   ก็คือเรื่องของจิตที่กำกับควบคุมพฤติกรรมของสังคมอีกที
     การรับรู้ของเราที่ทำให้เรา  "รู้"  ซึ่งความรู้  (หนึ่งๆ  ใดๆ)  แล้วจำเอาไว้เป็นประสบการณ์เพื่อระลึกเอามาใช้เมื่อเราต้องการนั้น   เราจึงจำเป็นที่ต้องระลึกถึงความเป็นทั้งหมดของความรู้นั้นๆ  ซึ่งได้แก่   ความสนใจหรือความจงใจ-หนึ่ง   พฤติกรรม  (การอ่านหรือการฟัง)-หนึ่ง    บริบทของสังคมในขณะนั้น-หนึ่ง   และวัฒนธรรมของสถานที่-เวลาในขณะนั้นๆ อีกหนึ่ง   ความรู้ทุกๆ  อย่างจะต้องประกอบด้วยความเป็นทั้งหมดทั้งสี่อย่างนั้นเสมอไป   เป็นบูรณาการโดยขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้   และต้องเข้าใจตลอดเวลาว่าดังที่ได้พูดมาแล้ว  ความรู้ที่เรารับและเรียนรู้นั้น   มันไม่เคยอยู่กับที่   หากแต่มันเป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่ง   ซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสัมพันธ์กับทั้งหมด   เหมือนกับความจริงทางโลกหรือทางสังคมที่ไม่ใช่ความจริงแท้   ที่คล้ายๆ  กันกับสายน้ำด้วย   จริงๆ  แล้วผู้เขียนคิดว่า  การเรียนรู้  ทั้งสามรู้  คือ  รู้รอด   รู้เพราะมีความรู้   และรู้แจ้ง   ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือของวิวัฒนาการของมนุษย์และจักรวาล   จากหนึ่งสู่ทั้งหมด   เพื่อหวนกลับสู่หนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ  อย่างไม่รู้จบ   นั่นคือขามาและขากลับของวิวัฒนาการ   อันเป็นเป้าหมายของจักรวาลที่ยาวมากๆ  และมนุษย์ที่สั้นมากๆ  ดังที่ผู้เขียนมองเห็น  เชื่อ  และเอามาเขียนเล่าตลอดมา
     นั่นคือขั้นตอนของวิวัฒนาการของจักรวาล   วิวัฒนาการทางกายภาพจะต้องผ่านขั้นตอนของชีววิวัฒนาการของพืชและสัตว์ต่างๆ  ไล่ไปตั้งแต่ต่ำไปหาสูง   ทวีความซับซ้อนขึ้นไปตามลำดับก่อน   ต้องผ่านการ  "รู้รอด"  ของพืช  สัตว์และมนุษย์ก่อน   ถึงจะเป็นการรู้หรือการแสวงหาความรู้ของสัตว์ชั้นสูง   ไล่มาตั้งแต่แมมมอล  ไพรเมต  เอปส์  เช่น  ชิมแปนซี  และมาถึงมนุษย์ตามลำดับ   ไล่มาอีกทางกายภาพตั้งแต่ปัจเจกและโดยรวมหรือสังคมตามลำดับ   ก่อนที่จะมาถึงวิวัฒนาการของจิตและวัฒนธรรม   ซึ่งก็คือจิตแห่งสังคมตามลำดับเช่นเดียวกัน    ความรู้ทางโลกหรือทางสังคม-อันไม่ใช่ความจริงแท้ดั่งที่ได้ว่าไปแล้ว-จะ ประกอบด้วยความตั้งใจ-หนึ่ง   พฤติกรรม-หนึ่ง   สังคมในเวลานั้น-หนึ่ง   และวัฒนธรรมในเวลาและสถานที่อีกหนึ่ง  แล้วจึงจะมาถึงการค้นพบความจริงที่แท้จริงหรือ  "รู้แจ้ง"  ไล่ไปตั้งแต่จิตวิญญาณ  (spirituality)  ถึงนิพพานการรู้  (knowing  or  cognition)  และความรู้  (knowledge)  จึงเป็นกลไก   หรือเครื่องมือของวิวัฒนาการของจักรวาลที่มีมนุษย์เป็นตัวแสดง   การรู้และความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิวัฒนาการของมนุษย์   ที่ต้องเรียนรู้ทั้งสามรู้ที่กล่าวมานั้นจนรู้แจ้งหรือรู้ว่าความจริงแท้ นั้นคืออะไร?  และการรู้ความจริงที่แท้จริง-อันเป็นเป้าหมายของจักรวาลนั้นจำเป็นที่จะต้อง รู้จักรู้การเอาตัวให้อยู่รอดหรือรู้รอดก่อน  และการรู้เพื่อแสวงหาความรู้ก่อน-หรือรู้แจ้งนั้น.
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
 
No comments:
Post a Comment