Sunday, February 22, 2015

Two Days , One Night ทุนนิยมไม่ได้สามานย์

ภาพยนตร์ Two Days , One Night กำกับโดยพี่น้องดาแดง Jean-Pierre & Luc Dardenne

เนื้อเรื่องเล่าเหตุการณ์สุดสัปดาห์ สองวัน หนึ่งคืน ของ ซองธา (Sandra) คุณแม่ลูกสองที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องลางานยาว และเนื่องด้วยเศรษฐกิจอียูไม่ดี บริษัทโซล่าร์เซลล์ที่เธอทำอยู่ก็ต้องการปรับลดพนักงานด้วย ทำให้เธอโดนแจ็กพ็อตให้โดนเลย์ออฟ แต่บริษัทมีเงื่อนไขหนึ่งคือ พนักงานที่เหลือสามารถเลือกจะเก็บเธอไว้ด้วยการงดโบนัสประจำปี

หนังเล่าเรื่องเริ่มจาก เธอนอนเศร้าอยู่เพราะพลาดจากการไปฟังผลโหวตนี้ ซึ่งก็ชัดเจนว่าเธอต้องออก แต่เพื่อนรักของเธอจูเลียต ได้คุยกับหัวหน้าเพื่อให้มีการโหวตใหม่ เพราะว่า มีคนไปกดดันคนโหวตให้โหวตเธอออก จูเลียตและสามีของเธอ ได้ช่วยกันให้กำลังใจจนเธอกล้าไปพบหัวหน้าเพื่อให้โหวตใหม่ หัวหน้าก็ยอมรับ โดยเธอมีเวลาเพียงแค่สุดสัปดาห์ที่จะไปคุยกับเพื่อนร่วมงานทุกคนให้เปลี่ยนมาโหวตให้เธอ

ระหว่างทาง ในหนังเราจะเห็นเธอสับสน ซึมเศร้าตลอดเวลาแต่ที่ต้องทำเหมือนกับว่าเพราะ โดนสามีหรือ เพื่อนบังคับ ทั้งๆที่ตัวเองอยากจะจมจ่มกับความเศร้า ความพ่ายแพ้ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เธอยอมแพ้ จะมีอะไรดีๆมาช่วยตลอดเวลาในเรื่อง ซึ่งก็ออกมาอย่างแนบเนียน ไม่ดูโอเว่อร์ เช่น จูเลียต จะโทรไปหา จะคอยช่วยติดต่อเพื่อนคนอื่นให้เปลี่ยนโหวตให้ตลอด หรือ อยู่ดีๆเพื่อนอีกคนก็มาหาเธอว่าจะเปลี่ยนโหวตให้ จนเธอเริ่มมีกำลังใจ เดินไปเคาะประตูเพื่อนร่วมงานทีละบ้านต่อไป ซึ่งก็ดูเหมือนกับการ
เดินทางแสวงบุญ?  หนังก็จะพาเราไปเรียนรู้ชีวิตคนธรรมดา แรงงานทั่วไป ผ่านการให้เหตุผลของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน

-----สปอยล์------
ส่วนตัวผมชอบสไตล์ของหนังเป็น มินิม้ลลิสต์ ดี ไม่ฟูมฟาย ไม่มีสตอรี่ไลน์เรื่องอื่นที่นอกเหนือมา ดูราบเรียบหนักแน่นดี กล้าเล่าเรื่อง ต่อเนื่อง ใช้เพลงน้อย แต่งฉากที่เพลงออกมา โดนเต็มๆ

แต่ที่ออกจะรำคาญคือ มีหลายฉากที่โอเวอร์แอ็คติ้ง ทั้งจากนางเอก และเพื่อนร่วมงาน เช่น ฉากฟูมฟายการเป็นผู้แพ้ของเธอ ฉากที่เธอเดินมาหาเพื่อนร่วมงานที่สนามฟุตบอล เพื่อนร่วมงานก็ช็อกและน้ำตาไหลทันทีที่เห็นเธอ เหมือนซาบซึ้งว่าได้ทำผิดไป

หรือ อีกฉากที่เพื่อนร่วมงานสองคนทะเลาะกันเพื่อเธอ มันดูเฟค และ ตั้งใจจัดฉากให้มันมีเรื่องมากไปหน่อย สิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่องของผมคือ สามี ที่ใจดี และพยายามช่วยเธอมากๆ อย่างไม่ดูเว่อร์ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูน่ารำคาญก็ตามที อีกอย่างที่สำคัญคือ นางเอกดูสวยและสดใสเกินกว่าคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่า ต้องหน้าดำคร่ำเครียด แต่ดูแล้วเธอไม่มีรัศมีความหดหู่สะท้อนออกมาเหมือนคนเป็นโรคนี้เลย ดูเล่นอารมณ์ไปตามธรรมดาเท่านั้น เลยรู้สึกว่าไม่ลึกพอที่จะสื่อถึงความเศร้าของตัวละครนี้ ถ้าบทบอกว่า ป่วยเป็นโรคทางกายสักโรค อาจจะน่าเชื่อกว่านี้ แต่อย่างน้อย เพราะนางเอกดูสวยอยู่ ดังนั้นถ้าใครชอบก็ดู นางเอก มาริยงไปเพลินๆก็ได้

อีกส่วนที่ไม่ชอบ คือ บท ซึ่งดูไม่เมกเซนส์ ผมไม่แน่ใจว่า กฏหมายแรงงานของเบลเยี่ยมเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ก็น่าจะต้องได้เงินชดเชยอะไรด้วย แต่หนังกลับไม่พูดเลย ถ้าได้เงินชดเชยมันอาจจะทำให้เรื่องไม่ดราม่าแบบนี้ก็ได้ เพราะยังมีทางเลือกอยู่ไม่ต้องมาเดินดราม่าแบบนี้ การเดินนี้ เหมือนเดินเพื่อแสดงความเห็นแก่ตัว แต่ก็ได้เห็นน้ำใจ และ ทุนนิยมไม่ได้สามานย์อย่างที่คิด เพราะมีทางเลือก และเดินต่อไป ก็ให้พลังให้คำตอบในชีวิตในตอนจบ ของคนใกล้ตาย

ในเรื่องให้เราได้เห็นว่า ทุนนิยมไม่ได้สามานย์ แต่เป็นคนไม่กี่คนนั่นแหละที่สามานย์ (ชองมาร์ก กับ เจ้าของ)

ก็ไม่แปลกใจ ที่ไม่ได้รางวัลอะไรที่คานส์

ให้ 6/10 พอๆกับที่คานส์ให้ 3/5

No comments: