มันมีคำพูดที่พูดกันต่อๆกันมานานหลายชั่วอายุคน "เรามาคนเดียว แล้วก็ไปคนเดียว"
และคำพูดนี้ก็เป็นความจริง
การมีคู่ครองมันเป็นเรื่องมายาไร้สาระ
ไอ้ความคิดเช่นนี้มันเกิดมาเพราะเราต้องอยู่คนเดียว และ การที่ต้องอยู่คนเดียวนี้เองที่ทำให้เราเจ็บปวด
เราจึงต้องการกำจัดมันด้วยการมีสัมพันธ์ มีคู่ครอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราหมกมุ่นในเรื่อง "ความรัก"
ยกตัวอย่าง เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคนเพราะเธอนั้นสวย หรือว่า เขาช่างหล่อเหลา
มันไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
คุณตกหลุมรักเพราะคุณไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวได้ ดังนั้นคุณจึงตกหลุมกับดักนี้ไป
แน่นอน มันมีคนที่ไม่ตกหลุมรักคนอื่น แต่พวกเขาก็ติดกับดักในอย่างอื่น เช่น เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แล้วก็เป็นนักการเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ยกตัวเป็นกษัตริย์กดขึ่ผู้อื่นจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวทั้งนั้น
และถ้าคุณลองหันมาดูตัวเองเทียบกับคนอื่น คุณจะพบว่ามันมาจากสาเหตุเดียวกันทั้งสิ้น
ความจริงคือคุณไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ส่วนสาเหตุอื่นที่เหลือเป็นเพียงข้ออ้าง
คุณพบว่าตัวคุณช่างเหงา อ้างว้าง และเดียวดาย
เพราะความเหงานี้ บางคนจึงบอกว่า โซลเมทมีจริง
(วิญญาณคุณถูกแบ่งเป็นสองบนโลกนี้ คุณต้องตามหาเขาหรือเธอที่เป็นครึ่งที่หายไปบนโลกนี้)
คู่คนนั้นจะเป็นคู่ที่เข้ากับคุณได้ดี เติมเต็มคุณได้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์
แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน
ความฝันที่นักกวี นักแต่งเพลง รจนาจากในอารมณ์พร่ำเพ้อ
สาเหตุของการค้นหาคู่ครองคือ
เรายังความทรงจำในครรภ์ ที่ที่คุณเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณแม่ของคุณ เหลืออยู่
มันไม่แปลกเลยที่เราจะถวิลหาถึงสิ่งนั้น เฝ้าค้นหาที่มาของตน
แต่ถ้าจะเรียกให้อย่างโหดร้าย มันเป็นแค่ความฝันแบบเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
และมันช่างน่าตกใจ เรายึดถือมันเป็นสรณะโดยไม่สนใจต่อความจริงที่เราได้พบ
ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองของคุณในขณะนี้หรือจะเป็นเพียงภาพฝัน
ที่สามารถให้ความสุขกับคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามก็เถอะ
ความสุขที่แท้มันคือรักแท้
และรักแท้ ไม่ได้ขึ้นกับความพยายามจะแต่งเติมฝันนั้นด้วยการพึ่งพาคนอื่น
แต่มันขึ้นกับการพัฒนาความเอิบอิ่ม ปริ่มเปรมของจิตใจภายในของตัวเราเอง
แล้วเราจะมีความรักมหาศาลที่มีแต่ให้ ที่จะดึงดูดคู่รักของเรามาเอง
หรืออย่างง่ายที่สุด เพียงแค่คุณลองดูคน คนธรรมดา คนที่คุณต้องเจอทุกวันนี่แหละ อย่างลึกซึ้งเปี่ยมความรู้สึก
คุณจะประหลาดใจ ทุกอย่างที่คุณทำ ทุกอย่างที่คุณติดต่อสัมพันธ์กับ"คนธรรมดา"นี้
มันก็สามารถเติมช่องว่างในจิตใจของคุณที่หายไปได้
ด้วยรักที่ฉับพลัน
เรียบเรียงจาก โอโช Take it Easy, Volume 2 Chapter 1
Sunday, March 25, 2007
Like a rolling stone
You've gone to the finest school all right, Miss Lonely
But you know you only used to get juiced in it
And nobody has ever taught you how to live on the street
And now you find out you're gonna have to get used to it
...
When you got nothing, you got nothing to lose
You're invisible now, you got no secrets to conceal
How does it feel
To be on your own
With no direction home
Like a complete unknown
Like a rolling stone?
from www.bobdylan.com
But you know you only used to get juiced in it
And nobody has ever taught you how to live on the street
And now you find out you're gonna have to get used to it
...
When you got nothing, you got nothing to lose
You're invisible now, you got no secrets to conceal
How does it feel
To be on your own
With no direction home
Like a complete unknown
Like a rolling stone?
from www.bobdylan.com
Sunday, March 18, 2007
บทเพลงแห่งป่าดำ
ให้บทเพลงแห่งป่าดำร่ายรำท่วงทำนองแห่งมัน
ให้เห็นถึงความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่แห่งเรา
สามหมื่นวิญญาณแม่มด ผู้ถูกบูชายัญ
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ครูแห่งป่า
เปิดรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ทุกชั่วขณะ
สั่งสอนข้าพเจ้าทุกส่วนสรรพางค์
ผจญภัยไปในการรับรู้
นี่แหละคือ ผู้แสดงและ ผู้ชมในจักรวาลแห่งรอยยิ้ม
ให้เห็นถึงความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่แห่งเรา
สามหมื่นวิญญาณแม่มด ผู้ถูกบูชายัญ
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ครูแห่งป่า
เปิดรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ทุกชั่วขณะ
สั่งสอนข้าพเจ้าทุกส่วนสรรพางค์
ผจญภัยไปในการรับรู้
นี่แหละคือ ผู้แสดงและ ผู้ชมในจักรวาลแห่งรอยยิ้ม
Saturday, March 03, 2007
mirror neuron เธอคือฉัน ฉันคือเธอ
"เราเป็นเพียงเงาสะท้อนของกันและกัน"
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉากนั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาทอื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคนเรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาทนี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคนพวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคนที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉากนั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาทอื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคนเรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาทนี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคนพวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคนที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน
Eight Verses for Training the Mind บทสวดฝึกโพธิจิตแปดประการ
I found a good thing and want to share it with you. ได้เจอของดีเลยเอามาเเบ่งปันกัน
Eight Verses for Training the Mind
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. May I always cherish all beingsWith the resolve to accomplish for themThe highest good that is more preciousThan any wish-fulfilling jewel.
2. Whenever I am in the company of others,May I regard myself as inferior to allAnd from the depths of my heartCherish others as supreme.
3. In all my actions may I watch my mind,And as soon as disturbing emotions arise,May I forcefully stop them at once,Since they will hurt both me and others.
4. When I see ill-natured people,Overwhelmed by wrong deeds and pain,May I cherish them as something rare,As though I had found a treasure-trove.
5. When someone out of envy does me wrongBy insulting me and the like,May I accept defeatAnd offer the victory to them.
6. Even if someone whom I have helpedAnd in whom I have placed my hopesDoes great wrong by harming me,May I see them as an excellent spiritual friend.
7. In brief, directly or indirectly,May I give all help and joy to my mothers,And may I take all their harm and painSecretly upon myself.
8. May none of this ever be sulliedBy thoughts of the eight worldly concerns,May I see all things as illusionsAnd, without attachment, gain freedom from bondage.
บทสวด 8 ประการสำหรับการฝึกโพธิจิต
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. ขอให้ข้าพเจ้ามีใจรักแก่สรรพสัตว์ทั้งมวลด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นนี้เป็นความดีอันสูงสุดที่มีค่ามากกว่าความปรารถนาใดๆ
2. เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยู่กับผู้อื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักถ่อมตนและเห็นตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่นและจากก้นบึ้งของหัวใจนี้ ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของผู้อื่นเหนือตัวข้าพเจ้า
3. ในการกระทำทุกอย่าง ขอให้ข้าพเจ้ามีสติรู้เท่าทันจิตตนเองทันทีที่อารมณ์ขุ่นมัวก่อตัวขึ้น ขอให้ข้าพเจ้าขจัดออกได้โดยพลันเพราะจะก่อทุกข์ให้ทั้งตนเองและผู้อื่น
4. คราใดที่ข้าพเจ้าพบคนที่จิตใจมีอกุศลและถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวดและการกระทำไม่ดี ขอให้ข้าพเจ้ารักเขาได้และเห็นว่าคนอย่างเขานั้นหาได้ยากมากเสมือนว่าข้าพเจ้าได้พบของล้ำค่า
5. คราใดที่มีบุคคลมีจิตอิจฉากระทำความไม่ดีต่อข้าพเจ้า โดยการกล่าวร้ายอื่นๆ ขอให้ข้าพเจ้ายอมเป็นผู้แพ้และยกความเป็นผู้ชนะให้แก่เขา
6. แม้ผู้ที่ข้าพเจ้าเคยให้การช่วยเหลือ และเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ในตัวเขาแต่เขากลับมาทำผิดโดยการทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าเขาเป็นมิตรในทางธรรมที่ดีเลิศ
7. ขอให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมารดาทั้งมวลของข้าพเจ้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และขอรับเอาความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดของท่านในตัวข้าพเจ้า
8. ขอให้ทั้งมวลที่ข้าพเจ้ากล่าวมาอย่าได้มัวหมองด้วยความทุกข์ทางโลกแปดประการขอให้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งเป็นของลวงตาและด้วยจิตที่ปล่อยวางขอให้ข้าพเจ้าเป็นอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล
At International Women’s Partnership Center, Chiangmai, Thailand.
ที่มา http://awakeningmind.blogspot.com/ และ http://primordialawareness.blogspot.com/
ฝากกลอนไว้เอาไว้อ่านเสริมแรงศรัทธา ฉลองจัทรคราสวันมาฆบูชา
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่น มิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้าขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ ญภาพนั้นนิรันดร ฯ
ที่มา http://www1.mod.go.th/heritage/religion/relceremony/relcer3.htm
Eight Verses for Training the Mind
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. May I always cherish all beingsWith the resolve to accomplish for themThe highest good that is more preciousThan any wish-fulfilling jewel.
2. Whenever I am in the company of others,May I regard myself as inferior to allAnd from the depths of my heartCherish others as supreme.
3. In all my actions may I watch my mind,And as soon as disturbing emotions arise,May I forcefully stop them at once,Since they will hurt both me and others.
4. When I see ill-natured people,Overwhelmed by wrong deeds and pain,May I cherish them as something rare,As though I had found a treasure-trove.
5. When someone out of envy does me wrongBy insulting me and the like,May I accept defeatAnd offer the victory to them.
6. Even if someone whom I have helpedAnd in whom I have placed my hopesDoes great wrong by harming me,May I see them as an excellent spiritual friend.
7. In brief, directly or indirectly,May I give all help and joy to my mothers,And may I take all their harm and painSecretly upon myself.
8. May none of this ever be sulliedBy thoughts of the eight worldly concerns,May I see all things as illusionsAnd, without attachment, gain freedom from bondage.
บทสวด 8 ประการสำหรับการฝึกโพธิจิต
By Kadampa Geshe Langritangpa
1. ขอให้ข้าพเจ้ามีใจรักแก่สรรพสัตว์ทั้งมวลด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นนี้เป็นความดีอันสูงสุดที่มีค่ามากกว่าความปรารถนาใดๆ
2. เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยู่กับผู้อื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักถ่อมตนและเห็นตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่นและจากก้นบึ้งของหัวใจนี้ ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของผู้อื่นเหนือตัวข้าพเจ้า
3. ในการกระทำทุกอย่าง ขอให้ข้าพเจ้ามีสติรู้เท่าทันจิตตนเองทันทีที่อารมณ์ขุ่นมัวก่อตัวขึ้น ขอให้ข้าพเจ้าขจัดออกได้โดยพลันเพราะจะก่อทุกข์ให้ทั้งตนเองและผู้อื่น
4. คราใดที่ข้าพเจ้าพบคนที่จิตใจมีอกุศลและถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวดและการกระทำไม่ดี ขอให้ข้าพเจ้ารักเขาได้และเห็นว่าคนอย่างเขานั้นหาได้ยากมากเสมือนว่าข้าพเจ้าได้พบของล้ำค่า
5. คราใดที่มีบุคคลมีจิตอิจฉากระทำความไม่ดีต่อข้าพเจ้า โดยการกล่าวร้ายอื่นๆ ขอให้ข้าพเจ้ายอมเป็นผู้แพ้และยกความเป็นผู้ชนะให้แก่เขา
6. แม้ผู้ที่ข้าพเจ้าเคยให้การช่วยเหลือ และเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ในตัวเขาแต่เขากลับมาทำผิดโดยการทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าเขาเป็นมิตรในทางธรรมที่ดีเลิศ
7. ขอให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมารดาทั้งมวลของข้าพเจ้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และขอรับเอาความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดของท่านในตัวข้าพเจ้า
8. ขอให้ทั้งมวลที่ข้าพเจ้ากล่าวมาอย่าได้มัวหมองด้วยความทุกข์ทางโลกแปดประการขอให้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งเป็นของลวงตาและด้วยจิตที่ปล่อยวางขอให้ข้าพเจ้าเป็นอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล
At International Women’s Partnership Center, Chiangmai, Thailand.
ที่มา http://awakeningmind.blogspot.com/ และ http://primordialawareness.blogspot.com/
ฝากกลอนไว้เอาไว้อ่านเสริมแรงศรัทธา ฉลองจัทรคราสวันมาฆบูชา
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่น มิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้าขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ ญภาพนั้นนิรันดร ฯ
ที่มา http://www1.mod.go.th/heritage/religion/relceremony/relcer3.htm
Thursday, March 01, 2007
Das wilde Leben: Das Leben ist zu kurz.
Der Film "Das wilde Leben" ist von der Autobiographie von Uschi Obermaier gedreht. Sie war eine beruehmte Sex-Symbol des 70er Jahre. Ihre Fotos wurden auf viele erste Seite von Magazine, z.B., Playboy, Stern, Spiegel aufgezeigt. In Politik hatte sie eine bedeutende Rolle, weil sie in Kommune 1, die erste politische Wohngemeinschaft in Deutschland, war. Kommune 1 war als die Reaktion gegen der Gesellschaft nach der 2. Weltkrieg. Obermaier ist ein Faktor, der fuer die Scheitern der Kommune 1 verantwortlich ist.
Sie hatte auch Beziehung mit 2 Mitgliede von Rolling Stone, Mick Jacker und Keith Richard. An diesem Zeitpunkt war ihr Leben so wild mit Droge, Sex, und viele illegale Dinge. Doch ist sie nicht zufrieden, und wollte mehr. Dann traf sie mit dem Prinz Hamburgs, Dieter Bockhorn. Mit ihm heiratete sie und reiste zusammen durch Asia, USA, und Mexiko. Die Reise endet im 1983 nach dem Bockhorns Unfall. Auch endet der Film hier, wo diese Szene schon am Anfang gezeigt wird.
Der Film zeigt allmaehlich ihr Leben von einem Maedchen zu dem Tod Dieters. Das ist langsam wie ein Dokumentar. In dem Film sollte mehrere Frage und Spannung nach meiner Meinung gestellt, weil ihr Leben echt wild ist. Besonders der Grund warum sie so machte, und warum sie aufhoerte. Es gibt viele Themen, die die Zuschauer anziehen, z.B., Politik, oder Philosophie. Ich finde das nicht so kraftvoll, obwohl die Hauptdarstellerin, Natalia Avelon, viele von ihrem Body ausstellt. Es fehlt noch ein Spicygeschmack, der diesen Film erfuellt. Sowieso ist der Film wie ein Lebensbeschreibung: Das Leben ist zu kurz. Macht was ihr wirklich wollt. Sei wild!!!
Sie hatte auch Beziehung mit 2 Mitgliede von Rolling Stone, Mick Jacker und Keith Richard. An diesem Zeitpunkt war ihr Leben so wild mit Droge, Sex, und viele illegale Dinge. Doch ist sie nicht zufrieden, und wollte mehr. Dann traf sie mit dem Prinz Hamburgs, Dieter Bockhorn. Mit ihm heiratete sie und reiste zusammen durch Asia, USA, und Mexiko. Die Reise endet im 1983 nach dem Bockhorns Unfall. Auch endet der Film hier, wo diese Szene schon am Anfang gezeigt wird.
Der Film zeigt allmaehlich ihr Leben von einem Maedchen zu dem Tod Dieters. Das ist langsam wie ein Dokumentar. In dem Film sollte mehrere Frage und Spannung nach meiner Meinung gestellt, weil ihr Leben echt wild ist. Besonders der Grund warum sie so machte, und warum sie aufhoerte. Es gibt viele Themen, die die Zuschauer anziehen, z.B., Politik, oder Philosophie. Ich finde das nicht so kraftvoll, obwohl die Hauptdarstellerin, Natalia Avelon, viele von ihrem Body ausstellt. Es fehlt noch ein Spicygeschmack, der diesen Film erfuellt. Sowieso ist der Film wie ein Lebensbeschreibung: Das Leben ist zu kurz. Macht was ihr wirklich wollt. Sei wild!!!
Tuesday, February 27, 2007
การปฏิบัติภาวนา โภวา
ในธรรมเนียมปฏิบัติของพุทธศาสนาสายทิเบต การภาวนาโภวา ถือเป็นการปฏิบัติภาวนาที่คุณค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับความตาย คำว่า “โภวา (Phowa)” หมายถึง การเคลื่อนย้าย ส่งต่อ หรือ ปลดปล่อยจิตวิญญาณ เข้าสู่สภาวะแห่งสัจธรรม หลักการปฏิบัติที่สำคัญที่จะทำให้การภาวนานี้ เป็นผลสำเร็จ คือ การอัญเชิญองค์พระพุทธเจ้า หรือองค์แห่งความปัญญาตื่นรู้ มาผนวกกับการอุทิศตนและการเปิดรับอย่างกว้างขวางของเรา โดยจะต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติเป็นประจำจนชำนาญ ตลอดชีวิตของเรา
การภาวนาโภวานี้ เป็นหนึ่งในหกของคำสอนหลัก ของท่าน นาโรปะ (Naropa) เมื่อประมาณพันปีมาแล้ว ท่านโซเกียล รินโปเช (Sogyal Rinpoche) อธิบายว่า การภาวนาโภวานี้ ไม่ใช่เป็นการภาวนา สำหรับในกรณีของความตายอย่างเดียว แต่สามารถใช้ชำระล้างความเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกทางลบของเราได้ และสามารถใช้ช่วยเยียวยาทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย การปฏิบัติภาวนาโภวา เป็นการปฏิบัติที่ใช้ได้สำหรับทั้งในการดำเนินชีวิตตลอดชีวิตของเราและในเวลาที่เรากำลังจะตาย และเป็นการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญที่เราจะใช้ได้ ในการช่วยเหลือผู้อื่นในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่เขากำลังจะตาย และหลังจากนั้น
ถ้าเราปฏิบัติภาวนาโภวาบ่อยๆ แรงจูงใจแห่งความรักความเมตตา และความมั่นใจในการอุทิศตนทางจิตวิญญาณของเรา จะยิ่งลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จิตใจของเราจะเปิดออกอย่างกว้างขวางขึ้น ถ้าเราเตรียมตัวสำหรับการตายของเราด้วยการภาวนาซึ่งเต็มไปด้วยการอุทิศตนและความวางใจเช่นนี้จนคุ้นเคย เราจะได้รับผลที่ดีตอบแทนในภายหลัง เช่น ความกลัวตายของเราจะลดน้อยลง และแม้ว่า เราจะต้องประสบอุบัติเหตุ และจะต้องเผชิญความตายที่กะทันหัน เราจะรู้ว่า จะปล่อยวางชีวิตอย่างไรโดยอัตโนมัติ โดยอาศัยความคุ้นเคยและชำนาญในการปฏิบัติภาวนาโภวานี้
หากเราปฏิบัติภาวนาโภวาอย่างสม่ำเสมอ และจริงจัง เราจะพบว่า ในยามที่คนที่เรารักกำลังมีความทุกข์หรือกำลังจะตาย เราจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยความรักและความเมตตากรุณาทั้งหมดของเรา ด้วยการปฏิบัติภาวนาโภวานี้ให้แก่เขา ในเวลาที่เราได้ยินข่าวร้ายหรือหายนภัยทางธรรมชาติ เราจะตระหนักว่า เราสามารถจะช่วยเหลือเขาได้และไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ และเศร้าหมองเท่านั้น ด้วยการภาวนาโภวาเพื่อประโยชน์ทางจิตวิญญาณให้แก่ผู้ที่ประสบทุกข์ภัยนั้น
แม้ว่าท่านจะปฏิบัติภาวนาโภวาได้ในทุกขณะตลอดชีวิต แต่การปฏิบัติสำหรับสภาวะที่ใกล้จะตาย เป็นการภาวนาที่มีพลังมากที่สุด โดยควรจะปฏิบัติให้แก่ผู้ที่กำลังจะตาย ในขณะที่เขากำลังจะสิ้นใจ หรือทันทีที่ท่านได้ทราบข่าวการตายของเขา หากท่านไม่สามารถจะอยู่ใกล้ๆ เขาได้ในขณะนั้น ให้ท่านจินตนาการว่า ตนเองกำลังภาวนาอยู่ข้างๆ กายเขา ทั้งนี้ การภาวนาโภวา จะช่วยนำทางให้วิญญาณของผู้ตาย ให้เข้าสู่สภาวะของจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์สว่าง ได้ดียิ่งขึ้น
วิธีการปฏิบัติภาวนาโภวา ให้ตนเอง
ให้เริ่มต้นด้วยการนั่งเงียบๆ กลับมาอยู่กับกายและใจของตัวเอง ผ่อนคลายอยู่ในปัจจุบันขณะ ก่อนจะเริ่มการภาวนา ให้บ่มเพาะความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาขึ้นในใจของท่าน ดังที่แนะนำไว้ในหนังสือ คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต (The Book of the Dead) ของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช โดยอธิษฐานว่า “โดยอาศัยความตายนี้ ข้าพเจ้าจะน้อมนำสภาวะจิตแห่งการตื่นรู้ และแห่งความรักความเมตตาเข้ามาสู่ตน และจะมุ่งสู่การบรรลุหลุดพ้น เพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิต ที่มากหลายไม่รู้จบสิ้น”
v จากนั้น ด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน ให้ท่านอัญเชิญพระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ซึ่ง
มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือศรัทธา มาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าตรงเบื้องหน้าของท่าน โดยพระองค์นั้น ปรากฏมาในรูปของแสงสว่างที่ส่องรัศมีโชติช่วง ให้ท่านตระหนักเห็นคุณสมบัติแห่งปัญญาที่สมบูรณ์ ความรักความเมตตาที่ไร้ขอบเขต และพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เป็นคุณสมบัติ ที่ไม่แตกต่างจากคุณสมบัติแห่งปัญญาที่ท่านมีอยู่โดยธรรมชาติ
ให้ท่านจินตนาการว่า องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ อยู่ต่อหน้าท่านบนท้องฟ้าในขณะนี้ โดยมีชีวิต มีลมหายใจ และมองลงมายังท่านด้วยความรักและความเมตตากรุณา ถ้าท่านไม่สามารถจะคิดภาพพระพุทธองค์หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดได้อย่างชัดเจน ก็ขอให้ท่านจินตนาการ องค์แห่งปัญญาและความรัก ผู้ซึ่งเป็นองค์แห่งความจริงแท้ ดำรงอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าท่านในรูปของแสงสว่าง ขอให้ท่านผ่อนคลายกายและใจอย่างลึกซึ้ง และให้แสงสว่างขององค์ท่านผู้นั้น มาสัมผัสกับตัวท่าน
v ให้ท่านเปิดตัวเองออกเต็มที่ และตระหนักเห็นส่วนที่ต้องการชำระล้างให้
บริสุทธิ์ การให้อภัย และการให้พร ในตัวของท่าน ให้ท่านตระหนักเห็นความเศร้าเสียใจของท่าน ความรู้สึกด้านลบ อารมณ์ที่บั่นทอนทำลาย ที่ท่านต้องการปลดปล่อยออกไปหรือชำระให้บริสุทธิ์ ให้ท่านตระหนักถึงส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของท่าน ที่เจ็บป่วยไม่สบาย อ่อนแอ หรือเกรงว่าจะเจ็บป่วย รวมทั้งตระหนักถึงความรู้สึกสงสัย ไม่มั่นใจ ความกลัว หรือบาดแผลเก่าๆ ในหัวใจที่ท่านต้องการการเยียวยาและความรัก จากนั้น ให้ท่านขอจากหัวใจของท่าน ให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ช่วยเหลือท่าน
v ทันใดนั้น พระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ได้ตอบสนองต่อคำอธิษฐาน
ของท่าน โดยได้ส่งความรักและความเมตตาจากดวงใจของพระองค์ลงมายังท่าน เป็นลำแสงที่สว่างโชติช่วง ให้ท่านเปิดรับให้ลำแสงดังกล่าว แทรกเข้ามาในตัวท่านอย่างเต็มที่ และชำระท่านให้บริสุทธิ์ ทำให้ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย พลังแห่งการเยียวยา ความเชื่อมั่น และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้ท่านเห็นว่า ลำแสงสว่างเจิดจ้าแห่งความรักความเมตตานั้น สลายความกลัว และการพยายามปกป้องตนเองของท่าน ไปจนหมดสิ้น จนกระทั่งท่านหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนั้นอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ ตัวของท่าน ในรูปของแสง ค่อยๆ ลอยขึ้นและหลอมรวมผสานเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เหมือนดั่งแสงสว่าง ที่ผสานรวมเข้ากับแสงสว่าง
ให้ท่านดำรงอยู่ในสภาวะที่สงบสุขเช่นนี้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ตัวท่านนั้น คือ ความเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นอทวิลักษณ์ และ คือ การเปิดรับอย่างกว้างขวาง หากมีความคิดใดเกิดขึ้น หรือ “ความรู้สึกของการมีตัวตน” เริ่มที่จะก่อตัวขึ้น ให้ท่านเพียงแต่ปล่อยให้มันสลายกลับเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า ปล่อยวางทุกสิ่งลง และดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนั้น
เมื่อจะจบการภาวนา ให้ท่านกลับมาตระหนักรู้ตัวอยู่กับร่างกายของตนเองอีกครั้ง ให้ท่านยังคงรักษาสภาวะของความบริสุทธิ์ และการตระหนักรู้ที่แจ่มชัดเช่นนี้ ในปัจจุบันขณะต่อไป ในทุกกิจกรรมที่ท่านทำในชีวิตประจำวัน และเมื่อใด ที่ท่านสูญเสียมันไป ให้ท่านค่อยๆ ดึงจิตของท่านกลับมาที่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันอีกครั้ง
เมื่อการภาวนาสิ้นสุดลง ให้ท่านอุทิศการภาวนาของท่าน โดยแบ่งปันกุศลบุญแห่งพรและปัญญาที่เกิดขึ้น แก่สรรพชีวิต และอธิษฐานว่า ท่านจะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ และมีความสุข ในทุกวิถีทางที่ท่านจะกระทำได้ และเหนืออื่นใด ท่านจะช่วยให้สรรพชีวิตตระหนักถึงความสงบสุขแห่งธรรมชาติของจิตที่แท้ของตน ซึ่งเป็นนิรันดร์
วิธีการปฏิบัติภาวนาให้ผู้อื่น
ท่านสามารถภาวนาโภวาให้กับผู้ที่กำลังเจ็บปวด หรือกำลังจะตาย ด้วยวิธีการทำนองเดียวกับที่ท่านภาวนาให้กับตัวเอง โดยเพียงแต่ต้องจินตนาการภาพขององค์พระพุทธเจ้า หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น เหนือศีรษะของบุคคลนั้น และอธิษฐานแทนตัวเขา ขอให้พระองค์ช่วยเหลือเขา แล้วจินตนาการภาพองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ส่งลำแสงที่ส่องสว่างลงมายังบุคคลผู้นั้น เพื่อชำระเขาให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนสภาวะในตัวเขาทั้งหมด จากนั้น ให้ท่านจินตนาการภาพบุคคลผู้นั้น ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่างนั้น อย่างแยกไม่ออกจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยปัญญาแห่งการตื่นรู้นั้น
v การภาวนาโภวาสำหรับการตายแบบปัจจุบันทันด่วน (sudden death)
หากมีใครที่เพิ่งจะตายอย่างปัจจุบันทันด่วน และท่านไม่มีเวลามากนัก เช่นในกรณีของการเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่านสามารถจะภาวนาโภวาแบบสั้นๆ ให้กับเขาได้ โดยขณะที่ท่านอยู่ข้างกายของเขา ให้ท่านอัญเชิญองค์พระพุทธเจ้าหรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีรัศมีส่องสว่างจ้ามาปรากฏอยู่เบื้องบนต่อหน้า และให้จินตนาการว่า รัศมีแห่งความรักความเมตตาที่แผ่ออกมาจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น ฉายสว่างไปทั่ว ล้อมรอบตัวผู้ที่ตายและตัวท่านเพื่อปกป้องและให้พร
ให้ท่านเห็นภาพว่า จิตของผู้ที่เพิ่งจะเสียชีวิต ลอยพุ่งขึ้นจากร่างของเขา เป็นมวลของแสงสว่างเล็กๆ เหมือนดาวตก และพุ่งหายเข้าไปในดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นสุดการภาวนา ในการกล่าวอุทิศการภาวนานี้ ให้ท่านอธิษฐานให้บุคคลผู้นั้น เป็นอิสระจากความทุกข์หรือความวุ่นวายใจ เพราะการตายของเขา ให้เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เข้าสู่แสงสว่างแจ่มจ้า และธรรมชาติที่แท้ของจิตของเขาที่ดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่เขาทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง หลังจากนั้น ให้ท่านทำภาวนาโภวาอย่างเต็มรูปแบบให้กับเขาอีกในภายหลัง ในวันต่อๆ มา และในสัปดาห์ต่อๆ มา ด้วย
(ข้อมูลส่วนใหญ่ จาก http://spcare.org/practices,
และบางส่วน จาก http://ayangrinpoche.org/archives/an-introduction-to-phowa/ ข้อมูลส่วนใหญ่ เขียน โดย Chistine Logaker แปลและเรียบเรียง โดย ชลลดา ทองทวี)
การภาวนาโภวานี้ เป็นหนึ่งในหกของคำสอนหลัก ของท่าน นาโรปะ (Naropa) เมื่อประมาณพันปีมาแล้ว ท่านโซเกียล รินโปเช (Sogyal Rinpoche) อธิบายว่า การภาวนาโภวานี้ ไม่ใช่เป็นการภาวนา สำหรับในกรณีของความตายอย่างเดียว แต่สามารถใช้ชำระล้างความเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกทางลบของเราได้ และสามารถใช้ช่วยเยียวยาทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย การปฏิบัติภาวนาโภวา เป็นการปฏิบัติที่ใช้ได้สำหรับทั้งในการดำเนินชีวิตตลอดชีวิตของเราและในเวลาที่เรากำลังจะตาย และเป็นการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญที่เราจะใช้ได้ ในการช่วยเหลือผู้อื่นในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่เขากำลังจะตาย และหลังจากนั้น
ถ้าเราปฏิบัติภาวนาโภวาบ่อยๆ แรงจูงใจแห่งความรักความเมตตา และความมั่นใจในการอุทิศตนทางจิตวิญญาณของเรา จะยิ่งลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จิตใจของเราจะเปิดออกอย่างกว้างขวางขึ้น ถ้าเราเตรียมตัวสำหรับการตายของเราด้วยการภาวนาซึ่งเต็มไปด้วยการอุทิศตนและความวางใจเช่นนี้จนคุ้นเคย เราจะได้รับผลที่ดีตอบแทนในภายหลัง เช่น ความกลัวตายของเราจะลดน้อยลง และแม้ว่า เราจะต้องประสบอุบัติเหตุ และจะต้องเผชิญความตายที่กะทันหัน เราจะรู้ว่า จะปล่อยวางชีวิตอย่างไรโดยอัตโนมัติ โดยอาศัยความคุ้นเคยและชำนาญในการปฏิบัติภาวนาโภวานี้
หากเราปฏิบัติภาวนาโภวาอย่างสม่ำเสมอ และจริงจัง เราจะพบว่า ในยามที่คนที่เรารักกำลังมีความทุกข์หรือกำลังจะตาย เราจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยความรักและความเมตตากรุณาทั้งหมดของเรา ด้วยการปฏิบัติภาวนาโภวานี้ให้แก่เขา ในเวลาที่เราได้ยินข่าวร้ายหรือหายนภัยทางธรรมชาติ เราจะตระหนักว่า เราสามารถจะช่วยเหลือเขาได้และไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ และเศร้าหมองเท่านั้น ด้วยการภาวนาโภวาเพื่อประโยชน์ทางจิตวิญญาณให้แก่ผู้ที่ประสบทุกข์ภัยนั้น
แม้ว่าท่านจะปฏิบัติภาวนาโภวาได้ในทุกขณะตลอดชีวิต แต่การปฏิบัติสำหรับสภาวะที่ใกล้จะตาย เป็นการภาวนาที่มีพลังมากที่สุด โดยควรจะปฏิบัติให้แก่ผู้ที่กำลังจะตาย ในขณะที่เขากำลังจะสิ้นใจ หรือทันทีที่ท่านได้ทราบข่าวการตายของเขา หากท่านไม่สามารถจะอยู่ใกล้ๆ เขาได้ในขณะนั้น ให้ท่านจินตนาการว่า ตนเองกำลังภาวนาอยู่ข้างๆ กายเขา ทั้งนี้ การภาวนาโภวา จะช่วยนำทางให้วิญญาณของผู้ตาย ให้เข้าสู่สภาวะของจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์สว่าง ได้ดียิ่งขึ้น
วิธีการปฏิบัติภาวนาโภวา ให้ตนเอง
ให้เริ่มต้นด้วยการนั่งเงียบๆ กลับมาอยู่กับกายและใจของตัวเอง ผ่อนคลายอยู่ในปัจจุบันขณะ ก่อนจะเริ่มการภาวนา ให้บ่มเพาะความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาขึ้นในใจของท่าน ดังที่แนะนำไว้ในหนังสือ คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต (The Book of the Dead) ของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช โดยอธิษฐานว่า “โดยอาศัยความตายนี้ ข้าพเจ้าจะน้อมนำสภาวะจิตแห่งการตื่นรู้ และแห่งความรักความเมตตาเข้ามาสู่ตน และจะมุ่งสู่การบรรลุหลุดพ้น เพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิต ที่มากหลายไม่รู้จบสิ้น”
v จากนั้น ด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน ให้ท่านอัญเชิญพระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ซึ่ง
มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือศรัทธา มาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าตรงเบื้องหน้าของท่าน โดยพระองค์นั้น ปรากฏมาในรูปของแสงสว่างที่ส่องรัศมีโชติช่วง ให้ท่านตระหนักเห็นคุณสมบัติแห่งปัญญาที่สมบูรณ์ ความรักความเมตตาที่ไร้ขอบเขต และพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เป็นคุณสมบัติ ที่ไม่แตกต่างจากคุณสมบัติแห่งปัญญาที่ท่านมีอยู่โดยธรรมชาติ
ให้ท่านจินตนาการว่า องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ อยู่ต่อหน้าท่านบนท้องฟ้าในขณะนี้ โดยมีชีวิต มีลมหายใจ และมองลงมายังท่านด้วยความรักและความเมตตากรุณา ถ้าท่านไม่สามารถจะคิดภาพพระพุทธองค์หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดได้อย่างชัดเจน ก็ขอให้ท่านจินตนาการ องค์แห่งปัญญาและความรัก ผู้ซึ่งเป็นองค์แห่งความจริงแท้ ดำรงอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าท่านในรูปของแสงสว่าง ขอให้ท่านผ่อนคลายกายและใจอย่างลึกซึ้ง และให้แสงสว่างขององค์ท่านผู้นั้น มาสัมผัสกับตัวท่าน
v ให้ท่านเปิดตัวเองออกเต็มที่ และตระหนักเห็นส่วนที่ต้องการชำระล้างให้
บริสุทธิ์ การให้อภัย และการให้พร ในตัวของท่าน ให้ท่านตระหนักเห็นความเศร้าเสียใจของท่าน ความรู้สึกด้านลบ อารมณ์ที่บั่นทอนทำลาย ที่ท่านต้องการปลดปล่อยออกไปหรือชำระให้บริสุทธิ์ ให้ท่านตระหนักถึงส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของท่าน ที่เจ็บป่วยไม่สบาย อ่อนแอ หรือเกรงว่าจะเจ็บป่วย รวมทั้งตระหนักถึงความรู้สึกสงสัย ไม่มั่นใจ ความกลัว หรือบาดแผลเก่าๆ ในหัวใจที่ท่านต้องการการเยียวยาและความรัก จากนั้น ให้ท่านขอจากหัวใจของท่าน ให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ช่วยเหลือท่าน
v ทันใดนั้น พระพุทธองค์ หรือ องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ได้ตอบสนองต่อคำอธิษฐาน
ของท่าน โดยได้ส่งความรักและความเมตตาจากดวงใจของพระองค์ลงมายังท่าน เป็นลำแสงที่สว่างโชติช่วง ให้ท่านเปิดรับให้ลำแสงดังกล่าว แทรกเข้ามาในตัวท่านอย่างเต็มที่ และชำระท่านให้บริสุทธิ์ ทำให้ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย พลังแห่งการเยียวยา ความเชื่อมั่น และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้ท่านเห็นว่า ลำแสงสว่างเจิดจ้าแห่งความรักความเมตตานั้น สลายความกลัว และการพยายามปกป้องตนเองของท่าน ไปจนหมดสิ้น จนกระทั่งท่านหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนั้นอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ ตัวของท่าน ในรูปของแสง ค่อยๆ ลอยขึ้นและหลอมรวมผสานเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระองค์นั้น เหมือนดั่งแสงสว่าง ที่ผสานรวมเข้ากับแสงสว่าง
ให้ท่านดำรงอยู่ในสภาวะที่สงบสุขเช่นนี้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ตัวท่านนั้น คือ ความเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นอทวิลักษณ์ และ คือ การเปิดรับอย่างกว้างขวาง หากมีความคิดใดเกิดขึ้น หรือ “ความรู้สึกของการมีตัวตน” เริ่มที่จะก่อตัวขึ้น ให้ท่านเพียงแต่ปล่อยให้มันสลายกลับเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า ปล่อยวางทุกสิ่งลง และดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนั้น
เมื่อจะจบการภาวนา ให้ท่านกลับมาตระหนักรู้ตัวอยู่กับร่างกายของตนเองอีกครั้ง ให้ท่านยังคงรักษาสภาวะของความบริสุทธิ์ และการตระหนักรู้ที่แจ่มชัดเช่นนี้ ในปัจจุบันขณะต่อไป ในทุกกิจกรรมที่ท่านทำในชีวิตประจำวัน และเมื่อใด ที่ท่านสูญเสียมันไป ให้ท่านค่อยๆ ดึงจิตของท่านกลับมาที่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันอีกครั้ง
เมื่อการภาวนาสิ้นสุดลง ให้ท่านอุทิศการภาวนาของท่าน โดยแบ่งปันกุศลบุญแห่งพรและปัญญาที่เกิดขึ้น แก่สรรพชีวิต และอธิษฐานว่า ท่านจะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ และมีความสุข ในทุกวิถีทางที่ท่านจะกระทำได้ และเหนืออื่นใด ท่านจะช่วยให้สรรพชีวิตตระหนักถึงความสงบสุขแห่งธรรมชาติของจิตที่แท้ของตน ซึ่งเป็นนิรันดร์
วิธีการปฏิบัติภาวนาให้ผู้อื่น
ท่านสามารถภาวนาโภวาให้กับผู้ที่กำลังเจ็บปวด หรือกำลังจะตาย ด้วยวิธีการทำนองเดียวกับที่ท่านภาวนาให้กับตัวเอง โดยเพียงแต่ต้องจินตนาการภาพขององค์พระพุทธเจ้า หรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น เหนือศีรษะของบุคคลนั้น และอธิษฐานแทนตัวเขา ขอให้พระองค์ช่วยเหลือเขา แล้วจินตนาการภาพองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ส่งลำแสงที่ส่องสว่างลงมายังบุคคลผู้นั้น เพื่อชำระเขาให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนสภาวะในตัวเขาทั้งหมด จากนั้น ให้ท่านจินตนาการภาพบุคคลผู้นั้น ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่างนั้น อย่างแยกไม่ออกจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยปัญญาแห่งการตื่นรู้นั้น
v การภาวนาโภวาสำหรับการตายแบบปัจจุบันทันด่วน (sudden death)
หากมีใครที่เพิ่งจะตายอย่างปัจจุบันทันด่วน และท่านไม่มีเวลามากนัก เช่นในกรณีของการเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่านสามารถจะภาวนาโภวาแบบสั้นๆ ให้กับเขาได้ โดยขณะที่ท่านอยู่ข้างกายของเขา ให้ท่านอัญเชิญองค์พระพุทธเจ้าหรือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีรัศมีส่องสว่างจ้ามาปรากฏอยู่เบื้องบนต่อหน้า และให้จินตนาการว่า รัศมีแห่งความรักความเมตตาที่แผ่ออกมาจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น ฉายสว่างไปทั่ว ล้อมรอบตัวผู้ที่ตายและตัวท่านเพื่อปกป้องและให้พร
ให้ท่านเห็นภาพว่า จิตของผู้ที่เพิ่งจะเสียชีวิต ลอยพุ่งขึ้นจากร่างของเขา เป็นมวลของแสงสว่างเล็กๆ เหมือนดาวตก และพุ่งหายเข้าไปในดวงใจขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นสุดการภาวนา ในการกล่าวอุทิศการภาวนานี้ ให้ท่านอธิษฐานให้บุคคลผู้นั้น เป็นอิสระจากความทุกข์หรือความวุ่นวายใจ เพราะการตายของเขา ให้เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เข้าสู่แสงสว่างแจ่มจ้า และธรรมชาติที่แท้ของจิตของเขาที่ดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์แก่สรรพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่เขาทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง หลังจากนั้น ให้ท่านทำภาวนาโภวาอย่างเต็มรูปแบบให้กับเขาอีกในภายหลัง ในวันต่อๆ มา และในสัปดาห์ต่อๆ มา ด้วย
(ข้อมูลส่วนใหญ่ จาก http://spcare.org/practices,
และบางส่วน จาก http://ayangrinpoche.org/archives/an-introduction-to-phowa/ ข้อมูลส่วนใหญ่ เขียน โดย Chistine Logaker แปลและเรียบเรียง โดย ชลลดา ทองทวี)
Monday, February 19, 2007
เรื่องไทยที่เพิ่งรู้จัก
จากกระแสหนังตำนานพระนเรศวรมหาราช ทำให้กระแสความรักชาติ ชาตินิยม เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว วงการหนังสือก็ออกบทความมากมายเกี่ยวกับไทยแลนด์แดนสยามมาให้อ่าน ทำให้ได้เห็นความเป็นไทยที่ไม่รู้จักมากมาย
อย่างแรกที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องตำนานพระนเรศวร เป็นตำนานทั้งนั้น ในพงศาวดารจริงๆแทบไม่มีเรื่องราวใดๆเลย อย่างฉากชนไก่กับพระมหาอุปราชแห่งพม่า หรือ การที่พระเจ้าบุเรงนองทรงชุบเลี้ยงพระองค์เป็นอย่างดี รวมถึง เรื่องของพระสุพรรณกัลยาที่ยอมถวายตัวเพื่อแลกตัวกับพระองค์ดำกลับประเทศไป เรื่องราวพวกนี้ เริ่มมาจากสมัยรัชกาลที่ห้าที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ศิลปินเขียนกลอนวาดภาพด้วยจินตนาการจากพงศาวดารสมัยอยุธยา (ที่ไม่ใช่ประวัติของคนไทย แต่เป็นของคนสยาม) และต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงทำการศึกษาเพิ่มเติมและนิพนธ์ ประวัติสมเด็จพระนเรศวร โดยอิงจากภาพวาดและกาพย์กลอนที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้า (อ้างจาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ) แต่ในความเป็นจริงหลักฐานเกี่ยวกับตัวพระองค์มีน้อยมาก ที่ชัดเจนก็คือจากบันทึกของชาวต่างชาติที่มาค้าขายกับอยุธยาในสมัยของพระองค์หรือหลังพระองค์ ที่บันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่รบเก่ง มีพระปรีชาสามารถ เพียงมีพระชนพรรษา ยี่สิบ พรรษา ก็เป็นที่เลื่องลือพระนาม ทรงสามารถกอบกู้เอกราชได้ อย่างไรก็ตามตลอดเวลาประมาณยี่สิบปีที่ทรงครองราชย์ ก็ได้สังหารผู้คนไปมากกว่าแปดหมื่นคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นผลของสงครามที่มีการรบพุ่งตลอดรัชกาล
ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมประเพณี พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่บังคับให้พวกเจ๊กต้องทำตามอย่างประเพณีไทยเรื่องการหมอบคลานเข้าเฝ้าที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน แต่กับพวกชาวตะวันตกแล้ว พระองค์ทรงยกเว้นให้เพราะเป็นเรื่องการทูตที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะเปลี่ยนแปลงประเพณีของพวกเขา พวกฝรั่งที่พระองค์ทรงคบค้าด้วยเป็นพิเศษคือพวกดัตช์ และพวกดัตช์นี้เองได้รับราชการด้วยและได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้
เยเรเมียส ฟาน ฟลีต ชาวดัตช์ซึ่งคนไทยเรียกว่านาย วันวลิต หัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาได้เขียนพงศาวดาร พรรณาเรื่องอาณาจักรสยาม โดยเฉพาะได้วิจารณ์นิสัยคนไทยไว้อย่างละเอียด และเจ็บแสบ เอาที่เฉพาะแย่ๆคือ "การทหาร โดยทั่วไปชาวสยามรักความสงบ รักการค้าขาย และกสิกรรม ...ตามที่กล่าวมาแล้ว พวกสยามเป็นพวกที่ขี้ขลาด ไม่มากก็น้อย และไม่ใช่พวกนักรบมาโดยกำเนิด แต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์มาก ทำให้สามารถโจมตีได้ทั้งทางน้ำและทางบก ในเรื่องความกล้าหาญ ทหารที่ขลาดและกลัว...แต่โหดร้ายกับข้าศึกที่ปราบได้แล้ว ต่อพวกที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ยอมรับ และคนที่ศาลพบว่ามีความผิด" ซึ่งสาเหตุนายวันวลิตได้กล่าวไว้ประมาณว่าเป็นเพราะผู้นำของคนไทย คนไทยจะดีจะเลวอย่างไร ขึ้นกับผู้นำเสมอ
นอกจากนั้น นายวันวลิตยังได้กล่าวว่าคนไทยเป็นคนหยิ่งและอวดดี "พวกเขาหยิ่งและคิดว่า ไม่มีชาติไหนๆ สามารถเท่าเทียมพวกเขาได้ กฎหมายขนบธรรมเนียมและความรู้ของพวกเขาดีกว่าที่ไหนๆ ในโลกนี้ ท่าทางและใบหน้าดุ หยิ่ง พวกเขาสุภาพในการสนทนา นิสัยพวกเขาร่าเริง ขลาดกลัว ไว้ใจไม่ได้ ปิดบังอำพราง หลอกลวง ช่างพูด และเต็มไปด้วยการโกหก...เราไม่สามารถเชื่อใจในประเทศนี้ และไม่มีใครเป็นที่ไว้วางใจ หรือเชื่อถือได้เลย" แม้ภาพลักษณ์ของคนไทยในสายตาของนายวันวลิตจะดูแย่แค่ไหน แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นกันทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่พวกตน ย่อมต้องถูกกีดกันออกไปเป็นธรรมดา เราคงได้แต่นำมันมาเป็นบทเรียนอีกบทนึงกระมัง
นอกจากเรื่องสมัยพระนเรศวร เรายังได้ไปพบเรื่องแปลกๆในสมัยรัตนโกสินทร์ว่า คนสมัยก่อนที่อยู่อย่างเรียบง่าย สบายๆ มี กลับมีการละเล่นที่แปลก พิศดาร อย่าง การล่อช้างตกมันที่ชอบวิ่งไล่แทงคน ทุกปีในหน้าหนาว โดยให้ช้างตกมันออกมาวิ่งบนถนนหน้าพระลาน ให้ชาวบ้านมาล่อ ช้างให้วิ่งไล่ไป วิ่งไล่มา ให้มันมาไล่แทง จนมันเหนื่อย ซึ่งเป็นเกมกีฬาที่สนุกสนานของทั้งชาวบ้านและชาววัง เกมกีฬานี้มีประจำทุกปีจนถึงรัชกาลที่เจ็ดจึงยกเลิก นับว่าเป็นที่น่าเสียดายนักกับความบันเทิงรุ่นคุณปู่คุณย่าที่น่าหวาดเสียวเช่นนี้ พอมีเรื่องแบบนี้ก็ชวนให้คิดถึงพวกเพื่อนต่างชาติที่ชอบถามว่าคนไทยสมัยนี้ยังขี่ช้างไปทำงานหรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่และเล่าเรื่องนี้ให้ฟังคงจะเป็นที่ชวนหวัวพิลึก (บางทีเราก็เห็นพวกฝรั่งขี่ม้าไปโรงเรียนเช่นกัน แต่ไม่ยักกะมีใครว่าอะไร)
หลังจากอ่านเรื่องโบราณๆพวกนี้ เรายังได้ไปอ่านเจอบทความของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในบล๊อกของอาจารย์ เรื่องเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่แปด ซึ่งยังเป็นความลับมาจนถึงวันนี้ ที่พอสรุปได้คือ สาเหตุการสวรรคตยังไม่กระจ่าง แต่ จำเลยสามคนที่ถูกประหารชีวิตคือ นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน เป็นเพียงแพะที่ถูกกระบวนการศาลแบบมั่วๆตัดสิน และที่เสริมไปเสริมมาจากบทความจนทำให้คิดเอาเองว่า คนที่ทำเป็นคนที่ไม่สามารถพูดถึงได้ ทั้งการฆาตกรรมและการปรักปรำจำเลยทั้งสาม รวมทั้ง รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์แกมีความมั่นใจแค่ไหนกับหลักฐานที่แกมีซึ่งก็มีส่วนขัดเเย้งกันตลอด แต่จากการเขียนก็พอให้ทราบว่าแกมีความในใจว่าอย่างไร อยากรู้ก็ชวนให้อ่านเอง ใน http://somsakwork.blogspot.com
ทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่องไทยๆที่เพิ่งรู้และน่าสนใจ ตลก เสียดสี เจ็บปวด ก็ขอแบ่งปันในวันนี้
สวัสดี
อ่านมาจาก
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร โดย Subhatra Bhumiprabhas ในหนังสือพิมพ์ the Nation (จำวันที่ไม่ได้)
คอลัมน์ สโมสร โดย จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ใน ศิลปวัฒนธรรม เดือน มกราคม ๒๕๕๐
http://somsakwork.blogspot.com
อย่างแรกที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องตำนานพระนเรศวร เป็นตำนานทั้งนั้น ในพงศาวดารจริงๆแทบไม่มีเรื่องราวใดๆเลย อย่างฉากชนไก่กับพระมหาอุปราชแห่งพม่า หรือ การที่พระเจ้าบุเรงนองทรงชุบเลี้ยงพระองค์เป็นอย่างดี รวมถึง เรื่องของพระสุพรรณกัลยาที่ยอมถวายตัวเพื่อแลกตัวกับพระองค์ดำกลับประเทศไป เรื่องราวพวกนี้ เริ่มมาจากสมัยรัชกาลที่ห้าที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ศิลปินเขียนกลอนวาดภาพด้วยจินตนาการจากพงศาวดารสมัยอยุธยา (ที่ไม่ใช่ประวัติของคนไทย แต่เป็นของคนสยาม) และต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงทำการศึกษาเพิ่มเติมและนิพนธ์ ประวัติสมเด็จพระนเรศวร โดยอิงจากภาพวาดและกาพย์กลอนที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้า (อ้างจาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ) แต่ในความเป็นจริงหลักฐานเกี่ยวกับตัวพระองค์มีน้อยมาก ที่ชัดเจนก็คือจากบันทึกของชาวต่างชาติที่มาค้าขายกับอยุธยาในสมัยของพระองค์หรือหลังพระองค์ ที่บันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่รบเก่ง มีพระปรีชาสามารถ เพียงมีพระชนพรรษา ยี่สิบ พรรษา ก็เป็นที่เลื่องลือพระนาม ทรงสามารถกอบกู้เอกราชได้ อย่างไรก็ตามตลอดเวลาประมาณยี่สิบปีที่ทรงครองราชย์ ก็ได้สังหารผู้คนไปมากกว่าแปดหมื่นคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นผลของสงครามที่มีการรบพุ่งตลอดรัชกาล
ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมประเพณี พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่บังคับให้พวกเจ๊กต้องทำตามอย่างประเพณีไทยเรื่องการหมอบคลานเข้าเฝ้าที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน แต่กับพวกชาวตะวันตกแล้ว พระองค์ทรงยกเว้นให้เพราะเป็นเรื่องการทูตที่พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะเปลี่ยนแปลงประเพณีของพวกเขา พวกฝรั่งที่พระองค์ทรงคบค้าด้วยเป็นพิเศษคือพวกดัตช์ และพวกดัตช์นี้เองได้รับราชการด้วยและได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้
เยเรเมียส ฟาน ฟลีต ชาวดัตช์ซึ่งคนไทยเรียกว่านาย วันวลิต หัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาได้เขียนพงศาวดาร พรรณาเรื่องอาณาจักรสยาม โดยเฉพาะได้วิจารณ์นิสัยคนไทยไว้อย่างละเอียด และเจ็บแสบ เอาที่เฉพาะแย่ๆคือ "การทหาร โดยทั่วไปชาวสยามรักความสงบ รักการค้าขาย และกสิกรรม ...ตามที่กล่าวมาแล้ว พวกสยามเป็นพวกที่ขี้ขลาด ไม่มากก็น้อย และไม่ใช่พวกนักรบมาโดยกำเนิด แต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์มาก ทำให้สามารถโจมตีได้ทั้งทางน้ำและทางบก ในเรื่องความกล้าหาญ ทหารที่ขลาดและกลัว...แต่โหดร้ายกับข้าศึกที่ปราบได้แล้ว ต่อพวกที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ยอมรับ และคนที่ศาลพบว่ามีความผิด" ซึ่งสาเหตุนายวันวลิตได้กล่าวไว้ประมาณว่าเป็นเพราะผู้นำของคนไทย คนไทยจะดีจะเลวอย่างไร ขึ้นกับผู้นำเสมอ
นอกจากนั้น นายวันวลิตยังได้กล่าวว่าคนไทยเป็นคนหยิ่งและอวดดี "พวกเขาหยิ่งและคิดว่า ไม่มีชาติไหนๆ สามารถเท่าเทียมพวกเขาได้ กฎหมายขนบธรรมเนียมและความรู้ของพวกเขาดีกว่าที่ไหนๆ ในโลกนี้ ท่าทางและใบหน้าดุ หยิ่ง พวกเขาสุภาพในการสนทนา นิสัยพวกเขาร่าเริง ขลาดกลัว ไว้ใจไม่ได้ ปิดบังอำพราง หลอกลวง ช่างพูด และเต็มไปด้วยการโกหก...เราไม่สามารถเชื่อใจในประเทศนี้ และไม่มีใครเป็นที่ไว้วางใจ หรือเชื่อถือได้เลย" แม้ภาพลักษณ์ของคนไทยในสายตาของนายวันวลิตจะดูแย่แค่ไหน แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นกันทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่พวกตน ย่อมต้องถูกกีดกันออกไปเป็นธรรมดา เราคงได้แต่นำมันมาเป็นบทเรียนอีกบทนึงกระมัง
นอกจากเรื่องสมัยพระนเรศวร เรายังได้ไปพบเรื่องแปลกๆในสมัยรัตนโกสินทร์ว่า คนสมัยก่อนที่อยู่อย่างเรียบง่าย สบายๆ มี กลับมีการละเล่นที่แปลก พิศดาร อย่าง การล่อช้างตกมันที่ชอบวิ่งไล่แทงคน ทุกปีในหน้าหนาว โดยให้ช้างตกมันออกมาวิ่งบนถนนหน้าพระลาน ให้ชาวบ้านมาล่อ ช้างให้วิ่งไล่ไป วิ่งไล่มา ให้มันมาไล่แทง จนมันเหนื่อย ซึ่งเป็นเกมกีฬาที่สนุกสนานของทั้งชาวบ้านและชาววัง เกมกีฬานี้มีประจำทุกปีจนถึงรัชกาลที่เจ็ดจึงยกเลิก นับว่าเป็นที่น่าเสียดายนักกับความบันเทิงรุ่นคุณปู่คุณย่าที่น่าหวาดเสียวเช่นนี้ พอมีเรื่องแบบนี้ก็ชวนให้คิดถึงพวกเพื่อนต่างชาติที่ชอบถามว่าคนไทยสมัยนี้ยังขี่ช้างไปทำงานหรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่และเล่าเรื่องนี้ให้ฟังคงจะเป็นที่ชวนหวัวพิลึก (บางทีเราก็เห็นพวกฝรั่งขี่ม้าไปโรงเรียนเช่นกัน แต่ไม่ยักกะมีใครว่าอะไร)
หลังจากอ่านเรื่องโบราณๆพวกนี้ เรายังได้ไปอ่านเจอบทความของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในบล๊อกของอาจารย์ เรื่องเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่แปด ซึ่งยังเป็นความลับมาจนถึงวันนี้ ที่พอสรุปได้คือ สาเหตุการสวรรคตยังไม่กระจ่าง แต่ จำเลยสามคนที่ถูกประหารชีวิตคือ นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน เป็นเพียงแพะที่ถูกกระบวนการศาลแบบมั่วๆตัดสิน และที่เสริมไปเสริมมาจากบทความจนทำให้คิดเอาเองว่า คนที่ทำเป็นคนที่ไม่สามารถพูดถึงได้ ทั้งการฆาตกรรมและการปรักปรำจำเลยทั้งสาม รวมทั้ง รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์แกมีความมั่นใจแค่ไหนกับหลักฐานที่แกมีซึ่งก็มีส่วนขัดเเย้งกันตลอด แต่จากการเขียนก็พอให้ทราบว่าแกมีความในใจว่าอย่างไร อยากรู้ก็ชวนให้อ่านเอง ใน http://somsakwork.blogspot.com
ทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่องไทยๆที่เพิ่งรู้และน่าสนใจ ตลก เสียดสี เจ็บปวด ก็ขอแบ่งปันในวันนี้
สวัสดี
อ่านมาจาก
บทวิจารณ์ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร โดย Subhatra Bhumiprabhas ในหนังสือพิมพ์ the Nation (จำวันที่ไม่ได้)
คอลัมน์ สโมสร โดย จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ใน ศิลปวัฒนธรรม เดือน มกราคม ๒๕๕๐
http://somsakwork.blogspot.com
Sunday, February 04, 2007
GMOs
"คนยากจนไม่ได้ต้องการวิตามิน แต่พวกเขาต้องการผืนดินทำกินเท่านั้น"
เสียงก้องจาก เดชา ศิริภัทร ประธานเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกแห่งประเทศไทย
จีเอ็มโอหรือพืชสวรรค์ของบรรษัทอุตสาหกรรมการเกษตรข้ามชาติที่ว่าจะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและสารอาหารไม่เพียงพอของคนยากจนทั่วโลก อย่าง ข้าวสีทอง ที่อุดมด้วยวิตามินเอ หรือ กล้วยพันธุ์พิเศษที่บรรจุวัคซีนป้องกันโรคอยู่ภายใน หรือ ฝ้ายบีที ที่ทนแมลงได้มากมาย
การที่ประชาชนยากจน ขาดแคลนอาหาร หรือแม้กระทั่งขาดแคลนสารอาหาร ไม่สามารถแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างการสร้างพืชประหลาดพวกนี้ขึ้นมาทดแทน
แต่คือการมองไปที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างเด็ดขาด
พวกเขา(ชาวนา) ขาดสารอาหารเพราะอะไร เพราะขาดอาหารที่ครบถ้วน
แล้วพวกเขาขาดอาหารเพราะอะไร เพราะพวกเขายากจน
ทำไมพวกเขายากจน เพราะพวกเขาไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้
แล้วทำไมเขาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่ที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
ถูกผู้ได้เปรียบทางสังคมยึดเอาที่ทำกินไปอย่างถูกกฎหมาย
แต่ตัวพวกเขาเองต้องเป็นลูกจ้างนายทุนพวกนั้น
ทั้งที่พวกเขาเป็นคนปลูกข้าว พวกเขากลับไม่ได้แม้แต่จะกินสิ่งที่พวกเขาปลูก
ระบบสังคมไม่ได้แจกจ่ายทรัพยากรสำคัญให้กับเขาอย่างทั่วถึง
อย่าง โอกาส และ ความรู้ที่ถูกต้อง
ที่ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียดินแดนบรรพบุรุษให้กับนายทุนเกษตรกรรมทั้งหลาย
ปัจจุบันอาหารมีล้นโลก โลกไม่ได้ขาดแคลนอย่างที่บรรษัททั้งหลายกล่าวอ้าง
เพียงแต่คนยากจนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทรัพยากรนั้นอย่างเท่าเทียม
เช่น มันสำปะหลังที่เป็นอาหารหลักของคนแอฟริกา ประเทศยากจนเหล่านั้นผลิตมันสำปะหลังไปขายให้ประเทศที่ร่ำรวยเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ แล้วนำผลิตภัณฑ์นั้นมาเป็นอาหารของคนรวย
ขณะที่เด็กที่แอฟริกาต้องอดตายเพราะไม่มีเงินซื้อกิน
นอกจากจะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดแล้ว การใช้พืชตัดต่อพันธุกรรมยังมีปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์พันธุ์
ที่บริษัทผู้คิดค้นจะเป็นเจ้าของทั้งหมด แม้ว่าบริษัทนั้นจะทำเพียงแค่เสริมยีนของไวรัสบางตัวเข้าไปเท่านั้น โดยไม่สนใจยีนที่เหลือที่เป็นต้นพืชนั้นอันเป็นสมบัติของส่วนรวมแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนจน ชาวนา ยังต้อง หักเงินรายได้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นค่าสายพันธุ์อีกด้วย
ถ้าพบว่าพืชที่ชาวนานำไปขายมีพันธุกรรมตัดต่อปนไป แม้ว่านั่นจะเป็นการปนเปื้อนตามธรรมชาติที่ชาวนาไม่ได้ต้องการอีกด้วย
นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องความปลอดภัยที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ทางชีววิทยา
ทั้งต่อร่างกาย และต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม
แต่จากเวลาที่ผ่านมามีแต่รายงานความเสียหายของสิ่งแวดล้อมจากพืชพันธุกรรมเข้ามาทั้งนั้น
นั่นก็พอจะพิสูจน์ได้ว่า พืชตัดแต่งพันธุกรรมไม่เหมาะสมกับโลกนี้จริงๆ
ปล ชาวนา กับ แรงงานกรรมาชีพ ก็คือ กลุ่มคนเดียวกัน ที่ถูกเอาเปรียบเพียงแต่แต่งตัวคนละแบบ
เสียงก้องจาก เดชา ศิริภัทร ประธานเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกแห่งประเทศไทย
จีเอ็มโอหรือพืชสวรรค์ของบรรษัทอุตสาหกรรมการเกษตรข้ามชาติที่ว่าจะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและสารอาหารไม่เพียงพอของคนยากจนทั่วโลก อย่าง ข้าวสีทอง ที่อุดมด้วยวิตามินเอ หรือ กล้วยพันธุ์พิเศษที่บรรจุวัคซีนป้องกันโรคอยู่ภายใน หรือ ฝ้ายบีที ที่ทนแมลงได้มากมาย
การที่ประชาชนยากจน ขาดแคลนอาหาร หรือแม้กระทั่งขาดแคลนสารอาหาร ไม่สามารถแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างการสร้างพืชประหลาดพวกนี้ขึ้นมาทดแทน
แต่คือการมองไปที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างเด็ดขาด
พวกเขา(ชาวนา) ขาดสารอาหารเพราะอะไร เพราะขาดอาหารที่ครบถ้วน
แล้วพวกเขาขาดอาหารเพราะอะไร เพราะพวกเขายากจน
ทำไมพวกเขายากจน เพราะพวกเขาไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้
แล้วทำไมเขาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่ที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
ถูกผู้ได้เปรียบทางสังคมยึดเอาที่ทำกินไปอย่างถูกกฎหมาย
แต่ตัวพวกเขาเองต้องเป็นลูกจ้างนายทุนพวกนั้น
ทั้งที่พวกเขาเป็นคนปลูกข้าว พวกเขากลับไม่ได้แม้แต่จะกินสิ่งที่พวกเขาปลูก
ระบบสังคมไม่ได้แจกจ่ายทรัพยากรสำคัญให้กับเขาอย่างทั่วถึง
อย่าง โอกาส และ ความรู้ที่ถูกต้อง
ที่ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียดินแดนบรรพบุรุษให้กับนายทุนเกษตรกรรมทั้งหลาย
ปัจจุบันอาหารมีล้นโลก โลกไม่ได้ขาดแคลนอย่างที่บรรษัททั้งหลายกล่าวอ้าง
เพียงแต่คนยากจนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทรัพยากรนั้นอย่างเท่าเทียม
เช่น มันสำปะหลังที่เป็นอาหารหลักของคนแอฟริกา ประเทศยากจนเหล่านั้นผลิตมันสำปะหลังไปขายให้ประเทศที่ร่ำรวยเพื่อนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ แล้วนำผลิตภัณฑ์นั้นมาเป็นอาหารของคนรวย
ขณะที่เด็กที่แอฟริกาต้องอดตายเพราะไม่มีเงินซื้อกิน
นอกจากจะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดแล้ว การใช้พืชตัดต่อพันธุกรรมยังมีปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์พันธุ์
ที่บริษัทผู้คิดค้นจะเป็นเจ้าของทั้งหมด แม้ว่าบริษัทนั้นจะทำเพียงแค่เสริมยีนของไวรัสบางตัวเข้าไปเท่านั้น โดยไม่สนใจยีนที่เหลือที่เป็นต้นพืชนั้นอันเป็นสมบัติของส่วนรวมแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนจน ชาวนา ยังต้อง หักเงินรายได้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นค่าสายพันธุ์อีกด้วย
ถ้าพบว่าพืชที่ชาวนานำไปขายมีพันธุกรรมตัดต่อปนไป แม้ว่านั่นจะเป็นการปนเปื้อนตามธรรมชาติที่ชาวนาไม่ได้ต้องการอีกด้วย
นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องความปลอดภัยที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ทางชีววิทยา
ทั้งต่อร่างกาย และต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม
แต่จากเวลาที่ผ่านมามีแต่รายงานความเสียหายของสิ่งแวดล้อมจากพืชพันธุกรรมเข้ามาทั้งนั้น
นั่นก็พอจะพิสูจน์ได้ว่า พืชตัดแต่งพันธุกรรมไม่เหมาะสมกับโลกนี้จริงๆ
ปล ชาวนา กับ แรงงานกรรมาชีพ ก็คือ กลุ่มคนเดียวกัน ที่ถูกเอาเปรียบเพียงแต่แต่งตัวคนละแบบ
Saturday, December 16, 2006
Gedict auf dem Klo
Ich beherrsche diese Welt,
ich bin wunderbar,
ich bin nämlich bei Scheißen.
Oh! Gott! Das Leben ist schwer.
Oh! Mein Arschloch tut mir weh.
Kiffen Kiffen haha
ich bin wunderbar,
ich bin nämlich bei Scheißen.
Oh! Gott! Das Leben ist schwer.
Oh! Mein Arschloch tut mir weh.
Kiffen Kiffen haha
Friday, December 01, 2006
Simple simple
1-
พระพุทธวจนะ
"ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม"
"ทุกข์" นั้นเป็นของดี ของประเสริฐ คนไม่มีปัญญาจะรังเกียจทุกข์ แต่คนมีปัญญาจะใช้ทุกข์นั้นเป็น "พลังเชื้อเพลิง" ขับเคลื่อนตัวเองไปสู่
ความเป็น "คนเหนือทุกข์"
แต่ต่อให้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทุกข์" ก็ยังอยู่ เพราะ "ทุกข์" เป็นแค่สภาวธรรม ไม่มีตัวตนอะไรฆ่าให้มันตาย เป็นแค่ "สิ่งรู้ของจิต" เท่านั้น
ถึงโลกใบนี้แตกไป ทุกข์มันก็ยังอยู่ "ตามสภาวะ" ของมัน!
จง"รู้จักทุกข์" ว่าหน้าตามันเป็นอย่างนี้ มันมาได้อย่างนี้ มันอยู่ของมันอย่างนี้ และมันก็เป็น-ก็อยู่ของมันอย่างนั้น
เพราะนี่คือ "ธรรมชาติ" อย่างหนึ่ง
เมื่อเรารู้จักมันแล้ว คือวางจิตอยู่เหนือมัน พูดง่ายๆ คือมันมีอยู่ แต่เราไม่ทุกข์กะมัน แค่นั้นเราก็มี "จิตอริยะ" แล้ว
ทุกข์" คือสะพานสู่ "สุข" ข้ามสะพานทุกข์ไปถึงอีกฝั่งแล้ว หันหลังกลับไปมอง "สะพานทุกข์" มันก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้น รอให้คนอื่นๆ ใช้เป็นเส้นทางข้ามไปสู่อีกฝั่ง ต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด
ถ้าไม่มี "ตัวทุกข์" โลกนี้ก็เห็นทีจะไม่มีคำว่า "นิพพาน"!?
2-
วันๆ เราไป "นิพพาน" กันหลายๆ หน!?
โดยพื้นฐานปกตินั้นใจของมนุษย์ทุกคนมันว่างๆ เปล่าๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อะไรทั้งนั้น ตามภาษาธรรมท่านเรียก "จิตเดิมแท้" นี้ว่า
"จิตประภัสสร"
เวลาที่เรารู้สึกเฉยๆ ว่างๆ ไม่รุ่มร้อนด้วยสุข-ด้วยทุกข์ ช่วงขณะที่รู้สึก "ว่าง" อย่างนั้น
นั่นแหละ กำลัง "นิพพาน"!
เรียกว่า "ตทังคนิพพาน" คือ นิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วครั้ง-ชั่วคราว พอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปปะทะกับ รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งสัมผัสทางกาย สิ่งสัมผัสทางอารมณ์
เจ้าตัว "กิเลส ตัณหา อุปาทาน" มันลากใจให้กระเจิงตามมันไปเท่านั้นแหละ
นิพพานหายไป นรกเป็นที่อยู่ของใจทันที!
"วิกขัมภนนิพพาน" คือภาวะจิตสงบเย็นที่ยาวนานต่อเนื่อง แล้วถ้าใครใช้ปัญญาญาณบริหารจิต ฟาดฟัน-ประหาร กิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ถอนรากถอนโคนขาดสะบั้นลงไปได้ จิตก็จะเข้าสู่ภาวะ
"นิพพานัง ปรมัง สุญญัง"
เป็นพระอรหันต์ อยู่เหนือโลก เหนือทุกข์ "สิ้นเหตุ-สิ้นปัจจัย" ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ชนิด "ไม่จบ-ไม่สิ้น" อีกต่อไป!
ที่ว่า "สูญ" นั้น สิ่งที่สูญไป คือ
กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ
ตัณหา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
อุปาทาน คือ การยึดมั่น-ทึกทักใน "ตัวกู-ของกู" ไม่รู้จักความจริงที่ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และทุกอย่าง..ไม่มีตัวตนอะไรให้ยึด
"ตัวยึด" คือ "ตัวอุปาทาน" อันเป็นตัวลมๆ แล้งๆ ด้วยความโง่เขลาเท่านั้นเอง!
ใครก็ตาม ถ้าไม่มี "อุปาทาน" นั่นหมายความว่าบรรลุแล้วซึ่ง "อริยสัจจะ" ความจริงแท้ที่ทำให้มนุษย์อยู่เหนือโลก ๔ ประการ "ความจริงแท้" นั้นคือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค
ใครอยากรู้ว่า ในเมื่อนิพพานไม่ได้สูญ ฉะนั้น ภาวะนิพพานคืออะไร เป็นอย่างไร?
เรื่องนี้ท่านว่า "เล่นไม่ยาก"
แค่ไปให้ถึง "ตามทาง"
จิตเข้าสู่ภาวะอริยะเมื่อไหร่
รู้ได้-สัมผัสได้ "เฉพาะตัว" ผู้นั้น-เมื่อนั้น ทันที!
ท่านใดไปถึงแล้ว ขออาราธนาตรงนี้ โปรดกรุณามา "โปรดสัตว์" ผู้ยาก "คือผม" ด้วยเถิด!
3-
การปฏิบัติธรรม คือการทำงานอย่างคร่ำเครียด-คร่ำเคร่ง ชนิดไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ไม่มีคำว่ากลางคืน ไม่มีคำว่ากลางวัน ไม่มีคำว่าร้อน ไม่มีคำว่าหนาว ไม่มีคำว่าหิว ไม่มีคำว่าอิ่ม ไม่มีคำว่าทุกข์-ทนไม่ได้ ไม่มีคำว่าสุข-จนล้นกระฉอก ไม่มีคำว่าฝนตก และไม่มีคำว่าแดดออก
เรียกว่า ตลอด ๒๕ ชั่ว ไม่มีเว้นแม่แต่วินาทีเดียวที่ "ผู้เคี่ยวกรำกิเลส" จะหยุดจากการทำงานในหน้าที่ของท่าน ทำงานด้วยเพียรพยายามโหมไฟเคี่ยวกรำประหารกิเลสให้มอดไหม้!
นั่ง-คือมหาสติปัฏฐาน พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก จิตตามรู้อารมณ์ไม่คลาดคราแม้เสี้ยวของเสี้ยววินาที
เดิน-คือการเปลี่ยนอิริยาบถนั่งด้วย "จงกรม" จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งในทางที่กำหนดวนรอบ "กลับไป-กลับมา" โดยสติไม่คลาดคราจากอารมณ์อยู่อย่างนั้นตลอดวัน ตลอดคืน
เมื่อจงกรมควรแก่การแล้ว ก็นั่งด้วยอานาปานสติ คือกำหนดลมหายใจเข้า-ออกตามมหาสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในอาการ นั่ง นอน กิน ดื่ม เดิน อานาปานสติ ตามหลักมหาสติปัฏฐาน
ไม่เคยขาดสายจากกันไปเลย!
นั่นคืองานทางจิตอันยิ่งยวดของพระอริยะ ดังที่สมเด็จพระจอมไตรบรมโลกนาถ "พระมหาสมณโคดม" ทรงกระทำต่อเนื่องตลอดวัน-ตลอดเวลา จนค้นพบ "อริยสัจจะ"
และทรงประกาศสอนเป็นสมบัติเพื่อมวลมนุษยชาติสู่ความเป็น "คนประเสริฐ" ตราบทุกวันนี้
นั่นคือ "ความสำเร็จ" อันโชติช่วงชัชวาลที่มาจาก "การทำงาน" โดยไม่ยอม "หยุดวัน-หยุดเวลา" ในการทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นเอง!
เชื่อหรือไม่ "อริยสงฆ์" ร่วมยุค-ร่วมสมัยของเรา อย่างเช่น หลวงปู่มั่น เป็นต้นนั้น ท่านทำงานของท่านชนิดไม่มีอาหารตกถึงท้อง ชนิดไม่เคยเอนกายลงนอน
ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ๆ หรือถึงเดือน!
ถึงแม้บางครา พระคุณเจ้าจะอยู่ในท่านอน นั่นก็อย่าว่าเข้าใจว่า "ท่านพักผ่อนนอนหลับ" ท่านเพียงแต่ให้ "กาย" อันเป็นที่อยู่ของจิตได้พักเท่านั้น
ขณะกายพัก จิตก็หาได้พักด้วยไม่ สติยังคุมจิตทำงานประหารกิเลสต่อเนื่องกันไปไม่หยุดหย่อน เหมือนน้ำตกที่ไหลโดยสายน้ำไม่เคยขาดตอน
ยิ่งตกก็ยิ่งสร้างพลังงาน ตกมากเท่าไหร่ พลังงานจิตก็ยิ่งเข้มข้น และจิตที่เข้มข้นนั้น คือ "ตัวแจ้งแห่งธรรม" ที่สว่างไสวไม่ขาดสายนั่นเอง
ถ้าสมเด็จพระจอมไตร และศิษย์ตถาคตผู้เป็น "พุทธบุตร" ทำงานแบบเช้าชาม-เย็นชาม เสาร์-อาทิตย์ก็หยุด หนาวนัก-ร้อนนัก ฝนตก-แดดออก ก็พักผ่อนนอนหลับ ป่านนี้..โลกจะไม่พบกับ "ธรรม"
4-
โลกนี้ มีแต่ "ทุกข์กับทุกข์" เป็นของแท้ เท่านั้น...!?
adapted from
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=2/Dec/2549&news_id=134245&cat_id=200
พระพุทธวจนะ
"ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม"
"ทุกข์" นั้นเป็นของดี ของประเสริฐ คนไม่มีปัญญาจะรังเกียจทุกข์ แต่คนมีปัญญาจะใช้ทุกข์นั้นเป็น "พลังเชื้อเพลิง" ขับเคลื่อนตัวเองไปสู่
ความเป็น "คนเหนือทุกข์"
แต่ต่อให้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทุกข์" ก็ยังอยู่ เพราะ "ทุกข์" เป็นแค่สภาวธรรม ไม่มีตัวตนอะไรฆ่าให้มันตาย เป็นแค่ "สิ่งรู้ของจิต" เท่านั้น
ถึงโลกใบนี้แตกไป ทุกข์มันก็ยังอยู่ "ตามสภาวะ" ของมัน!
จง"รู้จักทุกข์" ว่าหน้าตามันเป็นอย่างนี้ มันมาได้อย่างนี้ มันอยู่ของมันอย่างนี้ และมันก็เป็น-ก็อยู่ของมันอย่างนั้น
เพราะนี่คือ "ธรรมชาติ" อย่างหนึ่ง
เมื่อเรารู้จักมันแล้ว คือวางจิตอยู่เหนือมัน พูดง่ายๆ คือมันมีอยู่ แต่เราไม่ทุกข์กะมัน แค่นั้นเราก็มี "จิตอริยะ" แล้ว
ทุกข์" คือสะพานสู่ "สุข" ข้ามสะพานทุกข์ไปถึงอีกฝั่งแล้ว หันหลังกลับไปมอง "สะพานทุกข์" มันก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้น รอให้คนอื่นๆ ใช้เป็นเส้นทางข้ามไปสู่อีกฝั่ง ต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด
ถ้าไม่มี "ตัวทุกข์" โลกนี้ก็เห็นทีจะไม่มีคำว่า "นิพพาน"!?
2-
วันๆ เราไป "นิพพาน" กันหลายๆ หน!?
โดยพื้นฐานปกตินั้นใจของมนุษย์ทุกคนมันว่างๆ เปล่าๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อะไรทั้งนั้น ตามภาษาธรรมท่านเรียก "จิตเดิมแท้" นี้ว่า
"จิตประภัสสร"
เวลาที่เรารู้สึกเฉยๆ ว่างๆ ไม่รุ่มร้อนด้วยสุข-ด้วยทุกข์ ช่วงขณะที่รู้สึก "ว่าง" อย่างนั้น
นั่นแหละ กำลัง "นิพพาน"!
เรียกว่า "ตทังคนิพพาน" คือ นิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วครั้ง-ชั่วคราว พอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปปะทะกับ รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งสัมผัสทางกาย สิ่งสัมผัสทางอารมณ์
เจ้าตัว "กิเลส ตัณหา อุปาทาน" มันลากใจให้กระเจิงตามมันไปเท่านั้นแหละ
นิพพานหายไป นรกเป็นที่อยู่ของใจทันที!
"วิกขัมภนนิพพาน" คือภาวะจิตสงบเย็นที่ยาวนานต่อเนื่อง แล้วถ้าใครใช้ปัญญาญาณบริหารจิต ฟาดฟัน-ประหาร กิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ถอนรากถอนโคนขาดสะบั้นลงไปได้ จิตก็จะเข้าสู่ภาวะ
"นิพพานัง ปรมัง สุญญัง"
เป็นพระอรหันต์ อยู่เหนือโลก เหนือทุกข์ "สิ้นเหตุ-สิ้นปัจจัย" ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ชนิด "ไม่จบ-ไม่สิ้น" อีกต่อไป!
ที่ว่า "สูญ" นั้น สิ่งที่สูญไป คือ
กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ
ตัณหา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
อุปาทาน คือ การยึดมั่น-ทึกทักใน "ตัวกู-ของกู" ไม่รู้จักความจริงที่ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และทุกอย่าง..ไม่มีตัวตนอะไรให้ยึด
"ตัวยึด" คือ "ตัวอุปาทาน" อันเป็นตัวลมๆ แล้งๆ ด้วยความโง่เขลาเท่านั้นเอง!
ใครก็ตาม ถ้าไม่มี "อุปาทาน" นั่นหมายความว่าบรรลุแล้วซึ่ง "อริยสัจจะ" ความจริงแท้ที่ทำให้มนุษย์อยู่เหนือโลก ๔ ประการ "ความจริงแท้" นั้นคือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค
ใครอยากรู้ว่า ในเมื่อนิพพานไม่ได้สูญ ฉะนั้น ภาวะนิพพานคืออะไร เป็นอย่างไร?
เรื่องนี้ท่านว่า "เล่นไม่ยาก"
แค่ไปให้ถึง "ตามทาง"
จิตเข้าสู่ภาวะอริยะเมื่อไหร่
รู้ได้-สัมผัสได้ "เฉพาะตัว" ผู้นั้น-เมื่อนั้น ทันที!
ท่านใดไปถึงแล้ว ขออาราธนาตรงนี้ โปรดกรุณามา "โปรดสัตว์" ผู้ยาก "คือผม" ด้วยเถิด!
3-
โลกนี้ มีแต่ "ทุกข์กับทุกข์" เป็นของแท้ เท่านั้น...!?
adapted from
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=2/Dec/2549&news_id=134245&cat_id=200
Saturday, November 25, 2006
Vomit
Warning!!!
้ ผมจะรออยู่ที่วันพรุ่งนี้
ข้างล่างเป็นเรื่องบ่น รับมาจากหลายที่ ถ้าต้องการแหล่งที่มา จัดให้!!!
1-
จะทำอย่างไรเมื่อทุกอย่างสังเคราะห์ขึ้นมาได้
ไม่ว่าจะชีวิตคน ชีวิตสัตว์ พืช ต้นไม้ แบคทีเรีย
เพียงแค่อยู่บ้านโทรสั่งดีเอ็นเอ หรือโปรตีน สเป็กตามต้องการ
เอาตัวนี้ ฉลาดเท่านี้ สีนี้ หล่อๆหน่อย....
แล้วมาผสมเล่นเองที่บ้าน
ก็ได้มาแล้ว artificial life!!!
นั่นเป็นสิ่งที่นักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังทำอยู่ ชีวะ สาขา Synthetic Biology
ทุกอย่างต้องสังเคราะห์ได้ (ความรัก คุณธรรม อาจไม่ได้ แต่ก็เป็นผลของมัน)
บางคนบอกว่านี่เป็นสาขาใหม่ ที่มีความอันตรายระดับนิวเคลียร์
เป็นผลลัพธ์อันน่ากลัวของควอนตัมฟิสิกส์
ชีวิตเทียมที่กำลังพัฒนากันอยู่นี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร
มันจะฉลาดกว่าคน หรือว่า มันจะโง่กว่าคน
มันจะเป็นผู้รับใช้มนุษย์หรือว่า จะกลับมาเป็นนายของมนุษย์
สมการที่มีอยู่ตอนนี้แม้ว่าจะบ่งบอกว่าชีวิตเทียมเกิดขึ้นได้จริง
แต่ในเรื่องพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในสมการ เพียงแค่คิดคำนวณมันไม่สามารถตอบได้
สถานการณ์มันก็เหมือนกับการเกิดของปรมาณู
ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์คิดค้นระเบิดปรมาณูได้แล้ว แต่ยังไม่กล้าใช้
เพราะไม่รู้ว่าปฏิกิริยาลูกโซ่ของสารกัมมัตภาพรังสีจะต่อเนื่องลูกโซ่ ต่อไปทั้งโลกหรือไม่
สมการที่มันเกิดขึ้นมา ไม่ได้บอกเอาไว้
สุดท้าย สถานการณ์การเมืองสุกงอม
สหรัฐสั่งลุยโดยใช้ญี่ปุ่นเป็นที่ทดลอง ดูว่าปฏิกิริยามันจะหยุดหรือว่าจะต่อเนื่องลูกโซ่ไม่มีวันหยุด
คุณพระช่วย!!!
โชคดี ปฏิกิริยาหยุดลงแค่เมืองๆหนึ่งถูกทำลายป่นปี้ไป
ขณะนี้
Synthetic biology นี้ก็เหมือนกัน
นี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้โลกที่ดีขึ้น สร้างโลกของวันพรุ่งนี้
โลกที่ปัญหาอันร้ายแรงของมนุษย์ทั้งหมดจะถูกกำจัดไปด้วยของที่ร้ายแรงเช่นกัน
เป็นผลลัพธ์อันน่ากลัวของควอนตัมฟิสิกส์
ชีวิตเทียมที่กำลังพัฒนากันอยู่นี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร
มันจะฉลาดกว่าคน หรือว่า มันจะโง่กว่าคน
มันจะเป็นผู้รับใช้มนุษย์หรือว่า จะกลับมาเป็นนายของมนุษย์
สมการที่มีอยู่ตอนนี้แม้ว่าจะบ่งบอกว่าชีวิตเทียมเกิดขึ้นได้จริง
แต่ในเรื่องพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในสมการ เพียงแค่คิดคำนวณมันไม่สามารถตอบได้
สถานการณ์มันก็เหมือนกับการเกิดของปรมาณู
ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์คิดค้นระเบิดปรมาณูได้แล้ว แต่ยังไม่กล้าใช้
เพราะไม่รู้ว่าปฏิกิริยาลูกโซ่ของสารกัมมัตภาพรังสีจะต่อเนื่องลูกโซ่ ต่อไปทั้งโลกหรือไม่
สมการที่มันเกิดขึ้นมา ไม่ได้บอกเอาไว้
สุดท้าย สถานการณ์การเมืองสุกงอม
สหรัฐสั่งลุยโดยใช้ญี่ปุ่นเป็นที่ทดลอง ดูว่าปฏิกิริยามันจะหยุดหรือว่าจะต่อเนื่องลูกโซ่ไม่มีวันหยุด
คุณพระช่วย!!!
โชคดี ปฏิกิริยาหยุดลงแค่เมืองๆหนึ่งถูกทำลายป่นปี้ไป
ขณะนี้
Synthetic biology นี้ก็เหมือนกัน
นี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้โลกที่ดีขึ้น สร้างโลกของวันพรุ่งนี้
โลกที่ปัญหาอันร้ายแรงของมนุษย์ทั้งหมดจะถูกกำจัดไปด้วยของที่ร้ายแรงเช่นกัน
้
2-
มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสยไทยโบราณ (มศส) ก่อตั้งด้วยทุนของ เจียง ลิวลัน มหาเศรษฐีจีนไต้หวัน อายุ เก้าสิบปี
ท่านบริจาคเงินสร้างมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ในหลายประเทศ เพื่อการศีกษาศิลปะ พยากรณ์ศาสตร์ และไสยศาสตร์
อัมรินทร์ อินทร์ฤทธิ์ นิสิตใหม่ของที่นี่ ฝันแปลกๆในตอนหัวรุ่ง
วันแรกนั้น เขาละเมอเดินออกมาหน้าบ้านจัดสรรของเขา ย่านสุทธิสาร
เห็นทางลาดซีเมนต์หน้าบ้านกลายเป็นท้องนาน้ำท่วม
เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นปีศาจเพื่อนรุ่นบิดาของเขามาตีกบบนถนนคอนกรีตซึ่งในอดีตเคยเป็นท้องนา
วันต่อมาเขาฝันเห็นสุนทรภู่มากับบ่าวคนแจวเรือของท่าน
ก่อนที่ท่านสุนทรภู่จะลับกาย ท่านสั่งอัมรินทร์ให้ไปห้องสมุดของ มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสย
เพื่ออ่านนิราศสุนทรภู่และความเป็นมาของนิราศสุนทรภู่
วันที่เขาฝันถึงท่านสุนทรภู่ เขามุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยศิลป์ไสย(มศส)เพื่อจะถามอาจารย์วิชาไสยศาสตร์
ว่าย่านสุทธิสาร บ้านของเขานั้น ในสมัยโบราณมีความมหัศจรรย์อันใดหรือ จึงเป็นที่รวมของวิญญาณต่างๆ
ตามที่เขาฝันถึงตอนหัวรุ่ง
อาจารย์ รักยอด วิชาดาว โหรเก่าวัย แปดสิบปี อาจารย์ในคณะโหราศาสตร์ จูงอัมรินทร์ออกไปดูท้องฟ้า แล้วพูดว่า
"ท้องฟ้าคือโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด....สุสานทุกแห่งอยู่ใต้ท้องฟ้า
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตอยู่ใต้ท้องฟ้า บ้านคุณมีปฏิทินใช่ไหม"
"มีครับ"
"ปฏิทินเป็นตัวเเทนของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เมื่อบ้านคุณมีปฏิทิน ก็หมายความว่ามีวิญญาณของทุกชีวิตรอบบ้านคุณ"
มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสยไทยโบราณ (มศส) ก่อตั้งด้วยทุนของ เจียง ลิวลัน มหาเศรษฐีจีนไต้หวัน อายุ เก้าสิบปี
ท่านบริจาคเงินสร้างมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ในหลายประเทศ เพื่อการศีกษาศิลปะ พยากรณ์ศาสตร์ และไสยศาสตร์
อัมรินทร์ อินทร์ฤทธิ์ นิสิตใหม่ของที่นี่ ฝันแปลกๆในตอนหัวรุ่ง
วันแรกนั้น เขาละเมอเดินออกมาหน้าบ้านจัดสรรของเขา ย่านสุทธิสาร
เห็นทางลาดซีเมนต์หน้าบ้านกลายเป็นท้องนาน้ำท่วม
เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นปีศาจเพื่อนรุ่นบิดาของเขามาตีกบบนถนนคอนกรีตซึ่งในอดีตเคยเป็นท้องนา
วันต่อมาเขาฝันเห็นสุนทรภู่มากับบ่าวคนแจวเรือของท่าน
ก่อนที่ท่านสุนทรภู่จะลับกาย ท่านสั่งอัมรินทร์ให้ไปห้องสมุดของ มหาวิทยาลัย ศิลป์ไสย
เพื่ออ่านนิราศสุนทรภู่และความเป็นมาของนิราศสุนทรภู่
วันที่เขาฝันถึงท่านสุนทรภู่ เขามุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยศิลป์ไสย(มศส)เพื่อจะถามอาจารย์วิชาไสยศาสตร์
ว่าย่านสุทธิสาร บ้านของเขานั้น ในสมัยโบราณมีความมหัศจรรย์อันใดหรือ จึงเป็นที่รวมของวิญญาณต่างๆ
ตามที่เขาฝันถึงตอนหัวรุ่ง
อาจารย์ รักยอด วิชาดาว โหรเก่าวัย แปดสิบปี อาจารย์ในคณะโหราศาสตร์ จูงอัมรินทร์ออกไปดูท้องฟ้า แล้วพูดว่า
"ท้องฟ้าคือโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด....สุสานทุกแห่งอยู่ใต้ท้องฟ้า
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตอยู่ใต้ท้องฟ้า บ้านคุณมีปฏิทินใช่ไหม"
"มีครับ"
"ปฏิทินเป็นตัวเเทนของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เมื่อบ้านคุณมีปฏิทิน ก็หมายความว่ามีวิญญาณของทุกชีวิตรอบบ้านคุณ"
3-
โลกกำลังพัฒนา เทคโนโลยีจะพัฒนาได้ไม่ถึงที่สุด
เวลาจะถูกตีความใหม่
ผู้ที่เห็นทางตัน เป็นเพียงผู้ที่อ่อนแอ
ผู้ที่เห็นโลกข้างหน้า แม้เขาจะไม่ได้อยู่เชยชม แต่จะเป็นหินก้อนหนึ่งที่ก่ออนาคตนั้น
โลกกำลังร้อน โลกกำลังร้องไห้ มนุษยชาติกำลังจะล่มจม
มีนักวิจัยชาวอเมริกา ทำวิจัยว่าทำไม อารยธรรมจึงล่มสลาย
เขาทำการคำนวณ จาก แหล่งอารยธรรมหนึ่งในที่ราบระหว่างเทือกเขาแอนดีส มหาสมุทรแปซิฟิก ณ ที่นั่นมีแม่น้ำที่เคยไหลผ่าน จนเกิดเป็นชุมชน เป็นอู่อารยธรรม
แต่มาวันหนึ่งแม่น้ำนั้นเกิดเปลี่ยนทิศทาง
อารยธรรมนั้นจะลุ่มสลายเพราะขาดแคลนน้ำ แต่ว่าอารยธรรมนั้นมีวิทยาการก้าวหน้าจึงคิดจะเปลี่ยนกระแสน้ำกลับ สุ้กับธรรมชาติ ดึงกระแสน้ำกลับมา
การต่อสู้กับธรรมชาติข้อจำกัด มันทำให้คนแกร่ง
ถ้าผ่านด่านนั้นไปได้
แต่แล้วอารยธรรมนั้นก็สูญหาย พ่ายแพ้ แก่ธรรมชาติ
เป็นเพราะอะไร เพราะเขามีวิทยาการไม่พองั้นหรือ ถ้าใช้เทคโนโลยีสมัยนี้ไปจัดการ
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
เราจึงควรต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไปให้พ้นขีดจำกัดนั้น ไปเป็นคนของอนาคต?
แต่ภาวะในปัจจุบัน เรากำลังเล่นบทบาทเดิมอยู่เช่นเดียวกับอารยธรรมนั้น
หรือว่าเรากำลังไล่ล่าอนาคต
มีคนถามว่า เราอยู่ลำพังในจักรวาลนี้ไหม
มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม
ลองคิดดูว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีไปได้เรื่อยๆ เราจะสามารถไปต่างดาวได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แล้วเราก็สามารถทิ้งโลกนี้ไปได้เลย เป็นขั้นสูงสุดของวิทยาการ
เราก็บินไปหาพวกเขากันเลย
แต่มองกลับกัน ถ้ามีเขาจริงๆ และอาจพัฒนาก่อนเราเหลื่อมล้ำกัน
เขาก็น่าจะมาหาเราแล้วละสิ UFO?
นั่นแปลว่า อารยธรรมจะถึงจุดสิ้นสุดมนุษย์จะสูญหายไปเสมอก่อนที่วิทยาการจะก้าวทันธรรมชาติ
หรือว่า มนุษย์วิวัฒนาการจนเลยไปแล้ว ไปอยู่ที่จักรวาลคู่ขนานที่มองไม่เห็น แต่สั่นสะเทือนถึงกันได้ กลายเป็นแมงกระพรุน หายไปจากมิติของเรา อย่างชาวอินคา อย่างชาวอียีปต์ อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระเยซู?
Thursday, May 18, 2006
Thaikultur nach meiner Meinung(1)
Die Wurzel der Kultur in Thailand
Mit dem Zug des Globalisierung wird die Welt kleiner, wir bleiben noch näher, aber wir kennen uns nicht so gut. Ich komme aus Thailand, wenn Ihr Lust habt, lernt meine Heimat mal kennen!!! Fangen wir mit der Kultur nach meiner Meinung an.
Die Thaikultur hat einen evolutionären Ursprung von Geografie, Religion und früheren Herrschern des Landes. Außerdem ist sie noch unter andere Einfluesse von nahen Ländern, besonders Indien und China. Ab dem 18. Jahrhundert hat die Westkultur angefangen, eine Rolle in Thailand zu spielen. Das fuhr dann zu Kulturaustausch. Also ist die Thaikultur eine gemischte Kultur. Trotzdem ist sie einzigartig. Um die Thaikultur zu verstehen, muss man wissen, dass es zwischen den verschiedenen Unterschieden ebenfalls schöne Ähnlichkeiten gibt.
Bei der Geografie liegt Thailand im Äquatorgebiet, das in allen Jahreszeiten Sonne und Regen hat. Deshalb hat es üppige Erde für die Pflanzen zum Wachsen, besonders um Reis anzubauen. Thailand ist eine landwirtschaftliche Nation, die vom Wetter abhängt. Diese Ursache bewegt Thailänder an Gott oder einen Geist zu glauben. Deswegen ist es der Stamm von unserer Kultur.
Aber ab etwa 12.-13. Jahrhundert bekam Thailand eine Religion. Sie folgenten Bhram und bzw. dem Buddhismus. Diese Zeit ist eine große Wende in der Geschicte von Thailand. Nach dieser Wende hatten wir zum ersten Mal ein Reich und einen König, die bis heute bestehen. Bhram gab Thailand ein Herrschaftsystem, das viele soziale Elemente hat. Umgekehrt gab der Buddhismus Thailand eine weiche und intelligente Kultur. Beides sind die größten Einflüssen auf die Thaikultur bis heute.
Seit der König in Thailand herrscht, ist es auch din sehr wichtiger Einfluss, weil er eine definitive Kraft über Thailand hatte, als ein Führer. Wenn der König sich für Kultur interessiren würde, könnte sich die Kultur gut entwickeln. Aber wenn er sich für Krieg oder Frauen interessieren würde, wäre die Kultur immer schlecht. Außerdem sind viele große Dichter aus der Aristokratie oder der Dynastie. Der König ist sogar auch ein Künstler oder Dichter. Es gibt viele Könige, die als Künstler tätig sind. Zum Beispiel, König RamaII, König RamaVI, und der heutige König RamaIX.
Diese wichtigen Faktoren beeinflussen einen großen Teil von der Thaikultur, das sich in vielen Künsten und Traditonen ausdrückt. Zum Beispiel, die Bildhauerkunst, die Malerei, die Schauspielkunst(Khön, Lige usw.), die Architektur(die Pagode, die Tempel usw.) Das ist schade, dass viele Kunstwerke im Krieg zerstört wurden, wie es in Deutschland war. Das bekannsteste Kunstwerk ist die Altstadt, Ayutthaya, die jetzt eine Ruine ist.
Mit dem Zug des Globalisierung wird die Welt kleiner, wir bleiben noch näher, aber wir kennen uns nicht so gut. Ich komme aus Thailand, wenn Ihr Lust habt, lernt meine Heimat mal kennen!!! Fangen wir mit der Kultur nach meiner Meinung an.
Die Thaikultur hat einen evolutionären Ursprung von Geografie, Religion und früheren Herrschern des Landes. Außerdem ist sie noch unter andere Einfluesse von nahen Ländern, besonders Indien und China. Ab dem 18. Jahrhundert hat die Westkultur angefangen, eine Rolle in Thailand zu spielen. Das fuhr dann zu Kulturaustausch. Also ist die Thaikultur eine gemischte Kultur. Trotzdem ist sie einzigartig. Um die Thaikultur zu verstehen, muss man wissen, dass es zwischen den verschiedenen Unterschieden ebenfalls schöne Ähnlichkeiten gibt.
Bei der Geografie liegt Thailand im Äquatorgebiet, das in allen Jahreszeiten Sonne und Regen hat. Deshalb hat es üppige Erde für die Pflanzen zum Wachsen, besonders um Reis anzubauen. Thailand ist eine landwirtschaftliche Nation, die vom Wetter abhängt. Diese Ursache bewegt Thailänder an Gott oder einen Geist zu glauben. Deswegen ist es der Stamm von unserer Kultur.
Aber ab etwa 12.-13. Jahrhundert bekam Thailand eine Religion. Sie folgenten Bhram und bzw. dem Buddhismus. Diese Zeit ist eine große Wende in der Geschicte von Thailand. Nach dieser Wende hatten wir zum ersten Mal ein Reich und einen König, die bis heute bestehen. Bhram gab Thailand ein Herrschaftsystem, das viele soziale Elemente hat. Umgekehrt gab der Buddhismus Thailand eine weiche und intelligente Kultur. Beides sind die größten Einflüssen auf die Thaikultur bis heute.
Seit der König in Thailand herrscht, ist es auch din sehr wichtiger Einfluss, weil er eine definitive Kraft über Thailand hatte, als ein Führer. Wenn der König sich für Kultur interessiren würde, könnte sich die Kultur gut entwickeln. Aber wenn er sich für Krieg oder Frauen interessieren würde, wäre die Kultur immer schlecht. Außerdem sind viele große Dichter aus der Aristokratie oder der Dynastie. Der König ist sogar auch ein Künstler oder Dichter. Es gibt viele Könige, die als Künstler tätig sind. Zum Beispiel, König RamaII, König RamaVI, und der heutige König RamaIX.
Diese wichtigen Faktoren beeinflussen einen großen Teil von der Thaikultur, das sich in vielen Künsten und Traditonen ausdrückt. Zum Beispiel, die Bildhauerkunst, die Malerei, die Schauspielkunst(Khön, Lige usw.), die Architektur(die Pagode, die Tempel usw.) Das ist schade, dass viele Kunstwerke im Krieg zerstört wurden, wie es in Deutschland war. Das bekannsteste Kunstwerk ist die Altstadt, Ayutthaya, die jetzt eine Ruine ist.
Friday, May 12, 2006
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง หมายเลข ๑
ไอน้ำที่ค่อยๆลอยขึ้นบนอากาศ
มันก็เหมือนกัน
ระหว่างน้ำที่เดือดที่ต้มกับไอระเหยจากชายป่า
ความแตกต่างคือรายละเอียด และ ความรุ่มร้อน เย้ายวน เย็น
ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ที่รื่นรมย์
ใครที่เคยลิ้มรสมันคงจะซาบซึ้ง และหวนหา รสชาตละไมนั้น
ฉันเฝ้ารอเวลาพระอาทิตย์ตก เพื่อจะจ้องมองมัน หายไปจากขอบฟ้าช้าๆอีกครั้ง
ฉันเฝ้ารอ
กลับมาสู่โลก ลอยขึ้นไปบนฟ้า มองด้วยสายตาเฉียบคมอย่างพญาเหยี่ยว ที่เปล่าเปลี่ยว
บนหนทางนภากาศ ครวญคิด ถึงเหยื่ออันโอชะ
วิมานในอากาศพังทลาย ไม่เหลือเพื่อนรสดีให้เราได้ออกหาอีกต่อไป
ป่าดำ
มันก็เหมือนกัน
ระหว่างน้ำที่เดือดที่ต้มกับไอระเหยจากชายป่า
ความแตกต่างคือรายละเอียด และ ความรุ่มร้อน เย้ายวน เย็น
ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ที่รื่นรมย์
ใครที่เคยลิ้มรสมันคงจะซาบซึ้ง และหวนหา รสชาตละไมนั้น
ฉันเฝ้ารอเวลาพระอาทิตย์ตก เพื่อจะจ้องมองมัน หายไปจากขอบฟ้าช้าๆอีกครั้ง
ฉันเฝ้ารอ
กลับมาสู่โลก ลอยขึ้นไปบนฟ้า มองด้วยสายตาเฉียบคมอย่างพญาเหยี่ยว ที่เปล่าเปลี่ยว
บนหนทางนภากาศ ครวญคิด ถึงเหยื่ออันโอชะ
วิมานในอากาศพังทลาย ไม่เหลือเพื่อนรสดีให้เราได้ออกหาอีกต่อไป
ป่าดำ
Das erte Mal
Alles klar!!!
Fangen wir an!!!
Liebe Leserinnen/Leser,
ich freue mich sehr über mein Blog, und auf naechste Geschichte von mir.
Bis dann,
Padam
Fangen wir an!!!
Liebe Leserinnen/Leser,
ich freue mich sehr über mein Blog, und auf naechste Geschichte von mir.
Bis dann,
Padam
Subscribe to:
Posts (Atom)