Saturday, June 27, 2009
จิตในพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์
เลยอยากเก็บไว้จากลิงก์
http://www.thaipost.net/sunday/280609/6925
ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ จะได้เข้าใจ
ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตมานาน โดยเฉพาะจิตในพุทธศาสนา และจิตในจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ (spiritual psychology)-ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณที่จะไล่ต่อๆ ไปจนถึง นิพพาน-บนพื้นฐานของปรัชญาของพุทธศาสนาตามที่ผู้เขียนเข้าใจ พร้อมๆ กันนั้นก็ได้ศึกษาและเขียนเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยมีคนเชื่อตาม หลังคุณอนุช อาภาภิรมย์ มาตั้งแต่ร่วมยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เคยเขียนบทความที่เปรียบเทียบกันของทั้งสองวินัย ที่ใช้วิธีการเข้าถึงความรู้ที่ทางพุทธศาสนาแน่ใจว่าเป็นความจริงที่แท้ จริง ที่ได้จากการปฏิบัติสมาธิมาอย่างลึกซึ้ง กับความจริงทางควอนตัมที่ได้มาจากการสังเกตด้วยการทดลองและคณิตศาสตร์ของนัก ฟิสิกส์ ซึ่งทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เชื่อกันแทบเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า-ในความเห็นของผู้เขียนเช่นกัน-ทั้งสองวินัย พุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์ต่างนำไปสู่ความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล คือทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงความสอดคล้องแนบขนานกันตามที่ ฟริตจอฟ แคปรา เป็นคนแรกที่สังเกตไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี 1975 ซึ่งต่อมานักฟิลิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนกล่าวไว้เหมือนๆ กันเท่านั้น แต่ผู้เขียนไปไกลกว่านั้นคือ เชื่อว่าทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งทางด้านของทฤษฎีและทางด้านปฏิบัติ (experiments) จริงๆ แล้วเนื่องจากควอนตัมฟิสิกส์ก็เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) ที่รับรู้โดยบุคคลที่สามเหมือนกับวิทยาศาสตร์กายภาพทั่วๆ ไป แต่ควอนตัมเมคานิกส์ใช้ชี้วัด (measurement) สสารที่เล็กละเอียดที่สุดระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น สสารที่เรามองไม่เห็นและไม่มีทางที่เราจะมองเห็น-ไม่ว่าจะเมื่อใด-ด้วยความ รู้ของนักวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะฉะนั้นการชี้วัดที่ว่าจึงเป็นการชี้วัดทางอ้อม ด้วยการทำปฏิกิริยาระหว่างกันของสสารที่เล็กและละเอียดที่สุดเหล่านั้น (interface) หรือไปยังข้อสันนิษฐานที่นักฟิสิกส์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ รวมทั้งแพทย์หลายต่อหลายคนคิดว่าจิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียดยิ่ง-ละเอียดยิ่ง กว่าคลื่นอนุภาคในฟิสิกส์ใดๆ และทำงานด้วยกลไกคล้ายหรือเหมือนกับควอนตัม/ซูเปอร์ควอนตัมที่อยู่ในสภาพของ คลื่นตลอดเวลา เพราะจิตของผู้นั้นจะไปพังพาบสภาพคลื่นนั้น (wave function collapse)-เพราะในศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า (ที่อยู่ภายนอกจักรวาลทั้งหมด) ขึ้นมาอธิบายกลไกต่างๆ ใดๆ อันเป็นความลี้ลับตรงนี้ได้ ซึ่งหากไม่ต้องสร้างพระเจ้าเพื่ออธิบายความลึกลับเหล่านี้ แต่อธิบายว่าเป็นจิต (ไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่เข้าอยู่ในกายในสมองของบุคคลนั้นๆ) แล้วถูกบริหารโดยสมองของผู้นั้น สมองก็จะเป็นประหนึ่งกลไกคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผู้บริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล (quantum computer)-ที่นักคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์กายภาพบางคนคิด-ให้เป็นจิตสำนึก หรือจิตรู้นั้นๆ
แต่ขอพูดที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลยว่า ความเป็นเรื่องเดียวกันของพุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์-ศาสนากับวิทยา ศาสตร์ตามที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่นั้น-เป็นคนละเรื่องกับที่เราเข้าใจกัน หรือพูดว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ (เก่า) ซึ่งท่านผู้อ่านก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือในที่นี้กับวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ นั้น เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากัน คือมีหลักการและเหตุผลที่เข้ากันไม่ได้เลยมานับตั้งแต่เรามีวิทยาศาสตร์มา นับหลายๆ ร้อยปีมานี้ เพราะฉะนั้นที่มีคนพูดๆ กันว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ซึ่งคงหมายถึงวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม หรือวิทยาศาสตร์กายภาพเก่า) (materialistic or physical sciences) อย่างที่คนเขาพูดๆ กันนั้น ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? แม้แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เอง ที่มีคนอินเดียทำการวิจัยไว้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับพุทธศาสนา ก็แทบว่าจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเดียวกันเลย ยกเว้นความจริงที่พุทธศาสนาบอกว่า สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารับรู้ว่าดำรงอยู่ข้างนอก นั้น ไม่เคยเลยที่ดำรงอยู่จริงตามที่เรารับรู้นั่น ทั้งหมดที่เรารับรู้ว่ามีอยู่เป็นเพียงความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งไปตรงกับทฤษฎีความสัมพัทธ์พิเศษของไอน์สไตน์ เพราะฉะนั้นและในความเห็นของผู้เขียน จึงใคร่ขอร้องไม่ให้คนไทยเอาพุทธศาสนาไปเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) อย่างเด็ดขาด เพราะพุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งต่างออกไปและเป็นอกาลิโก ส่วนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพนั้น ให้ความจริงแต่เฉพาะทางโลกที่ไม่จริงแท้แก่เรา แถมบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ วิทยาศาสตร์เก่าที่ว่านั้นให้ความจริงได้แค่ 99.0% หรือไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของจักรวาล หรือเมื่อเราพูดกันถึงอะตอมหรืออนุภาคที่เล็กละเอียดยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ซึ่งเปรียบเทียบกับฟิสิกส์ใหม่ที่ให้ความจริงถึง 99.999%
การเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่เป็นนักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่มีชื่อเสียง-แทบว่าจะทุกคนกระมัง-พูด ลองคิดดูว่าพวกอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาร่วม 3,000 คนจะคิดอย่างไร? เมื่อเบิร์กเลย์ได้จัดประชุมใหญ่ในเรื่องศาสนากับวิทยาศาสตร์เมื่อเดือน พฤษภาคมในปี 1996 นักฟิสิกส์ควอนตัมจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี ผู้อภิปรายคนหนึ่งได้พูดว่า ในฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของปัจจุบัน ความจริงทางศาสนากับความจริงควอนตัมนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ (in complete agreement)
ในการประชุมในโครงการจิตกับชีวิตครั้งที่ 7 ที่เปรียบเทียบพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา (การประชุมมี 5 วันที่จัดให้มีขึ้นในทุกๆ 2 ปี) ระหว่างองค์ทะไล ลามะ ฝ่ายหนึ่ง กับนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ นักปรัชญาและศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วโลก (ซึ่งบางทีมีพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายต่างๆ แต่ส่วนมากมาจากนิกายวัชรญาณ พุทธศาสนาของทิเบต ซึ่งมักจะจัดขึ้นที่ธรรมศาลา อินเดีย (Arthur Zajonc, editor: The New Physics and Cosmology, dialogue with Dalai Lama, 2004)
ซึ่งมีแอนตอน ไซลิงเจอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำ (Anton Zeilingtr) ไซลิงเจอร์นั้นเป็นนักฟิสิกส์มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผู้หนึ่ง ในด้านพื้นฐานของการทดลองทางควอนตัมฟิสิกส์ ตอนนั้นยังอยู่ที่อินสบรูกในออสเตรีย (ในปี 2006 ไซลิงเจอร์ได้รับเลือกเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยเวียนนาที่ เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ เคยครอง) แอนตอน ไซลิงเจอร์ ตอนที่ยังอยู่ที่อินสบรูก เป็นผู้ที่แสดงในห้องทดลองได้ว่าเราสามารถส่งอะตอม-ตัวเดียวกันหรือเหมือน กันทุกประการ-จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป (quantum telecommunication) การทดลองที่จะนำไปสู่การย้ายคนจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งเหมือนในภาพยนตร์สตา ร์เทรก หรือด้วยเวทมนตร์ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ ได้ ซึ่งเป็นผลของความจริงทางควอนตัมอย่างหนึ่ง (quantum non-locality) ที่เป็นความลึกลับที่ปัจจุบันสามารถรู้ได้ด้วยทฤษฎีของจอห์น สจวต เบลล์ (Bells' Theorem) ซึ่งเกิดจากการพัวพันกันอย่างอีนุงตุงนังของคลื่นอนุภาคและอะตอมตามที่ ชโรดิงเกอร์เรียก (entanglement)
การประชุมที่มีถึง 5 วันในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้กับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัมและนักฟิสิกส์ดารา ศาสตร์ และนักวิชาการจำนวนมากที่ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ดังๆ ของโลก การสนทนากับความเข้าใจย่อมทำให้นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการทั่วไปที่ไม่ เชื่อหันมามองใหม่ ควอนตัม เมคานิกส์ เป็นการเฉพาะ กับจักรวาลวิทยาในสายตาที่ผิดจากเมื่อก่อน ซึ่งนักวิชาการทั่วไปมักจะคิดว่าควอนตัมฟิสิกส์ อย่างดีที่สุดเป็นเพียงทฤษฎี หรือคณิตศาสตร์ที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตประจำวัน ของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการที่อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นต่างก็พิศวงใจ ว่า องค์ทะไล ลามะ ที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์หรือจักรวาลวิทยา และนักฟิสิกส์นักวิชาการตะวันตกที่มาร่วมประชุมกันในครั้งนี้แทบทั้งหมดก็ ว่าได้ ต่างก็ไม่รู้เรื่องของพุทธศาสนาเลยสักนิดเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน เหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายได้พูดเรื่องเดียวกัน ซึ่งไม่เพียงแต่หลักการเท่านั้น แม้แต่รายละเอียดก็แทบว่าไปด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างในทางวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกย่างที่เห็นและคิดว่าจริง (objective)
เป็นวัตถุ-พลังงานที่เปลี่ยนกันไปมาได้พอดีเปี๊ยบ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยควอนตาเป็นเม็ดๆ เป็นอิสระต่อกันและกัน ปล่อยออกมาเป็นชุดๆ ที่ติดต่อกัน ที่เล็กละเอียดแยกจากกันไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดาๆ เมื่อเป็นเม็ดจะเรียกว่าอะตอม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กำลังลบ 8 ซม. ซึ่งเฉพาะในควอนตัมฟิสิกส์ (ในขณะที่ฟิสิกส์เก่าจะไม่เกี่ยวกับจิตเลย) เท่านั้นที่บอกว่าการชี้วัด (measurement) ต้องใช้จิตของผู้ที่กำลังชี้วัดอยู่นั้น ในทางพุทธศาสนาบอกไว้อย่างเดียวกันเปี๊ยบ แต่จะบอกว่าปรมาณูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ยกกำลังลบ 9 ซม.(เปรียบเทียบ) และบอกด้วยว่าจะเห็นได้ก็ด้วยจิตของผู้นั้นๆ สังเกตเสมอไป (Leo Pruder (แปลจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลจากวสุพันธ์อีกที):Ahidharmkosabhavasyam,1991) พุทธจักรวาลวิทยาบอกว่าจักรวาลมีบิ๊กแบงและมีบิ๊กครันช์ (วิวัตตา-สังวิวัตตา) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเหมือนกับรูปแบบหนึ่งในสองรูปแบบที่เชื่อกันในฟิสิกส์ใหม่โดยเกิดมาจาก ที่ว่าง (ultimate space) ที่ให้ลม (motility) ไฟ (heat) น้ำ (fluidity) ดิน (solidity) โดยโผล่ปรากฏออกมา (emerge) เองจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้านั้น
โดยควอนตัมฟิสิกส์ นักฟิสิกส์เคยคิดว่าเวลาก็เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง (โฟตอน) แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นักฟิสิกส์บางคนยังคิดว่าแรงโน้มถ่วงก็เป็นเม็ดๆ ได้ (แกรวิตรอน)-เรียกว่า โครนอน (chronon) โดยมีความยาวของเวลาราวๆ 10 ยกกำลังลบ 24 ถึงลบ 36 วินาที (David Fingelstein: Emptiness and Relativity, 2003) ซึ่งพุทธศาสนาทุกๆ นิกายย่อยของมหายานและวัชรญาณต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน (กษณะ) แต่ความเร็วของเวลากล่าวไว้ไม่เหมือนกันในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายคัมภีร์เหล่า นั้น ส่วนมากเป็นการเกิดและเปลี่ยนความคิด เช่น คิดว่าความคิดที่เปลี่ยนไปในคนนั้น จะมีความเร็วประมาณ 10 กำลังลบ 3 วินาทีเท่านั้น แต่บางตำราก็บอกว่าความคิดเปลี่ยนไปเร็วมาก คือเท่ากับ 16 หรือ 17 เท่าของความเร็วที่สุดในโลกกายโลกียกาม ซึ่งก็คือความเร็วของแสง แต่บางตำรายิ่งเร็วกว่านั้นไปอีก คือเร็วมากกว่าสายฟ้าแลบถึงพันล้านๆ เท่าทีเดียว
เช่นเดียวกับในควอนตัมเมคานิกส์ พุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นวัตถุหรือสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็น สิ่งที่ไม่จริง หรือเป็นมายาซึ่งเกิดจากศักยภาพความน่าเป็นไปได้ (Potentiality) ที่เป็นการเลือก (choices) ของจิตมนุษย์หรือมนุษยชาติ ส่วนความจริงที่แท้จริงเบื้องหลังคือแสงที่สว่างไสว (แสงในสภาพคลื่น) เช่นเดียวกับเวลา และการเลือก (choices) โดยจิตของผู้สังเกตที่ทำให้สภาพคามเป็นคลื่นพังพาบ (wave function collapse) กลายเป็นอนุภาคข้อมูล (Information) ที่เป็นพลังงานเป็นคลื่นก็ถูกจิตของมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุภาค (bits) ซึ่งพุทธศาสนาเรียกกว่า "อักษาระ" (อักษร) ที่เราเอามาใช้กันผิดๆ.
Sunday, May 31, 2009
เรื่องรักของสามัญชน ปรีดี พูนศุข
http://www.sameskybooks.org/board/index.php?s=ce3db72dacb539f829521f0595bcd996&showtopic=31333
ต้องขอเล่าที่มาที่ไปก่อนนะครับ เพราะจะไปพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่ยังมีชิวตอยู่ซึ่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ผมมีโอกาส ได้รู้จักกับ
ครู ตุ๊เล็ก( ท่าน เบญจางค์ มหานีรานนท์ )น้องสาวครูฉลบ (ภรรยาคุณ จำกัด พลางกูร ) ที่ท่านเปิด รร.ดรุโณทยาน ซึ่งปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วได้ซัก
3 ปี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ม.ธุรกิจบัณฑิต โดย อ.ฉลบ จะให้คุณดุษฎี ซึ่งเป็นลูกสาวของท่านปรีดี มาสอนดนตรีที่ รร. นี้ ทุกสัปดาห์ และได้
รู้จัก กับ คุณ ดุษฎีโดยผ่านทางครูตุ๊เล็ก และหลังจากได้รู้จักเธอ ( เคยแอบชอบเธอ ) จนกระทั่งช่วงปี 2531ที่ท่านผู้หญิงมากลับมาเมืองไทย จึง ได้
มี โอกาส รู้จัก ท่านผู้หญิงพูนศุข อีกที ซึ่งตัวของข้าฯ เป็นแฟนพันธ์แท้ท่านปรีดี อยู่ก่อนแล้ว ท่านฯพูนศุข ก็ประหลาดใจที่ว่าทำไมรู้เรื่องของท่านปรีดี
มากจัง ข้าฯ จึงหาเรื่องสนทนากับท่านฯ โดยส่วนมากจะเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา และท่านชอบที่จะพูดคุยและให้ข้อคิดในการดำรงชิวิตดีๆ ให้กับ
ข้าฯ ท่านเคยบอกว่าชีวิตคนเรารู้แต่วันเกิด ไม่รู้วันหมดอายุ สู้ปลากระป๋องก็ไม่ได้รู้ทั้งวันผลิตและวันหมดอายุเราต้องใช้ชิวิต ด้วยความไม่ประมาท
ท่านเป็นคนอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ สอนให้ทำตัวเหมือนต้นข้าวรวงสุก เพราะมันจะโค้ง และลู่ลม ไม่ทำตัวเหมือนกับต้นข้าว
เริ่มโต เพราะมันแข็งกระด้าง และต้านลม
ผมเคยถามท่านว่า ท่านไม่กลัวติดคุกหรือครับ ท่านตอบไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ท่านเคยว่าทหารที่จะมาจับ
ตัวท่านปรีดีว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนนายกทำไมไม่ไปสภา จะมาเปลี่ยนอะไรที่นี่ (หมายถึงบ้านนายกปรีดี)
ท่านเป็นคนดีมากๆ ส่วนรายละเอียดในเช้าวันนั้น ผมก็เคยได้ถามท่านนะ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังใน
รายละเอียดเท่าที่เล่าได้นะครับ
ผมจำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก น่าจะเป็นวันที่คุณแม่ ( ท่านฯ พูนศุข ซึ่งผมจะใช้เป็นสรรพนามในการเรียกท่านหลังจากที่เริ่มสนิท
กับท่าน) กลับมาจากงานวันเสรีไท ที่รพ. จุฬา ผมถามท่านว่า สมัยหนุ่มๆ ท่านปรีดีหล่อไหม โรแมนติกไหม เอาใจเก่งไหม ทำไมท่าน
genius จังเพราะพรสวรรค์ หรือความขยัน ท่านฯ ยิ้ม และตอบว่า นายปรีดี( สรรพนามที่ท่านฯ จะใช้เรียกถึงปรีดี ) ไม่หล่อดูเป็นชาวไทย
แท้ แต่ดูอบอุ่น เป็นคนไม่โรแมนติก ปากไม่หวานแต่จะแสดงออกด้วยการกระทำ โดยจะเขียนาร์ดมาให้ทุกปีเมื่อครบรอบวันแต่งงาน
ซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งแม่บอกว่า ได้การ์ดตั้งห้าใบ ผมถามว่าทำไมได้ตั้ง 5 ใบ ท่านตอบว่า
ก็เพราะไม่ได้เจอกัน 5 ปีเต็มๆ ขอย้ำว่าไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อด้วยเพราะกลัวโดนจับได้หลังท่านปรีดีหนีไปอยู่เมืองนอก ( ถ้าเป็นผมคง อก
แตกตายไปแล้ว และ ทำให้ผมมองเห็นถึงคำว่ารักแท้มันเป็นอย่างไร) นายปรีดีไม่เคยบอกรักพร่ำเพื่อ เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิงมาก ไม่เคย
ทะเลาะ กันแม้แต่ครั้งเดียว นายปรีดีเป็นคนมีความรู้ ความประพฤติดี และ ขยันมาก ผมเคยแหย่ท่านว่า ท่านเป็น ท่านผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนท่านผู้หญิง
อื่นๆ ( จะบอกว่าดู so plane) แต่ไม่กล้าพูด ซึ่ง
ท่าน ตอบว่า “แม่ไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยาน ไม่ตื่นเต้นกับเกียรติยศชื่อเสียง ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเราดำเนินชีวิตตามทาง
สายกลาง จะมีหรือไม่มี เราก็ไม่หวั่นไหว” ท่านกล่าว
ในใจผมอยากจะถามเรื่องเมื่อเช้าวันนั้นเป็นอย่างมาก คันปากทุกครั้งที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน แต่ก็ไม่กล้า กลัวท่านจะว่าเอา
ท่านเล่าต่อว่าเมื่อช่วงปี 2495-6 หลังจากพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฎ เพราะหลักฐานไม่มี ท่านได้เดินทางไปไม่แน่ใจว่าปักกิ่ง
หรือเปล่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คิดถึงนายปรีดีมากที่สุดเพราะตัวเองต้องติดคุกร่วม 3 เดือนแถมลูกชายก็ติดคุกด้วย สิ่งแรกทันทีที่ได้
พบหน้านายปรีดีที่เมืองจีน หลังจากที่พลัดพลากมานาน ตอนนั้นท่านบอกว่าดีใจมากที่สุด และท่านขอสัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะไม่จากนายปรีดี
ไปแม้แต่วินาทีเดียว ( สาบานว่าท่านพูดอย่างนั้นจริงๆ และสุดท้ายท่านก็ทำได้จริงๆ โดยท่านได้อยู่ข้างกายท่านปรีดีจนวินาทีสุดท้าย)
ท่านบอกว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็นน้ำตานายปรีดี ตลอดเวลาที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมานักต่อนักท่านบอกว่าไม่เคยเห็นน้ำตาแม้ซัก หยดของ
นายปรีดี และวันนี้เองก็เป็นวันที่ท่านฯ ร้องไห้มากที่สุดในชีวิต เช่นกัน....
สว้สดีคะคุณยาย เสียงเล็กๆ ดังออกมาขณะที่คุณแม่กำลังไหว้พระ อยู่ที่วัด ท่านรับไหว้และถามเด็กน้อยคนนั้นกลับว่า หนูชื่ออะไร
เรียน อยู่ที่ไหน เด็กน้อยตอบว่าหนูไม่มีชื่อเล่น หนูเรียนอยู่ รร.เซนโยเซฟคอนแวนต์ มันเป็นคำตอบที่ทำให้ท่านยิ้ม และท่านก็เล่าให้ผมฟัง
ต่อ ว่า สมัยเด้กๆ ท่านก็เรียนอยู่ที่นี่ เช่นกัน ได้เรียนถึง ม.ปลาย จึงได้ออกมาแต่งงานกับนายปรีดี ท่านเล่าย้อนให้ฟังว่า ท่านเรียนมา
น้อย เคยมีคนตราหน้าท่านว่า เป็นเมียนายก แต่เรียนแค่ ม.ปลาย ท่านเคยไม่โกรธ และเล่าว่าถึงแม้แม่จะเรียนมาน้อย แต่ก็ได้ความรู้ต่างๆก็ได้
มาจาก นายปรีดี นายปรีดีมักจะชอบหาความรู้ต่างๆ ให้เสมอ จนบางที่ท่านจะแซวนายปรีดีว่า พอได้แล้วท่านอาจารย์ ท่านเล่าต่อว่าสมัยนายปรีดี
เด็กๆจะซนมากชอบอยู่ในทุ่งนาทั้งวัน เล่นจับปลาโดยจะมีเบ็ดตกปลา และจะไปขุดหาไส้เดือน นายปรีดีเคยเล่าว่า
ที่บ้านพ่อ และน้าชายป็นพ่อค้าขายข้าว ที่ อ.วังน้อย จ. อยุธยา ซึ่งนายปรีดีมักจะถูกใช้ให้เก็บยุ้งฉาง และจูงควายมาเก็บที่บ้านเป็นประจำ ซึ่ง
มัน เป็นงานที่ไม่ชอบเอาเสียเลย ร้อนก็ร้อน คันก็คัน มีครั้งโดนพ่อตีเพราะ นายปรีดีขี้เกียจไปเก็บควาย จนนายปรีดีกลับมาบ่นกับน้องสาวว่า จะไม่
ยอมเป็นกรรมกรเด็ดขาด จะต้องเรียนให้สูงๆ จะได้สบาย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี จนอายุ 12 ปี เกิดกบฎ รศ130 (ซึ่งมันคงเป็นแรง
บันดาลใจที่ภายหลังนายปรีดีจึงได้เรียนกฏหมาย) ต่อมานายปรีดีได้ย้ายมาเรียนกรุงเทพที่ รร. สวนกุหลาบ และต่อมาได้ทุนไปเรียนเมืองนอก
ผมชอบช่วงที่ท่านฯ เล่าถึงความรักของปรีดีที่มีต่อและกันกัน ผมว่ามัน classic มากๆ
คุณพุนศุข พนมยงค์ เชิญพบแพทย์ ค่ะ เสียงของพยาบาลเรียกว่าถึงคิวตรวจแล้ว ผมเหลือบไปเห็นท่านกำลังมองดูนาฬิกา
ข้อมืออยู่นานสองนาน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่เพราะนั้นไม่ใช่ครั้ง
แรกที่ผมสังเกตุเห็น ผมจึงบอกท่านว่าถึงคิวตรวจแล้ว ( ท่านเป็น Hypertension และ Ischemic heart ) ท่านบอกขอเวลาเดี๋ยว
และถามผมกลับว่า นาฬิกานอกจาก จะบอก วัน เวลาแล้ว มันยังสามารถบอกอะไรเราได้อีก........
จะบอกเวลาแล้วยังสามารถบอกอะไรได้อีก ท่านให้ผมไปคิดวันหลังจะมาเฉลย เวลาผ่านไปอยู่หลายวันท่านจึงมาทวงคำตอบ
ผมก็ตอบว่าคิดไม่ออกครับท่านจึงอธิบายต่อไปว่า นาฬิกานอกจากจะบอกวันและเวลาแล้ว มันยังใช้บอกความคิดถึงแทนใครบางคนได้
ด้วยท่านขยายความต่อไปว่า วันสุดท้ายที่นายปรีดีได้อยู่เมืองไทย( น่าจะเป็นช่วงหลังกบฏวังหลวง และก็เป็นวันสุดท้ายในชิวิต ) แม่
ได้ไปส่งนายปรีดีในที่แห่งหนึ่งโดยตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม
ตอนนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น โดยนายปรีดีบอกว่า ไม่รู้ว่าจะได้เราเจอกันอีกไหม ขอให้เธอ( ท่านฯ พูนศุข ) จำไว้ว่าเธอจะไม่อยู่เดียวดาย
ถ้าเธอต้องการกำลังใจ ยามเธอไม่มีใครให้นึกถีงฉัน ( ท่านปรีดี ) โดยให้มองที่นาฬิกาเวลานี้ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็น และให้
คิดถึงฉัน และฉันก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกันที่คิดถึเธอ และช่วยสัญญาต่ออีกนะว่า.....
ก่อนแยกจากกันนายปรีดีได้ขอสัญญาแม่ 3 ข้อ
1. เวลาทานข้าวขอให้เธอกินข้าวให้หมดจาน
2. เวลานอนให้รีบนอนให้หลับทุกคืน
3. ทุกครั้งเวลานึกถึงฉัน อย่าร้องไห้ ทำหน้าที่เป็นพ่อให้ลูกๆ แทนฉันด้วย
แม่รับปาก และถามนายปรีดี กลับไปว่าถ้าวันนั้น( ก่อนอภิวัฒน์ 24 มิ.ย ) เธอเคยโกหกฉันว่าเธอ
จะไปบวชที่ อยุธยา ซัก 4 เดือน ถ้าวันนั้นเธอทำอย่างนี้จริงๆ เราคงจะไม่พลัดพลากกันแบบนี้ ใช่ไหม
นายปรีดี ตอบว่า อย่าคิดเช่นนั้นเลย ที่ฉันทำไปก็เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ คนเราเกิดมาหนเดียว ควรทำ
อะไรเพื่อประเทศชาติ ไม่ควรทำตัวเป็นคนหนักโลก ฉันไม่เสียใจเลยที่ได้ทำลงไป
หลังจากส่งนายปรีดีเสร็จ แม่ก็ได้เดินทางกลับเพียงลำพัง จำไม่ได้ว่าวันนั้นแม่เสียน้ำตาไปกี่ลิตร .....
นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่แม่เห็นนายปรีดีอยู่ในเมืองไทย เพราะหลังจากนั้นนายปรีดีก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย....
ไปจับตัวมาเข้าคุก ไปเอาลูกมันมาด้วย คุณจะรู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วต้องติดคุก
แม่โดนกล่าวหาว่าเป็นกบฏภายใน ภายนอกอะไรก็ไม่รู้ในราชอาณาจักร แม่บอกว่าขนาดเข้าประชุมยังไม่เคยเลย
เห็นยังไม่เคยเห็นด้วย แล้วจะไปเป็นกบฏได้อย่างไรแม่โดนจับไปขังในคุกระหว่างพวกเขาหาหลักฐานส่งฟ้อง ผมถามว่าทำไมไม่วิ่ง
เต้นละครับ เส้นสายก็น่าจะมี ท่านตอบว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะเป็นการยอมรับว่าเราทำผิด อยากจะจับก็จับไป
ชีวิตในคุกท่านเล่าต่อว่า เขาจับไปอยู่ในคุกในห้องมีโต๊ะเล็กๆ ขนาด 4*4 และเสื่ออีกหนึ่งผืน ชิวิตในตอนนั้นแม่คิดถึงนายปรีดี
เป็นอย่างมาก แต่แม่ไม่เคยร้องไห้เพราะแม่ได้เคยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ แม่อยากได้กำลังใจจากนายปรีดี อยากบอกว่าเป็น
ห่วงมากแต่ก็ก็ไม่สามารถทำได้ ผมถามต่อว่าทำไมละครับ แม่ตอบกลับมาว่า เพราะในห้องขังไม่มีนาฬิกา ทำให้ไม่รู้เวลาว่ากี่โมง
กี่ยามแล้ว ( เวลาที่ท่านคงอยากจะทราบมากที่สุดผมเดาว่าคงน่าจะเป็นช่วง 5 โมงเย็น นั่นเอง)
" เมื่อเพลงที่ไพเราะที่สุดยังไม่ถูกแต่ง
เมื่ออาหารที่อร่อยที่สุดยังไม่ถูกปรุง
เมื่อภาพวาดที่สวยงามที่สุดยังไม่ถูกวาด
ฉะนั้นชิวิตเราจึงมีโอกาสพบสิ่งเจอใหม่ที่ดีกว่าสิ่งเก่าเสมอ "
ข้อคิดดีๆ ที่ท่านเคยกล่าวไว้ ยามที่ท่านต้องการกำลังใจ
มีอยู่วันหนึ่งท่านถามผมว่าพรุ่งนี้ว่างไหมจะชวนไปทำบุญ ผมถามว่าเนื่องในโอกาสอะไรครับ
ท่านตอบว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ 9 มิ.ย ผมไม่กล้าถามต่อไปว่าเพราะอะไร แต่ได้ถามกลับไปว่า ตอนเด็กๆ องค์ 8
เป็นเด็กน่ารักไหม ท่านตอบว่า ท่าน (ร.8) เป็นเด็กที่น่าตาน่ารักมากๆ ตาโต ปากสีชมพู ผิวพรรณดีมากๆ
มีอยู่ครั้งขณะที่ร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกันกับนายปรีดี และแม่ด้วย องค์ 8 ซึ่งตอนน้นยังเป็นเด็กอยู่ เคยถาม
นายปรีดีขณะร่วมโต๊ะเสวยว่า ทำไม่ไม่กินแตงกวา ตัวโตซะเปล่า สู้ฉันก็ไม่ได้ นายปรีดียิ้ม และตอบท่านกลับไปว่า
ข้าฯ ไม่ได้เลือกกินผัก แต่หมอสั่งห้ามไม่ให้ข้าฯ กินแตงกวา เพราะหมอสงสัยว่าข้า ฯ เป็นโรคเก๊าท์ และท่านก็ถามกลับ
มาว่า โรคเก๊าท์ มันเป็นอย่างไร นายปรีดีรักพระองค์ท่าน (ร.8) เป็นอย่างมาก ไม่มีเหตุผลเลยที่ท่านจะไปคิดทำเช่นนั้น...
"ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริงท่านคงทราบดีวาใครเป็นนทำ" นั่นคือคำตอบที่ได้รับหลัง ที่ผมได้
ถามท่านว่าท่านปรีดีทราบใช่ไหมว่าความจริงมันเป็นเช่นไร และผมถามต่ออีกว่าทำไมไม่ทำความจริงให้ปรากฎ มันไม่ยุติธรรม
สำหรับคนที่ตายทั้ง 4 คนท่านตอบว่านายปรีดีอยู่ในสภาพที่ทำอะไรมากไม่ได้ ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า นายปรีดีเกือบเรียนไม่จบ
เพราะถูกเรียกตัวกลับไทย สมัยที่ได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศส หลังจากที่ไปทะเลาะกับฑูตที่นั่น แต่ด้วย ร.7 ให้โอกาสและให้เรียน
ต่อนายปรีดีจึงมีโอกาสเรียนจนจบ และกลับมารับราชการต่อภายหลัง นายปรีดีเทิดทูนสถาบันเป็นอย่างมาก ถึงเคยเปรยให้แม่
ฟังว่า คนไทยจะรักสถาบันมากขึ้นถ้าสถาบันหลุดพ้นจากการเมือง ท่านไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันเลย
แต่เหตุการณ์นี้ ท่านไม่มั่นใจว่าถ้าความจริงปรากฎจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสถาบัน ท่านจึงอยากให้สถาบันคงอยู่โดยการที่จะสรุป
ว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งจะเป็นทางที่ดีที่สุดกับ...... แน่นอนการสรุปเช่นนี้ย่อมทำให้บางคนในรัฐบาลไม่เห็นด้วยโดยต้องการให้
ทำคดีตามความป็นจริงโดยเสนอทางออกเกี่ยวกกับมือปืนตัวจริงดังต่อไปนี้ คือ......
"ทำแล้วอย่ากลัวจะชั่วหรือดี" คติพจน์ประจำตัวของนายปรีดี เพราะนี่คือคำขวัญของกบฎ รศ.130 ถึงแม้คราวนั้นผู้ก่อจะพ่ายแพ้ แต่มันก็ได้จุดประกายความหวัง และความฝัน ให้แก่นายปรีดีในการเปลี่ยนแปลงในอีก 20 ปีต่อมา
แม่เล่าให้ฟังต่อ ว่า นายปรีดี โชคดีที่มีโอกาสได้รู้จักกับ ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ อดีตผู้ก่อตั้ง และเลขาของคณะกบฏ รศ 130 ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการ อภิวัฒณ์ แม่ได้สังเกตเห็นว่า นายปรีดี มักจะชวนพี่เนตร มาพูดคุยทานข้าวที่บ้านเป็นประจำ นายปรีดีจะเรียก ร.ต.เนตรฯ ว่าพี่เนตร
นาย ปรีดีมักจะถามพี่เนตร ว่าชีวิตที่อยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากไหม ได้เจอลูกเมียบ้างไหม ต้องตีตรวนไหม ผมคิดเองว่าสงสัยท่านคงอยากจะถามเพื่อตัวเอง (ร.ต.เนตรฯ ถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ในข้อหากบฎ รศ.130) พี่เนตรเล่าให้ฟังว่าชีวิตในคุกลำบากมาก เพราะเป็นข้อหากบฎร้ายแรงที่จะลอบปลงพระชนม์ ร.6 ถูกนักโทษด้วยกันทำร้ายบ่อยครั้ง และที่จริงแล้วเกือบจะต้องถูกประหารชีวิตหลายครั้ง แต่ก้รอดพ้นมาได้ เพราะ ร.6 ทรงเมตตาแก่พวกกบฎ เพราะท่านคิดว่ามันคือแนว
ทางที่ต่างกันทาง การเมืองเท่านั้น แต่ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (น้าของ ร.6) ต้องการที่จะประหารชีวิตลูกเดียว และนายปรีดีเคยถามว่าความผิดพลาดของคณะ รศ.130 คืออะไร พี่เนตรตอบว่า เป็นการทรยศหักหลังของคนในคณะเอง ได้ปากโป้งเอาความลับไปแจ้งแก่ทางราชสำนัก พี่เนตรบอกว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ทรยศดังกล่าว มั่นใจว่าคณะ รศ.130 จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ต่อมาได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยที่นาย ปรีดี ได้ดำรงตำแหน่ง และได้เป็น สส. ประเภท 2 (วุฒิสมาชิก)
และ สิ่งนี้มันคงทำให้นายปรีดีต้องใช้บทเรียน จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะนายปรีดีเคยบอกแม่ว่า ถ้าวันนั้นพ่ายแพ้ คงไม่โชคดีเหมือนพี่เนตร คงต้องถูกประหราชิวิตตัดหัวเสียบประจานที่กลางท้องสนามหลวงเป็นแน่
อะไรกัน พี่เนื่องเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ นายปรีดีอุทานเสียงดังหลังจากทราบว่า พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุลย์ หรือ ท้าวอินทรสุริยา ( ที่เป็นเพื่อนสมเด็จย่า เรียนพยาบาลมาด้วยกัน เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกสมเด็จย่า ทั้ง 3 คน ) หลังจากไปดูที่เหตุ หลังจากเกิดเรื่องได้ราวเกือบ 2 ชั่วโมง ปรีดีได้ไปคุยกับพี่เลี้ยงเนื่องว่า พี่เป็นพยาบาล ต้องทราบอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรใน การตายโดยผิดธรรมชาติ แต่
นี่ เล่นไปทำลายพยานเสียหมด และนายปรีดียิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมารู้ว่ามี นางจรูญ ตะละภัฏ( น้องสาวสมเด็จย่า) ก็ได้ร่วมทำลาย หลักฐานด้วย (ผมขอขยายความเรื่องการทำลายหลักฐานหน่อย )
พระพี่เลี้ยงเนื่อง และ น.ส.จรูญ เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคตมาแต่ต้น เช่นนำพระเขนยก็นำเอาไปฝัง ปลอกพระเขนยที่รองรับพระวรกายไปซัก ทั้งยังตบแต่งบาดแผลที่พระนลาต ก่อนมีการชันสูตรพระศพโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เย็น วันนั้นตอนที่นายปรีดีกลับมาถึงบ้านก็เล่าให้แม่(ท่านพูนศุข) ว่าแก (พี่เลี้ยงเนื่อง และ นางจรูญ)ทำไปได้อย่างไร จะบ้าหรือเปล่าเอาหมอนไปซัก ไปหมอนไปฝังดิน เด็กมันยังคิดได้ แม่ว่าสิ่งที่นายปรีดีกังวล ไม่ใช่การจับฆาตกร แต่กลัวการที่จะจับฆาตกร ต่างหาก
เหตุการณ์ ทำให้นายปรีดีเครียดมาก ถึงกับกินไม่ได้ไปหลายวัน จำได้ว่าช่วงนั้นไม่สบายบ่อยมาก สุภาพไม่ดีเอา ทนอยู่ได้ประมาณราว 2 เดือนก็ต้องลาออก เพราะมันเครียดมากๆ ซึ่งตอนนั้นแม่เกือบจะพูดออกไปแล้ว ว่าก็บอกเธอตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าไปเป็น อย่าไปเป็น
หลังจากนายปรีดีลาออก ก็มีการตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่โดย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีครั้งหนึ่งนายปรีดีชวน นายดิเรก ชัยนาม(เป็นคนที่ปรีดี นับถือมากๆ เมื่อตอนกบฏวังหลวงถ้าทำสำเร็จก็กะจะให้ะเป็นนายก) มากินข้าวที่บ้านซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านบอกว่าท่านจะเสนอใน ครม.ให้จับพระพี่เลี้ยงเนื่องและ น.ส.จรูญ ฐานที่เป็นผู้ทำลายพยานเอกสารหลักฐานอันเนื่องในกรณีสวรรคต
ที่สำคัญถ้าจับพระพี่เลี้ยงเนื่อง ก็ควรต้องจับคนทีสั่งพระพี่เลี้ยงเนื่องต่อไปอีกทอดหนึ่งด้วยในอันดับต่อไป
(แต่เสียดายที่ท่านไม่มีโอกาสได้ทำเพราะมีการรัฐประหารเสีย มิเช่นเราคงได้เห็นฆาตกรตัวจริง)
วันนั้น (9 มิย.2489) คนที่นายปรีดีสงสัยมากที่สุดคือพี่เลี้ยงเนื่อง นายปรีดีเป็นนักกฎหมายมาก่อน มี sense ดูออกว่าอะไรเป็นอะไร ท่านฯ มาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า วันนั้นระหว่างที่นายปรีดีสนทนากับพี่เลี้ยงเนื่องเพื่อสอบถามเหตุการณ์ พี่เนื่องเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมสบตา จิบน้ำ และเดินเข้าห้องน้ำบ่อยมาก และท่านจะพยายามเรียกพี่เนื่องตลอดไม่ยอมให้พูดมากนัก
นาย ปรีดีเป็นคนช่างสังเกตุ และมาทราบทีหลังว่า วัสดุที่ใช้เย็บแผลเป็นลักษณะคล้าย chromic catgut มันไม่ใช่สิ่งที่น่าจะนำมาใช้เย็บศพ ซึ่งมันจะทำให้ tissue โดยรอบแผลเสียหาย และเข็ม suture ใช้เข็มก็ใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็น มันจะทำให้การตรวจสอบศพภายหลังทำได้ยากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญสิ่งที่ ใช้ทำความสะอาดแผลใช้ hibiscrub+hibitane มันจะทำให้ไปกัด tissue ซึ่งมันจะมีผลต่อการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจคลาบเขม่าดินปืนในภายหลัง
ทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ มันมีนัยยะทุกอย่างที่ได้ทำลงไปเกี่ยวกับการจัดการศพ ท่านยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้นที่ได้ถามพี่เลี้ยงเนื่องว่าใครสั่งให้ทำ พี่เลี้ยงเนืองลำดับเหตุการณืให้ฟังว่า
ท่านมีรับสั่งให้ตาม พ.ต.นายแพทย์หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ แพทย์ประจำพระองค์มาตรวจพระอาการของในหลวง และท่านเองก็มีรับสั่งให้ทำความสะอาดและตกแต่งพระบรมศพ
Thursday, April 16, 2009
ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง
เราเห็นว่า การป้ายสีให้กับมนุษย์ ทั้งการป้ายให้แก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น นั้นเป็นอสัตย์
เพราะสีไม่ใช่สภาวะที่แท้จริงของมนุษย์
ธรรมชาิติมนุษย์ที่แท้ย่อมไม่มีสี แต่เป็นแสง
สว่างกับมืด ที่มีความถึ่ มีน้ำหนัก หนัก-เบาแต่ละที่ไม่เท่ากัน
สีคือการ "รับรู้" และ "ตีความ" แสง
คนโง่เท่านั้นที่ลุ่มหลงถกเถียงกันในนามของสีใดสีหนึ่ง และคนโง่เขลายิ่งกว่านั้นคือผู้ที่ปรามาสสีอื่นๆ
สีใดสีหนึ่งไม่เคยมีความหมายในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะแดงจะเหลือง จะม่วงหรือจะส้ม
หากแต่ทุกสีจะเปล่งประกายความหมายขึ้นมากมายเมื่ออยู่ร่วมกับสีอื่นๆ
สีที่แตกต่างเป็นสิ่งยืนยันของการดำรงอยู่ การพึ่งพาของกันและกัน
สุดท้ายนี้ มีบทกลอนของรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ที่งดงามถ่ายทอดความรู้สึกอัดอั้นต่อสังคมไทยออกมาได้ดีเยี่ยม
กลอนนี้ ชื่อ ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง เชิญอ่าน
ความจริงไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง
ความจริง ไม่ใช่เหลืองไม่ใช่แดง
ไม่อาจแบ่งแยกข้างเป็นซ้ายขวา
ทั้งถีบผลักตบจูบไม่นำพา
ล้วนมายาโอ้โลมไม่โง่ตาม
ฝั่งโน้นมีเทวดามาวางขาย
มากมายบารมีให้เกรงขาม
จงรักภักดีต้องผ่านนิยาม
ตะกละตะกรามเหลือบริ้นไรเน่าเหลืองทอง
ฝั่งนี้มีประชาชนเป็นสินค้า
อุดมคติบ้าไวรัสขึ้นสมอง
เฮโรอีนทฤษฎีปี้ทำนอง
สยองเปลือกอุดมการณ์เนื้อเน่าแดง
เราไม่กลาง แต่ไม่ซื้อ ทั้งแดงเหลือง
ไม่เคี้ยวเอี้องรอสนตะพายสู่สายแสง
รู้เท่าทันลัทธิศาสดามารจำแลง
ที่แอบแฝงเป็นอคติอยู่ภายใน
งมโง่เพราะไม่รู้ยังพอว่า
แต่ปิดตาปิดหูยิ่งบ้าใหญ่
หายนะนั้นอยู่ที่ปิดหัวใจ
เป็นอาหารให้จัญไรได้ดื่มกิน
เกลียดกันเข้าไปเถิดมนุษย์น้อย
ค่อยจิบเลือดที่หลั่งรินให้หมดสิ้น
ระเบิดบ้านเผาเมืองให้พังภินทร์
ริ้นไรที่คิดต่างอย่าปรานี
ความจริง ไม่ใช่ไฟเขียวไฟแดง
แสงสุริยฉายใช่มีเพียงสองสี
อุณหภูมิร้อนเย็นลำดับมากมี
ชั่วดีใช่ศูนย์หนึ่งเลขสองตัว
ข้อมูลข้อเท็จจริงล้วนแตกต่าง
ทั้งกล่าวอ้างมุมมองน่าเวียนหัว
ดูไม่ครบรีบสรุปยิ่งน่ากลัว
คลุกเคล้ามั่วคั่วกระจายฟุ้งเท็จเทียม
"สิ่ิงสำคัญ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่เห็นได้ด้วยใจ"
Tuesday, October 14, 2008
ทั้งหมดนี้คือการโกหก และจะนำไปสู่ความรุนแรง
อ่านข่าว ดูข่าว บ้านเมืองทุกวันนี้แล้วรู้สึกอันตราย
แต่ละวันเหมือนพวกเราทำยาพิษ แล้วก็ดื่มเอง และก็ให้ผู้อื่นดื่มด้วย
เราก็เป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ แม้ว่าหลายครั้งจะทำไปด้วยเจตนาที่ดีก็ตาม
ในมุมมองของคุณ Lost Horizon เจ้าของสำนักพิมพ์หนังสือดี (มาก) Oh My God
เห็นว่า สิ่งพื้นฐานที่สุดที่ “ปัญญาชน” “ผู้รักประชาธิปไตย” และ “ผู้รักความยุติธรรม”
รวมถึงวิญญูชนทั่วไปไม่พึงกระทำ คือ
- เจตนาที่จะพูดถึงลำดับเของเหตุการณ์ให้สลับไปจากความเป็นจริง
- เจตนาที่จะพูดถึงลำดับของเหตุและผลของเหตุการณ์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
- จงใจไม่พูดถึงเหตุและผลให้ครบถ้วน เลือกพูดเฉพาะบางส่วน
- จงใจเลือกพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
- จงใจเลือกพูดแบบเอาดีใส่ฝั่งที่ตัวเองชอบหมด และเอาชั่วใส่ฝั่งคนอื่นหมด โดยไม่ยอมพูดถึง "ความชั่ว" ของฝั่งตัวเองและ "ความดี" ของฝั่งคนอื่นไปตามความเป็นจริงให้ครบถ้วน
- จง ใจไม่พูดเรื่องที่จะทำให้ฝ่ายตัวเองเสียหาย แม้เรื่องนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ทำให้ฝ่ายตัวเองชมชอบอยู่นั้นได้ประโยชน์
ทั้งหมดนี้คือรูปแบบหนึ่งของการโกหก ถือเป็นการกล่าวเท็จที่แนบเนียน
ซึ่งจะนำสังคม (และผู้กระทำเช่นนั้น) ไปสู่ความมืดบอด ความเกลียดชัง
ความมีอคติ ความคลั่ง ความสุดโต่ง ความคับแคบ
และการใช้ความรุนแรงทั้งแบบชัดแจ้งและแฝงเร้นได้ง่ายมากครับ
______
อาจเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่ผมคิดได้ถึงฉากหนึ่งใน "โรมิโอ แอนด์ จูเลียต" ที่โรมิโอไปซื้อยาพิษจากคนขายยา
คนขายยา: จงรับยานี้ไป ผสมในน้ำดื่มที่เจ้าต้องการและเมื่อท่านได้ดื่มจนหมด แม้ท่านมีพละกำลังดั่งชายฉกรรจ์ยี่สิบคน ก็ยังต้องม้วยมรณา
โรมิโอ: นี่คือเงินของท่าน ยาพิษที่เลวทรามยิ่งกว่าต่อจิตวิญญาณของมนุษย์ มันเป็นอาชญากรร้ายในโลกแสนทรามนี้ ร้ายยิ่งกว่ายาปรุงชั้นเลวที่ท่านได้ขายแก่เรา เราขายยาพิษที่แท้แก่ท่าน มิใช่ท่านขายมันแก่เรา ลาก่อน จงนำเงินไปซื้อข้าวปลาอาหาร ให้ท่านอิ่มหนำเถิด
มาเถิด สหายรัก มิใช่ ยาพิษ มากับเรา ไปสู่สุสานของจูเลียต ที่นั่น เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน
...
แปลจากต้นฉบับ
http://wiki.answers.com/Q/What_herb_poisoned_Romeo
______
บางที ถ้าลองขยายความ "เงินทอง" ที่โรมิโอกล่าวกับคนขายยา
มันอาจจะเป็น ตัวแทนของความลวงทุกอย่างทุกชนิด ก็เป็นได้
"ความลวง: อาชญากรใหญ่แห่งโลกมนุษย์"
Saturday, September 13, 2008
หมาก็เป็น ผู้ว่า กทม. ได้!
ถอดเทปสรุปจากรายการ บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา ครั้งที่ 33
หมาก็เป็นผู้ว่า กทม. ได้!
ชูพิชญ์ คิดตามวัน ประเด็นของ กทม. เป็นเรื่องที่ควรรับรู้ การรับสมัครและการบริหาร กทม. กทม. เป็นองค์กรทางการเมืองที่ขาดการรับผิด คือ ขาดสิ่งที่เรียกว่า accountability สูงมาก โดย หนี่งคือโครงสร้างกฏหมายของ กทม.มันกว้างมาก จะให้กทม.ทำงานก็ได้ไม่ทำก็ได้ ตามพระราชบัญญัติฉบับล่าสุด 2542 ในมาตรา 89 มีอำนาจถึง 27 อย่าง ตั้งแต่บำรุงสถานที่ต่างๆ การศึกษา วัด สุสาน ความปลอดภัย การกีฬา และอื่นๆ ทำมันซะทุกอย่าง ในหลักวิชาแล้ว ความรับผิดชอบ (responsibility) กับ ความรับผิด (accountability) ต่างกัน ทำครบคือรับผิดชอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าทำได้ดี เช่น ข้อที่ว่าทำความสะอาด ถ้ามีคนกวาดถนนแค่สี่คน ก็ถือว่าทำแล้ว แต่ไม่มีการบอกว่าทำแล้วก็ได้ ไม่มีการควบคุม แม้ว่าจะมี สภากทม. ที่คนไม่สนใจ จะมีแค่สองสามอย่างที่ กทม. ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีปัญหาคือ น้ำท่วม กับ ขยะ สองเรื่องถ้าทำไม่ถูกใจต้องโดนด่าแน่ แต่เรื่องอื่น อย่างโรงเรียน หรือ ทางหลวง รถติด จะไม่โดนด่า ถ้าโดนจะเป็นทางอ้อมมากกว่า อันนี้เป็นวัฒนธรรม ที่เกิดจากโครงสร้างทางการเมือง เรามีนโยบายประเทศที่ให้โตเดี่ยว เลี้ยงลูกคนโต หวังว่าลูกคนโตที่เป็นเมืองหลวงนี้จะเลี้ยงเมืองอื่นได้ แต่แทนที่จะเลี้ยงน้องคนอื่นกลับมีปัญหามากขึ้น ต้องอัดฉีดเงินมากขึ้น ปัญหากทม.มีตั้งแต่ 2500 แต่เริ่มมีผู้ว่า 2528 หมาจึงเป็นผู้ว่าได้ เพราะทำหน้าที่แค่สองอย่างหลักๆคือขยะกับน้ำท่วม เวลาหาเสียงก็ทำแค่สองอย่างก็พอ แล้วก็มาขายฝัน ไม่สนใจเรื่องอื่น ซึ่งไม่เป็นปัญหาของคนจริงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณประภัส ลง ก็มาแค่เอาใจประชาชน โดยการให้มีรถไฟฟ้าถึงทุกที่เป็นตัวขาย ไม่ใช่ขายเรื่องอื่น ไม่สนใจการอยู่ร่วมกันของชุมชน คนจน คนรวยอยู่ด้วยกันยังไง การอยู่ร่วมกันของชุมชน เช่น ชุมชนแออัด 1700 แห่ง ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลไป อีกอย่าง การแก้ปัญหาจราจร ไม่ใช่การซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าเมือง อย่างรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน แต่เขาแก้ปัญหาด้วยการปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจของคน เช่น รถเมลล์ด่วน เป็นการจัดพื้นที่ในเมือง เป็นการบอกว่า คนจนต้องไปก่อน คนจนที่ขึ้นรถเมลล์ ต้องได้หนี่งเลน เท่าเทียมคนชั้นกลางและรวยที่มีรถ นี่คือปัญหาที่เราไม่คุยกัน เราไปคิดว่า เราต้องไปซื้อของเล่นอย่างรถไฟฟ้า มันเป็นการจัดการความสัมพันธ์ทางอำนาจ การมีรถไฟฟ้าไม่ใช่การแก้ปัญหาจราจร มันเป็นการเพิ่มราคาที่ดินในเมือง ไม่ให้ราคาที่ดินตกลง ที่กำลังเสื่อม ก่อนมีรถไฟฟ้า ห้างโตนอกเมือง แต่พอมีรถไฟฟ้า ห้างเต็มในเมืองเหมือนเดิม ตัวอย่างชัดเจนคือ รถไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนีย ที่ห้างช่วยกันลงขันสร้างให้คนเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าไม่ดี แต่ไม่ได้แก้ปัญหาของคนจนที่ไม่มีเงิน ไม่มีปัญญาซื้อที่ดินติดถนนได้ ต่อไปจะมีการไล่รื้อที่คนจนเรื่อยๆ ตัวอย่างอย่างเช่น แถวพระขโนงถึงอุดมสุข ที่ตึกแถวสามชั้นเป็นยี่สิบชั้น ไล่คนจน ไม่ได้แก้ปัญหาเมือง แต่เพิ่มคนขึ้นเรื่อยๆ รถก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นคือว่า ปัญหาของ กทม. คืออะไร คนในกทม. กินชีวิตกัน เช่นเรื่องแอร์ บ้านผมไม่ติดแอร์ บ้านอื่นเปิด เราก็ร้อนเพราะเขา กทม. เราไม่มีการจัดพื้นที่ความร้อน ผมก็ได้รับผลกระทบ แล้วมาพูดว่าจะเลิกโลกร้อน ทำเมืองสีเขียว เมืองอัจฉริยะ ต้องเริ่มที่การตั้งหลักว่า ยอมรับว่าใครอยู่ในกทม. บ้าง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ทำให้ความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งเป็นของคนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะคนจนในเมือง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นคนจำนวนมาก ปกปิดปัญหาด้วยการขายฝันไปวันๆ ในเมืองนอก การบริหารเมืองจะเป็นหลายๆแบบ บางเมืองที่มีการจัดการที่ดี มีสภาท้องถิ่น บางเมือง ผู้ว่า ก็เป็นตลกได้ แต่ สภา กทม. กระจุก หรือ ในบางเมือง ผู้ว่า เป็นอัยการเก่า ก็มาเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม อย่างแบทแมน มาแก้ปัญหาได้ชัดเจน ไม่ได้มาขายฝัน อาจมีโครงการขายฝันบ้าง เพื่อ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องการจัดการขนส่งมวลชน เขามีหน่วยงานคุมเองของเมือง โดยที่ประชาชนในเมืองมีส่วนร่วมเสมอ ในละตินอเมริกาเขาไปไกลถึง Participatory budgeting ที่สภาไม่ได้จัดนโยบาย เขาแบ่งพื้นที่ย่อยให้คิดงบประมาณเอง ตามแยกตามโครงการหลักอย่าง การศึกษา หรือ สาธารณสุข ไม่ได้คิดจากบนลงล่าง ประชาชน เลือกคนมาเป็นสภาย่อยจัดการปัญหาให้เขา ปัญหาใหญ่คือ ใครอยู่ในเมืองบ้าง ใครมีอำนาจในเมือง มีอย่างไร ถ้าไม่ถาม จะมีการปล่อยให้มีการขายฝัน ความฝันคนชั้นกลางจะบดบังความจริง ปัญหา ที่ว่าคนกินกัน เอาเปรียบกัน ผมจึงบอกว่า หมาก็เป็นได้ เพราะ ไม่ต้องรับผิดอะไร คือทำตาม 27 ข้อ ก็รอดแล้ว แต่ไม่ได้ถามว่า โปร่งใส และทำพอไหม ไม่มีใครสนใจเรื่องจริงแบบนี้ การที่นักการเมืองมาลง กทม. ด้วยความเคารพ เพราะ เป็นการโปรโมทที่ถูกมาก ขายของดี ก็ได้ออนสปอตออกทีวี เป็นฐานเสียงตัวเอง ปัญหากทม. ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการออกนโยบาย หรือ เฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่การคุยว่าคุณมีนโยบายอะไร แต่ต้องถามว่าได้มายังไง ด้วยความคิดแบบไหน จะออกมาจากไหน ไม่ใช่มาขายแพ็กเกจ ขายฝันแบบนี้ กทม.ไม่ใช่สินค้าของใครคนหนึ่ง
Tuesday, July 22, 2008
Wissenschaft ist eine Kuh.
Sie gibt muh.
Ich sitze im Hörsaal, und höre zu!!!
Monday, July 21, 2008
The lotus on the pond: meditation from my experience
Thank you for coming. Thank you for being here. It’s not an accident. This essay has arrived in your life at the right and perfect time.
Let’s start by taking a break in your messy life. Lie back on a comfortable couch, close your eyes softly, take a slow, deep breathe and relax your body. You are breathing in fresh clean air and breathing out the bad things that have entered you today.
Yes, this is an essay about meditation, the art of being idle. The aim of this essay is to give you a brief introduction to meditation from my own view, a friendly beginner as you are.
Why should we meditate?
We live in a chaotic society and are exhausted because of it. We all struggle for success, and strive for happiness. We think, we hate, we are anger, and we covet. Our emotions change throughout the day, are never the same, never take a rest. Could we ever achieve t any happiness with such a fluctuating mind? Could we grant ourselves a moment in life to escape from these emotions and thoughts?
I think you have also asked yourself the same questions I have mentioned above and have your own answers. Everyone knows happiness is easy. Generally, in this modern life we believe that our happiness is related to the extent of our material possessions. But in fact, it is not. This thought is based on greed. It is true that we might be happy if we get things we want but it is not true happiness. Our happiness does not come from our consumption, but from doing good things such as giving to others.
Here, I just want to share my experience with it. Doing good things is absolutely good but may not be enough because it does not deal directly with the problem we confront or with what we suffer. This world is full of problems and that’s the way it is. When we want it to be good, it is impossible. We want our lives to be good or want our hopes to be fulfilled (get rich, be successful, or get married etc.) because we think it will be good and we will be happy. At last, we are find happiness, and striving for it, using up all our energy day by day, endlessly chasing that goal which we never reach. In my opinion, of course, we can do good things and should do them but there is a great hindrance which we cannot overcome. What we can do without limitation is only to manage ourselves, directly speaking; manage our minds, our consciousness, our perception, because actually all the problems are in our minds, in our thoughts, and are the origin of our actions.
What I mean about managing is not to do something, just see and feel (realize) what is in your mind. What is your mind. Listen to your heart, move according to your heart. Our minds are very simple and natural like the soil. Thus, where the soil is good, good plants can be cultivated. And thus we are bio-farmers cultivating crops and watching them grow. To get good crops, we must follow and obey the rules of nature.. The main principle is that nature can heal and develop itself. We become aware of this and give something natural to assist the process when necessary. But one should not give something that is too strong, like chemical fertilizer, in our attempts to force immediate change.
In our minds, we are just try to be "mindful"in order to become aware of what is in our minds, good thoughts are healthy crops, and bad things are weeds. Both are growing in your mind. It’s all about keeping a balance. The weeds would not grow if you improved the quality of the soil. The bad weeds grow more profusely in damaged soil. It’s a part of nature's way to protect the soil before it finally turns into dessert. So we don’t have to fight the bad system directly, what we can do is to nourish a good environment where good things can grow. After that, there is only one thing to do. Just waiting and watch it grow like you bring up a child.
Yes, that’s it. Do nothing but be mindful. It is a powerful secret lodged in our fantastic minds. At first you have to observe your weeds, just that. When you see your weeds, you will not give them their food like greed or anger, and then they will rot. And at the same time, you also cultivate some good things in your mind such as thinking positively, or cultivating loving-kindness. And when you let it grow, the mind will be awake and grow automatically and later you can harvest the sweet and delicate fruit that is ripe in your mind.
Just realize what is in your mind. Actually, if you do that, you will not only be aware of what is in your mind but also in your body and in all the actions you perform. Clear awareness of the result, sometimes comes immediately, but sometimes not. Therefore, you have to be patient and give it time just like waiting fora train to arrive. We should not worry about time if we would get to our destination. What we should focus on is whether or not we are on the right train. If we’re on the right train, then we can be sure that we would arrive at the right destination, sooner or later. In other words, the path is the goal. You have to be aware at every moment of feelings in your mind. After all, your mind is awake and can be used for your daily life. And you will see the truth behind it (beauty, refinement, pleasure, as well as pain, misery and ugliness. They are all impermanent conditions.) Awareness will set you free.
You will see how incredible your mind behaves; you will come across the best state of your mind which is normal, clean, bright, and peaceful. It will show you the direction your life should follow. For example; sometimes we are confused when we think we did something good but the result was not.. This is the result of not having known your own mind. Whenever the mind strays from normality or equanimity, it is on the wrong track. No matter how good are the reasons that we may give to ourselves to justify our emotions and the reasons for our actions, it is still wrong. Being angry or revengeful is never right. Through With practice, you will see this condition of your mind and your mind can improve. .
I would like to give you one trick to empower you. My technique is to calm down the mind, so that you can easily "read" it mind. First, relax your body and mind. Then, be aware of each breath you take. Breathe in a relaxed manner and observe how you breathe. . Breathe in and breathe out. Follow the wind going through your respiratory tract. Count the steps or say something to help you recognize each breath by naming them “in/out" or peace-ful according to your breath. When you get the right system, your breathing will become more refined and you will calm down. You will feel the body sensation at your nose or other places the wind touches. This is a contact, this is a sensation and it is very real.
This experience of resting is not something that can be grasped or forced. It comes naturally, as we grow more and more in tune with the rhythms of our own inner silences. Let yourself be softer and more mindful now because an inexpressible joy is waiting for you just around the corner. Nobody else can point it out to you, and when you find it you won’t be able to find the words to express it to others. But it’s there, deep within your heart, ripe and already to be discovered.
However, if you cannot feel it, don’t be embarrassed. It depends on you whether you do it. You can decide by yourself. The methods I describe to you here come from Buddhism. It is called Samatha-Vipassana (tranquillizing mediation and insight meditation). If you want to understand it better, you should study Buddhism, its philosophy and culture.
All in all, it is the ancient art of non-doing but feeling/knowing yourself (your body and mind), descended from our ancestors more than thousands of years ago. There are thousands of other ways of meditation to practice but please remember that all meditation techniques should be practiced by a healthy man. A healthy man can practice and it will later help him when he gets into trouble, but when he is in trouble it is too late to learn how solve the problem through meditation. In this case, meditation cannot help him. It is like falling into the river. We have to learn to swim before we fall; otherwise, we will drown.
I hope you will enjoy your new form of breathing from now on.
I breathe; therefore, I am.
Peacefully yours,
Your Tim
PS If you have some questions, please contact me at timbarrel@hotmail.com
Saturday, July 19, 2008
Biometry: good or not
Since 911, the world has been shaken by the fear of terrorism. Leading countries like the
In addition, daily life might be easier. It can deter people from stealing and stolen items can be matched with and returned to their proper owners. Thieves cannot use the items they have stolen. Border controls are simpler and more effective. This is a comfort to the tourist or businessman. And of course, this means better online protection of computer networks and financial transactions. Furthermore, users don’t need to remember a long password or to be careful that it is not stolen.
And in the worst-case scenario, biological data could be stolen. The German minister for internal affairs, Schäuble, wanted to legalize the use of biometry nationwide. During the following week, a group of hackers posted on the web that they had acquired Schäuble’s fingerprints at a meeting and they published them for all to see. Could this mean that biometry cannot help to keep us safe?
Sunday, December 09, 2007
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ
งานวิจัยโดย สถาบันมะเร็งในเด็กแห่งเยอรมันนี (Deutschen Kinderkrebsregister) แห่งเมืองไมน์ซ เปิดเผยต่อคณะทำงานป้องกันรังสีแห่งชาติ(Bundesamt für Strahlenschutz (BfS)) ว่า ระหว่างปี ๒๕๒๓ ถึงปี ๒๕๔๖ เด็กจำนวนสามสิบเจ็ดคน ที่อาศัยในรัศมีห้ากิโลเมตรจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์สิบหกแห่งในเยอรมันนีมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ถึงยี่สิบคน
อย่างไรก็ตามอัตราการป่วยที่สูงขึ้นอาจไม่ได้มีสาเหตุชัดเจนมาจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะรังสีบริเวณรอบๆโรงไฟฟ้านั้นต่ำเกินกว่าที่จะก่อมะเร็งได้ ผลศึกษาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากโรงไฟฟ้า ส่วนสิ่งใดเป็นสาเหตุที่แท้จริงต้องรอการศึกษาต่อไป
ย่อความมาจาก http://www.heute.de/ZDFheute/inhalt/12/0,3672,7131788,00.html
Studie: Nahe Atommeilern öfter Leukämie bei Kindern
Minister Gabriel will Ergebnisse überprüfen
Erschreckende Studie: Kinder, die nahe eines Atomkraftwerks leben, erkranken häufiger an Krebs. Das haben Wissenschaftler in einer Studie nachgewiesen. Aber eines bleibt rätselhaft: An der Strahlenmenge liegt das angeblich nicht.
Die Untersuchung wurde vom Deutschen Kinderkrebsregister in Mainz durchgeführt, teilte das Bundesamt für Strahlenschutz (BfS) als Auftraggeber der Studie am Samstag mit. Bundesumweltminister Sigmar Gabriel (SPD) kündigte umgehend eine Überprüfung der Ergebnisse der Studie durch die Strahlenschutzkommission an. Nach Vorliegen der Prüfergebnisse werde sein Ministerium über das weitere Vorgehen entscheiden.
Die Studie hatte ergeben, dass im Fünf-Kilometer-Umkreis der 16 deutschen Kernkraftwerke 37 Kinder im Untersuchungszeitraum von 1980 bis 2003 neu an Leukämie erkrankt sind. Im statistischen Durchschnitt wären nach Darstellung der Wissenschaftler 17 Fälle zu erwarten gewesen. Etwa 20 Neuerkrankungen seien also allein auf das Wohnen in diesem Umkreis zurückzuführen. Über die Studie hatte die "Süddeutsche Zeitung" zuerst berichtet.
Strahlenbelastung für Fälle zu niedrig
Ob das erhöhte Krebsrisiko für Kinder tatsächlich durch die Reaktoren verursacht wird, steht laut Bundesamt für Strahlenschutz und Bundesumweltministerium aber nicht fest. Nach dem derzeitigen wissenschaftlichen Kenntnisstand sei die Strahlenbelastung der Bevölkerung durch den Betrieb der Kernkraftwerke zu niedrig, um den beobachteten Anstieg des Krebsrisikos zu verursachen, erklärte das BfS. Das Ergebnis könne also nicht plausibel mit den tatsächlichen Ableitungen aus den Reaktoren erklärt werden.
Auch andere mögliche Risikofaktoren, die im Zusammenhang mit Leukämien bei Kindern in Betracht zu ziehen seien, "können den entfernungsabhängigen Risikoanstieg derzeit nicht erklären", heißt es in der Erklärung weiter. Umweltminister Gabriel erklärte: "Die statistische Untersuchung und bekannte Ursachenzusammenhänge zwischen Krebsrisiko und Strahlung stehen damit nicht im Einklang miteinander."
Wednesday, September 19, 2007
จดหมายจากเพื่อนรัก
เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาลงบล๊อก แม้จะดูดัดจริตไปหน่อย
ตามนี้เลย
------------
หนูเขียนจดหมายมาบ่น มีเรื่องมากมายแต่หนูไม่รู้จะส่งไปหาใคร
เลยขอส่งมาคุยกับอาจารย์นะคะ หุหุ
ถ้าอาจารย์จะเอาไปส่งต่อ หนูก็ยินดีค่ะ จะได้มีคนมาคุยกับหนูบ้าง
ลองอ่านดูนะคะ
--------
ก่อนอื่น ฉันขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินไถลนอกรันเวย์ที่ภูเก็ตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และขอสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจพิเศษ คือแผ่บุญ-แผ่กุศลให้ "ทุกท่าน" ทุกชาติ-ทุกภาษา-ทุกศาสนา ที่เสียชีวิตไป นั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้เพียงเท่านี้ โชคชะตาช่างเล่นตลก ขนาดเครื่องถึงพื้นแล้วยังไม่วายมีอุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าให้อุบัติภัยร้ายแรงใดๆ เกิดกับไทยและกับทุกคนในประเทศไทยอีกเลย! สังคมเราบอบช้ำกันมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพี่น้องชาวภูเก็ตที่เกิดแต่เรื่องร้ายแรงอย่างสึนามิ หรือ เครื่องบินตกแบบนี้
ที่ฉัีนเลือกเรียนชีวะ ก็ต้องย้อนมาก่อนว่าทำไมฉันเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ ฉันเลือกเรียน วิทยาศาสตร์ เพราะฉันอยากเข้าใจโลกอยากเข้าใจธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสงสัย และ ตื้นตัน มานานแล้ว ฉันคิดว่าโลกนี้เป็นเรื่องของเหตุของผล (แต่เหตุผลบางอย่างอาจพิสูจน์ไม่ได้) และวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องของเหตุของผล(ที่พิสูจน์ได้เท่านั้น:-) มันก็น่าจะเข้ากันได้ และมันน่าจะทำให้เราเข้าใจอะไรๆในโลกนี้ได้ จึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์ มากกว่าคณะอื่นที่เน้นไปในทางสายอาชีพอย่าง ครู หมอ หรือ วิศวกร ที่เขาฮิตกัน ซึ่งก็โชคดีที่ทางครอบครัวก็ไม่ได้กดดันให้เลือกไปตามกระแสของสังคม (ขอบคุณปาป๊า หม่าม้า และญาติๆ ตรงนี้มากๆ อิอิ)
เมื่อเข้ามาเรียนวิทยา ก็รู้สึกดี กับทุกวิชา ปีหนึ่งเหมือนได้ทวนของ ม ปลาย สามปี ก็รู้สึกดี เหนื่อยดี และได้เห็นภาพของวิทยาศาสตร์ในภาพรวมของความสัมพันธ์ของแต่ละวิชา รวมทั้งวิชาสายศิลป์ด้วยนะ (ต้องขอบคุณมหิดลที่บังคับให้ฉันเรียนสายศิลป์) แต่แล้วทำไมถึงเลือกชีววิทยา ก็เหตุผลเดิม เหตุผลที่อยากจะเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ชีวะเป็นผลรวม เป็นผลลัพธ์ของทุกสาขาวิชาในโลก ไม่ว่าจะทางสายวิทย์ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ผลลัพธ์จากสมการ ทฤษฏีต่างๆสุดท้ายก็ออกมารวมที่ชีวะ หรือว่าจะเป็นสายศิลป์ ภาษาศาสตร์สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา และแม้แต่ ดนตรี สุดท้ายก็ไม่ได้ไปพ้นจากชีวะเลย ทุกปรัชญา ทุกศาสตร์ และ ศิลป์ ออกมาแสดงตน เล่นละครความรู้ ที่ไร้ความตายตัว และ สดใหม่ ในเวที ที่ชื่อชีววิทยา นี้
หรือ อาจเป็นไปได้ว่า เพราะ ชีวะ คือ ชีวิต อีกทั้งยังรวมถึงสิ่งที่ไ่ม่มีชีวิตด้วย ไม่มีัตัวตนด้วย (บางทีนี่คือ ชีวะในความหมายของฉันเท่านั้น) และด้วยความที่ฉันเป็นพวกโลภมากก็คิดว่าจะได้เรียนทุกอย่างในหนึ่งแพ๊กเกจคือชีวะ ถ้าเรียกหรูๆก็บูรณาการ ไม่ตัดอะไรออกไป (ตัวอย่างวิชาอื่นที่เป็นอย่างนี้เช่น เกมลูกเเก้ว) อีกทั้ง ยังโดนไซโค จากพี่ๆที่แสนดีในคณะอีกด้วยหุหุ เป็นภาคที่ looks cool ไฮโซ ใช้เครื่องมือใหม่ๆ เทคนิกใหม่ๆ ได้เล่นกับดีเอ็นเอ ได้หนังสือภาพสวยๆ กระดาษดีๆไว้อ่าน และยังมีอะไรให้ค้นพบใหม่ๆเสมอ ส่วนทางสายอื่น อย่างฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ก็ถูกค้นพบปรุโปร่งหมดแล้ว ยังมีพื้นที่ให้เราคนน้อยๆได้เพ้อฝัน
ฉันจึงคิดว่าชีวะ มันต้องเจ๋งมากๆแน่นอนจึงเลือก
แต่สุดท้่ายด้วยเหตุและผลมากมายแบบนี้ เมื่อเข้ามาในภาคชีววิทยาของจริง ฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะในภาคนั้นมันช่างน่าเบื่อและคับแคบเหลือเกิน อย่างที่ว่า โลกในฝัน กับ โลกความจริง มันก็ต่างกันเสมอ ยิ่งฝันไว้ใหญ่ ความเจ็บปวดก็ทวีตามความใหญ่นั้น และเมื่อยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น ยิ่งรู้ว่า ชีวะแบบ ใน ม. มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอะไรเลย วิชาต่างๆใน ม. ก็เช่นกัน ไปในทางบ้าสาระ หาแก่นสารที่ศักดิ์สิทธิ์แต่กินไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ (มั้ง)
ฉันก็เลยเรียนๆไป ทำตามหน้าที่ของนักเรียน บ้างก็เอามันกับวิชาที่มันพอมีความหวังที่จะได้ตามฝันอย่างที่หวัง บ้างก็เรียนแบบสำเร็จความใคร่ทางสมอง บ้างก็เบื่อๆไม่อยากเรียน ไม่ชอบเเล็บ ไม่ชอบอาจารย์ ไม่ชอบสังคม พอเบื่อๆ ก็ไปทำอย่างอื่น ที่มันสุนทรีย์ ที่มันกรี๊ดกร๊าด ที่มันตรงกับความชอบตัวเองมากกว่า เกรดเลยไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ มันมีค่าแค่เปื้อนกระดาษเท่านั้น ฉันว่านะ
แต่อย่างว่าแหละเธอ ฉันใจง่ายอยู่ อยู่ด้วยกันตั้งสามปีเลยตกหลุมรักมันเข้าไปแล้ว (ประมาณโดนชีวะตื๊อ, ตื๊อ เท่านั้นที่ครองโลก อิอิ หนุ่มๆจำเอาไว้นะ) อันที่จริงมันก็ไม่ได้เเย่อะไรมากหรอก แต่ฉันนั้นสร้างภาพไว้สวยงามเกินไป ระหว่างสามปี ฉันได้พบอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าชีิวะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้อ้าปากค้าง ร้อง Ohhhh! บางประสบการณ์มันก็เป็นเรื่องมิตรภาพ บางทีก็เป็นเรื่องความรัก บางครั้งก็เป็นเรื่องความฝัน เรื่องเลวๆก็มีอยู่เยอะ มันสอนอะไรได้เยอะ
ชีวิตที่ได้ใช้จริงนั่นแหละ ชีวะที่แท้จริง ฉันขอขอบคุณช่วงเวลาที่มีค่านั้นจริงๆ
เมื่อคนมันรักไปแล้วอย่างนี้ ฉันตอนนี้ก็เลยเรียนชีวะอยู่ ก็เพราะ ตกหลุมรักมันไปแล้ว ก็มีหน้าที่ที่ควรจะทำให้เสร็จ ไม่งั้นไปทำอะไรมันก็ทำครึ่งๆกลางๆทั้งนั้น ส่วนชีวะในความหมายของฉันนั้น ฉันก็ได้เเต่เล่นเกมซ่อนหากับมันตลอดเวลา สุดท้ายก็ไปพบมันจริงๆแหละ (หุหุ ไม่บอกหรอกว่าเจออะไร)
แต่ที่เลือกเรียนชีวะไปก็มีเรื่องที่กังวลอยู่เหมือนกันหละ อย่างที่เขาว่ากันแหละ ชีวะต้องฆ่าสัตว์ ผิดศีล ฉันก็กลัวเหมือนกัน รับไม่ได้จริงๆที่จะผิดศีล สำหรับเรื่องศีล ผู้รู้ นักปราชญ์ทุกคนยกย่องการมีศีล แต่ศีลคืออะไร ทำไมเราต้องปฏิบัติในศีลในธรรม เราเคยตั้งคำถามกันไหม อยู่ดีๆ ไ่ม่อยาก ฆ่าสัตว์เพราะผิดศีลที่เขาบอกๆกันมา มันก็แปลกๆนะ ฉันว่าปล่อยศีลเป็นเรื่องที่เรารู้สึกกันดีไหม อย่างฆ่าสัตว์ใหญ่อย่างหนู ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน รู้สึกแย่มาก ตั้งแต่หนอนหรือแมลงขึ้นมา ฉันก็ฆ่าไม่ได้แล้ว ทำแล้วรู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ถ้าต้องทำ ก็ทำไปให้สำเร็จตามหน้าที่ที่ควรทำ แต่ทำไมไม่รู้ พอให้ฆ่าพวกแบกทีเรีย พวกเชื้อรา พวกเซลล์ ฉันกลับฆ่ามันได้หน้าตาเฉย ทุกวันก็ฟอกสบู่ฆ่ามันอีกด้วย หุหุ มันไม่ค่อยจะเศร้าเท่าไหร่ ก็แปลกดี กับความรู้สึกของตัวเอง
เเล้วพอไ้ด้รุ้ว่าการศึกษาหรือทำงานทาง ชีวะ มีสองทาง แบบรีวิว ทำทฤษฏี อ่านเปเปอร์ หรือว่า เล่นกัับคอม กับแบบ ทำแล็บสด ฉันก็อยากจะหนีการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองไปทำแบบรีวิว แต่วิทยาศาสตร์มันก็ต้องอาศัยของจริง ไม่ใช่เพ้อๆเอามาเขียน ฉันเลยว่าทำแล็บสดจะดีกว่า เห็นผลได้จริง แม้ต้องฆ่า แต่ก็จะพยายามอุทิศส่วนกุศลไปใ้ห้พวกมันละกัน และเท่าที่เห็น พอนานๆไป เขาก็ส่งไม้ต่อให้รุ่นต่อไปทำ แก่ๆไป ก็จะอัพไปเป็น ศาสตราจารย์ นั่งสอน คุมแล็บ และก็เขียนเปเปอร์ แทน ไม่ได้ฆ่าเอง แต่สั่งคนอื่นฆ่า ระยะห่างเพิ่มขึ้นคงสบายใจมากกว่าเดิม แม้ว่าบาปคงมีเต็มกระบุง
สุดท้ายนี้ อยากถามว่าใครเชื่ออย่างที่ฉันเชื่อบ้าง เชื่อในเสียงเรียกของตัวเอง ถ้าเชื่อนะ หรือ แค่สนใจ ก็ขอให้เธอได้ลองใช้ความรู้สึกดู รู้มากๆ คุยกับตัวเองแบบเงียบๆ ฟังดีๆข้างในมันส่งเสียงเรียกเราตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ยิน ทางที่ดี ลองหยุดเรียน หรือหยุดงานแล้วอ่านหนังสือที่หลากหลาย ออกเดินทาง ภายใน หรือ ภายนอก พบปะคนหลากหลาย ทำไปสักสองปี น่าจะได้รู้กันไปว่าเราจะทำำอะไร เกิดมาเพื่ออะไร (ฉันว่ามันช่วยได้แน่ๆ ลองดูสักครั้งสิ)
...ต่างคนต่างมีหนทางของตัวเอง มีแสงสว่างเป็นของตนเอง.. ศรัทธาของเราเป็นของเรา ศรัทธาของท่านก็เป็นของท่าน...
ขอบคุณที่ให้ฉันรบกวนเวลาของพวกเธอนะ มาฟังฉันคุยๆบ่นๆ ก็ขอรบกวนเวลาเธอแต่เพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีในหนทางที่เลือก
ด้วยรัก
Saturday, August 25, 2007
นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส
ส.ศิวรักษ์
นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในระดับชาติของคนไทย ซึ่งไม่เคยมีใครเทียบเท่าได้ในรอบ ๑ ศตวรรษ ความสำคัญของท่านอยู่ในระดับเดียวกับ เมาเซตุงของจีน โอจิมินห์ของเวียดนาม และบัณฑิตยวาหระราล เนห์รูของอินเดีย แต่เหตุไฉนท่านจึงต้องไปตายต่างแดนดังผู้ลี้ภัย ในขณะที่รัฐบุรุษอีก ๓ ท่านนั้น ได้รับการปลงศพอย่างใหญ่ยิ่งในนามของรัฐ และมีอนุสรณ์สถานไว้อย่างมโหฬารในครหลวงนั้น ๆ ด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะนายปรีดี ได้เคยกระทำความผิดพลาดทางการเมืองมากระนั้นหรือ ? คำตอบก็คือ ใช่ โดยที่รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของระเทศอื่น ๆ ก็เคยทำความผิดพลาดมาไม่น้อยไปกว่าเช่นกัน เพราะสามัญมนุษย์ที่ไม่เคยทำผิด ย่อมไม่ใช่มนุษย์ แต่ในบ้านอื่น เมืองอื่น ชนชั้นปกครองมีดวงตา ที่มีแวว ที่รู้จักบวกลบคูณหาร หักประโยชน์ท่านแล้ว เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกซึ่งกตเวทิตาธรรม(ทั้งๆที่ผู้นำของประเทศส่วนมากไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา) ต่อรัฐบุรุษผู้เคยทำบุญคุณมากับประเทศชาติเพื่อประชาราษฎรจะได้รู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจไว้ที่คุณธรรมอันเป็นแกนนำของบ้านเมือง แม้ขนาดอูนุศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองที่ฉกาจของเนวิน ยังได้รับนิรโทษกรรมและอโหสิกรรมจากเนวิน ให้กลับมาใช้บั้นปลายแห่งชีวิตในสหภาพพม่าอย่างมีเกียรติ
ที่กล่าวมานี้ ออกจะชัดเจนแล้วว่า ชนชั้นำ ที่ปกครองบ้านปกครองเมือง ตลอดจนที่คุมสื่อสารมวลชน ทางด้านสร้างค่านิยมอยู่ในประเทศไทย ในบัดนี้ มิได้นำพาต่อปัญหาขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ สัจจะความยุติธรรม สันติธรรมและความเป็นไท กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชนชั้นนำรังเกียจประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานอันมวลชนหรือประชาราษฎร์ต้องเป็นใหญ่ ในทางความชอบธรรมเหนืออภิสิทธิ์ชนคนส่วนน้อยซึ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปด้วยความสับปรับ จอมปลอมและหลงละเมอไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทางไสยศาสตร์ตลอดจนของปลอมอื่น ๆ ในทางยศักดิ์อัครฐานและกามสุขาลิกานุโยคอันแสดงออกทางการเสพวัตถุเกินพอดีในวิถีชีวิตของเขาเหล่านั้น
พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็คือ ชนชั้นนำของเราที่ควบคุมเศรษฐกิจ การเมืองการและการทหาร ตลอดจนข้าราชการพลเรือนและภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์สูงเป็นจำนวนไม่น้อย พากันนับถือพระพุทธศาสนาที่ริมฝีปาก หรือประยุกต์ใช้ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หาไม่ก็มิได้นำพระพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ให้ถึงแก่น ให้เหมาะกับปัญหาของสังคมและการเมืองร่วมยุคร่วมสมัย หากไม่ไหนเลย เราจะสอนศิษย์ของเราให้แสดงกตัญญกตเวทีโดยเราเองไม่เคยถึงแก่น หากแสดงกันตามรูปแบบพิธีกรรม และใครแสดงเข้าอย่างจริงจังและจริงใจ เราก็เกลียดและโกรธดังกรณีที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงมาแล้วกับนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยการที่เขาเป็นคนไทยที่ไปแสดงความเคารพต่อท่านที่ปารีสเป็นคนแรกอย่างเปิดเผย ผลก็คือนั่นเป็นจุดเริ่มที่นายป๋วยถูกผลักดัน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ให้ออกพ้นสังเวียนชนชั้นนำของไทยไป
ยิ่งเรื่องประชาธิปไตยด้วยแล้ว ชนชั้นนำของเราแทบทุกระดับไม่มีศรัทธาปสาทะเอาเลย หลายคนยังอยู่ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นตัวนำความหายนะมาให้ประเทศไทยในทุก ๆ ทาง.. ทั้ง ๆ ที่กำพืดของสฤษดิ์ก็เป็นไพร่ และเรามีอนุสาวรีย์ของไพร่ที่ไหนบ้างไหม เว้นไว้เสียแต่คนนั้น ๆ จะถูกฆ่าตาย หรือใช้ประโยชน์ในการการเมืองจากคนนั้น ๆ ได้ต่างหาก
แม้ที่สุดจนชื่อเขื่อน ชื่อมหาวิทยาลัย เราเคยนำชื่อของไพร่และขุนนาง ที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองมาตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติบ้างหรือเปล่า ยิ่งราษฎรตาดำ ๆ ด้วยแล้ว อย่าได้พึงหมายว่าจะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างจริงจังเลย เว้นไว้แต่เพียงในฐานะสมุหนาม เพียงแค่ริมฝีปาก เพื่อผู้สรรเสริญนั้น ๆ จะได้ยศศักดิ์อัครฐานหรือ เงินตรายิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้นเอง เพื่อเขาจะได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมและหลงอำนาจวาสนาบารมีของตนเองต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ที่จริงสมัยนี้เราไม่ได้ถอยไปสู่สมัยสฤษดิ์เท่านั้น หากเราพยายามถอยไปสู่สมัยราชาธิปไตยเสียซ้ำ ดังที่เราเน้นที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีการคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ หรือฐานอำนาจที่ทวยราษฎร์กันเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ละอายอะไรกันเลยกับประชาธิปไตยครึ่งใบเสี้ยวใบ หรือแม้ที่สุดจนจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสียอีกเมื่อไรก็ได้
คำตอบของเราเวลานี้ดูจะมุ่งไปที่สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ ไปที่อำนาจอันแฝงเร้น และไปที่ผู้กุมอำนาจทางทหาร เราไม่เชื่อเลยว่าราษฎรมีความสามารถและเป็นพลังอันมหาศาล ที่เมื่อผนวกกับความชอบธรรมเข้าแล้วสามารถต้านกระแสอธรรมใด ๆ ก็ได้ มิใยว่าฝ่ายนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงใดก็ตาม เราพยายามทำลายพลังของผู้นำกรรมกร เราพยายามบั่นทอนการรวมตัวกันของผู้นำกสิกร ดังเราได้พิฆาตฆ่าลูกหลานของเราในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ด้วยเลือดอันเย็นไม่แพ้เดรัจฉาน
ชนชั้นนำของเราเวลานี้ ถ้าอ่านคำแถลงการของคณะราษฎรฉบับที่ ๑ ซึ่งประกาศออกมา ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ แล้ว หลายต่อหลายคน ยังมีโลหิตฉีดแรง และเดือดพล่านอยู่ เพราะแถลงการณ์ฉบับนั้นท้าทายสถาบันเจ้า โดยถือว่า ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็ต้องโง่เช่นกัน ถ้าเรายังรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เรายังเป็นประชาธิปไตยกันไม่ได้ และคนอย่างท่านปรีดีฯ ก็จะได้รับอโหสิกรรมไม่ได้
ท่านปรีดี พนมยงค์จะได้รับเกียรติยศอย่างแท้จริงจากประชาราษฎร ก็ต่อเมื่อราษฎรได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน !
และแถลงการณ์ของท่านปรีดีฉบับนี้ กลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เยาวชนของเราทุกคนต้องนำมาอ่านกันในชั้นเรียน ดังที่รุ่นพ่อของเราเคยเรียนเรื่อง “สมบัติผู้ดี” ของเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดีมานั้นเอง
ชนชั้นนำทางการศึกษาของเราหลายต่อหลายคนยังต้องการกลับไปหาหนังสืออย่าง “สมบัติผู้ดี” โดยที่เราควรแสดงหาหนังสือเช่น สมบัติไพร่ และเราควรฝึกผู้นำในอนาคตของเราให้เป็นไพร่ ให้เป็นกสิกร ให้เป็นกรรมกร กล่าวคือให้ภูมิใจในศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน ซึค่งไม่เอารัดเอาเปรียบใครและไม่ยอมให้ใครเอารัดเอาเปรียบ หากให้มีการเกื้อกูลกันอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ให้เลิกการหมอบกราบคลาน ดังสัตว์เลื้อยคลานอีกต่อไป ซึ่งเราเห็นได้ชัดตามโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่มอมเมาต่างๆ รวมทั้งนวนิยายน้ำเน่าทั้งหลายด้วย ทั้ง ๆ ที่พระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงประกาศให้เลิกการกระทำเช่นนี้มาก่อน ท่านปรีดี พนมยงค์เกิดเสียด้วยซ้ำ
อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านปรีดี พนมยงค์ต้องการนำพระราชปณิธานของพระจุลจอมเกล้าฯ ในเรื่องปาเลียเมนท์และคอนสติติวชั่นให้สัมฤาธิ์นั้นเอง แต่เผอิญท่านปรีดีเป็นไพร่ และหาญไปท้าทายสถาบันเจ้าเข้า เจ้าที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และพวกที่หาผลประโยชน์จากเจ้าจึงรุมกัดลอบกัด จนท่านปรีดีต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ไปจนตราบอายุขัย มิใยว่านายปรีดีจะทำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้าเพียงใด โดยที่นิทานชาวนากับงูเห่านั้นเองควรเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับคนอย่างท่านปรีดี พนมยงค์
ก็ใครเล่า ที่ปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนอกจากจะข่มขู่เจ้านายและองค์พระประมุขแล้ว ยังเคยคิดตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเองด้วยซ้ำ ใครเล่าที่ถวายอารักขาสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอย่างใกล้ชิดและห่วงใย ใครเล่าที่ช่วยบันดาลให้เกิดหอสมุดดำรงราชานุภาพ (ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าอิฐปูนใด ๆ ที่มักนิยมสร้างถวายเจ้าในสมัยหลัง) ใครเล่าที่ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักโทษชายรังสิต ประยูรศักดิ์ แล้วถวายพระราชอิสสริยายศคืนขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรทร และที่สำคัญอันสุดท้ายนั้นก็คือ..
ถ้าท่านปรีดี พนมยงค์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เคยสั่งสอนอาชญากรรมวิทยามาแต่วัยรุ่น บอกให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชันสูตรพระบรมศพตามกระบวนการกฎหมายอาญาแต่เมื่อแรกสวรรคต และจับกุมผู้ที่กล้าบังอาจพลิกพระศพ เย็บพระศพ นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับพระศพไปซัก ไปฝัง ฯลฯ เพื่อปิดบังความพิรุธ ป่านนี้ท่านปรีดี พนมยงค์ก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษอาวุโสอยู่ในประเทศไทย และการอสัญกรรมของท่านจะเป็นงานศพอันมีเกียรติยิ่งสำหรับราษฎรชาวสยาม โดยที่ผู้นำของรัฐบาลและชนชั้นนำอื่น ๆ จะไม่กล้านิ่งเงียบดังอมสากอยู่ในปากดังเช่นในบัดนี้ หากทุกคนจะเอ่ยถึงวีรกรรมของท่าน ในฐานะผู้นำทางด้านประชาธิปไตย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือท่านปรีดีเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย ในสงครามโลกครั้งที่ ๒
วีรกรรมชิ้นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินเลยทีเดียว !!!
โดยที่อีกร้อยปีข้างหน้า เราไม่อาจปฏิเสธคุณค่าอันวิเศษข้อนี้ของเขาได้ แม้ในบัดนี้เราจะปล่อยให้อคติครอบงำสัจจะไว้ก็ตาม ดังที่พระเจ้าตากสินก็เคยเผชิญชะตากรรมมายิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ เมื่อสองศตวรรษมานี้เอง
บทความนี้พิมพ์ครั้งแรกใน ไทยแลนด์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มหาวิทยาลัยราคำแหงอัดโรเนียวแจกในวันอภิปรายคล้ายวันปลงศพนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖
Friday, June 15, 2007
Love compass
I love you straightforwardly, without complexities or pride;
so I love you because I know no other way
--Pablo Neruda
From so much loving and journeying, books emerge.
And if they don't contain kisses or landscapes,
if they don't contain a man with his hands full,
if they don't contain a woman in every drop, hunger, desire, anger, roads,
they are no use as a shield or as a bell:
they have no eyes and won't be able to open them ...
-- Pablo Neruda
"เพราะความรักที่แท้จริงน่ะมันจะมองทะลุรูปโฉมภายนอกเข้าไปจนเห็นรูปโฉมภายใน"
จาก ดวงตาที่สาม โดย แดนอรัญ แสงทอง
Die Blumen blühen überall gleich
Die Menschen sind hart oder weich
Aber überall hofft man auf Frieden
Und die Blumen blühen überall gleich
Reist Toshi von Japan nach Schweden, betritt er ein anderes Reich
Doch die Sonne wärmt überall
Jeden Und die Blumen blühen überall gleich
Sehr dunkel sind Ibrahims Brauen
Die Brauen von Gunnar sind bleich
Doch ins Licht kann man überall schauen
Und die Blumen blühen überall gleich
Dem Vater von Pepe gehts bitter
Der Vater von Henry ist reich
Doch ein Käfig hat überall Gitter
Und die Blumen blühen überall gleich
Kein Mensch gleicht auf Erden dem anderen
Die Welt ist an Sprachen so reich
Aber wo wir auch gehen oder wandern
Die Blumen blühen überall gleich....
von Suntariya Muanpawong
Thursday, May 31, 2007
พร่ำเพ้อในคืนวันเพ็ญเดือน ๖
ทั้งที่การพูดให้ดูดี ทำเป็นใจกว้าง การโกหก การตอแหล เป็นธรรมชาติของมนุษย์
เป็นเราก็เถอะ ก็คงลืมคำเหมือนกัน ฉะนั้น ใครจะลืมบ้างก็ควรปล่อยเขาได้ระบายตามกาล-ตามกรอบอันควร
อีกทั้ง ความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งต้องมีในสังคมโลกมนุษย์ เพราะสิ่งนั้นคือพลังงานนำไปสู่การค้นหา นำไปสู่ปฏิบัติการใหม่ๆ อย่างที่เรียกว่า "นวัตกรรม"
ยังไม่มีอะไรที่ "ใช่" ไม่มีอะไรที่ "จริงแท้" เพียงแต่ "ยึดถือ" ว่าใช่กันไปตามกฎเกณฑ์กติกาหนึ่งๆ เท่านั้น วันนี้-ใช่ พรุ่งนี้-อาจไม่ใช่ กลายเป็นอีกอย่างตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ก็ได้
เพราะที่พูดกันว่ามนุษย์ "มีปัญญา" นั้น จริงๆ แล้วความชาญฉลาดของมนุษย์ทุกวันนี้ เป็นแค่ "สัญญา" ไม่ใช่ "ปัญญา"
สัญญา คือความรู้ ความเข้าใจ ความทึกทัก ในสิ่งจำนั้น ฉะนั้น สิ่งที่จำจนถึงขั้นได้ปริญญากันนั้น เป็นแค่การ "เรียนจำ" กันมาเป็นทอดๆ จำเท่าอาจารย์ โง่-ฉลาดเท่าอาจารย์
ก็เอากระดาษไปแผ่นหนึ่งที่เรียกว่า..ใบปริญญา!
ความรู้จำนั้น สิ่งที่จำ "ไม่จริง" ยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือวิทยาการทางแพทย์ ซึ่งมีการค้นพบใหม่ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เก่าอยู่ตลอด เป็นความรู้ที่ยัง "ไม่นิ่ง" ยังเอาชีวิตไม่รอด อันเป็นแกนหลักของสังคมตะวันตก เขาจึงต้องค้นหากันตลอดเวลา
ฉะนั้น พวกนกแก้วนกขุนทองนั้นก็ทำให้อยู่รอดตัวได้ไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
"ปัญญา" สิ คือความรู้จริง-แจ้ง และสิ่งนั้นอีกกี่ร้อย-กี่ล้านปี ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อย่างเช่น รู้ว่าทุกอย่างไม่คงที่ รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เราก็พัฒนาตัวตนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ถ้าใครมองเห็นอีกว่าการพัฒนาทำตนให้ตามติดไปกับการเปลี่ยนแปลงอันสากลนั้นมันเจ็บปวดทรมานและเป็นไปไม่ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่อะไรที่บอกได้ว่าให้ตามติดไปได้ ใครไปยึดว่าคงที่ก็เป็นทุกข์ เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นแค่ "สิ่งยึด" สิ่งที่ยึดก็เป็นแค่อาการของจิตเข้าไป "นึกยึด" เอาเอง อาจจะหลงว่าที่ "ตา" เห็นนั่นไงคือตัวตน มันก็เป็นตัวตนแค่หลงเอาชั่วกาลเวลาระยะหนึ่ง อันเป็นอดีตไปแล้ว ณ วินาที ที่ยึด แล้วในที่สุดไอ้ที่หลงยึดมันก็สูญสลาย ไม่มีตัวตนอะไรเหลือให้ยึดได้ดังใจอยากตลอดไปเลย!
ยึด-ทุกข์, ไม่ยึด-ไม่ทุกข์ ในโลกนี้ไม่มีตัว "สุข" ดอก สหาย
หาให้ตายก็ไม่พบ แต่ขณะใดที่ใจ "ไม่ทุกข์"
ขณะนั้น สุข จาก สงบ ปรากฏทันที!
ผู้ใดเข้าถึง "สัมโพธิ" ผู้นั้นมีปัญญา
สัม มากจาก"สํ" อุปสัค แปลว่า พร้อม
โพธิ คือ รู้
สัมโพธิ คือ รู้พร้อม รู้ทัน รู้รอบ รู้รอด รู้พ้น พ้น-วนออกจากทุกข์ รู้อย่างนี้ รู้ด้วยปัญญา รู้ว่าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เพราะมีอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่มี เพราะมีสิ่งนี้ตะหาก สิ่งนั้นถึงมี
โลกนี้คือ "วงกลม" แห่งการเชื่อมโยงแห่งเหตุ และการนำไปสู่ผล ผลที่สร้างเหตุต่อเนื่องกันไป "ไม่สิ้นสุด"
การ "รู้พ้น" ไม่ได้หมายถึงเป็น "คนหนีโลก"
แต่หมายถึงเป็น "คนเหนือโลก" เพราะเข้าใจ-เข้าถึงในเหตุการณ์ ในปัญหาที่เชื่อมโยงกัน ในความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเปลี่ยนแปลงไป
เข้าใจ-เข้าถึง ก็จะเห็นมัน อยู่กับมัน รับรู้มัน เล่นกับมัน ด้วยใจเบิกบาน ที่มันย้อมไม่ติด
เหมือนการออกกำลังกาย ไม่ใช่การเสียกำลัง-เสียแรง แต่เป็นการเพิ่มพลังใจที่สดใส ได้พลังกายที่สดชื่น!
Thursday, May 10, 2007
The total perdition of the education system in Thailand
First of all, the problem lies with the distribution of education, as only the rich, strictly speaking the people in Bangkok and the big cities, can get a good education, go to a better school. But the people in the other provinces lack good schools, and effective educational tools. Moreover, the people who live in the country, where there is no electricity and water supply, even lack schools. They have to walk for 10 kilometer across mountains to go to bad schools where they can only learn how to read and write Thai.
Second, even though the rich in the big cities can go to school and have better facilities, the quality of the education is still bad. A recent survey about the IQs of teenagers showed that the average IQ is only 87, worse than the average of the normal IQ, which is 90. Furthermore, these teenagers prefer to go shopping and seeing movies or playing games to studying. You can see Thai teenagers staying at the shopping centers all day and, of course, at night in discotheques.
In addition, the teaching methods are old-fashioned because the teachers teach students to memorize knowledge only for the examination. Accordingly, students lack self esteem and self-motivation and cannot think and work independently by themselves. Thus, they are very emotional and study because they are frightened on base of fear, not because they want knowledge. As a result, clever politicians who can manipulate public opinion will rule them. Besides, Thailand cannot invent anything high-tech. They have to import it from developed countries. This leads to economic dependence; i.e., and a situation similar to colonization.
However, there is hope from the fringe of the society. It is the alternative education, which is based on the wisdom root of the society, Buddhism. Thais can learn from temples or from some alternative school; for instance, in Chiang Rai with the Jitwiwat group (the new consciousness group, see more at jitwiwat.org). If this alternative education blooms in Thailand, Thailand will change for the better because it teaches children to grow up independently with social responsibilities. It would be a promising future of Thai education.
Political crisis in Thailand
While it is clear that Thaksin was corrupt and lead the nation in the wrong direction namely that of extreme liberalism and capitalism with corruption, gathering evidence is difficult. In addition, he still has the advantages of money. Through money laundries he bought a mansion in London after the coup d’etat and now he is going to take over “Manchester City FC”.
What is peculiar is that the military junta lets him get away with it. Sonthi Boonyaratglin, the head of the coup, behaves in a gentlemanly way, which no other junta in the world has done. Additionally, five years of the Thaksin regime have taken firm root in the state bureaucracy. Thus, the regulatory system does not function such as the court or election commission of Thailand.
In my opinion, the military junta and the appointed government must be much more assertive with Thaksin and his remained power. They must deter Thaksin’s transactions as soon as possible and should sequestrate his assets in Thailand at least transiently.
Other countries may consider this to be totally non-democratic, but if the situation continues, blood will be shed in Thailand soon. I predict this may happen this month (May 2007) because the first judgement will be declared towards the end of this month. Of course, Thaksin will use all of his money to influence the judgement. Indeed, this gentlemanly dictatorship is still a dictatorship, not democracy as the junta would prefer to see it.
Sunday, March 25, 2007
Soulmate
และคำพูดนี้ก็เป็นความจริง
การมีคู่ครองมันเป็นเรื่องมายาไร้สาระ
ไอ้ความคิดเช่นนี้มันเกิดมาเพราะเราต้องอยู่คนเดียว และ การที่ต้องอยู่คนเดียวนี้เองที่ทำให้เราเจ็บปวด
เราจึงต้องการกำจัดมันด้วยการมีสัมพันธ์ มีคู่ครอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราหมกมุ่นในเรื่อง "ความรัก"
ยกตัวอย่าง เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคนเพราะเธอนั้นสวย หรือว่า เขาช่างหล่อเหลา
มันไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
คุณตกหลุมรักเพราะคุณไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวได้ ดังนั้นคุณจึงตกหลุมกับดักนี้ไป
แน่นอน มันมีคนที่ไม่ตกหลุมรักคนอื่น แต่พวกเขาก็ติดกับดักในอย่างอื่น เช่น เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แล้วก็เป็นนักการเมือง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ยกตัวเป็นกษัตริย์กดขึ่ผู้อื่นจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวทั้งนั้น
และถ้าคุณลองหันมาดูตัวเองเทียบกับคนอื่น คุณจะพบว่ามันมาจากสาเหตุเดียวกันทั้งสิ้น
ความจริงคือคุณไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ส่วนสาเหตุอื่นที่เหลือเป็นเพียงข้ออ้าง
คุณพบว่าตัวคุณช่างเหงา อ้างว้าง และเดียวดาย
เพราะความเหงานี้ บางคนจึงบอกว่า โซลเมทมีจริง
(วิญญาณคุณถูกแบ่งเป็นสองบนโลกนี้ คุณต้องตามหาเขาหรือเธอที่เป็นครึ่งที่หายไปบนโลกนี้)
คู่คนนั้นจะเป็นคู่ที่เข้ากับคุณได้ดี เติมเต็มคุณได้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์
แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน
ความฝันที่นักกวี นักแต่งเพลง รจนาจากในอารมณ์พร่ำเพ้อ
สาเหตุของการค้นหาคู่ครองคือ
เรายังความทรงจำในครรภ์ ที่ที่คุณเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณแม่ของคุณ เหลืออยู่
มันไม่แปลกเลยที่เราจะถวิลหาถึงสิ่งนั้น เฝ้าค้นหาที่มาของตน
แต่ถ้าจะเรียกให้อย่างโหดร้าย มันเป็นแค่ความฝันแบบเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
และมันช่างน่าตกใจ เรายึดถือมันเป็นสรณะโดยไม่สนใจต่อความจริงที่เราได้พบ
ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองของคุณในขณะนี้หรือจะเป็นเพียงภาพฝัน
ที่สามารถให้ความสุขกับคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามก็เถอะ
ความสุขที่แท้มันคือรักแท้
และรักแท้ ไม่ได้ขึ้นกับความพยายามจะแต่งเติมฝันนั้นด้วยการพึ่งพาคนอื่น
แต่มันขึ้นกับการพัฒนาความเอิบอิ่ม ปริ่มเปรมของจิตใจภายในของตัวเราเอง
แล้วเราจะมีความรักมหาศาลที่มีแต่ให้ ที่จะดึงดูดคู่รักของเรามาเอง
หรืออย่างง่ายที่สุด เพียงแค่คุณลองดูคน คนธรรมดา คนที่คุณต้องเจอทุกวันนี่แหละ อย่างลึกซึ้งเปี่ยมความรู้สึก
คุณจะประหลาดใจ ทุกอย่างที่คุณทำ ทุกอย่างที่คุณติดต่อสัมพันธ์กับ"คนธรรมดา"นี้
มันก็สามารถเติมช่องว่างในจิตใจของคุณที่หายไปได้
ด้วยรักที่ฉับพลัน
เรียบเรียงจาก โอโช Take it Easy, Volume 2 Chapter 1
Like a rolling stone
But you know you only used to get juiced in it
And nobody has ever taught you how to live on the street
And now you find out you're gonna have to get used to it
...
When you got nothing, you got nothing to lose
You're invisible now, you got no secrets to conceal
How does it feel
To be on your own
With no direction home
Like a complete unknown
Like a rolling stone?
from www.bobdylan.com
Sunday, March 18, 2007
บทเพลงแห่งป่าดำ
ให้เห็นถึงความหมายสูงสุดของการดำรงอยู่แห่งเรา
สามหมื่นวิญญาณแม่มด ผู้ถูกบูชายัญ
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ครูแห่งป่า
เปิดรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ทุกชั่วขณะ
สั่งสอนข้าพเจ้าทุกส่วนสรรพางค์
ผจญภัยไปในการรับรู้
นี่แหละคือ ผู้แสดงและ ผู้ชมในจักรวาลแห่งรอยยิ้ม
Saturday, March 03, 2007
mirror neuron เธอคือฉัน ฉันคือเธอ
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉากนั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาทอื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคนเรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาทนี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคนพวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคนที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน