โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ 
จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431600770
(สรุปสั้นๆ ว่า เพราะ การที่ตองอูล่มสลายแล้วเกิดอังวะใหม่ ทำให้มีการจัดระเบียบรัฐใหม่ให้แข็งเกร่งขึ้น ทั้งทางด้าน เอกลักษณ์ชาติพันธุ์ ระบบภาษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบคุมกำลังคนและยุทโธปกรณ์ อยุธยาที่ไม่ได้พัฒนาอะไรเลยนอกจากตีกันเอง ก็เลยแพ้เสียกรุงครั้งที่สอง)
จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431600770
(สรุปสั้นๆ ว่า เพราะ การที่ตองอูล่มสลายแล้วเกิดอังวะใหม่ ทำให้มีการจัดระเบียบรัฐใหม่ให้แข็งเกร่งขึ้น ทั้งทางด้าน เอกลักษณ์ชาติพันธุ์ ระบบภาษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบคุมกำลังคนและยุทโธปกรณ์ อยุธยาที่ไม่ได้พัฒนาอะไรเลยนอกจากตีกันเอง ก็เลยแพ้เสียกรุงครั้งที่สอง)
ที่จะคุยต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับสมเด็จพระนเรศวรเลย แต่ผมอยากจะเสนอว่า 
อวสานหงสานั้นมีส่วนอย่างสำคัญต่ออวสานอยุธยาในกว่าศตวรรษครึ่งต่อมา 
อวสานหงสาอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาล่มสลายลง มากเสียกว่าการแย่งชิงราชสมบัติกัน 
หรือความไร้สมรรถภาพของผู้นำประเทศ 
อย่างที่มักยกเป็นสาเหตุของกรุงแตกเสียอีกก็ได้
แม้
พระนเรศวรไม่ใช่ผู้ปราบหงสาโดยตรงแต่อวสานหงสาเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์
ตองอูในระยะแรกสิ้นสลายลงซึ่งก็นับเป็นโชคดีของราชวงศ์ตองอูหรือพม่า
เพราะระบบปกครองของราชวงศ์ตองอูระยะแรกนั้น 
ไม่น่าจะทนทานต่อไปได้อีกนานเท่าไรอยู่แล้ว 
เมื่อขาดกษัตริย์ที่ชาญฉลาดและเก่งกล้าสามารถอย่างพระเจ้าบุเรงนอง 
ทุกรัชกาลจะสิ้นสุดลงด้วยการแตกสลายของจักรวรรดิ 
เพราะเจ้านายที่ครองเมืองลูกหลวง 
พากันแข็งเมืองต่อรัชทายาท 
ในที่สุดพม่าก็จะกลับไปสู่สภาพจลาจลเหมือนเมื่อสิ้นอาณาจักรพุกาม 
หัวเมืองใหญ่ทั้งหลายต่างตั้งตัวเป็นอิสระ และทำสงครามระหว่างกันอยู่บ่อยๆ 
เปิดโอกาสให้คนจากภายนอก 
ไม่ว่าจะเป็นมองโกล, ไทยใหญ่, หรืออาณาจักรใกล้เคียง 
บุกทะลวงเข้ามาปล้นสะดมและยึดครองหัวเมืองในลุ่มน้ำอิรวดีอีก
การ
กลับคืนขึ้นสู่ส่วนในแผ่นดินของราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยสถาปนา
ราชธานีที่อังวะกลับเป็นโอกาสให้ได้สถาปนาระบบปกครองแบบใหม่ที่ทำให้การรวม
ศูนย์อำนาจอย่างยั่งยืนถาวรเป็นไปได้
ใช่แต่เพียงเท่านั้น การขยายอำนาจนำของราชวงศ์ผ่านพระพุทธศาสนา, 
อักขระวิธี, วรรณกรรม, 
การขยายตัวของเศรษฐกิจภายใน และการสร้างมาตรฐานกลางของอัตราน้ำหนัก, 
เงินตรา 
ตลอดจนความชอบธรรมของราชวงศ์พม่าเหนือชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ทั้งหมด 
ยังทำให้พม่ากลายเป็นราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งในเชิงโครงสร้าง 
เหนือรัฐเถรวาทอื่นๆ ในอุษาคเนย์อีกด้วย 
แม้ว่าในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากความเสื่อมโทรมของพระราชอำนาจ 
อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ 
ทำให้ราชวงศ์ตองอูล่มสลายลง 
เพราะการกบฏของชนกลุ่มน้อยในจักรวรรดิ โดยเฉพาะพวกมอญซึ่งสามารถตีอังวะแตก 
ถึงกระนั้น ในเวลาไม่นาน 
เมื่ออลองพญาสามารถตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่ได้สำเร็จ การ "ปฏิรูป" ด้านต่างๆ 
ที่ราชวงศ์ตองอูซึ่งฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้วางรากฐานไว้แล้ว ก็ดำเนินต่อไป 
อย่างคึกคักยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ผมขอพูดถึงบางเรื่องในการปฏิรูปของราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นใหม่
การ
ถอยกลับขึ้นไปสู่ส่วนในนั้นนักวิชาการแต่ก่อนโดยเฉพาะอดีตเจ้าหน้าที่
อาณานิคมอังกฤษมักอ้างว่าเป็นต้นเหตุให้พม่าทอดทิ้งการค้าระหว่างประเทศ
เลยพลอยไม่ค่อยรับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก 
(เพื่อให้เหตุผลว่า 
กษัตริย์พม่าล้าหลังเสียจนสมควรต้องตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ) 
แต่นักวิชาการรุ่นหลังชี้ว่า 
ข้อเท็จจริงตามหลักฐานมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะราชวงศ์ตองอูที่อังวะ 
สามารถควบคุมตอนล่างของลุ่มอิรวดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
จึงสามารถรับผลประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศทางทะเลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย 
ไม่ต่างจากราชอาณาจักรที่มีราชธานีไม่ไกลจากทะเลเช่นกัน
ยิ่ง
ไปกว่าการค้าทางทะเลการค้าทางบกเชื่อมต่อกับยูนนานของจีนรุ่งเรืองขึ้นอย่าง
สม่ำเสมอปริมาณของสินค้าที่ส่งผ่านการค้าทางบกนี้ไม่อาจระบุเป็นตัวเลขได้
แต่จากหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ชี้ว่า 
ปริมาณนั้นต้องสูงพอที่จะทำให้พม่ากลายเป็นแหล่งผลิตฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดใน
ภูมิภาคนี้ 
ฝ้ายกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวแรกๆ ที่ส่งออกผ่านกองคาราวานพ่อค้ายูนนาน 
(ในปลายอยุธยา 
ก็มีการผลิตฝ้ายเพิ่มขึ้นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเช่นกัน... 
อย่าลืมว่านางพิมได้เสียกับพลายแก้วที่ไร่ฝ้าย... 
แต่โดยปริมาณเปรียบเทียบแล้ว น้อยกว่าที่ผลิตในพม่าสัก 
10 เท่า) การถอยราชธานีกลับขึ้นไปส่วนบน 
ทำให้ราชสำนักอังวะสามารถควบคุมเส้นทางการค้าจากยูนนานให้ปลอดภัยได้ตลอดมา 
เพราะได้สถาปนาอำนาจทั้งในทางการเมืองและวัฒนธรรมเหนือที่ราบสูงชานอย่าง
มั่นคงขึ้น 
(รวมทั้งเลยเข้ามาในล้านนา ซึ่งพม่าเรียกว่าชานตะวันตก 
อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางกองคาราวานพ่อค้ายูนนานด้วย)
ในขณะเดียวกัน 
กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นนี้ ยังได้สร้างป้อมค่ายตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วราชอาณาจักร 
รวมถึงตามเส้นทางการค้าภายในด้วย ความสงบปลอดภัยที่รัฐบาลกลางจัดไว้ให้นี้ 
ยิ่งทำให้การค้าภายในรุ่งเรืองมากขึ้น ในช่วงราชวงศ์ตองอูที่อังวะกับต้นราชวงศ์อลองพญานั้น 
ภาษีที่เป็นเงินสดซึ่งรัฐบาลสามารถเก็บได้มีมูลค่าถึง 70% 
ของภาษีทั้งหมด
สะท้อนความเติบโตของเศรษฐกิจตลาดในพม่าได้ดี
แต่
ที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าการค้าก็คืออำนาจเหนือกำลังคนราชวงศ์ตองอูที่
ฟื้นฟูขึ้นกับราชวงศ์อลองพญา(กอนบอง)ต่างต้องให้ความสำคัญแก่การควบคุมกำลัง
คน
ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในที่ราบตอนกลางของประเทศเป็นอย่างยิ่ง 
เพราะกำลังคนเหล่านี้คือผู้ผลิตข้าว, 
ผลิตส่วยและภาษี, เป็นผู้ให้บริการที่จำเป็นในการปกครอง, 
เป็นกำลังรบกับข้าศึกต่างเมือง 
และกับเจ้านายและขุนนางซึ่งอาจก่อกบฏขึ้น ใน ค.ศ.1635 
(ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง) 
กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูได้ทำสำมะโนประชากร-ที่ดิน-บัญชีส่วยและภาษีทั้งของ
หลวงและของขุนนางเป็นครั้งแรก
ในด้านการปกครองอังวะพยายามจำกัดอำนาจของเจ้าเมืองท้องถิ่นลงธรรมเนียมส่งเจ้านายไปครองเมืองลูกหลวงเป็นอันยกเลิกเด็ดขาด
เจ้านายต้องอยู่ในเมืองหลวง ได้กินแต่ส่วยสาอากรจากหัวเมืองที่กษัตริย์มอบให้ 
โดยมีขุนนางเป็นเจ้าเมืองซึ่งอังวะพยายามไม่ให้สืบตำแหน่งทางสายโลหิต ฉะนั้น 
กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นนี้ จึงมีพระราชอำนาจควบคุมส่วนกลางประเทศ 
ซึ่งเป็นแกนกลางของพม่าไว้ได้อย่างรัดกุม แม้ว่ายังมีปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติสืบต่อมา 
แต่เป็นการแย่งชิงกันในหมู่ราชวงศ์ เพราะพม่ายังถือความเป็น "เจ้า" เป็นเงื่อนไขสำคัญของการสืบราชสมบัติ 
แตกต่างจากอยุธยาในสมัยเดียวกัน ที่ปล่อยให้ขุนนางเข้ามาร่วมเล่นเกมชิงราชสมบัติด้วย อย่างไรก็ตาม 
การแย่งชิงราชสมบัติของพม่าไม่เป็นเหตุให้กลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างหัวเมืองใหญ่ๆ 
อย่างที่เกิดในสมัยราชวงศ์ตองอูตอนต้นอีกต่อไป
พัฒนาการ
ทางวัฒนธรรมในช่วงนี้มีความสำคัญต่อความแข็งแกร่งของราชวงศ์ที่ได้อำนาจ
ปกครองพม่าอย่างยิ่งโดยอาศัยการปฏิรูปพระพุทธศาสนาให้ตรงตามคัมภีร์ราชสำนัก
ได้ขยายพระพุทธศาสนา
"สำนวน" นี้ออกไปอย่างกว้างขวาง 
พระพุทธศาสนาแบบคัมภีร์เปิดโอกาสผู้ที่สามารถบำรุงเลี้ยง "นักปราชญ์" 
ที่เชี่ยวชาญบาลีกลายเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาที่ใหญ่สุด 
และผู้ที่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือราชสำนักอังวะ 
ยากที่หัวเมืองอื่นหรือเจ้าประเทศราชจะสามารถแข่งขันได้ 
คัมภีร์บาลีจากลังกาถูกถ่ายเป็นอักษรพม่าจำนวนมาก 
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือมีการแปลคัมภีร์บาลีเป็นภาษาพม่าในช่วงนี้อีกมาก
เหมือนกัน
ภาษาพม่าของส่วนกลางเริ่มกลายเป็นภาษามาตรฐาน ทั้งในแง่อักขรวิธี 
และศัพท์มีการทำอภิธานศัพท์ในภาษาพม่าขึ้นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ 
ราชสำนักอังวะยังพยายามสร้างมาตรฐานกลางของหน่วยน้ำหนัก, การวัด 
และประดิทิน
การ
ขยายตัวของภาษาพม่าเกิดขึ้นพร้อมกับความสามารถอ่านออกเขียนได้ซึ่งแพร่
กระจายไปยังประชาชนทั่วไปมากขึ้นก่อให้เกิดความเฟื่องฟูของวรรณคดีพม่า
ไม่เฉพาะแต่ที่แต่งกันขึ้นในหมู่กวีราชสำนักเท่านั้น 
แต่ยังรวมถึงวรรณกรรมอีกมากที่แต่งกันขึ้นในหัวเมืองใหญ่อื่นๆ 
ทั้งที่เป็นตำนานเมือง, ธรรมสากัจฉา 
และบทละคร นอกจากนี้ ยังเกิดประเพณีทางวรรณกรรมใหม่ๆ ขึ้นเป็นอันมาก เช่น 
วรรณกรรมเสียดสีสำนวนของคนที่ไม่สังกัดชนชั้นมูลนาย แม้แต่ 
"มหาราชพงศาวดาร" ของอูกาลา 
ซึ่งไม่ใช่ข้าราชสำนัก 
ก็เปลี่ยนประเพณีการเขียนวรรณกรรมประวัติศาสตร์เสียใหม่ 
จนในบานแผนกต้องกล่าวขอโทษที่ไม่เดินตามประเพณีเดิม
ภาษาพม่าและวัฒนธรรมพม่ากลายเป็นมาตรฐานของผู้มีการศึกษาไม่เฉพาะแต่ในกลุ่มชาติพันธุ์พม่าเท่านั้นแต่รวมไปถึงเมืองประเทศราชทั้งหลาย
โดยเฉพาะในคุ้มหลวงของเจ้าไทยใหญ่ และหัวเมืองมอญ (และคงรวมถึงล้านนา โดยเฉพาะเชียงใหม่ด้วย) ฉะนั้น 
ความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมของราชสำนักพม่า 
จึงเป็นพลังผนวกเอาความภักดีของชนชั้นนำในบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพม่าด้วย 
ความภักดีนี้อาจคลอนคลายได้ในบางสถานการณ์ 
แต่ความเป็นพม่าในส่วนลึกของจิตใจก็ยังอยู่
แม้แต่ในหมู่สามัญชนโดยทั่วไป ภาษาพม่าก็ขยายตัวขึ้นในหมู่ผู้ที่พูดภาษามอญ, พยู, ไท, ชิน และคดู 
โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในที่ราบตอนกลาง
พัฒนาการทั้งทางการเมือง,เศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้
เกิดขึ้นกับราชอาณาจักรอยุธยาในสมัยนี้เช่นเดียวกัน แต่ผม "รู้สึก" 
ว่าความเข้มข้นไม่อาจเทียบได้กับที่เกิดในราชอาณาจักรอังวะ กว่าจะเข้มข้นเทียบเทียมกันได้ 
ก็ต่อเมื่อตกมาถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์แล้ว โชคดีที่ผมไม่ต้องอาศัยแต่ความ "รู้สึก" อย่างเดียว เพราะ 
Victor Lieberman ซึ่งค้นคว้าลงลึกเกี่ยวกับราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นกับอยุธยา 
ก็มีความเห็นอย่างเดียวกันใน Strange Parallels : Southeast Asia in Global Context เล่มหนึ่ง 
(และส่วนใหญ่ของข้อมูลเกี่ยวกับพม่าในบทความนี้ 
ก็เอามาจากหนังสือเล่มนี้)
ทั้ง
หมดนี้ยังไม่ทำให้พม่ากลายเป็นรัฐชาติขึ้นมาหรอกครับพม่าก็ยังเป็นรัฐราช
สมบัติอย่างเดียวกับอยุธยาและตั้งอยู่บนฐานของเครือข่ายกลุ่มอุปถัมภ์ที่
หลากหลายซับซ้อนเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าในพม่าศูนย์กลางของเครือข่ายอุปถัมภ์มีสมรรถนะในการควบคุมเครือ
ข่ายได้กว้างและลึกกว่าอยุธยา 
(แม้แต่การจัดไพร่หลวงหรือ ahmudan กับไพร่สมหรือ athi 
ของพม่ากับไทยคล้ายกัน 
แต่ไพร่หลวงของพม่าเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์กว่าของอยุธยา 
ซ้ำยังมีภารกิจไปทางทหารอย่างเห็นได้ชัด 
อาจคล้ายอยุธยาตอนต้นที่แบ่งไพร่ออกเป็นสองฝ่ายคือทหารและพลเรือนก็ได้) 
และระบบทั้งหมดเหล่านี้ถูกพัฒนาให้เข้มข้นและเข้มแข็งยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก
ในสมัยราชวงศ์อลองพญา
อีก
สิ่งหนึ่งซึ่งดูจะก้าวไปไกลกว่าอยุธยาคือสำนึกความเป็นพม่าของข้าไพร่เด่น
ชัดกว่าข้าไพร่ของอยุธยาเป็นอันมากเล่ากันว่าเมื่อกองทัพของอลองพญายกไปปราบ
หัวเมืองมอญที่ร่วมกันก่อกบฏจนทำลายราชวงศ์ตองอูลง
ทหารพม่าต่างพากันถอดผ้าโพกหัว ปล่อยผมสยายลง 
เพื่อบอกแก่ชาวพม่าซึ่งตกเป็นเชลยของมอญว่าคนชาติพันธุ์เดียวกันได้ยกกำลัง
มาช่วยปลดปล่อยแล้ว 
คำปลุกปลอบใจของกองทัพพม่าก็คือ พม่าหนึ่งคนสามารถปราบ "ตะเลง" ลงได้ 10 
คน
ถ้าเปรียบเทียบพฤติกรรมของราษฎรไทย 
ทั้งในครั้งศึกอลองพญาและศึกครั้งเสียกรุง 
เราจะไม่เห็นสำนึกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เช่นนี้เลย
เพราะอวสานหงสาเปิดโอกาสให้พม่าถอยกลับขึ้นเหนือและปฏิรูปการเมือง,เศรษฐกิจ
และสังคมของตนเองไปได้ไกลกว่าอยุธยา จึงทำให้กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่กว่าปี 
สามารถปราบกองทัพอยุธยาที่ยกออกต่อรบได้ในเกือบทุกครั้ง มีวินัยและการวางแผนอย่างดี 
ในการตั้งทัพรอให้น้ำลด ต้องเข้าใจด้วยว่าการตั้งทัพรอน้ำลดนั้นเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ 
ซึ่งพม่าเองไม่เคยทำได้มาก่อนเหมือนกัน ทั้งยังไม่ใช่การตั้งทัพเพียงเพื่อให้อยู่รอดจนถึงหน้าแล้ง 
ทัพพม่าซึ่งต้องตั้งอยู่บนที่ดอนยังมีภารกิจสำคัญต้องทำอีกด้วย 
นั่นคือสกัดมิให้เสบียงอาหารไหลเข้าอยุธยา ต่อตีกับกองทัพเรืออยุธยามิให้มาทำลายค่ายได้ 
และป้องกันมิให้กองกำลังจากที่อื่นยกเข้ามาล้อมกระหนาบ
สิ่ง
สำคัญที่สุดในทัศนะของผมก็คือจะทำอย่างไรให้ทหารชาวนาซึ่งถูกเกณฑ์มาไกลไม่
หนีทัพกลับบ้านทหารเลวที่สามารถตั้งทัพค้างฝนได้ทั้งฤดูเช่นนี้
ต้องมั่นใจว่าลูกเมียทางบ้านจะมีข้าวกินในปีถัดมา 
ผมไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์พม่าพอจะบอกได้ว่า 
ราชสำนักของพระเจ้ามังระแห่งราชวงศ์อลองพญาทำอย่างไร 
จึงจะสร้างความมั่นใจเช่นนี้แก่ทหารเลวในกองทัพได้ 
แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ความสามารถที่จะทำสงครามนอกฤดูแล้งได้เช่นนี้ 
ต้องมีการจัดองค์กรทางสังคมที่ก้าวหน้า 
พอที่จะสามารถเฉลี่ยอาหารไปได้อย่างทั่วถึง 
แม้ผลผลิตอาจลดลงเพราะสูญเสียกำลังแรงงานไปกับกองทัพรุกรานของตน
ดังนั้น 
แม้กองทัพอยุธยามิได้เสียเปรียบกองทัพอังวะในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ 
และเครื่องไม้เครื่องมือในการป้องกันพระนคร กองทัพอยุธยาก็ไม่สามารถต่อสู้กับกองทัพพม่าได้ 
เพราะกองทัพอยุธยาต้องเผชิญกับกองทัพชนิดใหม่ 
ที่วางอยู่บนระบบการเมืองและสังคมที่แข็งแกร่งกว่าของตนเอง
สิ่งที่ผู้นำทัพไทยหลังกรุงแตกได้เรียนรู้สืบมาจนรัชกาลที่1เป็นอย่างน้อยก็คือ
ความเกรียงไกรของกองทัพนั้น ไม่ได้มาจากความสามารถในการรบเพียงอย่างเดียว 
ที่เป็นรากฐานอันขาดไม่ได้เสียยิ่งกว่า ก็คือระบบการเมืองและสังคมที่แข็งแกร่ง 
อันจะเอื้อต่อความสามารถของกองทัพที่จะพลิกแพลงยุทธศาสตร์ยุทธวิธีไปได้หลายกระบวนท่า 
เพื่อเอาชนะข้าศึกในทุกเงื่อนไขและสถานการณ์
ดูเหมือนบทเรียนดังกล่าวนี้ถูกผู้นำทัพไทยลืมไปเสียสนิทในระยะหลัง
หากหงสาไม่ถึงกาลอวสานราชวงศ์ตองอูก็ไม่สามารถย้อนกลับไปตั้งมั่นในส่วนในของประเทศแล้วสั่งสมพัฒนาการด้านต่างๆ
ของราชอาณาจักร จนกลายเป็นรัฐราชสมบัติที่ก้าวหน้ากว่าอยุธยาอย่างมากได้
ความแข็งแกร่งของราชอาณาจักรอังวะนี่เอง ที่ทำให้อยุธยาไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้ 
เมื่อต้องเผชิญศึกกับพม่า อวสานหงสาจึงนำมาซึ่งอวสานอยุธยา ด้วยประการฉะนี้
   
 
        
        
    
    
        
    
     
No comments:
Post a Comment