Thursday, May 28, 2015

จดหมายรักของเมฆบ้า

https://www.facebook.com/148739335287707/photos/a.148748825286758.1073741826.148739335287707/446256578869313/?type=1&theater
จากเพจ Zen Smile Zen Wisdom


"..ผืนป่าและทุ่งหญ้า โขดหินและวัชพืช มิตรแท้ของฉัน
ทางเถื่อนแห่งเมฆบ้ามิเคยแปรเปลี่ยน
ผู้คนคิดว่าฉันเสียสติ แต่ฉันมิใส่ใจ
หากฉันคือผีร้ายบนโลกนี้ ใยต้องหวาดหวั่นปรโลก

ทุกวัน นักบวชทั้งหลายตรึกตรองพระธรรมอย่างละเอียดละออ
และสวดพระสูตรอันซับซ้อนอยู่อย่างมิรู้จบ
ทว่าก่อนทำเช่นนั้น พวกเขาควรเรียนรู้ว่า
จะอ่านจดหมายรักซึ่งส่งมาโดยสายลมและสายฝน โดยหิมะและพระจันทร์ ได้อย่างไร.."

/พระอาจารย์ อิคคิว โซจุน,(一休宗純) (พ.ศ.๑๙๓๗-๒๐๒๔) แห่งพุทธศาสนานิกายเซ็นในญี่ปุ่น ในบทกวีท่านเรียกตนเองว่า เคียวอุน(狂雲) แปลตรงตัวว่า เมฆบ้า

(ภาพเขียนท่านอิคคิว โดย โบกุซะอิ ซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน, ปัจจุบันเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่โตเกียว)


-------------------------------------------------------

จากโพสต์นี้ ได้แรงบันดาลใจมา เรียบเรียงใหม่เป็น


ไม่ว่าจะเป็นใคร นับถือศาสนาอะไร หรือ ไม่นับถืออะไร เป็น atheist
ถ้าสามารถอ่านจดหมายรัก
บน ผืนป่าและทุ่งหญ้า
บน โขดหินและวัชพืช
ที่ส่งมาโดยสายลมและสายฝน
โดยหิมะและพระจันทร์ ได้
ผู้นั้นมีความ "เป็นพุทธ(ตื่นรู้)" อยู่ในตัว
โดยไม่ต้องเป็นชาวพุทธ


ธรรมะใสกว่าน้ำ
เงียบกว่าลม
เสียงของการตบมือข้างเดียว


(อธิบายต่อ)
จิต ที่เห็นแบบนี้เป็นจิตที่เป็นกุศล มีลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความอ่อนโยนนุ่มนวล มีปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว ไม่ซึมไม่ทื่อ มีกัมมัญญัตตา ควรแก่การงาน ไม่หลบหลีกการรับรู้ มีอุชุตา ซื่อตรงในการรู้ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่
าเห็นไป จิตที่เป็นกุศลไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
http://www.dhammada.net/2013/01/15/19044/


ในกาลามสูตร หัวใจหลักไม่ใช่การไม่เชื่อ แต่คือ การรู้กุศล อกุศล

เมื่อเข้าใจแล้ว ให้น้อมมาดูกาย ใจ รูป นาม
ถ้าฝึกกายเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียน
แล้ว เข้าใจ ทำได้ถึงแก่น
จะได้รู้ เสียงของการตบมือข้างเดียว ก็คือ เห็นอย่างแจ่มแจ้ง วิปัสสนา
คือ แยกรูปขันธ์ เห็นจิต เคลื่อนไหวแยกออกจากกายนั่นเอง


เมื่อจิตพร้อมแล้ว นึกถึงธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าสอนท่านพาหิยะ เจริญปัญญาต่อไป

"ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

จาก http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-pahiya-tarujeeriya.htm

เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือการจบกิจของศาสนาพุทธ ในชาตินี้
การจบคือ การสิ้นสุดของกิเลส ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ ไม่มีอะไร เลย
สิ่งที่มีคือ เมตตาล้นประมาณ ปัญญาที่เต็มเปี่ยม ความสุขที่หาอะไรเทียบไม่ได้


No comments: